คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : CHAPTER 16 : บทสุดท้ายของความรัก
บทสุดท้ายของความรัก
“คุณอลิสเป็นมังกรวารีเหรอ”ฟอลค่อนยิงคำถามกับอลิส
“ใช่ค่ะ ตอนแรกก็ไม่รู้ แต่พออายุได้17ก็เริ่มมีอาการ เมื่อเห็นอย่างนั้นจึงเริ่มศึกษา ตอนรู้คราวแรกก็ช๊อกเหมือนกันแต่ตอนนี้ก็ยอมรับได้แล้วค่ะ”อลิสตอบด้วยรอยยิ้ม โดยมีพี่โฟร์มองอยู่ห่างๆคงจะไม่ค่อยไว้ใจฟอลค่อนล่ะมั้ง
“อองรีแกเป็นอะไรรึเปล่า”คารินหันไปถามอองรี เพราะว่าตลอดทางมันเงียบมาตลอดถึงแม้จะเป็นคนเงียบอยู่แล้วแต่ตอนนี้มันเงียบจนผิดวิสัย
อองรีเงยหน้าขึ้นมามองคนถาม และนั่นถึงกับทำให้คนถามหน้าซีด แต่ก็ไม่เท่ากับหน้าของอองรี เพราะตอนนี้หน้าของอองรีแทบจะไม่มีสีเลย เลือดสีแดงไหลกระอักออกจากปากของชายหนุ่ม
“อองรี”คารินอุทานอย่างขวัญเสีย
“ไปโดนอะไรมาเนี่ย พี่โฟร์มาทางนี้เร็ว”ดันเต้ตะโกนเสียงดัง
“ถอดเสื้อออกเร็ว”โฟร์ตะโกนสั่งคารินที่อยู่ใกล้ที่สุด คารินไม่พูดอะไรเพียงแต่ทำตามคำสั่งโดยดี เมื่อถอดเสื้อออกจึงเผยให้เห็นแผลยาวจากต้นคอลงมาถึงท้องน้อย เลือดอุ่นๆไหลออกมาจากแผลเป็นทาง
“คงเป็นตอนที่มันเอาไม้เท้าเรดดราก้อนรับดาบล่ะมั้ง”โฟร์สันนิฐาน พร้อมทั้งเอาผ้ามาซับแผลของคนที่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวสลบไปแล้ว “เอายามา” โฟร์หันไปสั่งอลิสที่อยู่ใกล้ตนที่สุด
“อองรีแกต้องไม่เป็นอะไรนะ”คารินตะโกนอยู่ข้างๆอองรี ด้วยน้ำตานองหน้า
‘ขนาดสถานะการเลวร้ายแค่ไหนเธอยังไม่ยอมร้องไห้ แล้วถ้าคนที่นอนตรงนั้นเป็นเราเธอจะร้องไห้อย่างนี้มั้ยนะ’ นิโคไลท์มองไปยังร่างบางที่ร้องเรียกชื่อคนที่เธอรัก
การรักษาเป็นไปอย่างเร่งรีบอาจจะเป็นเพราะยาทิพย์มีไม่เพียงพอสำหรับบาดแผลใหญ่ขนาดนี้ จึงจำเป็นต้องอาศัยการเย็บเอา
“เสร็จแล้วล่ะ”อลิสยื่นผ้าให้โฟร์ซับเหงื่อ “แต่ต้องนอนพักซัก 2-3 วัน”
หมับ
อองรีจับมือโฟร์และบีบจนทำให้โฟร์หน้าถอดสีด้วยความเจ็บ
“ไม่ได้ต้องเดินทางต่อ”อองรีพยายามเค้นเสียงพูด
“ไม่ได้แกต้องพัก”คารินปฎิเสธเสียงแข็ง พร้อมทั้งหยิบยานอนหลับออกจากกระเป๋า
“ไม่”อองรีตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา และสบัดหน้าหนีทันที “ขอร้อง” ทุกคนถึงกับผงะออกทันที
“แกจะบอกว่า ที่แกไม่ยอมให้โฟร์รักษาแต่แรก ก็เพราะต้องการเดินทางต่อเหรอ”คารินพูดด้วยเสียงสั่น อองรีไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่แค่พยักหน้าเล็กน้อย
“เวลาของเธอเหลือน้อยแล้ว”อองรีพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังคงนิ่งเหมือนเดิม พวกเพื่อนๆเมื่อเห็นว่าอองรีพ้นขีดอันตรายแล้วจึงทยอยออกไปทิ้งอองรีกับคารินไว้สองคน
“ถ้าฉันรอดแล้วแกตาย ชีวิตฉันจะมีไปเพื่ออะไร”คารินพูดพร้อมก้มหน้าพยายามกลั้นน้ำตา อองรีเมื่อเห็นน้ำตาของคาริน ก็โน้มเอาตัวคารินเข้ามาซุกอก
“อย่าร้อง มันทำให้ฉันเจ็บ”อองรีพยายามเค้นเสียงตอบ ที่เค้าต้องโน้มคารินลงมาซุกอกเพราะไม่อยากให้เธอเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเค้า “ฟังสิหัวใจฉัน มันยังเต้น ฉันจะไม่มีวันไปไหน”อองรีลูบหัวคารินเบาๆ น้ำตาใสๆไหลลงบนอกอุ่นของอองรี ความอุ่นที่แสดงให้รุ้ว่าชายคนนี้ยังมีชีวิต
“คืนนี้แกต้องพัก”คารินพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“อือ”อองรีตอบ เค้าใจอ่อนเพราะน้ำตาของเธอทุกที
“ถ้าไม่หายแกต้องนอนพักต่อ”
“อือ”
“ชีวิตแกเป็นของฉัน ถ้าฉันไม่สั่งให้ตายแกห้ามตายนะ”
“อือ”
“แกสัญญาแล้วนะ”
“อือ...”นัยตาสีเขียวน้ำทะเลของอองรีค่อยๆหรี่ลงเรื่อยๆ ทั้งคู่หลับในอ้อมกอดของกันและกัน
นิโคไลท์ที่ยืนมองอยู่นานด้านนอก ในใจของเค้าร้อนผ่าวและเจ็บแปล๊บ เป็นครั้งแรกที่เค้ารู้สึกอย่างนี้ โฟร์เดินมาแตะบ่าเค้าเบาๆ นิโคไลท์เดินตามโฟร์ออกไป จากไปจากภาพบาดตาบาดใจ
“ถ้าเป็นแกคงแย่งมาไม่ยากนักหรอก”โฟร์ทรุดตัวลงนั่ง ซึ่งมีนิโคไลท์นั่งลงที่ด้านตรงกันข้าม
“เป็นครั้งแรกที่ฉันสูญเสียโดยที่ทำอะไรไม่ได้”นิโคไลท์พูดพรางเอาไม้เขี่ยไปที่กองไฟ
“ไม่ใช่แย่งไม่ได้ แต่ไม่แย่ง”โฟร์หันไปมองนิโคไลท์
“อาจจะจริง”
“เอาน่าเพื่อน ซักวันแกก็จะเจอคนที่ดีกว่า”
“ฉันอาจจะเจอคนใหม่ แต่จะไม่มีวันเจอคนที่ดีกว่า”นิโคไลท์เหม่อมองออกไปทางที่คารินนอนพักอยู่ “ไม่ว่าจะนานแค่ไหนเธอก็จะอยู่ในหัวใจฉันตลอด” โฟร์ตบบ่านิโคไลท์เป็นเชิงปลอบใจ น้ำใสๆไหลออกจากนัยตาของเค้าเพียงหยดเดียว แค่หยดเดียวเท่านั้น
..........................................................................................................................
อองรีเอามือลูบไปที่ผมของสาวน้อยร่างบางตรงหน้าด้วยใบหน้าอ่อนโยนซึ่งสาบานได้ว่าต้องไม่มีใครเคยเห็นแน่นอน และคงไม่มีทางได้เห็น
“ตอนหลับก็ดูน่ารักดีอยู่หรอก”อองรีพูดพึมพำเบาๆเพราะเกรงว่าสาวน้อยที่นอนอยู่บนตักจะตื่นซะก่อน
“อือออ อองรี”คารินละเมอออกมาเสียงเบาๆ
“อยู่นี่”อองรีกระซิบข้างหูคาริน
“อือ หือ”แพขนตาสีดำของเธอค่อยๆเปิดขึ้น อองรีเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวดีตื่นแล้วจึงกลับมาทำหน้าตาเย็นชาอีกครั้ง
“อือ”คารินมองอองรีอย่างปรือๆ พร้อมทั้งยกมือขวาขึ้นสูง และตบลงบนหลังของอองรี
“โอ๊ย”อองรีถึงกับหน้าถอดสีด้วยความเจ็บ “เธอทำอะไรเนี่ย” อองรีตะโกนเสียงดัง
“อืม เยี่ยม หายแล้วล่ะ เดินทางกันต่อได้”คารินลุกขึ้นพลางบิดขี้เกรียจ และเดินออกไปทิ้งไอ้คนเจ็บทำกำลังจะหายแต่จะไม่หายก็เพราะไอ้ผ่ามือของคนต้องการตรวจว่าหายรึยังนี่แหละ
“อ้าวตื่นแล้วเหรอ”นิโคไลท์พูดขึ้นเมื่อเห็นคารินเดินออกมา
“อื้อ หิวแล้วล่ะ มีอะไรกินบ้างเหรอ”คารินพูด โฟร์เมื่อเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปเพื่อดูอาการของอองรี
“ตื่นมาก็จะกินเลยหรือไง”ฟอลค่อนที่กำลังย่างเนื้อนกอยู่เงยหน้าขึ้นมา “เฮ้ย”
“เป็นอะไรไปอีกคนล่ะเนี่ย”คารินผงะออกด้วยความตกใจ
“แกไม่ใช่คารินนี่นา แกเป็นใครน่ะ”ฟอลค่อนพูดพร้อมชี้ไปที่ร่างบางซึ่งตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นหนุ่มน้อยแทนแล้ว
“หือ”คารินก้มลงมองตัวเองแล้วปรากฎว่าตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นมิทอสแล้ว “อ๋อ”เธอครางออกมาเบาๆในขณะที่ ดันเต้กลั้นหัวเราะอยู่ข้างๆ
มิทอสจึงต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟอลค่อนฟัง พรางกินเนื้อนกย่างไปด้วย ฟอลค่อนไม้ได้พูดอะไรเพียงแต่นั่งฟังอย่างตั้งใจ และทำตาโตอย่างเหลือเชื่อ
โฟร์เดินออกมาพร้อมทั้งอองรี ซึ่งแสดงว่าเค้าหายดีจนลุกออกมาได้แล้ว ดูภายนอนแทบไม่รู้ว่ามีได้รับบาดเจ็บ
“อ่ะ คงหิวแล้วล่ะสิ”นิโคไลท์ยื่นเนื้อนกย่างให้อองรี ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่รับ และทรุดตัวลงนั่งข้างๆนิโคไลท์ พร้อมทั้งมองไปยังเจ้าตัวดีที่กำลังนั่งฝอยเรื่องต่างๆให้ฟอลค่อนฟัง
‘สงสัยเมื่อคืนจะเป็นความฝัน’ อองรีคิดพลางนึกถึงตอนที่เจ้าตัวดีตรงหน้าร้องห่มร้องไห้ไม่ให้มันตาย
“เดินทางต่อไหวมั้ย”เสียงของนิโคไลท์เรียกคนป่วยให้ตื่นจากพวัง
“อือ”คำตอบสั้นๆง่ายๆของคนโดนถาม
“ก็ดี เอาล่ะ พวกเราเดินทางกันได้แล้ว”ทุกคนเมื่อได้ยินดังนั้นจึงแยกย้ายกันออกไปเก็บข้าวของ จะมีก็แต่อองรีที่ได้รับอภิสิทธ์ของคนป่วยนั่งเฉยๆ เพราะคำสั่งหมอใหญ่ของกลุ่ม
นิโคไลท์กางแผนที่ออกมา และเริ่มไล่ตั้งแต่จุดที่เราเดินทางและพบว่าพวกเค้าถึงที่หมายพรุ่งนี้แน่นอน
“เอาล่ะต่อจากนี้เราต้องเดินทางด้วยอูฐนะ”ดันเต้อธิบายพร้อมชี้ไปที่พาหนะตัวใหม่
การเดินทางด้วยอูฐค่อนข้างล่าช้า แต่ก็ยังดีกว่าเดินด้วยเท้า ซึ่งหัวเด็ดตีนขาดยังไงเจ้าตัวป่วนประจำคณะก็ต้องการให้อองรีนั่งอยู่กับโฟร์เผื่อฉุกเฉิน มิทอสนั่งไปกับอลิส ดันเต้นั่งกับนิโคไลท์ ส่วนฟอลค่อนนั่งกับกองสัมภาระ
“อืม แย่จัง”ฟอลค่อนพูดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”มิทอสตะโกนถาม
“กลิ่นพายุ เราต้องหาที่หลบก่อน”
“ตรงนั้นไง”นิโคไลท์ชี้ไปที่ซอกผาด้านหน้า
คณะเดินทางของมิทอสจึงจำเป็นต้องไปพักยังจุดที่นิโคไลท์ชี้ ซึ่งเป็นซอกเขาสูงคงพอที่ทุกคนจะเข้าไปหลบได้
“เราคงต้องเดินทางกันพรุ่งนี้แล้วล่ะ”ดันเต้ที่กลับมาจากออกไปดูสถานะ การพูดขึ้น
“อืม”อองรีทรุดตัวลงนั่งด้านใน
“พายุลูกนี้จะพัดมานานมั้ย”นิโคไลท์หันไปถามฟอลค่อน
“ลูกใหญ่ น่าจะนาน”คำตอบของคนโดนถาม
“หือ .....เธอเป็นอะไร”อองรีพูดขี้นเมื่อเห็นมิทอสนั่งตัวสั่นอยู่
“หนาว”มิทอสตอบเสียงสั่น ถึงแม้ตอนกลางวันจะร้อน แต่ตอนกลางคืนกลับหนาวจับใจ
อองรีผายมือออกดึงเจ้าตัวดีเข้ามานอนในอกเค้า ซึ่งวันนี้มันดูว่าง่ายมากกว่าเดิมมากคงเป็นเพราะมันแพ้ความหนาวจริงๆ
“อือ อุ่น”มิทอสครางเบาๆอย่างไม่ได้สติในอ้อมแขนและอกอุ่นของอองรี แต่ก็ยังมีสายตาที่มองมาอย่างเจ็บปวด นิโคไลท์เดินออกไปทันทีหนีออกจากภาพอันแสนเจ็บปวด
คำคืนนี้หนาวกว่าทุกวันอาจจะเป็นเพราะพายุที่กระหน่ำเข้ามาตลอดคืนก็เป็นได้ แต่แสงจันทร์ก็ยังคงส่องสว่างแม้ซอกหินที่พวกเค้านอนอยู่จะแคบจนแสงจันทร์สาดส่องเข้าไปไม่ได้มากนัก แต่สำหรับชายที่นั่งอยู่หน้ากองไฟ แสงจันทร์สีนวนรวมกับแสงไฟจากกองไฟทำให้เห็นใบหน้าของชายคนเดียวที่ตื่นอยู่ในค่ำคืนนี้ได้อย่างชัดเจน ชายที่มีใบหน้าอิดโรยอาจเป็นเพราะอากาศหนาวหรือไม่ก็เป็นเพราะในใจของเค้ามันเย็นยะเยือกไปกับภาพที่เค้ากำลังมองอยู่ก็เป็นได้ ภาพของสาวน้อยร่างบางที่ซบอยู่บนอกอุ่นพร้อมด้วยรอยยิ้ม
นิโคไลท์มองร่างบางนั้นอย่างเจ็บปวด เค้าปราถนาเหลือเกินให้เป็นตัวเค้าเองที่อยู่แทนที่ชายคนที่เธอโอบกอด แต่ถึงแม้ปราถนาแค่ไหนก็ไม่อาจทำใด้ นิโคไลท์นั่งพร่ำบอกตัวเองว่าไม่ควรไปหลงรักเธอ หรือว่าเธอไม่ควรไปรักคนอื่น เค้าควรเกิดช้ากว่านี้ ถ้าเกิดช้ากว่านี้คนที่อยู่ใกล้เธออาจจะเป็นเค้าก็ได้หรือเธอควรเกิดเร็วกว่านี้ เหตุผลมากมายประดังออกมาหากแต่เหตุผลเดียวที่เป็นความจริงซึ่งเค้าไม่อาจหักใจยอมรับได้คือเค้าไม่มีวันได้เธอมา ไม่มีวัน
ความหนาวประทังเข้ามาทำให้ร่างบางขยับเล็กน้อยซุกเข้าไป ให้ตัวเองอบอุ่นขึ้นกว่าเดิม นิโคไลท์ขยับตัวเองจากกองไฟด้านหน้าและเดินไปหยิบผ้ากำมะหยี่สีดำคลุมตัวสาวน้อยตรงหน้าด้วยแววตาที่อ่อนโยน สาวน้อยครางเล็กน้อยก่อนที่จะมีรอยยิ้มประกฎบนใบหน้า
“นิโคไลท์”โฟร์พูดขึ้นทำให้นิโคไลท์หันไปมองชายอีกคนที่ลุกขึ้นจากจุดที่เค้านอนอยู่
“เปลี่ยนเวรเหรอ”นิโคไลท์เปิดบทสนทนาด้วยคำถาม โฟร์ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อย
“แกก็รู้นี่นา”โฟร์เปิดคำถามขึ้นอีกครั้ง
“ใช่ ฉันรู้ ต่อให้ทำยังไงก็ไม่มีวันได้เธอมา” นิโคไลท์ทรุดตัวลงนั่งที่หน้ากองไฟอีกครั้ง
“แล้วแกยัง..”คำถามของโฟร์ยังไม่ทันจบเค้าก็ได้คำตอบ
“ฉันแค่ต้องการเฝ้ามองน่ะ แค่มองเท่านั้น”นิโคไลท์ตอบพร้อมทั้งโยนไม้เข้าไปในกองไฟอีกชุดนึง โฟร์ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
..........................................................................................................
หอคอยเทพ
“คืนนี้หนาวนะ”ชายในชุดนอนสีขาวที่นั่งอยู่ตรงระเบียงพูดขึ้น
“ก็หนาวเหมือนทุกวัน”เสียงห้วนของชายที่อยู่ในเงามืดพูดขึ้น
“ฮึๆๆ นึกอยู่แล้วว่าท่านต้องพูดอย่างนี้”ชายคนนั้นลุกขึ้นและเดินออกไปพิงระเบียงหันหน้าเข้าเผชิญหน้ากับชายในเงามืด
“เอาล่ะ ลูโด้ บอกเรื่องที่ข้าต้องการรู้มาได้แล้ว”ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเก็บอารมณ์
“หือ แล้วเรื่องอะไรล่ะ” เสียงของลูโด้ดูสนุกสนานที่ได้ยั่วโมโหชายตรงหน้า
“เจ้าอย่ามาทำเป็นถาม เจ้าก็รู้”ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเป็นเชิงต่อว่า เค้าค่อนข้างโกรธเล็กน้อย
“ข้ารู้ๆ ข้าลูโด้ ชายผู้มองเห็นความเป็นไปของมนุษย์ ความต้องการ ความโสมม และความตาย”ลูโด้ตอบด้วยเสียงหัวเราะ แต่ในเสียงนั้นแผงไปด้วยความเศร้า
นานแค่ไหนแล้วที่เห็นคนที่รักต้องตายแต่ไม่อาจทำอะไรได้ ไม่เพียงเท่านั้นคนที่ไม่รู้จักมากมายที่ตายไปต่อหน้าต่อตา ความทรงจำ อนาคต ของคนมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาในโสตประสาทของเค้าราวกับสายน้ำ สายน้ำที่ไม่มีวันหยุด สายน้ำที่เค้าไม่ต้องการจะเห็น
กี่ครั้งที่เค้าพยายามฆ่าตัวตาย แต่ราวกับพระเจ้าเล่นตลกต่อให้พยายามซักเท่าไหร่ตัวเองก็ไม่อาจจะดับลมหายใจของตนเองได้ ต่อให้กราบกรานกี่ครั้งเฝ้าขอเฝ้าภาวนาซักกี่ครั้ง ก็ไม่อาจได้ในสิ่งเดียวที่หวัง อิสรภาพ ที่ชายอย่างเค้าไม่มีทางได้
“ลูโด้”ชายคนนั้นพูดแต่น้ำเสียงเร่ง เรียกให้ลูโด้ตื่นจากพวัง
“หึ เอาล่ะ จอมราชันต์” ลูโด้เอ่ยชื่อของบุคคลที่ชายคนนั้นต้องการทราบ ลูโด้หลับตาลงเพื่อให้เห็นถึงสถานะ การของบุคคลที่เค้าต้องการ
.....................................................................................
ความคิดเห็น