คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : CHAPTER 13 : ผืนทราย สกอร์เปี้ยน ทรายดูด
ในปราสาทเอลฟ์
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณมิทอส”เสียงใสๆของโอเด็ท เรียกมิทอสที่กำลังเดินไปที่คอกม้า
“อะ!!.... ครับโอเด็ท มีอะไรเหรอ”มิทอสหันมาพูดกับโอเด็ทด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“คือว่า ฉันมีเรื่องอยากจะปรึกษาค่ะ และเรื่องนี้จะบอกใครไม่ได้ทั้งนั้นนะคะ”
“อืมมม.... ได้ครับ แล้วเรื่องอะไรเหรอ”
“ถ้าฉันจะสารภาพรักกับผู้ชายคนหนึ่ง ควรจะพูดว่าอะไรดีคะ”
“ว้า เอาไงดีเนี่ย ผมก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องพวกนี้ซักเท่าไหร่ซะด้วย”
“งั้นไม่เป็นไรหรอกค่ะ”โอเด็ทพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“แต่ถ้าเป็นดันเต้ผมก็พอจะรู้นะครับว่ามันจะตอบว่าอะไร”มิทอสหันมายิ้มให้กับโอเด็ทอย่างกวนๆ
“จริงเหรอคะ”โอเด็ทโพล่งขึ้นเสียงดัง หากแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองได้ยืนยันบุคคลที่เธอจะสารภาพรักไปแล้ว
“แหม เพื่อนเรานี่มันเสน่ห์เหลือร้ายจริงๆเลยนา”
“แหม คุณมิทอสล่ะก็”
“เอาเถอะครับ ผมคิดว่า มันน่าจะพูดว่า ผมแพ้เกสรดอกไม้คงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก”
“ไม่ตลกเลยนะคะ อย่าโกหกสิคะ”
“แน้ พอผมพูดจริงก็หาว่าโกหกซะงั้น”
“หรือไม่ก็ มันอาจจะบอกว่า”
“โอเด็ท ถ้าคุณสามาระทำร้ายผมได้แม้เพียงบาดแผลเดียวล่ะก็ผมจะยอมบอกความรู้สึกของผมกับคุณครับ”แน่นอนว่า มิทอสไม่เคยเดาการกระทำของเพื่อนสนิทไม่ออก
“คงจะประมาณนี้ล่ะมั้ง”มิทอสเกาหัวพร้อมเดินออกไป
‘ต้องทำให้ได้’ เสียงภายในใจของสองสาว ที่ดันเต้ไม่รู้เลยว่ามันได้ฮึกเฮิมขึ้นมาแล้วด้วยไฟแห่งความรัก ผู้หญิงน่ากลัวกว่าที่คิดไว้มากนักนะ ดันเต้
“ลาก่อนนะ”มิทอสหันมาโบกมือลาพวกชาวบ้านโดยที่มีโอเด็ทและโซฟียอยู่ด้านหน้า หล่อนโบกมือลาด้วยรอยยิ้ม โดยที่ดันเต้หารู้ไม่ว่ามันได้นำเอาหัวใจของพวกหล่อนติดกลับมาด้วย
“ดันเต้ ทำไมแกไม่รับรักหล่อนล่ะ”อองรีถามขึ้น ทำให้ทุกคนหันมาสนใจการสนทนาทันที
“อ้าวๆ พวกแกรู้ด้วยเหรอเนี่ย”ดันเต้พูดพร้อมผงะออก
“ไอ้บ้าเราเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้ว แล้วก็มีผู้หญิงพวกนี้เป็นพวกแรกที่ไม่เสร็จแก”มิทอสพูดได้โดนใจอองรีเป็นที่สุด เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
“ฮะๆๆ ปิดแกไม่มิดเลยแฮะ”ดันเต้พูดอย่างขำขัน พร้อมทั้งวางศอกลงบนหน้าต่างเกวียน เพ่งมองออกไปด้านนอกที่ซึ่งเป็นทุ่งดอกไม้เขียวชะอุ่ม
“ฉันก็เหมือนนก ความรักก็เหมือนกรง ฉันไม่อยากอยู่ในกรง”
“คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วล่ะที่ฉันได้พบกับหล่อน”ดันเต้พูดแต่สายตายังเหม่อมองไปยังนกที่บินอยู่บนท้องฟ้า คำพูดของดันเต้ทำให้ทุกถึงกับเงียบไปตลอดทาง
.............................................................................................
หอคอยเทพ
“ไม่ใช่หรอกดันเต้เอ๋ย ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายหรอก”ชายที่อยู่บนหอคอยเทพสูงเสียดฟ้าพูดขึ้น พรางหยิบชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย มองกลุ่มนกสีขาวบริสุทธิ์ที่โบกโบยบินไปในทิศทางที่เรียกว่าบ้าน
....................................................................................
“นี่อองรี แล้วแกล่ะเป็นนกหรือเปล่า”มิทอสพูดกับชายหนุ่ม เพราะตอนนี้เค้าอยู่ด้วยกันสองคนเท่านั้นเนื่องจากพักกลางทางให้ม้าดื่มน้ำ ส่วนคนอื่นไปสำรองน้ำเก็บเอาไว้
“ฉันอาจจะเป็นนกก็ได้ ถ้าฉันไม่ได้เจอแก ฉันก็เป็นคงเป็นนกปีกหัก แต่ยังดีที่ได้แกเป็นหลัก ให้จึงกล้าบินขึ้นอีกครั้ง”อองรีตอบอย่างเย็นชาแต่คำตอบของเค้ากับทำให้คนถามอายหน้าแดงม้วนหน้าแดงไปนาน
“ฉันไม่มีวันไปจากแกหรอก ไม่ต้องห่วง”อองรีหันมาพูดกับมิทอสด้วยรอยยิ้ม มิทอสเมื่อได้ยินดังนั้นจึงเดินยิ้มหน้าบานออกไปทันที
“แต่แกต่างหากล่ะ ที่ฉันกลัว”อองรีพูดด้วยแววตาเศร้าๆ เมื่อนึกว่าจะต้องเสียงมิทอสไป
“ต่อจากนี้ไม่น่าจะยากแล้วล่ะมั้ง”ดันเต้พูดขึ้นเมื่อเห็นเส้นทางที่เหลือ เพราะมันเหลือไม่มากแล้ว
“ไม่ใช่ จากนี้ตะหากของจริง”นิโคไลท์พูดขึ้นพร้อมชี้ไปบนแผนที่ เมืองไร้จันทร์
“เมืองนี้เป็นเมืองที่ร้อนที่สุด เพราะไม่มีกลางคืน แล้วเรายังต้องแวะที่เมืองนี้เพื่อเตรียมพาหนะใหม่”โฟร์พูดขึ้นบ้าง
“อือ.... ดี พวกเราไปกันเหอะ”ดันเต้พูดขึ้นพร้อมเดินขึ้นไปบนเกวียน มุ่งหน้าสู่เมืองหน้าด่านกั้นดินแดนทะเลทราย
“ร้อนจัง”คำพูดแรกของดันเต้เมื่อเข้ามาเหยียมเมืองนี้ แต่มันก็ดีอยู่อย่างนึงคือมองไปทางไหนก็มีแต่สาวๆนุ่งน้อยห่มน้อยเต็มไปหมด
โครงสร้างของเมืองส่วนใหญ่สร้างด้วยหินแดง แต่บางจุดก็สร้างด้วยหินที่กันความร้อนได้สูง แต่ที่เมืองนี้หินพวกนี้มีราคาแพงมาก ถ้าไม่ใช่เศรษฐี ก็สุลต่านที่จะสามารถมีเงินพอที่จะซื้อได้
“เอาไงต่อดี”มิทอสหยุดเดิน พรางหันมามองเพื่อนๆ
“เดี๋ยวฉันจะไปหาพาหนะเอง พวกนายรออยู่แถวนี้นะ ไปกันเถอะโฟร์”นิโคไลท์พูด ก่อนจะผละเดินจากไปทันที
“ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ”มิทอสหันไปพูดกับเพื่อนสนิททั้งสองของมัน พวกเค้าไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่เดินตามมิทอสเข้าไปในร้านอาหาร
“โอโฮแฮะ น่าเสียดายที่ไม่ได้ค้างคืนที่นี่”ดันเต้พูดพร้อมหันไปมองรอบๆร้าน ซึ่งมีสาวๆสวยๆ หน้าตาคมๆอยู่มาก ซึ่งมิทอสก็รู้จักเพื่อนตนนี้ดี เลยไม่ได้พูดอะไร
“อืม มีอะไรกินบ้างเนื่ย”มิทอสนั่งลง พลางรีบหยิบเมนูขึ้นมาเพ่งดู”เมนูของที่นี่ ถึงกับทำให้มิทอสหน้าซีดเป็นไก่ต้ม รู้สึกพะอืดพะอมอย่างบอกไม่ถูก
“อืม เยี่ยม อีแร้งย่างไฟ ไฮยีน่าทรายอบเกลือ ฉันกินไม่เป็นเลยซักอย่าง”มิทอสยื่นเมนูให้กับข้างกายอย่างรวดเร็วทันที
“งั้นอาเป็นอันนี้แล้วกัน คงพอจะกินได้”อองรีชี้ไปที่เมนูบริการสาวพยักหน้าเล็กน้อยและเดินออกไป ซักพักเธอกลับมาพร้อมจานที่ใส่เนื้อ ดูไม่ออกว่าเป็นเนื้ออะไร
มิทอสไม่รอช้าตักเข้าปากทันที เพราะมันเชื่อว่าอองรีคงไม่สั่งพิษให้มันกินแน่นอน หลังจากที่ทั้งสามกินอาหารไปหมดแล้ว
“แต่จะว่าไป เนื้อนี่ก็อร่อยดีนะ เนื้ออะไรเหรอ”ดันเต้หันมาถามอองรี เพราะตอนที่อองรีกับมิทอสคุยกันเรื่องเมนู มันมัวแต่หันไปมองบริการสาวก้นใหญ่
“ไม่รู้สิ”มิทอสตอบพร้อมชี้ไปที่อองรี
“อันดรอย”อองรีตอบอย่างเย็นๆ
“อื้อ เนื้ออันดรอย”มิทอสหันไปยืนยันคำตอบกับดันเต้
“หา!! เนื้ออันดรอย ฉันจะอ้วก”มิทอสหันไปทำหน้าพะอืดพะอมกับดันเต้
“แต่มันก็อร่อยดีนะ”ดันเต้หันมาพูดกับมิทอส พร้อมทั้งอมยิ้ม
“ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันจะไปอ้วก”มิทอสพูดพร้อมรีบวิ่งออกไปทันที
“อองรี แกคงไม่ได้เอาเนื้ออันดรอยให้ฉันกินหรอกนะ”ดันเต้หันมาถามอองรี
“จริง”
“หา!!”
“ฉันล้อเล่นน่า”อองรีตอบพร้อมทั้งอมยิ้ม
“ฉันว่าแล้ว แกเองก็คงไม่กินเนื้ออันดรอยหรอก”ดันเต้พูดอย่างขำขันเมื่อมองมิทอสที่เดินหน้าซีดเข้ามา แปลว่ามันคงอ้วกออกมาหมดแหงเลย พร้อมทั้งนั่งลงบนเก้าอี้และฟุบลงไปด้วยความเหนื่อย
“มิทอส”เสียงของพี่นิโคไลท์ที่เดินมาขยี้หัวเจ้าตัวดีที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ
“พี่นิโคไลท์ อย่าพูดกับผมเลย เวลาผมพูดแล้วผมอยากจะอ้วก”มิทอสพูดแต่ยังคงเอาหน้าฟุบกับโต๊ะอยู่
“แล้วพี่ได้อะไรมาบ้าง”อองรีเงยหน้าขึ้นมาพูดกับนิโคไลท์
“ฉันได้สกอปี้ยนเป็นพาหนะ ส่วนโฟร์ฉันให้มันไปหาข่าว วิธีการออกจากเมืองน่ะ”นิโคไลท์พูดพร้อมจิ้มเอาเนื้อที่อยู่บนโต๊ะเข้าปาก
“อร่อยดีนี่ เนื้ออะไรเหรอ”นิโคไลท์พูด พร้อมทั้งเจ้าตัวดีที่รีบวิ่งออกไป มันคงไปอ้วกอีกรอบ
“เป็นอะไรไปน่ะ”นิโคไลท์พูดพร้อมมองตามมิทอสออกไป
“นี่มันเนื้อไฮยีน่าไม่ใช่เหรอ”นิโคไลท์พูด พร้อมมองไปที่เนื้อ
“ไม่มีอะไรหรอกครับ อ้าวนั่นพี่โฟร์กลับมาแล้ว”ดันเต้รับพูดเพื่อเปลี่ยนเรื่อง พอดีกับที่มิทอสกลับมานั่งหน้าฟุบโต๊ะเหมือนเดิม
“เฮ้ย”เสียงเจ้าตัวดีที่เงยหน้าขึ้นมาพูด ทำให้สายตาของเพื่อนๆหันมาจับจ้องมันแทน
“นึกออกแล้ว”
“อะไรเหรอ”ดันเต้ดูกระตือรือร้นกับคำพูดของมิทอส
“ราชินีโอเด็ท ชื่อเหมือนกับโอเด็ทลูกสาวก็อดแฮนเลย”มิทอสพูดด้วยเสียงใส
“แค่นี้”อองรีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา มองมิทอสด้วยแววตาเดียวกับน้ำเสียง เด็กหนุ่มเมื่อเห็นดังนั้นก็นั่งก้มหน้าสำนึกผิด
“แล้วพี่โฟร์ได้อะไรมามาบ้างล่ะ”ดันเต้รีบเปิดบทสนทนาทันที ก่อนที่อะไรมันจะเลวร้ายไปกว่านี้
“เออ ลืมไปเลย คืออย่างนี้ ถ้าจะผ่านที่นี่น่ะ จะต้องไปประทับตราขอใบอนุญาติเดินทางกับเจ้าเมืองของที่นี่ก่อน”พี่โฟร์พูดพร้อมชี้ไปที่ปราสาทข้างหน้า
“อืม งั้นจะรออะไรอีก ไปกันเถอะ”นิโคไลท์พูด พร้อมนำทุกคนออกไปก่อน
“ไปได้แล้วมิทอส”อองรีหันมาพูดกับมิทอสซึ่งตอนนี้มันหน้าซีดน้อยลง แต่ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นเดินเลย
“เฮ้อ”เสียงถอนหายใจของอองรี พรางคิดในใจว่าถ้าตอนนี้เป็นผู้หญิงนะเค้าคงช่วยอุ้มมันไปแล้ว อองรีจึงต้องช่วยพยุงมิทอสให้ลุกขึ้นและเดินออกไป
“เฮ้ย!!”เสียงดันเต้อุทาน เนื่องจากเกวียนของพวกเค้าหายไปแล้ว
“เกวียงหายไปได้ไงวะ”ดันเต้โกนเสียงดัง พร้อมหันไปหาเพื่อนๆ
“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงในเกวียนก็ไม่ค่อยมีอะไรอยู่แล้วนี่นา”อองรีพูดด้วยน้ำเสียงปกติ
“แต่ดาบผ่ามิติอยู่ในเกวียนนะ”ดันเต้พูดด้วยน้ำเสียงเสียดายสุดๆ
“งั้นก็คงไม่ได้คืนแล้วล่ะ”นิโคไลท์พูดพร้อมเอามือตบไหล่ดันเต้เป็นเชิงปลอบ
“ช่ายๆๆ เพราะสำหรับที่นี่เค้าไม่ให้ฟ้องร้องกันหรอกเรื่องของหายอ่ะ”มิทอสพูดเพราะมันก็ศึกษาเรื่องนี้มาดีพอสมควร
เนื่องด้วยเหตุนั้นทำให้ดันเต้ต้องยินยอมตัดใจและเดินคอตกตามเพื่อนไป
“มาทำอะไรที่นี่”เสียงของคนประทับตราผ่านด่านพูดขึ้น แต่ยังก้มหน้าอ่านหนังสือเดินทางของทุกคนอยู่
“มาเยื่ยมเพื่อน”นิโคไลท์พูดตามที่ได้เตี้ยมกันเอาไว้
“เป็นเพื่อนกันเหรอ”
“ใช่”นิโคไลท์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“อนุญาติให้ผ่านได้”เสียงประทับตราบนนั้งสือเดินทางของทุกคนดังขึ้น ซึ่งแสดงว่าพวกเค้าสามารถเดินทางที่นี่ได้ทุกที่แล้ว
“ไม่ยักกะเข้มงวดอย่างที่คิดไว้แฮะ”มิทอสพูดเมื่อเดินออกมาจากที่ทำการแล้ว
“ก็เพราะที่นี่น่ะไม่ค่อยมีใครอยากมานักหรอก”อองรีพูดพร้อมทั้งเก็บหนังสือเดินทางเข้าไปในกระเป๋า
“พี่นิโคไลท์แล้วไหนล่ะพาหนะของพวกเรา”มิทอสพูดพร้อมทั้งหันไปมองรอบๆ
“นั่นไง”นิโคไลท์พูดพร้อมชี้ไปที่แมงป่องยักษ์สีดำ
“ไม่ต้องห่วงหรอกมันไม่มีพิษ”นิโคไลท์พูดเมื่อเห็นหน้าซีดๆของมิทอส
นิโคไลท์เดินขึ้นไปบนตัวของสกอร์เปี้ยนเป็นคนแรก และยื่นมือออกมาให้มิทอส แต่อองรีอุ้มมิทอสขึ้นมานั่งบนสกอร์เปี้ยนก่อนที่ เด็กหนุ่มจะยื่นมือไปรับไมตรีของนิโคไลท์ เจ้าของมือที่น่าแตกเมื่อเห็นดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ชักมือกลับ ส่วนดันเต้ก็พยายามกลั้นหัวเราะอยู่พรางคิดในใจว่า ได้เพื่อนเราคนนี้มันเสน่ห์แรงจริงๆเลแฮะ
“คุณสมบัติของสกอร์เปี้ยนคือ มันสามารถมองเห็นทรายดูดได้ เพราะอย่างนั้นเราไม่ต้องกลัวเรื่องทรายดูด แต่ที่ต้องกลัวคือสภาพอากาศภายนอก เพราะเวลากลางวัลจะร้อนแทบคลั่ง แต่เวลากลางคืนก็จะหนาวจับใจด้วย มีคำถามมั้ย”นิโคไลท์หันมาถามทุกคน ซึ่งทุกคนไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่สบัดหน้าไปมา
“ดี งั้นก็เดินทางกันเลย”นิโคไลท์พูด พร้อมดึงบังเหียนเพื่อบังคับให้สกอร์เปี้ยนเดินออกจากเมือง
การเดินทางเป็นไปด้วยความราบรื่นเพราะพวกเค้าไม่ต้องมาคอยกังวลในเรื่องทรายดูด แต่ดูเหมือนอองรีจะกังวลบางเรื่องอยู่เล็กน้อย
“เป็นอะไรไปวะอองรี”มิทอสหันมาถามอองรีที่ทำหน้าตาคิดหนักอยู่
“นี่มันฤดูใบไม้ผลิ”อองรีตอบ แต่มันดูไม่ค่อยเหมือนคำตอบซักเท่าไหร่ เหมือนกำลังพึมพำกับตัวเองซะมากกว่า
“เออ แล้วไง”มิทอสพูดพร้อมหันไปมองไอ้คนตอบไม่ได้ศัพน์
ยังไม่ทันที่ไอ้ตัวดีจะได้คำตอบอยู่ๆก็เกิดการเปลี่ยนแปลงกับสกอร์เปี้ยนที่พวกเค้านั้งมา เพราะมันไม่ไปตามทางที่พวกเค้าต้องการ มันกลับเดินไปทางตรงกันข้าม
“นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย”มิทอสพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ เมื่อมองไปที่คนขับก็พบว่านิโคไลท์พยายามอย่างมากในการบังคับสกอร์เปี้ยนแต่ดูเหมือนว่าไม่เป็นผล “อองรี”มิทอสรีบหันไปหาอองรีเพราะคิดว่ายังไงมันก็คงรู้คำตอบแน่ๆ
“อะไรนะ”มิทอสพูดด้วยน้ำเสียงถาม เพื่อต้องการคำยืนยันของผู้ให้คำตอบ ผู้ตอบไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้ายืนยันในคำตอบ
“แกจะบ้าเหรอไง”มิทอสหันไปพูดกับอองรีด้วยน้ำเสียง งงๆ “แกจะบอกว่านี่เป็นฤดูผสมพันธ์ และได้สกอร์เปี้ยนยักษ์ตัวนี้กำลังเดินทางไปผสมพันธุ์เนี่ยนะ”ถึงคำตอบจะดูบ้าๆ แต่ก็คงคิดได้แค่นั้นจริงๆ
เป็นอย่างที่พูด เมื่อพาหนะของพวกเค้าไปจอดอยู่ตรงหน้าสกอร์เปี้ยนสาวสวย นิโคไลท์เห็นท่าไม่ค่อยดีจึงสั่งให้ทุกคนรีบกระโดดออกจาก หลังสกอร์เปี้ยนทันที
“พี่มันทำอะไรกันอยู่น่ะ”มิทอสหันไปถามนิโคไลท์แต่สายตายังมองไปที่สกอร์เปี้ยนทั้งสองตัวที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ ยังไม่ทันที่มิทอสจะได้คำตอบอยู่ดีๆสกอร์เปี้ยนตัวผู้ก็เริ่มขยับ มิทอสมองด้วยอาการตกใจในการกระทำของสกอร์เปี้ยนหนุ่ม
“มันทำอะไรน่ะพี่”มิทอสหันมาถามนิโคไลท์อีกครั้ง แต่ความเงียบคือคำตอบ ซึ่งหมายความว่าเค้าก็ไม่รู้
“มันกำลังเต้นรำ”พี่โฟร์พูดพร้อมมองไปที่สกอร์เปี้ยนตัวผู้ ซึ่งตอนนี้มันทำท่าทางเหมือนเต้นรำจริงๆ โดยการขยับไปทางซ้ายที่ขวาที
“ถ้าตัวเมียไม่ตอบรับ ต่อจากนี้พวกมันจะต่อสู้กัน”พี่โฟร์อธิบายต่อ
เป็นจริงอย่างที่พูด เนื่องจากตกลงกันไม่ได้ ตัวผู้เลยเริ่มเอามือของมันเข้าประทะกับตัวเมีย เนื่องจากแรงประทะที่พวกเค้าไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ทำให้มิทอสกระเด็นลอยไป แต่ก็ไม่ไกลนัก
“อูย”เสียงครางของมิทอส พร้อมทั้งพยายามยืนขึ้น แต่ไม่สำเหร็จเพราะพื้นด้านล่างพยายามดึงตัวเค้าลงไป “ทรายดูด”มิทอสตะโกนออกมาอย่างขวัญเสีย มือใหญ่ๆของอองรีคว้ามือของมิทอสไว้ได้ทัน แต่แรงของอองรีไม่อาจต้านแรงดึงของทรายดูดไว้ได้ ถึงแม้ว่าพวกเพื่อนๆของเค้าจะพยายามดึงทั้งคู่เอาไว้แต่ก็ทำให้พวกเค้าทั้งหมดจมลงหายไปในทราย
ความคิดเห็น