ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Holy สงครามแห่งแผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #12 : CHAPTER 12 : แอนดรอย

    • อัปเดตล่าสุด 26 มี.ค. 50


            “เฮ้ออออเสียงถอนหายใจของราชินีโอเด็ทที่นั่งอยู่ริมน้ำ แสงจันทร์ที่กระทบกับแม่น้ำทำให้เรือนผมของเธอเป็นประกาย ปรายเท้าเรียวเล็กสัมผัสเหนือน้ำจนเกิดเป็นวงกว้างจนเกิดคลื่นกับเงาจันทรา ทำให้หล่อนดูสวยและเย้ายวนกว่าเดิมมาก ไม่ว่าใครก็ตามที่มาเห็นยังไงก็ต้องหลงเสน่ห์แน่นอน แต่ไม่ใช่กับชายนัยตาสีดำสนิทคนนั้น ที่กำลังเดินผ่านโอเด็ทไปอย่างกับว่าไม่มีหล่อนอยู่ตรงนั้น

            “เดี๋ยวก่อนค่ะคุณดันเต้โอเด็ทที่เห็นดันเต้เดินผ่าน จากเงาที่สะท้อนอยู่ในน้ำเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งตกใจ

            “ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับเธอคำตอบตัดเยื่อใยที่แทบจะไม่เคยได้ยินเลยจากปากของชายที่ชื่อดันเต้พูดขึ้น

            “ทำไมล่ะคะโอเด็ทหันมาถามดันเต้ ด้วยแววตาเศร้าๆ

            “ก็เพราะว่าฉันไม่ชอบเธอน่ะสิเค้าตัดบทสั้นๆก่อนทำท่าจะเดินออกไป

            “เดี๋ยวก่อนค่ะโอเด็ทวิ่งตามดันเต้ออกมา เพราะเธอยังไม่เข้าใจอยู่ดี

            ดันเต้เหลือบสายตามองมือเรียวเล็กที่กุมแขนเสื้อเค้าเอาไว้อย่างเบื่อหน่อย ก่อนจะเอ่ยคำพูดเฉือนเฉือนด้วยดวงตาสีรัตติกาลอันสงบนิ่ง

            “ฉันเกลียดท่าทางของเธอ ถึงเธอจะเป็นผู้หญิง แต่เธอก็เป็นเจ้าหญิง การที่เจ้าหญิงร้องไห้โอดครวนในเรื่องของตัวเองโดยที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลย เธอคงลืมไปว่าเธอเป็นราชินีเธอไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา จะมานั่งงอมืองอเท้า รอคอยให้เทพบุตรมาช่วยเหรอไง ที่ฉันยอมช่วยเธอก็เพราะคารินมันอยากช่วย แต่เธออย่าหวังว่าพวกเราจะอยู่ช่วยเธอตลอดไป เพราะไม่นานเหตุการณ์อย่างนี้ก็ต้องเกิดขึ้นอีก.... เว๊ยยย อยู่กับพวกเธอแล้วมันหงุดหงิดจริงๆเลยดันเต้เดินออกไปอย่างหงุดหงิด แต่โอเด็ทรู้ดีถึงแม้ว่าดันเต้จะพูดจารุนแรงแต่ก็ เพราะต้องการให้เธอต่อสู้เพื่อทำหน้าที่ของเธอ

            เคร้ง

            เสียงดาบกระทบกับหินดังไปทั่ว อาจเป็นเพราะความเงียบก็ได้จึงทำให้เสียงของดาบดูก้องกังวาลไปทั่ว แสงจันทร์ที่กระทบดาบทำให้ทุกจุดที่ดาบฟันลงไปเกิดประกายไฟสีฟ้าหรืออาจจะเป็นเพราะความแข็งแกร่งของคนที่ฟันมันก็เป็นได้ ร่างบางที่ตอนนี้ไม่ได้ใส่ชุดเกราะอยู่ ที่ร่ายรำดาบอย่างอ่อนช้อยบนแท่นที่มีก้อนหินเป็นเป้าโจมตี ถึงแม้ค่ำคืนจะมืดเพียงใด แต่ไหวพริบของนางยังคงดีอยู่ นางหันดาบไปทางบุคคลที่ไม่ได้รับเชิญที่ยืนดูการร่ายรำอยู่นาน

            “ใครเสียงที่ดุดันของโซเฟียพูดพร้อมหันหน้าไปทางดาบที่เธอชี้ไป ชายที่อยู่ไต้เงามืด เมื่อเห็นว่าเจ้าหล่อนรู้ตัวแล้วจึงเดินออกมาจากเงามืด เผยให้เห็นนัยตาสีดำขลับที่ดูไม่แปลกใจอะไรเลย

            “คุณดันเต้เองเหรอคะโซเฟียลดดาบลงพร้อมทั้งพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง แต่ไม่ทันที่เธอจะพูดอะไรดันเต้ก็วิ่งเข้าไปล็อกคอจากทางด้านหลัง และเอามือขวาจับมือโซเฟียที่ถือดาบเอาไว้

            “ดันเต้นี่ท่านทำอะไรโซเฟียถามด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว เพราะเธอจัดว่าอยู่ในกลุ่มของยอดฝีมือ แต่กลับจับทิศทางของดันเต้ไม่ได้เลย

            “ตอนนี้เธอตายแล้วดันเต้กระสิบข้างหูของโซเฟีย

            “การหันหลังให้คนที่เธอเจอเป็นครั้งที่สองโดยที่ยังไม่เคยคุยกัน เป็นเรื่องที่ไม่สมควรเลยนะ เธอไม่แปลกใจเหรอว่าทำไมฉันถึงไม่แสดงตัวออกมาทันที อาจจะเป็นเพราะว่าฉันไม่ใช่ดันเต้ก็ได้ ฉันอาจจะเป็นคนอื่นที่ปลอมตัวมาเพื่อฆ่าราชินีก็ได้ดันเต้คลายมือออกจากคอของโซเฟีย โซเฟียเมื่อเห็นดันเต้คลายมือออกจึงรีบชักดาบขึ้นจ่อที่ตัวดันเต้

            ดันเต้ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่นั่งบนเสาหินนั้นพลางหลับตาลงเหมือนนึกอะไรบางอย่างอยู่

            “หลังจากนั้นราชินีก็ตาย ซักสามวันเผ่าพันธุ์เอลฟ์ก็จะถูกล้างเผ่าพันธุ์ นี่คือเรื่องที่จะเกิดหลังจากเธอตายดันเต้พูดโดยที่ยังหลับตา แต่ชี้ไปยังโซเฟีย ซึ่งตอนนี้ใบหน้าของหญิงสาวผู้รับฟังขาวซีดจนดูน่ากลัว

            “เข้าใจรึยัง เธอเพียงคนเดียว ปกป้องทุกคนไม่ได้หรอก การจะรักษาประเทศต้องมีกำลังคน และราชินีที่เข้มแข็ม หน้าที่ขององค์รักษ์ก็คือปกป้องร่างกายไม่ใช่ปกป้องจิตใจ ถ้าเธอทำอย่างนั้นราชินีก็จะยังเป็นเด็กอยู่เรื่อยไป และเหตุการณ์ที่ฉันพูดไปเมื่อกี้มันก็จะเกิดขึ้นไม่วันนี้ ก็พรุ่งนี้.... เหนื่อยจริงๆเล้ย มีแต่พวกที่ทำให้หงุดหงิดดันเต้ลุกขึ้นพร้อมทั้งดันดาบของโซเฟียออกไปและเดินออกไปอย่างไม่สนใจ ทิ้งคำพูดให้หญิงสาวข้างหลังให้คิดเอาเอง

     

    ……………………………………………..

            “โอ้ โย่ ดันเต้เสียงของคารินเรียกดันเต้ ที่เดินเข้ามาในห้อง ทำให้เค้าทำหน้างงๆ เนื่องจากว่าคารินต้องไปนอนอีกห้องนึงไม่ใช่เหรอ

            “ฉันจะมานอนที่นี่ เพราะว่าฉันเป็นห่วงแกอ่ะสิคารินรีบพูดก่อนที่ดันเต้จะถาม

            “แล้วอองรีมันรู้รึยังดันเต้พูดพร้อมเดินไปนั่งบนเตียง

            “ไม่เป็นไรหรอก แกก็รู้ไม่ใช่เหรอเวลาอยู่ในร่างนี้ มันมักจะใจดีเป็นพิเศษคารินตอบอย่างท้องไม่รู้ร้อน

            “จริงเหรออองรีดันเต้หันไปถามอองรีที่เดินออกมาจากห้องน้ำ

            “อืม ช่างมันเหอะอองรีตอบอย่างเบื่อหน่ายและเดินมานอนบนเตียง ดันเต้สังเกตได้ว่าตรงคอของอองรีมีรอยนิ้วมือสงสัยคงโดนคารินข่มขู่ล่ะมั้ง

            “ฉันรู้นะว่าแกเป็นอะไรคารินรีบเปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงกวนๆ

            “หือ รู้อะไรดันเต้ที่กำลังจะเดินเข้าห้องน้ำชะงักลงทันทีที่เจ้าตัวดีพูดจบ

            “อย่ามาไขสือหน่อยเลย ไอ้อองรีมันยังรู้เลยคารินพูดพร้อมหันไปชี้ที่อองรี ดันเต้เมื่อได้ยินดังนั้นจึงหันไปตามนิ้วที่ชี้ไปของคาริน มองคนตรงหน้าราวกับต้องการคำตอบ

            อองรียิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแกอิจฉาคำพูดสั้นๆที่จี้ใจดำไอ้คนเจ้าชู้ได้ฉงัดนัก

            “ช่ายๆๆคารินรีบตอบเพื่อยืนยัน

            “ไหนลองพูดมาสิว่าฉันดูเหมือนอิจฉาตรงไหนดันเต้หันมายิ้มให้เพื่อนทั้งสองของมันอย่างกวนๆ

            “ก็แกน่ะ มีพ่อ ก็เหมือนไม่มี ต้องระหกระเหเร่ร่อนออกมาข้างนอก ไม่มีใครคอยปกป้องแกก็เลยอิจฉาปนหมั่นใส้คนที่มีคนปกป้องแต่ก็ยังทำตัวงี่เง่าใช่มั้ยล่ะคารินตอบได้ตรงเผง อาจเพราะว่ามันเป็นเพื่อนกันมานาน

            ปุบ

            เสียงหมอนที่กระทบกับหน้าของคนรู้ดีทั้งสองที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เลยทำให้เกิดสงครามปาหมอนเล็กๆเกิดขึ้น พร้อมกับเสียงหัวเราะ ซึ่งจบลงโดยที่พวกเค้าทั้งสามนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเตียงเดียวกันเหมือนเช่นอดีตที่เคยทำ

            ........................................................................................................

            “เอาล่ะ จากที่เราวางแผนกันมา ตกลงกันได้ว่า ฉันจะปลอมตัวเป็นเจ้าหญิงเองนะคารินรีบบอกแผนการให้ราชินีฟัง แต่ราชินีแค่ส่ายหน้าเล็กน้อย

            “ไม่ค่ะ ฉันจะไปด้วยโอเด็ทพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

            “หา!!คารินตอบอย่างตกใจ

            “นี่เป็นเรื่องของฉัน ฉันต้องจัดการด้วยตัวเอง

            “อืม เอาไงอ่ะคารินเมื่อเห็นว่าแผนเปลี่ยน จึงหันไปถามเพื่อนๆเพื่อขอคำปรึกษา

            “ฉันว่าก็ดีนะ อย่างน้อยพวกมันจะได้ไม่สงสัยพี่นิโคไลท์พูดขึ้นซึ่งดูเหมือนทุกคนก็เห็นด้วย

            “ฉันก็จะไปด้วยโซเฟียที่ยืนอยู่ข้างหลังของพวกเค้าพูดขึ้น

            “อืม ก็เป็นธรรมดาล่ะนะ ราชินีไปองค์รักษ์ก็ต้องไปโฟร์พูดขึ้น

            “มีคนติดตามได้แค่สี่คนสินะอองรีพูดขึ้นอีกครั้งอืม พอดีเลย คารินไม่ต้องไป

            “เฮ้ยๆๆ ได้ไงวะคารินสบทอย่างไม่สมหญิงหันไปพูดกับอองรี

            “ก็ในเมื่อเจ้าหญิงไปเอง แกก็หมดประโยชน์ ไม่ต้องไปอยู่ที่นี่กับพี่โฟร์อองรีหันมาพูดกับคารินด้วยสายตาดุๆเป็นเชิงปราม แต่ก็ถึงกับทำให้เจ้าตัวดียอมแพ้ เพราะถึงมันไปก็คงช่วยอะไรไม่ได้

            “ก็ได้วะคารินพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย

            หลังจากวางแผนกันเรียบร้อยแล้วพวกเค้าก็แยกย้ายกันออกไปเตรียมตัวเพื่อเดินทางในทันที พวกของอองรีใส่ชุดเกราะไว้ด้านใน และเอาผ้าคลุมเอาไว้ส่วนเรื่องดาบก็เก็บไว้ที่มือ พี่โฟร์ทำยารักษามาให้พวกเค้าหลายขวดพกติดตัวไว้

            “พวกแกระวังตัวด้วยน๊าเสียงของเจ้าตัวดีที่กอดเสาหน้าปากทางเข้า พร้อมโบกมือลาเพื่อนๆ และหยิบเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา แต่ดูมันเสียดายที่ไม่ได้ไปด้วย มากกว่าเป็นห่วง แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะให้แก่เพื่อนๆได้ไม่น้อย ซึ่งคงเป็นครั้งแรกโอเด็ทและโซเฟียได้เห็นรอยยิ้มของดันเต้

            “ไม่ต้องกลัวนะนิโคไลท์พูดเมื่อเห็นเจ้าหญิงเงียบไป โอเด็ทไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ส่งยิ้มให้เล็กน้อย ส่วนดันเต้ก็ยังคงนิ่งเฉยเหมือนเดิม อองรีคงไม่ต้องพูดถึง เพราะเค้าก็เป็นคนเงียบอยู่แล้ว จะมีคุย ก็คุยเรื่องเส้นทางนิดหน่อยเท่านั้นเอง

            ปราการที่พวกเค้าเดินเข้ามา คือปราการหนาสูงที่สร้างไว้เพื่อทำสงครามโดยเฉพาะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโอเด็ทจึงบอกพวกเค้าว่าห้ามบุกมาตรงๆ ต้องใช้อุบาย เพราะพวกเค้าคงไม่มีทางผ่านป้อมปราการนี้เข้าไปได้แน่นอน สองข้างทางที่พวกเค้าเดินเข้ามาเต็มไปด้วยพวกอันดรอย ที่มีหน้าตาอัปลักษ์แตกต่างกันออกไป บางคนก็มีหน้าตาเหมือนหนูแต่มีฟันแหลมคมยื่นออกมา บางคนร่างกายก็มีลักษณะเป็นเหมือกๆดูแล้วน่าเกลียด พวกมันมองมาที่พวกโอเด็ทอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่คุณเธอก็ดูควบคุมอารมณ์ได้ดีเพราะไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลย

            “อองรี แกว่าพวกมันจะกินเนื้อคนมั้ยดันเต้หันไปมาถามเพื่อนสนิทที่เดินอยู่ข้างกาย


            “พวกมันคงกินเนื้อดิบๆอองรีตอบด้วยใบหน้าเย็นชา แต่เค้าไม่ได้ปฎิเสธ

            ในปราสาทของพวกอันดรอยก็ไม่ได้แตกต่างจากภายนอกซักเท่าไหร่ แต่สองข้างทางประดับไปด้วยรูปวาดของพวกอันดรอยกำลังแยกชิ้นส่วนของมนุษย์ หรือไม่ก็กำลังขึ้นครองอำนาจเหนือเทพ บ่งบอกให้เห็นรสนิยมแย่ๆของเจ้าของปราสาท

            “ตามข้ามาชายที่หน้าตาเหมือนกระต่าย เพียงแต่ว่าตาของเค้ามาอยู่ข้างๆปากเท่านั้น โอเด็ทและทุกคนเดินตามชายคนนั้นเข้าไปยังห้องโถงที่มีบันลังค์อยู่ด้านบน

            “รอที่นี่ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงตะคอก

            พื้นนี่ดูแปลกๆ ความคิดแรกของอองรีเมื่อมองไปรอบๆพื้นที่พวกเค้ายืนอยู่ เพราะมันเป็นร่องๆสี่เหลี่ยมอยู่รอบตัวพวกเค้า เหมือนกับ

            “กับดัก!!…อันตราย!!”อองรีตะโกนเรียกทุกคน แต่ไม่ทันเสียแล้วพื้นด่านล่างอ้าออกทำให้ทุกคนยกเว้นโอเด็ทตกลงไป

            “ทุกคนเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน คือเสียงของโอเด็ทที่ดูจะไกลออกไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งทุกอย่างก็เงียบลง และมืดลง

    .....................................................................................

            เมืองเอลฟ์

            "คารินไม่ห่วงพวกอองรีเลยเหรอ"โฟร์หันมาถามคาริน เพราะว่าตอนนี้เธอกำลังเล่นปิดตาซ่อนหากับพวกเด็กๆ โดยที่ไม่มีท่าทีเป็นห่วงเลย

            "หือ ห่วงเหรอ อืม"คารินถอดผ้าปิดตาออกและเดินมานั่งข้างๆโฟร์

            "เพราะเชื่อว่าอองรี และดันเต้เค้าดูแลตัวเองได้น่ะ แล้วฉันก็ให้ของดีไปกับดันเต้แล้วด้วย"คารินตอบอย่างใจเย็น

    ....................................................................................

            ปราการของพวกอันดรอย

            "จะทำยังไงดีเนี่ย"โซเฟียพูดขี้น เพราะสถานที่ที่พวกเค้าอยู่คือคุกที่อยู่ไต้ดินพวกเค้าโดนขังไว้รวมกันในกรงเหล็กเล็กๆทำให้ไม่สามารถชักดาบออกมาใช้ได้ และยังต้องแช่อยู่ในน้ำมันที่สูงถึงเอวทำให้ไม่สามารถใช้คาถาได้ ถ้าใช้คาถาไฟมีหวังไว้โดนไฟครอกตายแน่ ถ้าใช้ไฟฟ้าก็ต้องโดนช็อตตาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคาถาอื่นๆ เลยเพราะพื้นที่แทบจะไม่มีให้ยืนถ้าใช้คาถารังแต่จะโดนพวกเดียวกัน

            "แล้วจะทำยังไงดีเนี่ย อย่างนี้ราชินีต้องแย่แน่ๆเลย"โซเฟียสติแตกไปแล้วเป็นคนแรก

            "เธอเงียบซักทีได้มั้ยเนี่ย"อองรีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมทั้งชี้ไปที่ดันเต้ที่กำลังพยายามสะเดาะกลอน

            "อะ ขอโทษค่ะ"โซเฟียพูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด

            "โว๊ย อยากให้คารินมันอยู่ตรงนี้ด้วยจริงๆเลย"ดันเต้ตะโกนออกมาอย่างหัวเสีย

            "แต่ก็ยังดีที่มันยังส่งอุปกรณ์สะเดาะกลอนมาให้"อองรีพูดอย่างใจเย็น พร้อมทั้งนึกเสียดายที่เจ้าตัวดีไม่ได้มาด้วย ไม่อย่างนั้นพวกเค้าคงหลุดออกไปอย่างง่ายดาย

            แกร๊ก

            "หลุดแล้ว"ดันเต้ร้องออกมาอย่างดีใจเพราะพวกเค้าพยายามจะสะเดาะมันมาซัก 5 นาทีได้แล้ว

            "จะว่าไปแล้วไอ้เครื่องมือนี้มันก็ดีจริงๆนะ" นิโคไลท์พูดขึ้นพร้อมหยิบเครื่องมือของคารินขึ้นมาดู

            เมื่อทุกคนออกมาแล้ว ก็พลางนึกถึงคำพูดของคารินที่บอกว่า ไม่ว่าแผนจะผิดยังไงก็ตามให้ดำเนินตามแผนต่อทันทีนะ ไม่จำเป็นตัองพูดอะไรพวกเค้าแยกออกเป็นสองทีมทันที อองรีและนิโคไลท์ไปจัดการทหารและปล่อยนักโทษ ส่วนดันเต้และโซเฟียรับตรงไปช่วยโอเด็ท

        …………………………………….

            เมืองเอลฟ์

            "รู้สึจะมั่นใจจริงนะ"โฟร์พูดขึ้นด้วยอารมณ์ขำขัน

            "มันก็แน่อยู่แล้วล่ะ อองรีเห็นมันเย็นอย่างนั้นนะ คาถาที่มันถนัดที่สุดคือคาถาไฟนะ คาถาที่มีการทำลายล้างสูงที่สุด" คารินพูดด้วยน้ำเสียงสนุก พร้อมทั้งมองไปที่กลุ่มเด็กที่กำลังวิ่งเล่นกันอยู่

        ……………………………………………

            ปราการของพวกอันดรอย

            "สงสัยจะผ่านตรงนี้ไปไม่ได้แฮะ มันหนามาก"นิโคไลท์พูดขึ้นพร้อมทั้ง เคาะไปที่ผนังด้านหน้า อองรีไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่หยิบไม้เท้าrdออกมา ดันตัวของพี่นิโคไลท์ออกจากกำแพงหิน พูดพึมพำอะไรเล็กน้อย และคาถาเพลิงก็ประทุออกมาจากไม้เท้าเข้าประทะกับกำแพงหินทำให้หินแตกละเอียด ก่อนจะละลายกลายเป็นไออากาศ

            "ชักไม่อยากเป็นศตรูกับผู้ชายคนนี้ซะแล้วซิ"สิ่งแรกที่พี่นิโคไลท์คิดก่อนจะเดินเข้าไปต่อสู้กับพวกอันดรอยตรงหน้า

        .............................................................................

            เมืองเอลฟ์

            "และเห็นดันเต้เป็นอย่างนั้นนะ บางทีดันเต้อาจจะแข็งแกร่งกว่าอองรีอีก"คารินหันพูดขึ้น พร้อมทั้งเดินออกไปเพื่อพยุงเด็กที่หกล้มให้ลุกขึ้นส่วนพี่โฟร์ก็เดินมาหยอดยาให้กับเด็กคนนั้น

            "แต่ดันเต้เอาดาบไปแค่เล่มเดียวนะ"โฟร์พูดเมื่อหยอดยาให้เด็กคนนั้นเสร็จ

            "ดาบตัดนภาแค่เล่มเดียวก็พอแล้วล่ะครับ แต่ถึงแม้จะไม่มีมีดาบดันเต้มันก็สามารถใช้อาวุธระยะประชิดได้ทุกชนิด มันเป็นเพื่อนที่ฉันภูมิใจ"คารินเดินมานั่งที่เดิม

        ................................................................................

            ปราการอันดรอย

            ตึก ตึก ตึก

            เสียงวิ่งของดันเต้และโซเฟียที่รีบวิ่งขึ้นไปบนหอคอย ถึงแม้จะมีพวกอันดรอยอย่เต็มไปหมดแต่ดันเต้แค่ฟันเพียงครั้งเดียวก็เกิดคลื่นอากาศตัดทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย

            แกร๊ก

            เสียงของดาบโซเฟียหัก และเลือดสีแดงที่ไหลออกมาจากไหล่ขวาของเธอ แต่เธอคงตายไปแล้วถ้าไม่ได้ดันเต้ดึงตัวเธอออกจากคมดาบ และฟาดฟันศตรูตรงหน้าทันที

            "เธอมีหน้าที่ปกป้อง ไม่ใช่ให้ฉันมาปกป้องเธอ"ดันเต้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ดันร่างของโซเฟียให้ลุกขึ้นยืน

            "เอานี่ไป และไปก่อน"ดันเต้ยื่นดาบตัดนภาที่ตัวดาบเหมือนมีลมหมุนอยู่รอบๆตลอดเวลา

            "ขอบคุณ"โซเฟียรับดาบนั้นมาและรีบเดินนำดันเต้เข้าไปก่อน

            "เอาล่ะ พวกแกอยากจะตายอย่างไหน"ดันเต้เดินผ่าวงล้อมของพวกมันเข้าไปหยิบง้าวที่มีด้ามเป็นเหล็กและมีใบมีดสีเงินอันใหญอยู่ที่ปลายด้าม "อันนี้แล้วกัน" ดันเต้พูดพร้อมหันมามองพวกอันดรอยด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม

        ................................................................................................

            เมืองเอลฟ์

            "ที่สำคัญพวกมันจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อต้องปกป้อง"คารินพูดพร้อมลุกขึ้นยืน พร้อมกับร่างกายที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นหนุ่มน้อย

            "ไปกันเถอะ"มิทอสหันไปพูดกับโฟร์ โฟร์ทำหน้างงๆ

            "ไปรับพวกมันกัน"ยังไม่ทันที่โฟร์จะถามเค้าก็ได้คำตอบแล้ว

        ...................................................................................................

            ปราการอันดรอย

            ปัง

            เสียงเปิดประตูห้องของพระราชาดังขึ้น โซเฟียขึ้นมาถึงห้องของพระราชาแล้วแต่ภาพที่เห็นถึงกับทำให้เธอโกรธจนแทบบ้า

            ร่างของโอเด็ทที่ถูกแขวนอยู่ติดกับกำแพงเนื้อตัวมีรอบฟกช้ำและรอยถูกแส้ของปีศาจอัปลักษณ์ที่มีใบหน้าเหมือนกบ บนหัวมีมงกุฎสวมอยู่.....ในมือมันยังคงถือแส้ และรอยบาดแผลบนไหล่ของมันแสดงให้เห็นว่าโอเด็ททำร้ายมันเพื่อจะหนี

            ความโกรธประทุขึ้นทันที โซเฟียไม่รีรอ ยกดาบตัดนภาวิ่งเข้าใส่เจ้ากบตัวนั้น แต่ก็ไม่สามารถสร้างบาดแผลให้มันได้ เพราะรอบกายมันมีเหมือกสีเขียวอยู่...ทำให้ทุกส่วนที่ดาบกระทบไม่เกิดแม้รอยแผลใดๆ.... และมันก็ไม่อยู่นิ่งให้โซเฟียฟัน ลิ้นของมันยื่นยาวออกมารัดมือของโซเฟียและพาร่างของเธอเข้ากระแทกกับกำแพง เลือดอุ่นๆไหลทะลักออกจากปากของเธอ โซเฟียพยายามดันกายขึ้นอีกครั้งแต่ถูกแซ้ในมือของไอ้ตัวอัปลักษณ์ฟาดอย่างไร้ปราณี

            "ฮะๆๆๆ" มันหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ปีศาจตัวนั้นเมื่อเห็นว่าโซเฟียไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีกแล้วมันก็เปลี่ยนเป้าหมายไปที่โอเด็ทที่ยังคงสลบอยู่ มันแลบลิ้นออกโลมเลียไปทั่วร่างของโอเด็ทน้ำลายสีเขียวของมันไหลออกมาจากปากดูน่าขยะแขยงอย่างที่สุด

            "อ๊ากกกก แก"เสียงของเจ้ากบปีศาจร้องลั้น เพราะปลายดาบของของดาบตัดนภาที่เสียบเข้าไปที่ท้องของมัน มันเอาลิ้นตวัดร่างโซเฟียที่ถือดาบปลิวลอยไปไกล แต่ก่อนที่จะถึงกำแพงดันเต้ก็วิ่งมารับเอาไว้ เค้าวางร่างของโซเฟียลงอย่างช้าๆ

            "ฮะๆๆ แก ก็จะมาตายอีกคนสินะ"เจ้ากบปีศาจพูดพร้อมทั้งหัวเราะ ดันเต้ช้อนสายตาขึ้นมาอย่างเย็นชาจิตสังหารของเค้าทำเอาราชากบถึงกับตัวสั่นด้วยความกลัว

            "ดาบดี กับหญิงงามเป็นสิ่งที่ต้องดูแลรักษาด้วยความรัก ไม่ใช่ของที่ไอ้อัปลักษณ์อย่างแกจะมาทำให้หม่นหมอง"ดันเต้พูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมพร้อมทั้งเดินไปหยิบดาบตัดนภาที่อยู่บนพื้น เจ้ากบรีบลงมือก่อนมันวิ่งเข้าไปหวังจะโจมตีดันเต้ ดันเต้มองมันด้วยแววตาเย็นชาและ

            ตุบ

            เสียงของหัวที่หลุดออกจากบ่าของปีศาจกบ เลือดสีเขียวพุ่งออกมาจากคอที่ไร้ศรีษะของมัน โดยที่มีดันเต้ยืนมองอยู่อย่างเย็นชา เค้าเดินเข้าไปหาโซเฟียที่ตอนนี้ช่วยโอเด็ทออกมาแล้ว พวกหล่อนนั่งอยู่บนพื้นตัวสั่นเนื่องจากไม่รู้ว่าดันเต้เป็นพวกของพวกหล่อนแน่รึเปล่า แต่ถ้าไม่ใช่พวกหล่อนต้องตายแน่ๆ

            "ทำได้ดีมาก"ดันเต้พูดด้วยน้ำเสียงยิ้มแย้ม พร้อมทั้งเอามือไปขยี้ที่หัวของสองสาว

            "ไปกันก่อนดีกว่า"ดันเต้พูดพร้อมพยุงสองสาวขึ้นมาโดยการอุ้ม เค้าแค่คนเดียวอุ้มสองสาวออกมาโดยง่าย

            "เกาะแน่นๆนะ"ดันเต้พูดพร้อมกระโดดลงมาจากหน้าต่างหอคอย

            กรี๊ดดดดดดดดดดด

            เสียงของสองสาวร้องขึ้นเนื่องจากว่ายังไม่ทันได้ตั้งตัว

            "เอาล่ะ ถึงแล้วปล่อยได้แล้วล่ะ"ดันเต้พูดขึ้นเมื่อถึงพื้นแล้วแต่สองสาวยังคงกอดดันเต้หลับตาปี๋อยู่

            "ไม่เห็นต้องรีบขนาดนี้เลย นึกว่าจะตายซะแล้ว"โอเด็ทพูดด้วยเสียวโกรธๆ ซึ่งโซเฟียก็เห็นด้วย

            "ไม่ได้หรอก ดูนั่นสิ"ดันเต้พูดพร้อมชี้ไปที่ปราการของพวกอันดรอยซึ่งตอนนี้มันท่วมไปด้วยเปลวเพลิงจากไฟของอองรี ภาพตรงหน้าถึงกับทำให้สองสาวหน้าซีดหนักกว่าเดิม

            "ไม่ทราบว่าพวกแกจะเดินกลับ หรือจะไปโดยบริการขนส่งของเรา"เสียงใสๆของชายหนุ่มพูดขึ้นด้านหลังของทั้งสาม ถึงกับทำให้ดันเต้ยิ้มกว้างได้ทันที

            "เออ ปากดีนักนะ"ดันเต้อุ้มสองสาวขึ้นไปบนเกวียนซึ่งพบว่าเพื่อนๆอีกสองคนของมันนั่งอยู่ก่อนแล้ว

            "แกแพ้"อองรีพูดพร้อมยิ้มที่มุมปาก พวกเค้ามักจะพนันกันเสมอเมื่อต้องแยกกันทำงาน

            "เออๆๆ"เสียงของดันเต้พูดอย่างหัวเสีย พลางหยิบเหรียญทองโยนไปให้อองรี

            "เอ่อแล้วคุณคือ"โอเด็ทถามมิทอสเนื่องจากไม่เคยเห็นมิทอสในร่างของผู้ชายมาก่อน

            มิทอสเมื่อได้ยินดังนั้นจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พร้อมทั้งหัวเราะออกมาเสียงดังกับท่าทางตกใจของสองสาว ถึงกับทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน หัวเราะให้แก่ชัยชนะ

    ...................................................................................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×