ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Holy สงครามแห่งแผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #11 : CHAPTER 11 : ราชินีเมืองเอลฟ์

    • อัปเดตล่าสุด 19 ต.ค. 48


    CHAPTER 11 : ราชินีเมืองเอลฟ์



            การเดินทางหนีการไล่ล่าเมื่อกี้ทำให้พวกเค้ามาถึงที่หมายก่อนเวลา สายน้ำแห่งการเริ่มต้น ในเวลาห้าโมงเย็น พวกเค้าตัดสินใจพักกันที่นี่หนึ่งคืน เนื่องจากทุกคนก็เหนื่อยมามากแล้ว

        

        สายน้ำแห่งการเริ่มต้น เป็นสถานที่อบอุ่นมาก ไม่มีหิมะตกเลย ทำให้บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยป่า และทุ่งดอกไม้หลากหลายพันธุ์



            เจ้าตัวดีเมื่อเห็นน้ำ ก็รีบวิ่งกระโดดลงน้ำทันที แต่รุ่นพี่นิโคไลท์ล็อกเอวไว้ได้ทันก่อนที่จะโดนน้ำ พร้อมทั้งชี้ไปที่ม้าลากเกวียนของพวกเค้าที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นลูกม้าแล้วเนื่องจากกินน้ำเข้าไป เจ้าตัวดีถึงกับมองม้าตาค้างกลืนน้ำลายเสียงดัง และนึกขอบคุณพี่นิโคไลท์ที่ช่วยไม่ให้เค้าต้องโดนคำสาบเพิ่ม



            “ฉันเก็บเอาไว้เป็นตัวอย่างดีกว่า”รุ่นพี่โฟร์พูด พร้อมหยิบขวดขึ้นมาตักน้ำในแม่น้ำ



            “เอาล่ะ ดันเต้เดี๋ยวนายไปหาฟืนกับฉันนะ อองรีก็ไปหาปลาแล้วกัน เดินเข้าไปหน่อยจะมีลำธาร มิทอสไปหาผลไม้มา ส่วนโฟร์.... อืมมมม นั่งเฉยๆแหละดีแล้ว”รุ่นพี่นิโคไลท์พูด แบ่งหน้าที่ให้กับทุกคน แต่ดูเหมือนเจ้าตัวยุ่งจะยังไม่พอใจ



            “เฮ้ยๆๆ ได้ไงทุกคนต้องทำงานเด่ะ”มิทอสโวย



            “อืมก็ได้... แต่โฟร์เค้าไม่เคยเก็บอะไรทิ่กินได้มาเลยซักครั้งเดียวนะ”รุ่นพี่นิโคไลท์หันไปยิ้มหวานให้กับมิทอส



            “โอเค ไม่เป็นไรเอาเป็นว่าพี่อยู่เฉยแหละดีแล้วครับ”มิทอสหันมาพูดกับพี่โฟร์ พร้อมทั้งรีบเดินออกไปทำหน้าที่ที่ได้รับ



        ………………………………………



            “แล้วเราจะทำยังไงกับม้าดีเนี่ย”มิทอสหันมาถามอองรีที่จับปลามาแล้ว



            “ไม่ทำไง ก็ต้องทิ้งเอาไว้”ออรีตอบอย่างเย็นชา



            “แล้วข้าวของเราล่ะ”



            “ก็เอาไปแต่ที่จำเป็น”ออรีตอบ พร้อมทั้งนั่งลง



            “เดินไปเนี่ยนะ”



            “ใช่”



            “สงสัยเราคงต้องแวะหมู่บ้านเอลฟ์แล้วล่ะ เพราะยังไงเราก็ต้องใช้ม้าในการเดินทาง”ดันเต้เดินออมาจากการหาฟืนพูดขึ้น



            “อือ”อองรีตอบ

            

            “โอ๊ย”มิทอสอุทานขึ้น เพราะตอนนี้แผลของเขาเริ่มแสบขึ้นมาอีกครั้งแล้ว พร้อมทั้งร่างกายของมิทอสที่เปลี่ยนเป็นหญิง มิทอสรับเอามือกุมไปที่แผล แต่เลือดที่ไหลออกมันกับร้อนจนเค้าต้องรีบเอามือออกทำให้ทุกคนเห็นแผลของมิทอสที่มีเลือดไหลออกมาอย่างชัดเจน มันไหลออกมาจากกางเขญสีดำ



           “ดันเต้ ยา”สิ้นเสียงของอองรี ดันเต้ก็รีบวิ่งไปที่กระเป๋าของมิทอสหยิบขวดยาออกมา อองรีรีบวิ่งเข้าประคองร่างบางของหนุ่มน้อยที่ตอนนี้กลายเป็นหญิงสาว ส่วนทุกคนกำลังตกตะลึงกับภาพที่เห็น



            “ไม่ไหวไม่ยอมกินเลย”ดันเต้หันมาบอกอองรีเมื่อเห็นว่าพยายามป้อนยาเท่าไหรมิทอสก็สำลักออกมา



            อองรีรีบเอาขวดยาดื่มเข้าไปเองทันที และเอาปากประกบกับปากคารินเพื่อให้ยาไหลผ่านทางปาก เพราะเป็นทางเดียวที่เค้านึกออก ส่วนทุกคนก็เป็นอันต้องตกตะลึงกำลังสองกับภาพที่เห็น



            เมื่อถอดปากออก คารินดิ้นทุรนทุรายอยู่ซักพักก็นิ่งไป



            “แค่สลบไปน่ะ”รุ่นพี่โฟร์ที่ได้สติแล้วเดินมาตรวจดูคาริน



            “แล้วนี่มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย”ถึงรุ่นพี่นิโคไลท์จะรู้อยู่แล้วว่ามิทอสโดนคำสาบกางเขนดำแต่ก็ไม่รู้ว่าไอ้ตัวดีโดนคำสาบอย่างอื่นด้วย



            อองรี และดันเต้เริ่มสลับกันเล่าเรื่อง แต่พวกเค้าก็ไม่รู้ว่าเป็นได้อย่างไร และเมื่อไหร่ เพราะมิทอสเองก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่จำความได้ รุ่นพี่นิโคไลท์เข้าใจในทันทีว่าทำไมเค้าถึงได้รู้สึกพิเศษกับมิทอสมากกว่าคนอื่น เพราะมันเป็นผู้หญิงนี่เอง เค้ายังหลงนึกว่าตัวเองเป็นเกย์อยู่หลายครั้ง แต่ก็ต้องทำใจ ดูเหมือนมิทอสเองจะเป็นแฟนกับอองรี



                               ..................................................................................



            “อืมมมม ทำไมมัน โยกเยกอย่างนี้เนี่ย”เจ้าตัวดีครางออกมาเบาๆ เพราะตรงที่มันนอนเอียงไปเอียงมา เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่า เค้าอยู่บนอ้อมแขนของชายนัยตาสีเขียวน้ำทะเล ที่ก้มหน้าลงมามองเธอด้วยสายตาเป็นห่วง



            “เฮ้ย ปล่อย”เจ้าตัวดีรีบดิ้นสุดฤทธิ์พร้อมทั้งตะโกนออกมาดังลั่น อองรีเมื่อเห็นว่ามันแข็งแรงขนาดร้องโวยวายได้แล้วจึงค่อยๆปล่อยมันลงมาที่พื้น



            “ดันเต้ มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย ทำไมฉันถึงได้โดนอุ้มเนี่ย”คารินหันไปกระซิบกับเพื่อนสนิท



            “แกจำไม่ได้เหรอ”ดันเต้ตอบพร้อมทำสีหน้าตกใจ



            “เมื่อคืนแกเกิดปวดแผลขึ้นมา วันนี้อองรีมันอยากให้แกนอนพัก แต่ก็ไม่อยากเดินทางช้าไปกว่านี้ก็เลยต้องอุ้มแกเดินออกมาไงล่ะ”ดันเต้อธิบายช้าๆชัดๆให้คนป่วยฟัง



            “อ้อ เหรอ”มิทอสพูดพร้อมพยักหน้าหงึก ก้มลงมองตัวเองและพบว่ามันกลายเป็นผู้หญิงไปแล้ว ด้วยความตกใจจึงหันมามองเพื่อนอย่างหวาดๆ



            “ไม่ต้องห่วงฉันกับอองรีช่วยกันอธิบายให้พี่เค้าเข้าใจแล้ว”ดันเต้รีบตอบก่อนที่เพื่อนตัวดีของมันจะถาม มิทอสไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าหงึกๆ และตบไปที่บ่าของดันเต้เป็นเชิงขอบใจ



            “โอยยย เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย”เจ้าตัวดีที่เดินทางยังไม่เท่าไหร่บ่นออกมา



            “อองรี แกอุ้มให้หน่อยได้มั้ยอ่ะ”



            “ไม่”อองรีตอบด้วยน้ำเสียงตัดเยื้อไย



            “โธ่ๆๆ นะๆๆ”เจ้าตัวดีเริ่มอ้อน



            “ไม่”ยังคงเย็นชาเช่นเดิม



            “พี่อุ้มให้เอามั้ยล่ะ”เสียงของพี่นิโคไลท์ที่เสนอตัว



            “โอ้ ดีๆครับพี่”มิทอสตอบอย่างดีใจ แต่ถูกไอ้คนที่ปฎิเสธมาตั้งนานดึงเอาไว้



            “เดี๋ยวฉันอุ้มเอง”อองรีพูดพร้อมทั้งดึงเจ้าตัวดีมาอุ้ม



            “เฮ้ยๆๆ พอๆ ไม่ต้องแล้ว ฉันเดินเองก็ได้วะ”คารินรีบปฎิเสธทันที เพราะรู้สึกว่าบรรยากาศมันดูเปลี่ยนๆไปมากหลังจากที่มันสลบ



            การเดินทางโดยการเดินค่อนข้างล่าช้า เพราะว่าพวกเค้าเดินเลาะเข้าป่าเพื่อจะได้ไปถึงเร็วกว่า การเดินทางถนน ถึงแม้จะย่นระยะทางได้จริงแต่การเดินเท้าก็ช้ากว่าการนั่งเกวียนอยู่ดี และยิ่งพวกเค้าต้องหยุดเดินทุกครั้งที่เจ้าตัวดีบ่นเมื่อย



            “โอยเมื่อไหร่จะถึงซักทีเนี่ย เดินมาตั้งไกลแล้วนะ”คารินบ่นซ้ำไปซ้ำมาตลอดทาง แต่ยังดีที่เพื่อนมันค่อนข้างใจเย็น ทนฟังมันบ่นตลอดทาง



            “ถึงแล้ว”คำพูดของอองรี ที่ทำให้เจ้าตัวดีถึงกับชีกยิ้มหน้าบาน



            เมืองเอลฟ์ดินแดนที่สวยงาม ถึงขนาดเทพีแสงจันทร์ยังเคยมาประทับ และให้พรแก่ชนเผ่านี้ให้มีรูปโฉมงดงามดังสถานที่ที่พวกเค้าอาศัย เป็นไปอย่างที่ตำนานว่าไว้นอกจากเมืองที่สวยงามที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้นานาชนิด และกลิ่นหอมที่ตลบอบอวนอยู่ทุกที ยังมีผู้คนที่หน้าตางดงามเหมือนดังดินแดนแห่งเทพนิยาย  หญิงสวยและหนุ่มงามอยู่เต็มไปหมด แต่ที่น่าแปลกคือแทบจะไม่มีคนเดินทางหรือคนเผ่าอื่นปะปนอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นเลย ราวกับว่าพวกเค้าหลุดเข้ามาในโลกของพวกเอลฟ์



            “เฮ้ย พวกนั้นมองอะไรกันอ่ะ”คารินพูดอย่างประหม่า เนื่องจากสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่พวกเค้า



            “ไม่รู้สิ พวกเราหาม้า อาหาร และรีบออกไปกันดีกว่า ฉันรู้สึกว่ามันชักจะยุ่งยากกว่าที่เราคิดเอาไว้”รุ่นพี่นิโคไลท์รีบสรุปก่อนที่จะเจอเรื่องยุ่งยาก ทุกคนก็คิดเช่นเดียวกับรุ่นพี่



            ยังไม่ทันที่พวกเค้าจะเดินเข้าไป ก็มีทหารที่แต่งกายด้วยชุดเกราะสีขาวเดินเข้าไปหาพวกเค้า



            “ฉันว่าเรื่องยุ่งยากมันกำลังเดินเข้ามาล่ะ”รุ่นพี่โฟร์พูดขึ้น แต่สายตายังมองไปที่ทหารเหล่านั้น



            ราวกับนัดกันมา ทุกคนรีบยิ้มด้วยใบหน้าเป็นมิตรไปยังทหารเหล่านั้น เพราะอย่างน้อยพวกเค้าก็หวังให้ไม่ต้องมีการต่อสู้ แค่หวัง…….



            “ราชินีของเรามีเรื่องจะคุยด้วย”ทหารที่เดินนำหน้าท่าทางของเค้าดูสง่างามมากกว่าคนอื่นพูดขึ้น แต่เนื่องจากใส่หมวกเหล็กไว้บนศรีษะจึงไม่อาจเห็นได้ว่าเค้าพูดด้วยสีหน้าอย่างไรและหน้าตาเป็นอย่างไร แต่พวกคารินก็ไม่สามารถปฎิเสธได้จึงเดินตามทหารเหล่านั้นไปแต่โดยดี



            ภายนอกที่ดูว่าสวยแล้วแต่ภายในยังสวยซะยิ่งกว่า เพราะประดับไปด้วยอัญมณีดอกไม้สีขาวใสเต็มไปหมด และปราสาทที่สร้างจากหินสีขาวเจียระไนดูสวยยิ่งนัก ตลอดทางเดินก็มีทุ่งดอกไม้อยู่เต็มสองข้างทาง พื้นปูด้วยใม้เถาวัลน์ถักเป็นพรมทำให้แค่เหยียบลงบนพื้นเบาๆก็รู้สึกได้ถึงความนุ่ม



            “ราชินีของเรารออยู่ที่นี่”ทหารคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมทั้งเดินนำเข้าไปยังห้องที่ลักษณะเหมือนซุ้มแต่มีขนาดใหญ่ และรอบๆก็มีเสาอยู่หกต้นเพื่อรับน้ำหนักของหลังคาสีขาว เสาทุกต้นมีไม้เลื้อสีชมพูสูงไปถึงหลังคา ตรงกลางของซุ้มมีโซฟาที่ถักจากขนนกสีขาสาวตั้งอยู่และมีน้ำชาวางอยู่บนโต๊ะสีขาว



            “โซเฟีย พาพวกเค้ามาแล้วเหรอจ๊ะ”เสียงใสๆของผู้หญิงที่นั้งอยู่บนโซฟาสีขาวหันหลังให้พวกเค้าอยู่พูดขึ้น แต่ก็ทำให้คารินต้องหันไปมองทหารคนที่นำทางพวกเค้าเข้ามา พลางคิดในใจว่าผู้ชายอะไรวะชื่อโซเฟีย แต่ไม่ทันจะได้ถามเค้าก็ได้คำตอบเมื่อทหารคนนั้นถอดหมวกออกมาแล้วพบว่าเป็นหญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลที่มีแววตาดุดัน แต่ใบหน้ากับน่ารักผิดกับแววตา แต่ที่แปลกใจที่สุดคือไอ้ดันเต้มันกับไม่รีบกระโดดเข้าไปจีบกลับทำหน้าตาเบื่อหน่าย แถมยังหาวออกมาอีก



            โซเฟียผายมือออกมเป็นเชิงเชิญให้พวกเค้าเข้าไปนั้งที่โซฟา คารินไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปทันทีขนาดทหารยังสวยขนาดนี้ แล้วราชินีไม่ยิ่งสวยกว่าเหรอ เมื่อคารินเดินเข้าไปก็ต้องตะลึงกับความงามตรงหน้าขนาดมันเป็นผู้หญิงยังอดไม่ได้ที่จะใจเต้น ผมสีเงินยาวลงมากลางหลังซอยเป็นขั้นบันได หน้าตาที่น่ารักปากสีชมพูระเรื่อ แก้มแดงอ่อนๆ  ดวงตาที่ดูแล้วใสบริสุทธิ์ ไม่เหมือนเจ้าหญิงแต่ดูเหมือนเด็กน้อยที่น่ารักมากกว่า เธอยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ดูใสบริสุทธ์



            “ขอบคุณมากเลยนะคะ ที่มาตามคำเชิญของเรา เมืองของเราไม่ได้มีคนเดินทางมาตั้งนานแล้ว เราจึงอยากคุยกับท่านเรื่องการเดินทางของพวกท่าน”ราชินีพูดด้วยน้ำเสียงชวนฟังเป็นที่สุด



            “ตั้งแต่”คราวนี้ราชินีพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าลงกว่าเดิม แต่โซเฟียสะกิดเล็กน้อย



            “อุ๊ย แย่จัง ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย โอเด็ท กลอรี่”เจ้าหญิงโค้งตัวเล็กน้อย ซึ่งทุกคนก็โค้งตัวลงเช่นกัน



            “จากที่ผมดูราชินียังดูเด็กอยู่เลยนะครับ”คารินพูดด้วยคำพูดของชายถึงกับทำให้ราชินีถึงมองอย่างงงๆ



            “เอ่อ....”ยังไม่ทันที่ราชินีจะได้พูด ก็มีทหารคนนึงวิ่งมาอย่างกระหืดกระหอบยื่นจดหมายให้กับโซเฟียและโค้งเล็กน้อยพร้อมทั้งเดินจากไป



            “ราชินีเพคะ พวกมันยื่นข้อเสนอมาแล้ว”โซเฟียยื่นจดหมายให้แก่ราชินี



            ราชินีเมื่อรับจดหมายมาก็เปิดอ่านทันทีด้วยสายตาสงสัยของพวกคาริน เมื่ออ่านได้ซักพักราชินีถึงกับทำจดหมายตกพื้น และกอดเอวโซเฟียร้องไห้ คารินเมื่อเห็นดังนั้นจึงถือวิสาสะหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาอ่าน ซึ่งมันเป็นรายมือที่เขียนหยาบๆ



            ถึงองค์หญิงคาริน



            บรรณาการในครั้งนี้เราไม่พอใจเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนกับที่ได้ตกลงกันเอาไว้ ซึ่งเราสามารถโจมตีท่านได้ทันทีตามที่ได้สัญญา ส่วนเรื่องเหตุผลที่ท่านให้เรามามันถือว่าไม่มีค่าเลยสำหรับเรา แต่เรายังให้โอกาศท่านขอเพียงท่านยอมจำนนตามข้อเสนอของเราเรื่องจะยอมแต่งงานกับเรา



    ข้าหวังว่าจะได้คำตอบที่น่าพอใจ



            “เฮ้ย อองรีดูนี่สิ”คารินรีบส่งจดหมายไปให้อองรีทันที พวกรุ่นพี่นิโคไลท์เห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปอ่านจดหมายร่วมกับอองรี



            อองรีเมื่ออ่านจดหมายจบก็นั่งกุมขมับ เพราะรู้ถึงความคิดของเจ้าเพื่อนตัวดีของมันดี นี่ขนาดว่ามันจะตายอยู่แล้วนะเนี่ย มันยังไม่วายหาเรื่องใส่ตัวอีก



            “นะๆ ขอร้องล่ะ น๊าๆๆๆ”คารินเริ่มอ้อนก่อนที่อองรีจะพูดอะไร อองรีได้แต่เพียงถอนหายใจเล็กน้อยหันไปมองคนอื่นๆเพื่อขอความคิดเห็นแต่ทุกคนก็ส่ายหน้าเป็นเชิงไม่ออกความคิดเห็น อองรีเมื่อเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจอีกครั้งและพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงตกลงให้กับคาริน



            “เย้ อองรีฉันรู้ว่านายต้องไม่ปฎิเสธ”คารินพูดอย่างหน้าชื่นตาบาน



            “ไม่ใช่ไม่ปฎิเสธแต่ปฎิเสธไม่ได้มากกว่า”ดันเต้หันมาตอบแทนอองรี ซึ่งทุกคนก็กพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย



            “เอ่อ นี่พวกคุณคุยอะไรกันคะ”โอเด็ทที่นั่งฟังอยู่นาน เนื่องจากท่าทีประหลาดของของนักเดินทางที่อยู่ตรงหน้า จึงทำให้โอเด็ทเลิกร้องไห้ และมองพวกเค้าอย่างฉงน



            “อ้าว ก็พวกเราจะช่วยพวกคุณไงล่ะราชินี”คารินหันมาบอกโอเด็ทด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ราวกับว่าได้ของเล่นชิ้นใหม่



            “ไม่ได้นะคะพวกมันอันตรายมาก”โอเด็ทพยายามห้าม แต่ดูเหมือนจะไม่สำเหร็จ



            “ไม่เป็นไรหรอกฮะ ยังไงพวกเราก็ไม่รีบนี่เนอะ”คารินหันไปพูดกับอองรี ซึ่งตอนนี้เค้านั่งกุมขมับด้วยความกลุ้ม



            “ผมขอเรียกคุณว่าโอเด็ทนะครับ”โอเด็ทไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าอย่างน่ารัก



            “เอาเป็นว่าโอเด็ทช่วยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พวกผมฟังได้มั้งครับ”คารินเริ่มถามทันทีโดยไม่ฟังคำคัดค้านของราชินี



            “เฮ้อออ ห้ามไปพวกคนก็คงไม่ฟังสินะคะ ก็ได้คะเดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟัง อืมเรื่องมันเริ่มจากที่พวกอันดรอย”โอเด็ทต้องหยุดบทสนทนาทันทีเนื่องจากเจ้าตัวดียกมือขึ้น



            “ขอโทษนะครับพวกอันดรอยนี่มันคืออะไรเหรอครับ”คารินถาม



            “อ๋อ พวกมันคือพวกที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของพวกเผ่าปีศาจน่ะคะ เมื่อหลายร้อยปีก่อนมันทำงานให้กับเผ่าปีศาจ แต่พวกมันเป็นพวกไม่ค่อยซื่อสัตว์คิดจะก่อกบฎตั้งตัวเป็นใหญ่ พวกมันถูกขับไล่ออกจากเผ่า และเมื่อไม่นานมานี้มันก็บุกมาที่นี่ เราไม่อาจสู้มันได้ จึงจำใจต้องยอมส่งพืชพันธุ์ของเราให้กับพวกอันดรอย แต่ในฤดูหนาวพืชพันธุ์ของเราก็ลดตามลงไปมาก ถึงแม้จะเราจะไม่โดนผลของสภาพอากาศแต่ทางด้านแหล่งอาหารเรากับลดลงตามภูมิอากาศ”ราชินีพูดจบก็มีน้ำใสๆไหลออกมา โซเฟียเมื่อเห็นดังนั้นจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้โอเด็ท “ขอบใจจ๊ะ”



            ดันเต้ที่นั่งเงียบอยู่นานถึงกับลุกเดินออกไปทันที ทำให้คารินมองตามออกไปอย่าง งงๆ นอกจากมันเห็นสาวสวยแล้วไม่รีบเข้าไปจีบแต่นี่มันยังทำไม่สนใจอีกตะหาก



            “พวกผมขอตัวไปวางแผนกันนะครับโอเด็ท”พวกคารินเมื่อคุยธุระจบก็รีบเดินออกมาทันที ซึ่งโอเด็ทเองก็ยิ้มส่งให้อย่างน่ารัก



            “เฮ้ย ดันเต้แกเป็นอะไรไปวะ”คารินเดินเข้าไปหาดันเต้ที่อยู่ในห้องนอนที่โอเด็ทเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งอองรีเองก็เดินตามมาเช่นกัน เพราะอองรีเองก็อดสงสัยไม่ได้กับท่าทีของดันเต้



            “ไม่มีอะไร แค่แพ้เกสรดอกไม้น่ะ”ดันเต้โกหกคำโต พวกมันโตมาด้วยกันมีหรือที่จะไม่รู้ว่าไอ้เพื่อนตัวดีมันไม่เคยเป็นเลยไอ้โรคแพ้เกสรดอกไม้เนี่ย แต่ก็แสดงให้เห็นว่ามันไม่อยากบอกคารินเห็นดังนั้นจึงไม่อยากเซ้าซี้ เดินกลับห้องของตัวเอง



            “ขอออกไปเดินเล่นหน่อยนะ”ดันเต้หันมาพูดกับอองรี อองรีไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อย พร้อมทั้งคิดว่าแพ้เกสรดอกไม้แต่จะไปเดินเล่นในที่ๆ มีแต่ดอกไม้เนี่ยนะ



            .............................................................................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×