ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : MARS TOWER
MARS TOWER
        เมื่อเดินเข้ามาถึงในห้องก็ต้องพบว่าอองรีกำลังจัดเสื่อผ้าอยู่อย่างใจเย็น
        “ว้าว  ได้อยู่ห้องเดียวกันโชคดีชมัดเลย”มิทอสพูดพร้อมเดินเข้ามากอดคอเพื่อนทั้ง 2 “ฮะๆๆ หัวเรอะซิวะ อองรี ได้อยู่ห้องเดียวกันเลยนะ ยิ้มซี่” มิทอสไม่พูดอย่างเดียวแถมยังเอามือไปดึงปากเพื่อนให้มันยิ้มอีกตะหาก อองรีรีบปัดมือมันออกไป และไปง่วนอยู่กับการจัดเสื่อผ้า
        “โธ่  อองรีแกน่ะมันน่าจริงๆเลย เอาเหอะยกโทษให้เพราะว่าวันนี้ฉันอารมณ์ดี”มิทอสพูดพร้อมกับเดินไปจัดกระเป๋าของตัวเอง
        “เฮ้ย ดันเต้ ไอ้อองรี มันเป็นอะไรของมันวะ” มิทอสหันไปถามไอ้คนที่นั่งเงียบอยู่นาน
        “ไม่รู้ว่ะ ไม่แน่มันอาจจะหึงก็ได้มั้งก็วันนี้แกเอามือไปจับกับไอ้แจ็กมันนี่นา แถมยังมาสายเรื่องผู้หญิงอีกด้วย”ดันเต้พูดซึ่งมิทอสพยักหน้าหงึกๆแล้วก็ต้องผงะออกเพราะคำตอบของเพื่อนของมัน
        “เฮ้ย  ไอ้บ้าฉันเป็นผู้ชายนะเว้ย”มิทอสร้องเสียงหลง
        “มันก็ไม่แน่นะเว้ยเพราะไอ้คำสาบที่ 4 วันเป็นชาย 3วันเป็นหญิง จริงๆแล้วแกอาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้”ดันเต้พูดด้วยสีหน้าซีเรียส
        “เฮ้ย ไอ้บ้าอย่างฉันเนี่ยยังไงมันต้องเป็นผู้ชายแน่นอนอยู่แล้วเว้ย แต่ฉันว่านะไอ้อองรี มันจะต้องโมโหหิวแหงเลย” มิทอสพูดไปหัวเรอะหึๆไปด้วย
        “เฮ้ย ไอ้นั่นมันอองรีนะ ไม่ใช่แก  แล้วแกพูดอย่างเนี้ยแปลว่าหิวแล้วล่ะสิ”ดันเต้พูดพร้อมหัวเราะเป็นการใหญ่
        “เอ่อ~~  แหม แกนี่สมเป็นเพื่อนฉันจริงๆนะ รู้ใจฉันไปหมด” มิทอสไม่พูดเปล่าลากไอ้เพื่อนสองตัวไปที่โรงอาหารด้วย
        หลังจากนั่งสวาปามอาหารอยู่ได้ซักพัก แจ็กก็เดินเข้ามานั่งข้างๆมิทอส ซึ่งดันเต้อดขำไม่ได้กับหน้าตาบุญไม่รับของอองรี
        “พวกเธอนี่โชคดีจังเลยนะ ได้อยู่ห้องเดียวกันด้วย ฉันซิต้องอยู่กับคนไม่รู้จัก”แจ๊กเปิดบทสนทนาทันทีที่นั่ง
        ตึก ตึก ตึก
        เสียงฝีเท้าของสี่สาวเดินเข้ามาซึ่งความงามของพวกหล่อนที่ทำเอาผู้ชายทุกคนต้องเหลียวมอง ไม่เว้นแม้แต่พวกมิทอส แต่ที่ดูจะไม่สนใจก็มีแต่เพียงอองรี ความเด่นของพวกหล่อนคงเป็นเพราะความงามที่แตกต่างกัน อย่างคนที่เดินนำเข้ามาเธอมีใบหน้าที่จัดได้ว่าสวยคม ผมสีบรอนและนัยตาสีฟ้า ที่เดินตามเธอมาเป็นสาวน้อยดูน่ารัก ผมและตาสีน้ำตาลที่ทำให้เธอดูมีเสน่ห์ ส่วนสองคนที่เดินตามมาข้างหลังถึงจะไม่ค่อยโดดเด่นแต่พวกเธอเป็นฝาแฝดกัน แต่คนนึงผมสีฟ้า แต่อีกคนผมสีชมพู พวกหล่อนทั้งสี่คนแต่ชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนคือเสื่อแขนกุดคอทรงสูงกระโปรงมินิสเกิตร์สีเทาและแหวนที่มีลัญลักษณ์ของ mt (MARS TOWER)
        “โห  สวยชมัดเลย”เสียงแรกเป็นของดันเต้ ส่วนมิทอสแค่พยักหน้าหงึกๆเป็นเชิงเห็นด้วย
        “เฮ้ยๆๆ  อองรีพวกหล่อนหันมาทางแกด้วยนะ”ดันเต้หันมาพูดกับอองรี แต่อองรีแค่เหลือบขึ้นมามองแค่เล็กน้อยและก็ก้มลงกินข้าวต่อ
        “นี่พวกแกน่ะ ไม่รู้อะไรเลยเหรอ”แจ๊กถามขึ้นพร้อมกับมองหน้าเพื่อนใหม่งงๆ
        “รู้อะไรเหรอ”คราวนี้มิทอสเป็นฝ่ายถาม
        “ก็ผู้หญิงผมสีบรอนที่เดินนำหน้านั่นน่ะคือเจ้าหญิงแห่งเลออาร์ฟ ประเทศที่ปกครองด้วยผู้หญิง ส่วนผู้หญิงผมสีน้ำตาลนั่นน่ะคือเทพีแห่งวิหารแมนมาเรียน่า และสองสาวข้างหลังที่เป็นฝาแฝดกันก็เป็นลูกสาวของก็อดแฮนอัสวินพิทักษ์หอคอยสันติภาพเลยนะเว้ย เอาเป็นว่าทางที่ดีอย่าไปยุ่งจะดีกว่า ขอเตือนๆ”แจ๊กพูดจบก็เอนตัวไปบนเก้าอี้
        “โห อุตส่ามีผู้หญิงโผล่มาคนแรกในทาวเวอร์ก็ดันเป็นดอกฟ้าซะนี่ อย่างนี้ก็จีบไม่ได้สิวะ”ดันเต้พูดอย่างนึกเสียดาย
        “ไม่ใช่จีบไม่ได้แต่อย่าจีบจะดีกว่า”คลาวนี้อองรีพูดขึ้นมา
        “เออ จริงอย่างที่อองรีมันพูด ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็แปลว่าไม่ใช่ว่าจีบไม่ได้ล่ะสินะ”คราวนี้มิทอสพูดขึ้นมาบ้าง
        “แต่ แกน่ะจีบไม่ได้”อองรีพูดพร้อมหันไปมองมิทอสด้วยสายตาเย็นๆ
        “เฮ้ยได้ไงวะ อย่าบอกนะว่าแกจะจีบคนเดียว ฉันไม่ยอมนะเว้ย”มิทอสพูดพร้อมลุกขึ้นจากโต๊ะมองไปยังคนที่ทำท่าทางใจเย็นอยู่
        “เฮ้ยๆ พอๆ เรารีบไปประชุมกันดีกว่า เดี๋ยวสาย”ดันเต้รีบพูดเพื่อตัดปัญหา แล้วลากเพื่อนทั้งสองของมันที่ทำท่าว่าจะกัดกันออกจากโรงอาหาร
        ที่ประชุมของพวกเค้าคือตึกcsนั่นเองแต่ครั้งก่อนที่พวกเค้ามาเป็นห้องโล่งกว้างแต่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยเก้าอี้ที่มีเป็นชั้นๆ และแบ่งออกตามสี พวกมิทอสเห็นดังนั้นจึงพากันเดินไปนั่งที่ส่วนที่เป็นเก้าอี้สีแดง ซึ่งเมื่อมองลงจากตรงนี้จะเห็นเวทีอย่างชัดเจน มันเป็นเวทีที่มีขนาดใหญ่ซึ่งมีเก้าอี้ตั้งอยู่ค่อนข้างเยอะและแบ่งตามสีเหมือนกับของพวกเขา ซึ่งตอนนี้มีอาจาร์ยมานั่งค่อนข้างเยอะแล้ว แต่ที่นั่งตรงกลางซึ่งคาดว่าเป็นของผอ.ยังว่างอยู่
        “เอาล่ะ นักเรียนทุกคนนี่ก็ถึงเวลาอันสมควรแล้ว เชิญท่านผอ. ขึ้นมาด้วยค่ะ”อาจาร์ยที่พูดเป็นอาจาร์ยประจำตึกมาส์แต่มิทอสจำได้ว่าเค้าเป็นคนนำทางไปยังห้องทดสอบ
        ทันทีที่อาจาร์ยหญิงคนนั้นพูดจบอาจาร์ยใหญ่ก็เดินขึ้นมา เค้าเป็นชายแก่ที่มีท่าทางสง่างามและสง่าผ่าเผย มีรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่บนใบหน้า มิทอสจำได้ว่าเค้าคืออาจาร์ยที่ทดสอบเค้า
        “สวัสดี และยินดีต้อนรับ ลูกชายลูกสาวทุกคนอาจาร์ยชื่อมาติน ชายร์ สำหรับที่นี่จะไม่มีการแบ่งแยก ทุกคนอยู่ที่นี่ ทุกคนคือนักเรียน เป็นลูกชายและลูกสาวของอาจาร์ยทุกท่าน ในช่วงเวลา4ปีนี้พ่ออยากจะเห็นทุกคนอยู่กันอย่างสนุกสนาน ปลอดภัย และอยู่ด้วยกันด้วยความรัก และอีกอย่างนึงที่พ่อคนนี้ปราถนามากที่สุดคือ ลูกๆทุกคนสามารถกลับออกไปและนำความรู้ที่ได้ไปใช้อย่างคุ้มค่า ซึ่งความรู้เหล่านี้มันจะปกป้องลูกๆคุ้มคลองและดูแล เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พ่อจะมอบให้แก่ลูกๆได้ จงอยู่ อย่างพี่ อย่างน้องดูแลกันและกัน ให้เหมือนที่พ่อดูแลลูกๆ”ชายแก่คนนั้นพูดจบ พร้อมกับเสียงปรบมือของเหล่าบรรดานักเรียน เมื่อพูดจบผอ.ก็เดินลงไปจากเวที ซึ่งอาจาร์ยคนเดิมเข้ามาทำหน้าที่แทน
        “เอาล่ะจ๊ะนักเรียนมาดามอยากให้นักเรียนทุกคนไปพบกับหัวหน้าประจำทาวเวอร์เพื่อรับข้อชี้แจงการอยู่ร่วมกันนะจ๊ะ”อาจาร์ยคนนั้นพูดจบก็เดินลงไปทันทีส่วนพวกนักเรียนเมื่อได้ยินดังนั้นก็พากันทยอยกลับทาวเวอร์ของตน
        “เอาล่ะนักเรียนปีหนึ่งทุกคน”เป็นเสียงของรุ่นพี่นิโคไลท์ “เรามีกฎระเบียบเล็กน้อยสำหรับการอยู่ร่วมกัน ข้อแรกถ้าต้องการประลองหรือต่อสู้กัน สำหรับตึกเราแล้วถือว่าไม่ผิดแต่จะต้องไม่ทำให้ตึกเรียนหรืออาคารเสียหายเด็ดขาด  ข้อสองการเข้าเรียนของที่นี่ค่อนข้างตรงต่อเวลาเพราะฉะนั้นฉันหวังว่าคงไม่ได้ยินว่ามีใครเข้าเรียนสายนะ ส่วนอีกข้อถือว่าเป็นกฎเฉพาะกับตึก mt ซึ่งตั้งโดยรุ่นพี่รุ่นแรก อย่าสู้กันเองอย่างระแวงพรรคพวก ศตรูพรรคพวกคือศตรูเราอย่าเหมาเอาเพื่อนเราเป็นศตรู อ้อแล้วอีกอย่างนึงพวกตึกเรามักจะมีปัญหากับพวก qt (เมอคิวรี่ ทาวเวอร์) เสมอ เพราะฉะนั้นทางที่ดีอย่าไปยุ่งกับพวกเค้าจะดีกว่า สุดท้ายอาจาร์ยของที่นี่ ผู้ชายเราจะเรียกว่ามิสเตอร์ ส่วนผู้หญิงให้เรียกมาดาม กฎทั้งหมดก็มีแค่นี้มีอะไรจะถามมั้ย”
        “รุ่นพี่ครับ แล้วเวลาปิดหอ หรือข้อห้ามล่ะครับ”ชายหนุ่มคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม
        “กฎพวกนั้นสำหรับมาส์ทาวเวอร์ตั้งไปก็เท่านั้น มีก็เหมือนไม่มีก็เลยเลิกใช้ไปแล้วล่ะ”รุ่นพี่ตอบแต่หน้าตายังอมยิ้มอยู่ “ถ้าพวกนายไม่มีอะไรแล้ว ก็แยกย้ายกันไปได้แต่อย่าเข้าเรียนสาย อาหารเช้าวันพรุ่งนี้แม่ครัวบอกว่าจะทำพาสต้า สำหรับตึกมาส์แล้วถือว่าเป็นอาหารที่รสดีที่สุดเพราะฉะนั้นฉันอยากให้พวกนายทุกคนลงมากิน”เมื่อรุ่นพี่พูดจบก็เดินออกไปทันที
        ทันทีที่รุ่นพี่ไปเหล่าลิงทะโมนประจำมาส์ทาวเวอร์ก็จับกลุ่มกันเม้าส์กันเป็นแถบบางคนก็เดินทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่
        “สวัสดีจ๊ะ อองรี” เป็นเสียงของสาวน้อยผมบรอนพูดขึ้น เสียงของเธอหวานกว่าที่พวกมิทอสคิดไว้มาก ส่วนอองรีแค่ยิ้มเล็กน้อยและก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ
        “สวัสดีครับ ผมดันเต้ และเพื่อนผมมิทอส”มิทอสเริ่มเปิดบทสนทนาทันที
        “ฉันเวโรนิก้า เลออาร์ฟค่ะ”สาวผมบรอนพูดขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม “และนี่ ลิลลี่ บราวเพื่อนของฉันเองค่ะ” เวโรนิก้าผายมือออกเผยให้เห็นเพื่อนของเธอที่มีผมสีน้ำตาลซึ่งพวกมิทอสโบกมือเล็กน้อยเป็นเชิงสวัสดี “ส่วนสองคนนี้คนผมฟ้าชื่อโอเด็ทคนผมชมพูชื่อไนติงเกล”
        “สวัสดีครับสาวๆ”ดันเต้พูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ซึ่งมิทอสโบกมือเป็นเชิงทักทายส่วนอองรีแค่เหลือบมองเล็กน้อยพร้อมทั้งผงกหัวนิดนึงเป็นเชิงทักทาย
        “อองรี แกรู้จักเวโรนิก้าด้วยเหรอ” มิทอสหันมาถาม แต่ยังมองพวกเวโรนิก้าที่คุยอยู่กับดันเต้
        “ไม่รู้จัก”อองรีตอบแต่ยังอ่านหนังสืออยู่
        “เฮ้ยไม่รู้จักแล้วพวกหล่อนเดินเข้ามาทักแกทำไมวะ”
        “ไม่รู้”
        “เหรอ แต่ฉันว่ายังเวโรนิก้าต้องชอบแกแหงเลย”
        “ไม่รู้”
        “เฮ้ย อองรี พูดกับแกนี่เหมือนคุยกับตัวเองเลยนะเว้ย ตอบอะไรที่มันดีๆกว่านี้หน่อยสิวะ”คราวนี้มิทอสพูดแต่น้ำเสียงมีน้ำโหเล็กน้อย
        “ก็ฉันไม่รู้ แล้วแกจะให้ฉันตอบว่าอะไรล่ะ”คนตอบคำถามเริ่มหมดความอดทนลดหนังสือลง มองได้คนถามด้วยสายตาเย็นชา “ถ้าแกอยากรู้นักแกก็ไปถามเวโรนิก้าเองเองสิ”
        “วะ อองรีถ้าฉันกล้าฉันก็ไม่มาถามแกหรอกเว้ย”มิทอสตอบแต่ตอนนี้ความอดทนมันขาดผึงไปเรียบร้อยแล้ว
        “เดี๋ยวๆเดี๋ยวก่อนพวกแกนี่ยังไงนะอ้าปากคุยกันไม่ได้เป็นต้องทะเลาะกัน” ดันเต้เดินเข้ามาห้ามก่อนสงครามย่อยๆกลางห้องนั่งเล่นจะเกิดขึ้น หลังจากดันเต้พูดจบอองรีก็เก็บของเดินออกไปทันที
        “เฮ้ย อองรี แกจะไปไหน”มิทอสตะโกนถาม
        “กลับห้อง”อองรีตอบแต่เท้ายังเดินต่อ
        “ฉันไปด้วย” มิทอสตอบพร้อมวิ่งตามอองรีไป
        “เฮ้อ ไอ้พวกนี้ทะเลาะกันอยู่แหม็บๆดีกันแล้ว”ดันเต้พูดพร้อมทั้งวิ่งตามอองรีกับมิทอสไปโดยลืมปล่อยให้สี่สาวมองพวกเค้าอย่าง งงๆ
        ทันทีที่ถึงห้องเจ้าตัวดีก็รีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำ ส่วนอองรีเดินเอาหนังสือไปเก็บ ดันเต้เดินไปนั่งบนเตียง
        “อองรี แกว่าพวกเรานี่ทำไมถึงได้สนิทกันได้วะ”ดันเต้เปิดบทสนทนา
        “อาจจะเป็นเพราะว่า พวกเราต่างเก็บความลับของซึ่งกันและกันล่ะมั้ง”อองรีพูดพร้อมทั้งเดินมานั่งบนเตียงของตัวเอง
        “อืม มันก็จริงนะ ฉันเป็นพวกนอกรีต แกเป็นเผ่าปีศาจและไอ้มิทอสก็เป็นครึ่งหญิงครึ่งชาย”ดันเต้พูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
        “เฮ้ย ไม่ใช่ๆ ยังมีมากกว่านั้นอีกเว้ย”มิทอสที่เดินออกมาจากห้องน้ำพูดขึ้น และเดินมากอดคอเพื่อนทั้งสอง
        “เพราะพวกเรา มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันมิตรภาพ เราจะไม่มีทางทิ้งกันพวกเรายอมตายแทนกันได้ ถ้าเรียกแบบผู้หญิงก็คือเรามีพรมลิขิตร่วมกันไง”มิทอสพูดทั้งที่หน้ายังยิ้มอยู่
        “ฮะๆๆๆๆ”มิทอส ดันเต้ และอองรี หัวเราะขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่มิทอสจะเริ่มก่อสงครามหมอนขนาดย่อม
        เมื่อเดินเข้ามาถึงในห้องก็ต้องพบว่าอองรีกำลังจัดเสื่อผ้าอยู่อย่างใจเย็น
        “ว้าว  ได้อยู่ห้องเดียวกันโชคดีชมัดเลย”มิทอสพูดพร้อมเดินเข้ามากอดคอเพื่อนทั้ง 2 “ฮะๆๆ หัวเรอะซิวะ อองรี ได้อยู่ห้องเดียวกันเลยนะ ยิ้มซี่” มิทอสไม่พูดอย่างเดียวแถมยังเอามือไปดึงปากเพื่อนให้มันยิ้มอีกตะหาก อองรีรีบปัดมือมันออกไป และไปง่วนอยู่กับการจัดเสื่อผ้า
        “โธ่  อองรีแกน่ะมันน่าจริงๆเลย เอาเหอะยกโทษให้เพราะว่าวันนี้ฉันอารมณ์ดี”มิทอสพูดพร้อมกับเดินไปจัดกระเป๋าของตัวเอง
        “เฮ้ย ดันเต้ ไอ้อองรี มันเป็นอะไรของมันวะ” มิทอสหันไปถามไอ้คนที่นั่งเงียบอยู่นาน
        “ไม่รู้ว่ะ ไม่แน่มันอาจจะหึงก็ได้มั้งก็วันนี้แกเอามือไปจับกับไอ้แจ็กมันนี่นา แถมยังมาสายเรื่องผู้หญิงอีกด้วย”ดันเต้พูดซึ่งมิทอสพยักหน้าหงึกๆแล้วก็ต้องผงะออกเพราะคำตอบของเพื่อนของมัน
        “เฮ้ย  ไอ้บ้าฉันเป็นผู้ชายนะเว้ย”มิทอสร้องเสียงหลง
        “มันก็ไม่แน่นะเว้ยเพราะไอ้คำสาบที่ 4 วันเป็นชาย 3วันเป็นหญิง จริงๆแล้วแกอาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้”ดันเต้พูดด้วยสีหน้าซีเรียส
        “เฮ้ย ไอ้บ้าอย่างฉันเนี่ยยังไงมันต้องเป็นผู้ชายแน่นอนอยู่แล้วเว้ย แต่ฉันว่านะไอ้อองรี มันจะต้องโมโหหิวแหงเลย” มิทอสพูดไปหัวเรอะหึๆไปด้วย
        “เฮ้ย ไอ้นั่นมันอองรีนะ ไม่ใช่แก  แล้วแกพูดอย่างเนี้ยแปลว่าหิวแล้วล่ะสิ”ดันเต้พูดพร้อมหัวเราะเป็นการใหญ่
        “เอ่อ~~  แหม แกนี่สมเป็นเพื่อนฉันจริงๆนะ รู้ใจฉันไปหมด” มิทอสไม่พูดเปล่าลากไอ้เพื่อนสองตัวไปที่โรงอาหารด้วย
        หลังจากนั่งสวาปามอาหารอยู่ได้ซักพัก แจ็กก็เดินเข้ามานั่งข้างๆมิทอส ซึ่งดันเต้อดขำไม่ได้กับหน้าตาบุญไม่รับของอองรี
        “พวกเธอนี่โชคดีจังเลยนะ ได้อยู่ห้องเดียวกันด้วย ฉันซิต้องอยู่กับคนไม่รู้จัก”แจ๊กเปิดบทสนทนาทันทีที่นั่ง
        ตึก ตึก ตึก
        เสียงฝีเท้าของสี่สาวเดินเข้ามาซึ่งความงามของพวกหล่อนที่ทำเอาผู้ชายทุกคนต้องเหลียวมอง ไม่เว้นแม้แต่พวกมิทอส แต่ที่ดูจะไม่สนใจก็มีแต่เพียงอองรี ความเด่นของพวกหล่อนคงเป็นเพราะความงามที่แตกต่างกัน อย่างคนที่เดินนำเข้ามาเธอมีใบหน้าที่จัดได้ว่าสวยคม ผมสีบรอนและนัยตาสีฟ้า ที่เดินตามเธอมาเป็นสาวน้อยดูน่ารัก ผมและตาสีน้ำตาลที่ทำให้เธอดูมีเสน่ห์ ส่วนสองคนที่เดินตามมาข้างหลังถึงจะไม่ค่อยโดดเด่นแต่พวกเธอเป็นฝาแฝดกัน แต่คนนึงผมสีฟ้า แต่อีกคนผมสีชมพู พวกหล่อนทั้งสี่คนแต่ชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนคือเสื่อแขนกุดคอทรงสูงกระโปรงมินิสเกิตร์สีเทาและแหวนที่มีลัญลักษณ์ของ mt (MARS TOWER)
        “โห  สวยชมัดเลย”เสียงแรกเป็นของดันเต้ ส่วนมิทอสแค่พยักหน้าหงึกๆเป็นเชิงเห็นด้วย
        “เฮ้ยๆๆ  อองรีพวกหล่อนหันมาทางแกด้วยนะ”ดันเต้หันมาพูดกับอองรี แต่อองรีแค่เหลือบขึ้นมามองแค่เล็กน้อยและก็ก้มลงกินข้าวต่อ
        “นี่พวกแกน่ะ ไม่รู้อะไรเลยเหรอ”แจ๊กถามขึ้นพร้อมกับมองหน้าเพื่อนใหม่งงๆ
        “รู้อะไรเหรอ”คราวนี้มิทอสเป็นฝ่ายถาม
        “ก็ผู้หญิงผมสีบรอนที่เดินนำหน้านั่นน่ะคือเจ้าหญิงแห่งเลออาร์ฟ ประเทศที่ปกครองด้วยผู้หญิง ส่วนผู้หญิงผมสีน้ำตาลนั่นน่ะคือเทพีแห่งวิหารแมนมาเรียน่า และสองสาวข้างหลังที่เป็นฝาแฝดกันก็เป็นลูกสาวของก็อดแฮนอัสวินพิทักษ์หอคอยสันติภาพเลยนะเว้ย เอาเป็นว่าทางที่ดีอย่าไปยุ่งจะดีกว่า ขอเตือนๆ”แจ๊กพูดจบก็เอนตัวไปบนเก้าอี้
        “โห อุตส่ามีผู้หญิงโผล่มาคนแรกในทาวเวอร์ก็ดันเป็นดอกฟ้าซะนี่ อย่างนี้ก็จีบไม่ได้สิวะ”ดันเต้พูดอย่างนึกเสียดาย
        “ไม่ใช่จีบไม่ได้แต่อย่าจีบจะดีกว่า”คลาวนี้อองรีพูดขึ้นมา
        “เออ จริงอย่างที่อองรีมันพูด ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็แปลว่าไม่ใช่ว่าจีบไม่ได้ล่ะสินะ”คราวนี้มิทอสพูดขึ้นมาบ้าง
        “แต่ แกน่ะจีบไม่ได้”อองรีพูดพร้อมหันไปมองมิทอสด้วยสายตาเย็นๆ
        “เฮ้ยได้ไงวะ อย่าบอกนะว่าแกจะจีบคนเดียว ฉันไม่ยอมนะเว้ย”มิทอสพูดพร้อมลุกขึ้นจากโต๊ะมองไปยังคนที่ทำท่าทางใจเย็นอยู่
        “เฮ้ยๆ พอๆ เรารีบไปประชุมกันดีกว่า เดี๋ยวสาย”ดันเต้รีบพูดเพื่อตัดปัญหา แล้วลากเพื่อนทั้งสองของมันที่ทำท่าว่าจะกัดกันออกจากโรงอาหาร
        ที่ประชุมของพวกเค้าคือตึกcsนั่นเองแต่ครั้งก่อนที่พวกเค้ามาเป็นห้องโล่งกว้างแต่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยเก้าอี้ที่มีเป็นชั้นๆ และแบ่งออกตามสี พวกมิทอสเห็นดังนั้นจึงพากันเดินไปนั่งที่ส่วนที่เป็นเก้าอี้สีแดง ซึ่งเมื่อมองลงจากตรงนี้จะเห็นเวทีอย่างชัดเจน มันเป็นเวทีที่มีขนาดใหญ่ซึ่งมีเก้าอี้ตั้งอยู่ค่อนข้างเยอะและแบ่งตามสีเหมือนกับของพวกเขา ซึ่งตอนนี้มีอาจาร์ยมานั่งค่อนข้างเยอะแล้ว แต่ที่นั่งตรงกลางซึ่งคาดว่าเป็นของผอ.ยังว่างอยู่
        “เอาล่ะ นักเรียนทุกคนนี่ก็ถึงเวลาอันสมควรแล้ว เชิญท่านผอ. ขึ้นมาด้วยค่ะ”อาจาร์ยที่พูดเป็นอาจาร์ยประจำตึกมาส์แต่มิทอสจำได้ว่าเค้าเป็นคนนำทางไปยังห้องทดสอบ
        ทันทีที่อาจาร์ยหญิงคนนั้นพูดจบอาจาร์ยใหญ่ก็เดินขึ้นมา เค้าเป็นชายแก่ที่มีท่าทางสง่างามและสง่าผ่าเผย มีรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่บนใบหน้า มิทอสจำได้ว่าเค้าคืออาจาร์ยที่ทดสอบเค้า
        “สวัสดี และยินดีต้อนรับ ลูกชายลูกสาวทุกคนอาจาร์ยชื่อมาติน ชายร์ สำหรับที่นี่จะไม่มีการแบ่งแยก ทุกคนอยู่ที่นี่ ทุกคนคือนักเรียน เป็นลูกชายและลูกสาวของอาจาร์ยทุกท่าน ในช่วงเวลา4ปีนี้พ่ออยากจะเห็นทุกคนอยู่กันอย่างสนุกสนาน ปลอดภัย และอยู่ด้วยกันด้วยความรัก และอีกอย่างนึงที่พ่อคนนี้ปราถนามากที่สุดคือ ลูกๆทุกคนสามารถกลับออกไปและนำความรู้ที่ได้ไปใช้อย่างคุ้มค่า ซึ่งความรู้เหล่านี้มันจะปกป้องลูกๆคุ้มคลองและดูแล เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พ่อจะมอบให้แก่ลูกๆได้ จงอยู่ อย่างพี่ อย่างน้องดูแลกันและกัน ให้เหมือนที่พ่อดูแลลูกๆ”ชายแก่คนนั้นพูดจบ พร้อมกับเสียงปรบมือของเหล่าบรรดานักเรียน เมื่อพูดจบผอ.ก็เดินลงไปจากเวที ซึ่งอาจาร์ยคนเดิมเข้ามาทำหน้าที่แทน
        “เอาล่ะจ๊ะนักเรียนมาดามอยากให้นักเรียนทุกคนไปพบกับหัวหน้าประจำทาวเวอร์เพื่อรับข้อชี้แจงการอยู่ร่วมกันนะจ๊ะ”อาจาร์ยคนนั้นพูดจบก็เดินลงไปทันทีส่วนพวกนักเรียนเมื่อได้ยินดังนั้นก็พากันทยอยกลับทาวเวอร์ของตน
        “เอาล่ะนักเรียนปีหนึ่งทุกคน”เป็นเสียงของรุ่นพี่นิโคไลท์ “เรามีกฎระเบียบเล็กน้อยสำหรับการอยู่ร่วมกัน ข้อแรกถ้าต้องการประลองหรือต่อสู้กัน สำหรับตึกเราแล้วถือว่าไม่ผิดแต่จะต้องไม่ทำให้ตึกเรียนหรืออาคารเสียหายเด็ดขาด  ข้อสองการเข้าเรียนของที่นี่ค่อนข้างตรงต่อเวลาเพราะฉะนั้นฉันหวังว่าคงไม่ได้ยินว่ามีใครเข้าเรียนสายนะ ส่วนอีกข้อถือว่าเป็นกฎเฉพาะกับตึก mt ซึ่งตั้งโดยรุ่นพี่รุ่นแรก อย่าสู้กันเองอย่างระแวงพรรคพวก ศตรูพรรคพวกคือศตรูเราอย่าเหมาเอาเพื่อนเราเป็นศตรู อ้อแล้วอีกอย่างนึงพวกตึกเรามักจะมีปัญหากับพวก qt (เมอคิวรี่ ทาวเวอร์) เสมอ เพราะฉะนั้นทางที่ดีอย่าไปยุ่งกับพวกเค้าจะดีกว่า สุดท้ายอาจาร์ยของที่นี่ ผู้ชายเราจะเรียกว่ามิสเตอร์ ส่วนผู้หญิงให้เรียกมาดาม กฎทั้งหมดก็มีแค่นี้มีอะไรจะถามมั้ย”
        “รุ่นพี่ครับ แล้วเวลาปิดหอ หรือข้อห้ามล่ะครับ”ชายหนุ่มคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม
        “กฎพวกนั้นสำหรับมาส์ทาวเวอร์ตั้งไปก็เท่านั้น มีก็เหมือนไม่มีก็เลยเลิกใช้ไปแล้วล่ะ”รุ่นพี่ตอบแต่หน้าตายังอมยิ้มอยู่ “ถ้าพวกนายไม่มีอะไรแล้ว ก็แยกย้ายกันไปได้แต่อย่าเข้าเรียนสาย อาหารเช้าวันพรุ่งนี้แม่ครัวบอกว่าจะทำพาสต้า สำหรับตึกมาส์แล้วถือว่าเป็นอาหารที่รสดีที่สุดเพราะฉะนั้นฉันอยากให้พวกนายทุกคนลงมากิน”เมื่อรุ่นพี่พูดจบก็เดินออกไปทันที
        ทันทีที่รุ่นพี่ไปเหล่าลิงทะโมนประจำมาส์ทาวเวอร์ก็จับกลุ่มกันเม้าส์กันเป็นแถบบางคนก็เดินทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่
        “สวัสดีจ๊ะ อองรี” เป็นเสียงของสาวน้อยผมบรอนพูดขึ้น เสียงของเธอหวานกว่าที่พวกมิทอสคิดไว้มาก ส่วนอองรีแค่ยิ้มเล็กน้อยและก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ
        “สวัสดีครับ ผมดันเต้ และเพื่อนผมมิทอส”มิทอสเริ่มเปิดบทสนทนาทันที
        “ฉันเวโรนิก้า เลออาร์ฟค่ะ”สาวผมบรอนพูดขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม “และนี่ ลิลลี่ บราวเพื่อนของฉันเองค่ะ” เวโรนิก้าผายมือออกเผยให้เห็นเพื่อนของเธอที่มีผมสีน้ำตาลซึ่งพวกมิทอสโบกมือเล็กน้อยเป็นเชิงสวัสดี “ส่วนสองคนนี้คนผมฟ้าชื่อโอเด็ทคนผมชมพูชื่อไนติงเกล”
        “สวัสดีครับสาวๆ”ดันเต้พูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ซึ่งมิทอสโบกมือเป็นเชิงทักทายส่วนอองรีแค่เหลือบมองเล็กน้อยพร้อมทั้งผงกหัวนิดนึงเป็นเชิงทักทาย
        “อองรี แกรู้จักเวโรนิก้าด้วยเหรอ” มิทอสหันมาถาม แต่ยังมองพวกเวโรนิก้าที่คุยอยู่กับดันเต้
        “ไม่รู้จัก”อองรีตอบแต่ยังอ่านหนังสืออยู่
        “เฮ้ยไม่รู้จักแล้วพวกหล่อนเดินเข้ามาทักแกทำไมวะ”
        “ไม่รู้”
        “เหรอ แต่ฉันว่ายังเวโรนิก้าต้องชอบแกแหงเลย”
        “ไม่รู้”
        “เฮ้ย อองรี พูดกับแกนี่เหมือนคุยกับตัวเองเลยนะเว้ย ตอบอะไรที่มันดีๆกว่านี้หน่อยสิวะ”คราวนี้มิทอสพูดแต่น้ำเสียงมีน้ำโหเล็กน้อย
        “ก็ฉันไม่รู้ แล้วแกจะให้ฉันตอบว่าอะไรล่ะ”คนตอบคำถามเริ่มหมดความอดทนลดหนังสือลง มองได้คนถามด้วยสายตาเย็นชา “ถ้าแกอยากรู้นักแกก็ไปถามเวโรนิก้าเองเองสิ”
        “วะ อองรีถ้าฉันกล้าฉันก็ไม่มาถามแกหรอกเว้ย”มิทอสตอบแต่ตอนนี้ความอดทนมันขาดผึงไปเรียบร้อยแล้ว
        “เดี๋ยวๆเดี๋ยวก่อนพวกแกนี่ยังไงนะอ้าปากคุยกันไม่ได้เป็นต้องทะเลาะกัน” ดันเต้เดินเข้ามาห้ามก่อนสงครามย่อยๆกลางห้องนั่งเล่นจะเกิดขึ้น หลังจากดันเต้พูดจบอองรีก็เก็บของเดินออกไปทันที
        “เฮ้ย อองรี แกจะไปไหน”มิทอสตะโกนถาม
        “กลับห้อง”อองรีตอบแต่เท้ายังเดินต่อ
        “ฉันไปด้วย” มิทอสตอบพร้อมวิ่งตามอองรีไป
        “เฮ้อ ไอ้พวกนี้ทะเลาะกันอยู่แหม็บๆดีกันแล้ว”ดันเต้พูดพร้อมทั้งวิ่งตามอองรีกับมิทอสไปโดยลืมปล่อยให้สี่สาวมองพวกเค้าอย่าง งงๆ
        ทันทีที่ถึงห้องเจ้าตัวดีก็รีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำ ส่วนอองรีเดินเอาหนังสือไปเก็บ ดันเต้เดินไปนั่งบนเตียง
        “อองรี แกว่าพวกเรานี่ทำไมถึงได้สนิทกันได้วะ”ดันเต้เปิดบทสนทนา
        “อาจจะเป็นเพราะว่า พวกเราต่างเก็บความลับของซึ่งกันและกันล่ะมั้ง”อองรีพูดพร้อมทั้งเดินมานั่งบนเตียงของตัวเอง
        “อืม มันก็จริงนะ ฉันเป็นพวกนอกรีต แกเป็นเผ่าปีศาจและไอ้มิทอสก็เป็นครึ่งหญิงครึ่งชาย”ดันเต้พูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
        “เฮ้ย ไม่ใช่ๆ ยังมีมากกว่านั้นอีกเว้ย”มิทอสที่เดินออกมาจากห้องน้ำพูดขึ้น และเดินมากอดคอเพื่อนทั้งสอง
        “เพราะพวกเรา มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันมิตรภาพ เราจะไม่มีทางทิ้งกันพวกเรายอมตายแทนกันได้ ถ้าเรียกแบบผู้หญิงก็คือเรามีพรมลิขิตร่วมกันไง”มิทอสพูดทั้งที่หน้ายังยิ้มอยู่
        “ฮะๆๆๆๆ”มิทอส ดันเต้ และอองรี หัวเราะขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่มิทอสจะเริ่มก่อสงครามหมอนขนาดย่อม
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น