ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE HOLY

    ลำดับตอนที่ #3 : MARS TOWER

    • อัปเดตล่าสุด 13 ส.ค. 48


    MARS TOWER



            เมื่อเดินเข้ามาถึงในห้องก็ต้องพบว่าอองรีกำลังจัดเสื่อผ้าอยู่อย่างใจเย็น



            “ว้าว  ได้อยู่ห้องเดียวกันโชคดีชมัดเลย”มิทอสพูดพร้อมเดินเข้ามากอดคอเพื่อนทั้ง 2 “ฮะๆๆ หัวเรอะซิวะ อองรี ได้อยู่ห้องเดียวกันเลยนะ ยิ้มซี่” มิทอสไม่พูดอย่างเดียวแถมยังเอามือไปดึงปากเพื่อนให้มันยิ้มอีกตะหาก อองรีรีบปัดมือมันออกไป และไปง่วนอยู่กับการจัดเสื่อผ้า



            “โธ่  อองรีแกน่ะมันน่าจริงๆเลย เอาเหอะยกโทษให้เพราะว่าวันนี้ฉันอารมณ์ดี”มิทอสพูดพร้อมกับเดินไปจัดกระเป๋าของตัวเอง



            “เฮ้ย ดันเต้ ไอ้อองรี มันเป็นอะไรของมันวะ” มิทอสหันไปถามไอ้คนที่นั่งเงียบอยู่นาน



            “ไม่รู้ว่ะ ไม่แน่มันอาจจะหึงก็ได้มั้งก็วันนี้แกเอามือไปจับกับไอ้แจ็กมันนี่นา แถมยังมาสายเรื่องผู้หญิงอีกด้วย”ดันเต้พูดซึ่งมิทอสพยักหน้าหงึกๆแล้วก็ต้องผงะออกเพราะคำตอบของเพื่อนของมัน



            “เฮ้ย  ไอ้บ้าฉันเป็นผู้ชายนะเว้ย”มิทอสร้องเสียงหลง



            “มันก็ไม่แน่นะเว้ยเพราะไอ้คำสาบที่ 4 วันเป็นชาย 3วันเป็นหญิง จริงๆแล้วแกอาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้”ดันเต้พูดด้วยสีหน้าซีเรียส



            “เฮ้ย ไอ้บ้าอย่างฉันเนี่ยยังไงมันต้องเป็นผู้ชายแน่นอนอยู่แล้วเว้ย แต่ฉันว่านะไอ้อองรี มันจะต้องโมโหหิวแหงเลย” มิทอสพูดไปหัวเรอะหึๆไปด้วย



            “เฮ้ย ไอ้นั่นมันอองรีนะ ไม่ใช่แก  แล้วแกพูดอย่างเนี้ยแปลว่าหิวแล้วล่ะสิ”ดันเต้พูดพร้อมหัวเราะเป็นการใหญ่



            “เอ่อ~~  แหม แกนี่สมเป็นเพื่อนฉันจริงๆนะ รู้ใจฉันไปหมด” มิทอสไม่พูดเปล่าลากไอ้เพื่อนสองตัวไปที่โรงอาหารด้วย



            หลังจากนั่งสวาปามอาหารอยู่ได้ซักพัก แจ็กก็เดินเข้ามานั่งข้างๆมิทอส ซึ่งดันเต้อดขำไม่ได้กับหน้าตาบุญไม่รับของอองรี



            “พวกเธอนี่โชคดีจังเลยนะ ได้อยู่ห้องเดียวกันด้วย ฉันซิต้องอยู่กับคนไม่รู้จัก”แจ๊กเปิดบทสนทนาทันทีที่นั่ง



            ตึก ตึก ตึก



            เสียงฝีเท้าของสี่สาวเดินเข้ามาซึ่งความงามของพวกหล่อนที่ทำเอาผู้ชายทุกคนต้องเหลียวมอง ไม่เว้นแม้แต่พวกมิทอส แต่ที่ดูจะไม่สนใจก็มีแต่เพียงอองรี ความเด่นของพวกหล่อนคงเป็นเพราะความงามที่แตกต่างกัน อย่างคนที่เดินนำเข้ามาเธอมีใบหน้าที่จัดได้ว่าสวยคม ผมสีบรอนและนัยตาสีฟ้า ที่เดินตามเธอมาเป็นสาวน้อยดูน่ารัก ผมและตาสีน้ำตาลที่ทำให้เธอดูมีเสน่ห์ ส่วนสองคนที่เดินตามมาข้างหลังถึงจะไม่ค่อยโดดเด่นแต่พวกเธอเป็นฝาแฝดกัน แต่คนนึงผมสีฟ้า แต่อีกคนผมสีชมพู พวกหล่อนทั้งสี่คนแต่ชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนคือเสื่อแขนกุดคอทรงสูงกระโปรงมินิสเกิตร์สีเทาและแหวนที่มีลัญลักษณ์ของ mt (MARS TOWER)



            “โห   สวยชมัดเลย”เสียงแรกเป็นของดันเต้ ส่วนมิทอสแค่พยักหน้าหงึกๆเป็นเชิงเห็นด้วย



            “เฮ้ยๆๆ  อองรีพวกหล่อนหันมาทางแกด้วยนะ”ดันเต้หันมาพูดกับอองรี แต่อองรีแค่เหลือบขึ้นมามองแค่เล็กน้อยและก็ก้มลงกินข้าวต่อ



            “นี่พวกแกน่ะ ไม่รู้อะไรเลยเหรอ”แจ๊กถามขึ้นพร้อมกับมองหน้าเพื่อนใหม่งงๆ



            “รู้อะไรเหรอ”คราวนี้มิทอสเป็นฝ่ายถาม



            “ก็ผู้หญิงผมสีบรอนที่เดินนำหน้านั่นน่ะคือเจ้าหญิงแห่งเลออาร์ฟ ประเทศที่ปกครองด้วยผู้หญิง ส่วนผู้หญิงผมสีน้ำตาลนั่นน่ะคือเทพีแห่งวิหารแมนมาเรียน่า และสองสาวข้างหลังที่เป็นฝาแฝดกันก็เป็นลูกสาวของก็อดแฮนอัสวินพิทักษ์หอคอยสันติภาพเลยนะเว้ย เอาเป็นว่าทางที่ดีอย่าไปยุ่งจะดีกว่า ขอเตือนๆ”แจ๊กพูดจบก็เอนตัวไปบนเก้าอี้



            “โห อุตส่ามีผู้หญิงโผล่มาคนแรกในทาวเวอร์ก็ดันเป็นดอกฟ้าซะนี่ อย่างนี้ก็จีบไม่ได้สิวะ”ดันเต้พูดอย่างนึกเสียดาย



            “ไม่ใช่จีบไม่ได้แต่อย่าจีบจะดีกว่า”คลาวนี้อองรีพูดขึ้นมา



            “เออ จริงอย่างที่อองรีมันพูด ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็แปลว่าไม่ใช่ว่าจีบไม่ได้ล่ะสินะ”คราวนี้มิทอสพูดขึ้นมาบ้าง



            “แต่ แกน่ะจีบไม่ได้”อองรีพูดพร้อมหันไปมองมิทอสด้วยสายตาเย็นๆ



            “เฮ้ยได้ไงวะ อย่าบอกนะว่าแกจะจีบคนเดียว ฉันไม่ยอมนะเว้ย”มิทอสพูดพร้อมลุกขึ้นจากโต๊ะมองไปยังคนที่ทำท่าทางใจเย็นอยู่



            “เฮ้ยๆ พอๆ เรารีบไปประชุมกันดีกว่า เดี๋ยวสาย”ดันเต้รีบพูดเพื่อตัดปัญหา แล้วลากเพื่อนทั้งสองของมันที่ทำท่าว่าจะกัดกันออกจากโรงอาหาร



            ที่ประชุมของพวกเค้าคือตึกcsนั่นเองแต่ครั้งก่อนที่พวกเค้ามาเป็นห้องโล่งกว้างแต่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยเก้าอี้ที่มีเป็นชั้นๆ และแบ่งออกตามสี พวกมิทอสเห็นดังนั้นจึงพากันเดินไปนั่งที่ส่วนที่เป็นเก้าอี้สีแดง ซึ่งเมื่อมองลงจากตรงนี้จะเห็นเวทีอย่างชัดเจน มันเป็นเวทีที่มีขนาดใหญ่ซึ่งมีเก้าอี้ตั้งอยู่ค่อนข้างเยอะและแบ่งตามสีเหมือนกับของพวกเขา ซึ่งตอนนี้มีอาจาร์ยมานั่งค่อนข้างเยอะแล้ว แต่ที่นั่งตรงกลางซึ่งคาดว่าเป็นของผอ.ยังว่างอยู่



            “เอาล่ะ นักเรียนทุกคนนี่ก็ถึงเวลาอันสมควรแล้ว เชิญท่านผอ. ขึ้นมาด้วยค่ะ”อาจาร์ยที่พูดเป็นอาจาร์ยประจำตึกมาส์แต่มิทอสจำได้ว่าเค้าเป็นคนนำทางไปยังห้องทดสอบ



            ทันทีที่อาจาร์ยหญิงคนนั้นพูดจบอาจาร์ยใหญ่ก็เดินขึ้นมา เค้าเป็นชายแก่ที่มีท่าทางสง่างามและสง่าผ่าเผย มีรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่บนใบหน้า มิทอสจำได้ว่าเค้าคืออาจาร์ยที่ทดสอบเค้า



            “สวัสดี และยินดีต้อนรับ ลูกชายลูกสาวทุกคนอาจาร์ยชื่อมาติน ชายร์ สำหรับที่นี่จะไม่มีการแบ่งแยก ทุกคนอยู่ที่นี่ ทุกคนคือนักเรียน เป็นลูกชายและลูกสาวของอาจาร์ยทุกท่าน ในช่วงเวลา4ปีนี้พ่ออยากจะเห็นทุกคนอยู่กันอย่างสนุกสนาน ปลอดภัย และอยู่ด้วยกันด้วยความรัก และอีกอย่างนึงที่พ่อคนนี้ปราถนามากที่สุดคือ ลูกๆทุกคนสามารถกลับออกไปและนำความรู้ที่ได้ไปใช้อย่างคุ้มค่า ซึ่งความรู้เหล่านี้มันจะปกป้องลูกๆคุ้มคลองและดูแล เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พ่อจะมอบให้แก่ลูกๆได้ จงอยู่ อย่างพี่ อย่างน้องดูแลกันและกัน ให้เหมือนที่พ่อดูแลลูกๆ”ชายแก่คนนั้นพูดจบ พร้อมกับเสียงปรบมือของเหล่าบรรดานักเรียน เมื่อพูดจบผอ.ก็เดินลงไปจากเวที ซึ่งอาจาร์ยคนเดิมเข้ามาทำหน้าที่แทน



            “เอาล่ะจ๊ะนักเรียนมาดามอยากให้นักเรียนทุกคนไปพบกับหัวหน้าประจำทาวเวอร์เพื่อรับข้อชี้แจงการอยู่ร่วมกันนะจ๊ะ”อาจาร์ยคนนั้นพูดจบก็เดินลงไปทันทีส่วนพวกนักเรียนเมื่อได้ยินดังนั้นก็พากันทยอยกลับทาวเวอร์ของตน



            “เอาล่ะนักเรียนปีหนึ่งทุกคน”เป็นเสียงของรุ่นพี่นิโคไลท์ “เรามีกฎระเบียบเล็กน้อยสำหรับการอยู่ร่วมกัน ข้อแรกถ้าต้องการประลองหรือต่อสู้กัน สำหรับตึกเราแล้วถือว่าไม่ผิดแต่จะต้องไม่ทำให้ตึกเรียนหรืออาคารเสียหายเด็ดขาด  ข้อสองการเข้าเรียนของที่นี่ค่อนข้างตรงต่อเวลาเพราะฉะนั้นฉันหวังว่าคงไม่ได้ยินว่ามีใครเข้าเรียนสายนะ ส่วนอีกข้อถือว่าเป็นกฎเฉพาะกับตึก mt ซึ่งตั้งโดยรุ่นพี่รุ่นแรก อย่าสู้กันเองอย่างระแวงพรรคพวก ศตรูพรรคพวกคือศตรูเราอย่าเหมาเอาเพื่อนเราเป็นศตรู อ้อแล้วอีกอย่างนึงพวกตึกเรามักจะมีปัญหากับพวก qt (เมอคิวรี่ ทาวเวอร์) เสมอ เพราะฉะนั้นทางที่ดีอย่าไปยุ่งกับพวกเค้าจะดีกว่า สุดท้ายอาจาร์ยของที่นี่ ผู้ชายเราจะเรียกว่ามิสเตอร์ ส่วนผู้หญิงให้เรียกมาดาม กฎทั้งหมดก็มีแค่นี้มีอะไรจะถามมั้ย”



            “รุ่นพี่ครับ แล้วเวลาปิดหอ หรือข้อห้ามล่ะครับ”ชายหนุ่มคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม



            “กฎพวกนั้นสำหรับมาส์ทาวเวอร์ตั้งไปก็เท่านั้น มีก็เหมือนไม่มีก็เลยเลิกใช้ไปแล้วล่ะ”รุ่นพี่ตอบแต่หน้าตายังอมยิ้มอยู่ “ถ้าพวกนายไม่มีอะไรแล้ว ก็แยกย้ายกันไปได้แต่อย่าเข้าเรียนสาย อาหารเช้าวันพรุ่งนี้แม่ครัวบอกว่าจะทำพาสต้า สำหรับตึกมาส์แล้วถือว่าเป็นอาหารที่รสดีที่สุดเพราะฉะนั้นฉันอยากให้พวกนายทุกคนลงมากิน”เมื่อรุ่นพี่พูดจบก็เดินออกไปทันที



            ทันทีที่รุ่นพี่ไปเหล่าลิงทะโมนประจำมาส์ทาวเวอร์ก็จับกลุ่มกันเม้าส์กันเป็นแถบบางคนก็เดินทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่



            “สวัสดีจ๊ะ อองรี” เป็นเสียงของสาวน้อยผมบรอนพูดขึ้น เสียงของเธอหวานกว่าที่พวกมิทอสคิดไว้มาก ส่วนอองรีแค่ยิ้มเล็กน้อยและก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ



            “สวัสดีครับ ผมดันเต้ และเพื่อนผมมิทอส”มิทอสเริ่มเปิดบทสนทนาทันที



            “ฉันเวโรนิก้า เลออาร์ฟค่ะ”สาวผมบรอนพูดขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม “และนี่ ลิลลี่ บราวเพื่อนของฉันเองค่ะ” เวโรนิก้าผายมือออกเผยให้เห็นเพื่อนของเธอที่มีผมสีน้ำตาลซึ่งพวกมิทอสโบกมือเล็กน้อยเป็นเชิงสวัสดี “ส่วนสองคนนี้คนผมฟ้าชื่อโอเด็ทคนผมชมพูชื่อไนติงเกล”



             “สวัสดีครับสาวๆ”ดันเต้พูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ซึ่งมิทอสโบกมือเป็นเชิงทักทายส่วนอองรีแค่เหลือบมองเล็กน้อยพร้อมทั้งผงกหัวนิดนึงเป็นเชิงทักทาย



            “อองรี แกรู้จักเวโรนิก้าด้วยเหรอ” มิทอสหันมาถาม แต่ยังมองพวกเวโรนิก้าที่คุยอยู่กับดันเต้



            “ไม่รู้จัก”อองรีตอบแต่ยังอ่านหนังสืออยู่



            “เฮ้ยไม่รู้จักแล้วพวกหล่อนเดินเข้ามาทักแกทำไมวะ”



            “ไม่รู้”



            “เหรอ แต่ฉันว่ายังเวโรนิก้าต้องชอบแกแหงเลย”



            “ไม่รู้”



            “เฮ้ย อองรี พูดกับแกนี่เหมือนคุยกับตัวเองเลยนะเว้ย ตอบอะไรที่มันดีๆกว่านี้หน่อยสิวะ”คราวนี้มิทอสพูดแต่น้ำเสียงมีน้ำโหเล็กน้อย



            “ก็ฉันไม่รู้ แล้วแกจะให้ฉันตอบว่าอะไรล่ะ”คนตอบคำถามเริ่มหมดความอดทนลดหนังสือลง มองได้คนถามด้วยสายตาเย็นชา “ถ้าแกอยากรู้นักแกก็ไปถามเวโรนิก้าเองเองสิ”



            “วะ อองรีถ้าฉันกล้าฉันก็ไม่มาถามแกหรอกเว้ย”มิทอสตอบแต่ตอนนี้ความอดทนมันขาดผึงไปเรียบร้อยแล้ว



            “เดี๋ยวๆเดี๋ยวก่อนพวกแกนี่ยังไงนะอ้าปากคุยกันไม่ได้เป็นต้องทะเลาะกัน” ดันเต้เดินเข้ามาห้ามก่อนสงครามย่อยๆกลางห้องนั่งเล่นจะเกิดขึ้น หลังจากดันเต้พูดจบอองรีก็เก็บของเดินออกไปทันที



            “เฮ้ย อองรี แกจะไปไหน”มิทอสตะโกนถาม



            “กลับห้อง”อองรีตอบแต่เท้ายังเดินต่อ



            “ฉันไปด้วย” มิทอสตอบพร้อมวิ่งตามอองรีไป



            “เฮ้อ ไอ้พวกนี้ทะเลาะกันอยู่แหม็บๆดีกันแล้ว”ดันเต้พูดพร้อมทั้งวิ่งตามอองรีกับมิทอสไปโดยลืมปล่อยให้สี่สาวมองพวกเค้าอย่าง งงๆ



            ทันทีที่ถึงห้องเจ้าตัวดีก็รีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำ ส่วนอองรีเดินเอาหนังสือไปเก็บ ดันเต้เดินไปนั่งบนเตียง



            “อองรี แกว่าพวกเรานี่ทำไมถึงได้สนิทกันได้วะ”ดันเต้เปิดบทสนทนา



            “อาจจะเป็นเพราะว่า พวกเราต่างเก็บความลับของซึ่งกันและกันล่ะมั้ง”อองรีพูดพร้อมทั้งเดินมานั่งบนเตียงของตัวเอง



            “อืม มันก็จริงนะ ฉันเป็นพวกนอกรีต แกเป็นเผ่าปีศาจและไอ้มิทอสก็เป็นครึ่งหญิงครึ่งชาย”ดันเต้พูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ



            “เฮ้ย ไม่ใช่ๆ ยังมีมากกว่านั้นอีกเว้ย”มิทอสที่เดินออกมาจากห้องน้ำพูดขึ้น และเดินมากอดคอเพื่อนทั้งสอง



            “เพราะพวกเรา มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันมิตรภาพ เราจะไม่มีทางทิ้งกันพวกเรายอมตายแทนกันได้ ถ้าเรียกแบบผู้หญิงก็คือเรามีพรมลิขิตร่วมกันไง”มิทอสพูดทั้งที่หน้ายังยิ้มอยู่



            “ฮะๆๆๆๆ”มิทอส ดันเต้ และอองรี หัวเราะขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่มิทอสจะเริ่มก่อสงครามหมอนขนาดย่อม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×