ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านชายทั้งหลาย ช่วยเลิกปีนเตียงองค์ราชินีซักทีเถอะ!!

    ลำดับตอนที่ #10 : Turn 08 – คำสาปแห่งเกรกอรี่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.83K
      534
      26 ก.ค. 63


     

              เพล้ง!


                ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย จิตใจที่เลื่อนลอยกลับเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์กวาดมองแก้วทรงสูงที่หลุดมือตกแตกจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างเสียดาย เขาพ่นลมหายใจยาวเหยียด ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มจางอยู่เสมอฉายแววกลัดกลุ้ม


              นี่ก็แก้วใบที่ 3 แล้ว..


                หากเป็นเวลาปกติ คนรอบคอบและระมัดระวังเช่นเขาไม่มีทางทำพลาดแบบนี้แน่


                มือแกร่งภายใต้ถุงมือหนังสีดำกำแน่น สัมผัสได้ถึงอาการสั่นไหวเบาบาง ทั้งการที่เขาเหม่อลอยอยู่ในภวังค์ ทั้งการที่มือสั่นจนแม้แต่การเช็ดแก้วซึ่งเป็นงานง่ายแสนง่ายกลับตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก


                ไฮเรซแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากเล็กน้อย ขอบคุณที่ควีเนตต้าไม่เคยมีความคิดย่างกรายเข้ามาในครัวอยู่ในหัว ไม่เช่นนั้นเจ้าตัวคงเห็นภาพไม่น่าดูเมื่อครู่แน่


                เขาก้มเก็บเศษแก้วที่แตกละเอียดอย่างระมัดระวัง หารู้ไม่ว่าหญิงสาวในห้วงคำนึงนั้นกำลังยืนกอดอกมองเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นอยู่แถวบานประตูครัว ทีแรกควีเนตต้าก็เพียงคิดว่าอยากเข้ามาเดินเล่นในครัวหน่อยเท่านั้น ใครจะไปคิดว่าเธอจะได้เห็นพ่อบ้านที่เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วอย่างไฮเรซทำแก้วตกแตกถึง 3 รอบ


                และอาจจะเพราะกังวล เหม่อลอย หรืออะไรก็ไม่ทราบ เจ้าตัวกลับสัมผัสถึงตัวตนของเธอไม่ได้เลยทั้งที่เธอก็ไม่ได้อยู่ไกลขนาดนั้น ดวงตาสีแดงก่ำมองภาพนั้นอย่างครุ่นคิด ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปด้วยเสียงฝีเท้าที่เบาราวกับแมวเดิน


                หลังจากนั้นไม่นานฟาเบียนก็มาที่ปราสาทเอลิเซียมอีกครั้ง เขาสังเกตเห็นอาการแปลกประหลาดของพ่อบ้านหนุ่ม และเธอก็เล่ารายละเอียดให้ฟังเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีสนใจเรื่องนี้


                “เขาเป็นแบบนั้น?” ฟาเบียนถามหลังจากที่ฟังจบ


                “ใช่” เธอตอบโดยที่ยังไม่ละความสนใจจากชาเลือดไข่มุกในมือ มันเป็นเครื่องดื่มที่ฟาเบียนซื้อมาฝากจากหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก (แน่นอนว่าเธอไม่เคยไปเพราะไม่เคยก้าวขาออกจากปราสาท) ชาเลือดไข่มุกก็ตรงตามชื่อ ของเหลวก็คือชาที่ผสมด้วยเลือดเข้มข้น ส่วนไข่มุกข้างในก็ทำจากลิ่มเลือดที่ผสมกับผลไม้บางอย่างที่มีเฉพาะในแดนแวมไพร์เท่านั้นนำมาปั้นๆเป็นไข่มุก


                แดนมนุษย์มีชานมไข่มุกได้ แดนแวมไพร์ก็มีชาเลือดไข่มุกได้เช่นกัน


                “หนึบหนับอร่อยดี” เธอว่าหลังจากดูดไข่มุกเข้าปากไปจำนวนหนึ่ง จากท่าทีก็พอจะเดาได้ว่าแม้เธอจะคอยสังเกตอาการของไฮเรซ แต่ก็ทำไปโดยที่ไม่ได้มีความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยหรือมีความรู้สึกอะไรมากไปกว่าความสงสัยใคร่รู้


                “จะว่าไปก็— ไม่คิดว่าผู้นำตระกูลอย่างเจ้าจะว่างงานถึงกับซื้อชาเลือดไข่มุกมาให้ข้าด้วย”


                “สัปดาห์ก่อนเห็นท่านเบื่อๆ คิดว่าซื้อของทานเล่นแปลกๆให้คงอารมณ์ดีขึ้น”


                ใบหน้างามขยับขึ้นลง “อืม..ก็อารมณ์ดีขึ้นจริงๆ”


                พวกแฟรี่กับเอลฟ์ทำอาหารได้ในเมนูจำกัด ส่วนไฮเรซก็ไม่ได้มีฝีมือด้านนี้มากนัก ดังนั้นมื้ออาหารของเธอจึงค่อนข้างซ้ำซากจำเจอยู่บ้าง


              หลังจากนี้คงต้องหาพ่อครัวแม่ครัวซักคน


                “ส่วนเรื่องของพ่อบ้านนั่น ช่วงนี้เขาไม่ได้ออกไปข้างนอกนานแค่ไหนแล้ว” พัดลูกไม้ที่กำลังโบกเข้าหาตัวถูกหุบโดยพลัน หญิงสาวกลอกตาอย่างครุ่นคิดพลางตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ “ก็ตั้งแต่ที่เจอเจ้าวันนั้น รวมๆก็เกือบสองสัปดาห์ได้”


                “งั้นคงเกี่ยวกับตระกูลของเขา คำสาปแห่งเกรกอรี่”


                “คำ คำสาปอะไรนะ?


                ฟาเบียนนั่งหลังเหยียดตรงอย่างวางมาด ดวงตาสีอำพันสบตากับเธออยู่ครู่หนึ่ง เขาดูพอใจกับประกายความอยากรู้อยากเห็นเบาบางที่ฉาบอยู่บนนัยน์ตาของเธอเป็นอย่างมาก เขายิ้มดูภูมิฐานน่าเชื่อถือ “จริงๆจะเรียกคำสาปก็ไม่ถูก แต่เป็นที่รู้กันว่าตระกูลเกรกอรี่มีความต้องการ เรื่องนั้นมากกว่าปกติ”


                “เรื่องนั้น..” คิ้วของเธอขมวดเป็นโบ “เรื่องอะไร?


                “ความสัมพันธ์ทางกายของชายหญิง”


              พรวด!


                “แค่กๆๆ นี่ข้ากินอยู่ไม่เห็นรึไง มาพูดเรื่องอะไรเอาตอนนี้กัน” เธอกุลีกุจอเช็ดคราบชาเลือดที่เปรอะเปื้อนใบหน้าส่วนล่างอย่างเร่งรีบ ใบหน้าที่เฉยชามาโดยตลอดแสดงความกระดากและตกใจไปในเวลาเดียวกันจนกลายเป็นสีหน้าประหลาด โดยมีตัวต้นเหตุส่งผ้าเช็ดหน้ามาให้ด้วยดวงตาที่ทอประกายขำขัน


                “เขาเหม่อลอยไม่มีสมาธิอยู่บ่อยๆใช่มั้ย นั่นเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยมานาน ซึ่งขัดกับธรรมชาติของตระกูลเขา” ฟาเบียนโคลงศีรษะ “ก็มีข่าวลือบ้างเหมือนกันว่ามันเป็นคำสาปที่เชื้อพระวงศ์เอลิเซียมร่ายเอาไว้เพื่อแก้แค้นที่สมาชิกของตระกูลเกรกอรี่คนนึงในอดีตไม่ยอมร่วมหอกับเธอ”


              นั่นแวมไพร์หรืออะไร ทำไมร่ายคำสาปได้ด้วย..


                แต่กับราชวงศ์เอลิเซียมที่พวกเขาเชื่อว่ามีบรรพบุรุษเป็นเทวดาตกสวรรค์อย่างลูซิเฟอร์ เรื่องร่ายคำสาปก็คงเป็นข่าวลือที่ดูไม่ได้เกินจริงอะไรสำหรับพวกชาวบ้านล่ะมั้ง เธอกลอกตา คิดตามแล้วก็หมดอารมณ์กินชาเลือดไข่มุกเสียดื้อๆ


                “แล้ววิธีแก้ล่ะ” เธอถามต่อโดยกระแอมเล็กน้อยกลบเกลื่อนความรู้สึกเก้อกระดาก


                “ง่ายมาก ปล่อยเขาไปเสพสุขซักสัปดาห์ละครั้งสองครั้งก็บรรเทาได้บ้าง”


                “ไม่คิดรึไงว่าถ้าหมอนั่นอยากไปก็ไปได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ข้าปล่อยไปด้วยซ้ำ ประเด็นมันอยู่ที่เจ้าตัวไม่ยอมไปต่างหาก” ควีเนตต้าบ่นอุบอิบ


                “อีกหนทางหนึ่งคือท่านไปเสพสังวาสกับเขา..” ดวงตาสีอำพันเหลือบมองหญิงสาวที่คล้ายจะแข็งค้างไปเรียบร้อย เนตรคมฉายแววรู้ทันคล้ายสายตาที่ผู้ใหญ่มองเด็ก (เฮ้ เธออายุมากกว่าเขานะ) “แน่นอนว่าท่านคงไม่อยาก และข้าก็ไม่อนุญาตด้วย เขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ”


                แม้จะติดใจอยู่บ้าง แต่ความโล่งในกลับมีมากกว่า เธอถอนหายใจยาวเหยียด


                “แล้ว...”


                “เลือดของแวมไพร์สตรี นั่นพอจะช่วยได้บ้าง”


                เมื่อได้สิ่งที่ต้องการเธอก็ยิ้มกริ่ม ไฟแห่งความสงสัยใคร่รู้ถูกดับลง โบกพัดเข้าหาตัวและไม่สนใจชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามอีก ในเมื่อรู้วิธีแก้ปัญหาแล้ว ที่เหลือก็มีเพียงสั่งให้ใครซักคนไปหาของที่ว่านั่นก็พอ ฟาเบียนเห็นท่าทีสบายใจเฉิบเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงทุ้มต่ำ เขาสะบัดมือทีหนึ่งหนังสือปกหนังเกือบสิบเล่มก็ลอยมากองอยู่ตรงหน้า


                พัดในมือร่วงลงพื้น สายตาที่กำลังจะหันไปสนใจอย่างอื่นถูกดึงกลับมามองชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง


                “นี่คือทั้งหมดที่ท่านต้องอ่าน อีก 7 วันข้าจะมาที่นี่อีกครั้ง ถามคำถามทั้งหมด 100 ข้อ และท่านต้องตอบให้ถูก 95 ข้อ”


              ใครมันจะไปทำได้วะ!

     



                อืม..เธอทำได้


                หมายถึง— เธอผิดไปแค่สองข้อจากคำถามทั้งหมดนั่น แม้แต่ฟาเบียนยังมองเธอด้วยความพอใจปนเปกับความรู้สึกทึ่งคล้ายเจอสิ่งมหัศจรรย์อย่างที่ 8 ของโลกอะไรแบบนั้น เจ้าตัวคิดบทลงโทษหากตอบถูกไม่ถึง 95 ข้อมาเสียดิบดี น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่ามันจะเสียเปล่า


                “ข้าคงประเมินความสามารถทางการจำและการเรียนการสอนของราชวงศ์ต่ำเกินไป” นั่นคือสิ่งที่เขากล่าวหลังจากหายตกตะลึงเรียบร้อย


                แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงเขา แม้แต่ไฮเรซหรือตัวเธอเองก็ยังไม่คิดว่าจะทำได้จริงๆ มันน่าประหลาดใจตั้งแต่ที่เธอสามารถอ่านหนังสือเหล่านั้นรอบเดียวก็จำได้ทั้งหมด โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวข้องกับภูมิศาสตร์ หลักการปกครอง ยุทธศาสตร์ การเมือง การค้าและเศรษฐกิจ เธอล้วนคุ้นเคยคล้ายเคยเรียนมาก่อน แม้มีเนื้อหาใหม่ที่พึ่งเจอก็สามารถทำความเข้าใจได้ไม่ยาก มีเพียงประวัติศาสตร์เท่านั้นที่เธอต้องอ่านทวนถึงสามสี่รอบจึงเข้าใจ


                นั่นหมายความว่าเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนตอนที่เธอยังไม่ลงโลง— อะแฮ่ม ยังไม่หลับใหล เธอคงได้รับการเคี่ยวเข็ญเล่าเรียนอย่างหนัก ความรู้ถึงได้ยังติดตัวมาแม้จะหลับไปเกือบหมื่นปีแบบนี้


                เธอมองหนังสือประวัติศาสตร์ที่อยู่ในมือ เรื่องราวของราชวงศ์เอลิเซียมนั้นมีค่อนข้างน้อย อนึ่งเนื่องจากบันทึกของราชวงศ์ส่วนใหญ่ถูกเผาไหม้ไปพร้อมกับปราสาทเอลิเซียมเมื่อหมื่นกว่าปีก่อน แน่นอนว่าปราสาทหลังนี้ก็เป็นเพียงปราสาทที่เอลฟ์และแฟรี่ช่วยกันบูรณะให้คล้ายของเดิมมากที่สุดเท่านั้น


                และถ้าถามว่าทำไมคนเกียจคร้านตัวเป็นขนเช่นเธอถึงตะบี้ตะบันอ่านหนังสือเหล่านั้นจนจบได้ภายใน 1 สัปดาห์ คำตอบอย่างแรกก็คงจะเป็นข้อเสนอของไฮเรซที่บอกว่าจะซื้อนิยายเล่มใหม่ให้หากเธอผ่าน ส่วนคำตอบข้อที่สองคือเธอมีลางสังหรณ์ว่าหากไม่ผ่านฟาเบียนต้องหาอะไรมาเล่นงานเธอแน่ๆ


                และมันก็จริง— บทลงโทษหากไม่ผ่านคือการฝึกหฤโหดกับฟาเบียนทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลา 1 สัปดาห์เต็มจนกว่าพวก 6 ตระกูลใหญ่จะเดินทางมา


                “คนเฮงซวย” เธอสบถคำหยาบที่เรียนรู้มาจากแดนมนุษย์เสียงเบายามเมื่อนึกถึงบทลงโทษนั่น


                ไฮเรซที่กำลังเสิร์ฟขนมทานเล่นที่ทำจากเลือดลงบนโต๊ะหัวเราะเสียงทุ้มใส “ข้านึกว่านั่นเป็นคำที่ใช้เรียกมนุษย์คนนั้นเสียอีก”


                เธอโบกพัดไปมา เอนตัวนอนโดยศีรษะหนุนลงบนแขนที่พาดกับหมอนอิง พลางตอบเสียงเฉื่อย “นิโคลัสคือคนเฮงซวยคนที่ 1 หมอนี่คือคนเฮงซวยคนที่ 2”


                พ่อบ้านหนุ่มยิ้มกริ่ม ดูภูมิใจมากที่ตัวเองไม่กลายเป็นหนึ่งในนั้น


                “มันแปลว่าอะไร” คิ้วโก่งเป็นคันศรขมวดเข้าหากัน ดวงตาสีอำพันมีเงามืดพาดผ่านยามมองบุคคลทั้งสองที่สื่อสารกันโดยมีประเด็นเป็นคำศัพท์ที่เขาไม่เข้าใจ คล้ายมีความรู้สึกประหลาดเกาะกุมหัวใจของเขา เป็นความรู้สึกริษยาอันน่ารังเกียจนัก ชายหนุ่มหลับตาลงครู่หนึ่งและเมื่อลืมตาขึ้นมาใหม่เงาดำนั้นก็หายไป


                “เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ตัวเองไม่ชอบหน้าครับ” ไฮเรซตอบอย่างสุภาพ


                ราชครูหนุ่มมองหญิงสาวตัวต้นเหตุนิ่ง ควีเนตต้าลอบกลอกตามองบน “ก็แค่เรียกไปงั้น เจ้าอย่าได้ใส่ใจ”


                “ดี” ฟาเบียนกล่าวเพียงแค่นั้น ไม่ใช่ว่าเขาเชื่อสิ่งที่ควีเนตต้ากล่าว เพียงแต่คร้านจะสนใจจึงเลือกที่จะตัดบทสนทนาโดยการยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ แม้แวมไพร์จะทานอาหารมนุษย์ไม่ได้ แต่เครื่องดื่มเช่น น้ำชา น้ำผลไม้ หรือนม หากใส่เลือดลงไปในปริมาณที่พอเหมาะก็สามารถทานได้ไม่ยาก


                “ข้าจะหาข้ารับใช้ไว้ให้ท่านจำนวนหนึ่ง ยังไงซะพ่อบ้านคนเดียวของท่านก็คงไม่มีความสามารถมากถึงขั้นคอยเสิร์ฟน้ำเสิร์ฟอาหารให้ขุนนางจาก 6 ตระกูลใหญ่ทุกคนได้หรอก”


                ก็จริง..พวกเอลฟ์กับแฟรี่ที่คอยทำความสะอาดและทำอาหารก็ไม่ชอบแสดงตัวต่อหน้าผู้อื่น คงไม่สามารถมาช่วยไฮเรซดูแลแขกได้


                “หากประกาศรับสมัครจากขุนนางชั้นล่างและพวกชาวบ้าน นั่นมันค่อนข้างวุ่นวาย..โดยเฉพาะเรื่องหนอนบ่อนไส้” ควีเนตต้าที่ยังนอนหนุนแขนกับหมอนอิงว่า


                “ไม่ต้องห่วง” ฟาเบียนกล่าวเสียงทุ้ม “ข้าจะเลือกพวกเขามาจากข้ารับใช้ในปราสาทตระกูลมอสเวน”


                หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นเจ้าของปราสาทไม่ได้ตอบกลับ ทว่าดวงตาสีแดงก่ำที่มักไร้แววดูเอื่อยเฉื่อยกลับฉายแววลึกล้ำอ่านยาก ข้ารับใช้จากปราสาทมอสเวนงั้นหรือ— นั่นก็ชัดเจนแล้วว่าข้ารับใช้เหล่านั้นขึ้นตรงและภักดีต่อใคร รับใช้เธอก็ส่วนหนึ่ง จับตามองและคอยรายงานความเคลื่อนไหวก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง


              ฟาเบียน จิ้งจอกเฒ่าแห่งตระกูลมอสเวน


                “องค์หญิง..” ไฮเรซกล่าวเรียกหญิงสาวด้วยความเป็นกังวล คิดว่าเจ้าตัวก็คงรู้เช่นกันว่าการรับข้ารับใช้จากมอสเวนมามันหมายความว่ายังไง


                แต่แล้วอย่างไรเล่า..เมื่อเธอได้ขึ้นเป็นราชินีอย่างเป็นทางการ ก็ค่อยเปิดรับสมัครเฟ้นหาข้ารับใช้ที่ไว้ใจได้ แถมตอนนั้นเธอคงมีเวลาทดสอบความภักดีและแยกพวกหนอนออกไปด้วย


                “งั้นข้าไม่เกรงใจเจ้า ขอซัก..” เธอทำทีเป็นครุ่นคิด “10 ถึง 15 คนกำลังดี”


                “เข้าใจแล้ว”


    มุมปากของเธอยกขึ้นสูง


    อยู่ไปอยู่มา— ค่อยหาเรื่องไล่ออกแล้วแทนที่ด้วยคนของเธอก็ยังไม่สาย

     



                หลังจากที่ฟาเบียนกลับไปแล้ว ภายในห้องรับแขกจึงเหลือเพียงควีเนตต้าและไฮเรซเท่านั้น เธอยังคงนอนในท่าเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปเห็นจะเป็นดวงตาสีแดงฉานที่ปิดสนิทคล้ายไม่ต้องการให้ใครรบกวน ซึ่งไฮเรซก็รู้ความนัยนั้นดีและเป็นคนนิ่งสงบพอที่จะยืนอยู่เฉยๆไม่รบกวนการพักสายตาของนายเหนือหัว


                สายลมเย็นสบายพัดเข้ามาภายในห้องผ่านบานหน้าต่างที่เปิดอ้า แสงจันทร์สีขาวนวลเล็ดรอดออกมากระทบกับใบหน้างามที่ยังคงหลับตาพริ้มอยู่บนโซฟาตัวหรู ผมสีขาวประกายเงินยาวสยายแผ่เต็มโซฟา ผิวขาวละเอียดค่อนไปทางซีดตัดกับชุดกระโปรงสีดำสนิทอย่างลงตัว กลายเป็นภาพที่งดงามราวกับภาพวาดของจิตกรชั้นเอก


                เธอดูคล้ายกับราชสีห์ที่กำลังหลับใหล


                เขาเดินออกจากห้องอย่างไร้เสียงฝีเท้า เพียงชั่วครู่ก็กลับมาพร้อมกับผ้าห่มผืนบางในมือ ไฮเรซค่อยๆวางมันทาบทับลงบนเรือนร่างของหญิงสาว จนแน่ใจว่าไม่มีส่วนใดของร่างกายเธอเล็ดรอดออกจากผ้าห่มเขาจึงได้ถอยหลังกลับไปยืนที่เดิม


                หมับ!


                ร่างอรชรที่คิดว่าหลับใหลไปแล้วหยัดตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มือเรียวสวยคว้าข้อมือของเขาแล้วฉุดกระชากเข้ามาด้วยแรงที่ไม่มากไม่น้อยจนเขาเซไปหาอีกฝ่าย โชคยังดีที่ยั้งตัวไม่ให้ล้มลงไปบนโซฟาได้ทัน


                ดวงเนตรสีแดงก่ำของหญิงสาวหรี่ลง


                “กลิ่นเลือดชัดเกินไป” เธอพึมพำ แน่นอนว่ากลิ่นเลือดที่ว่านั่นไม่ได้หมายถึงกลิ่นเลือดของไฮเรซ แต่เป็นกลิ่นเลือดของแวมไพร์สตรีที่อบอวลอยู่รอบตัวของอีกฝ่าย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพ่อบ้านของเธอคนนี้คงดื่มไปทีละหลายๆแก้วเพื่อดับความกระหายและความร้อนรุ่มที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง


                “มันทำให้ข้าหงุดหงิดนิดหน่อย” เพราะกลิ่นเลือดที่ว่านั่นทำให้เธอลำคอแห้งผากเกือบตลอดเวลา


                “ขออภัยครับ ข้าจะไปอาบน้ำล้างตัวและดื่มมันให้น้อยลง”


                ควีเนตต้าสบตากับดวงเนตรสีอะเมทิสต์คู่นั้นท่ามกลางความเงียบงัน สิ่งใดที่ทำให้เธอไม่พอใจไฮเรซย่อมไม่ทำ เขามีความเป็นพ่อบ้านและข้ารับใช้ส่วนตัวของเธอสูงมากเสียจนดูไม่ออกว่าแท้จริงแล้วเขาก็ถือเป็นแวมไพร์ขุนนางตระกูลหนึ่ง เธอพ่นลมหายใจยาวเหยียดพลางเสตามองไปทางอื่น “ไม่ต้องหรอก แค่ไปเตรียมชามาให้ข้าซักถ้วยก็พอ”


                “เข้าใจแล้วครับ” ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงต่ำก่อนก้าวขาออกจากห้องไป


                ดวงเนตรสีแดงฉานมองตามบานประตูที่ถูกปิดลง มีเพียงเลือดของแวมไพร์สตรีหรือมนุษย์สตรีเท่านั้นที่สามารถบรรเทาอาการที่ฟาเบียนและคนอื่นๆเรียกว่า คำสาปแห่งเกรกอรี่ นั่นได้ แน่นอนว่าแค่บรรเทาความร้อนรุ่มที่เกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้หายขาดแต่อย่างใด


                ดื่มมากถึงเพียงนั้น— ขวดเลือดที่ฟาเบียนให้ไว้เมื่อเกือบสัปดาห์ก่อนคงแทบไม่เหลือแล้ว


                เธอหลุบตาต่ำอย่างครุ่นคิด เลือดที่ฟาเบียนนำมาให้ไฮเรซเป็นเลือดจากข้ารับใช้สตรีในปราสาทของเขา เลือดจากแวมไพร์สตรีชาวบ้านที่ขายเลือดเพื่อหาเงิน (มีชาวบ้านจำนวนมากทำเช่นนี้เนื่องจากเลือดของแวมไพร์นั้นขายได้ราคาดีระดับหนึ่ง) ไม่ก็เลือดที่พวกมนุษย์บริจาคในโรงพยาบาล มือเรียวโบกพัดเข้าหาตัว พลางเอื้อนเอ่ยประโยคหนึ่งเสียงเบาหวังเพียงให้แฟรี่และเอลฟ์ตัวจ้อยที่เร้นกายอยู่ในเงามืดภายในห้องได้ยิน


                “ไปหาเลือดให้เขาเพิ่ม ถ้าเป็นไปได้ก็เลือดบุตรีของพวกขุนนาง ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”


                เธอได้ยินเสียงวิ้งคล้ายเป็นการตอบรับ ก่อนที่จะสัมผัสได้ว่าพลังงานเล็กจ้อยภายในห้องที่เธอสัมผัสได้ก่อนหน้านี้ลอยหายไปแล้วผ่านทางหน้าต่าง หญิงสาวปิดเปลือกตาลงก่อนเอนกายนอนลงเช่นเดิม



    มาอัพแล้วค่า ฮือ หายไปนานมากกกกกกกกกก (คิดว่าครั้งหน้าก็น่าจะนานประมาณนี้แหละค่ะ แหะ)

    ไว้เจอกันตอนหน้านะคะ ถ้าเจอคำผิดก็ทักได้น๊า





    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×