คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Turn 08 – คำสาปแห่งเกรกอรี่
เพล้ง!
ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย
จิตใจที่เลื่อนลอยกลับเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว
ดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์กวาดมองแก้วทรงสูงที่หลุดมือตกแตกจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างเสียดาย
เขาพ่นลมหายใจยาวเหยียด
ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มจางอยู่เสมอฉายแววกลัดกลุ้ม
นี่ก็แก้วใบที่
3 แล้ว..
หากเป็นเวลาปกติ
คนรอบคอบและระมัดระวังเช่นเขาไม่มีทางทำพลาดแบบนี้แน่
มือแกร่งภายใต้ถุงมือหนังสีดำกำแน่น
สัมผัสได้ถึงอาการสั่นไหวเบาบาง ทั้งการที่เขาเหม่อลอยอยู่ในภวังค์
ทั้งการที่มือสั่นจนแม้แต่การเช็ดแก้วซึ่งเป็นงานง่ายแสนง่ายกลับตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก
ไฮเรซแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากเล็กน้อย
ขอบคุณที่ควีเนตต้าไม่เคยมีความคิดย่างกรายเข้ามาในครัวอยู่ในหัว
ไม่เช่นนั้นเจ้าตัวคงเห็นภาพไม่น่าดูเมื่อครู่แน่
เขาก้มเก็บเศษแก้วที่แตกละเอียดอย่างระมัดระวัง
หารู้ไม่ว่าหญิงสาวในห้วงคำนึงนั้นกำลังยืนกอดอกมองเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นอยู่แถวบานประตูครัว
ทีแรกควีเนตต้าก็เพียงคิดว่าอยากเข้ามาเดินเล่นในครัวหน่อยเท่านั้น
ใครจะไปคิดว่าเธอจะได้เห็นพ่อบ้านที่เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วอย่างไฮเรซทำแก้วตกแตกถึง
3 รอบ
และอาจจะเพราะกังวล
เหม่อลอย หรืออะไรก็ไม่ทราบ
เจ้าตัวกลับสัมผัสถึงตัวตนของเธอไม่ได้เลยทั้งที่เธอก็ไม่ได้อยู่ไกลขนาดนั้น
ดวงตาสีแดงก่ำมองภาพนั้นอย่างครุ่นคิด ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปด้วยเสียงฝีเท้าที่เบาราวกับแมวเดิน
หลังจากนั้นไม่นานฟาเบียนก็มาที่ปราสาทเอลิเซียมอีกครั้ง
เขาสังเกตเห็นอาการแปลกประหลาดของพ่อบ้านหนุ่ม
และเธอก็เล่ารายละเอียดให้ฟังเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีสนใจเรื่องนี้
“เขาเป็นแบบนั้น?” ฟาเบียนถามหลังจากที่ฟังจบ
“ใช่”
เธอตอบโดยที่ยังไม่ละความสนใจจากชาเลือดไข่มุกในมือ
มันเป็นเครื่องดื่มที่ฟาเบียนซื้อมาฝากจากหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก
(แน่นอนว่าเธอไม่เคยไปเพราะไม่เคยก้าวขาออกจากปราสาท) ชาเลือดไข่มุกก็ตรงตามชื่อ
ของเหลวก็คือชาที่ผสมด้วยเลือดเข้มข้น ส่วนไข่มุกข้างในก็ทำจากลิ่มเลือดที่ผสมกับผลไม้บางอย่างที่มีเฉพาะในแดนแวมไพร์เท่านั้นนำมาปั้นๆเป็นไข่มุก
แดนมนุษย์มีชานมไข่มุกได้
แดนแวมไพร์ก็มีชาเลือดไข่มุกได้เช่นกัน
“หนึบหนับอร่อยดี”
เธอว่าหลังจากดูดไข่มุกเข้าปากไปจำนวนหนึ่ง จากท่าทีก็พอจะเดาได้ว่าแม้เธอจะคอยสังเกตอาการของไฮเรซ
แต่ก็ทำไปโดยที่ไม่ได้มีความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยหรือมีความรู้สึกอะไรมากไปกว่าความสงสัยใคร่รู้
“จะว่าไปก็—
ไม่คิดว่าผู้นำตระกูลอย่างเจ้าจะว่างงานถึงกับซื้อชาเลือดไข่มุกมาให้ข้าด้วย”
“สัปดาห์ก่อนเห็นท่านเบื่อๆ
คิดว่าซื้อของทานเล่นแปลกๆให้คงอารมณ์ดีขึ้น”
ใบหน้างามขยับขึ้นลง
“อืม..ก็อารมณ์ดีขึ้นจริงๆ”
พวกแฟรี่กับเอลฟ์ทำอาหารได้ในเมนูจำกัด
ส่วนไฮเรซก็ไม่ได้มีฝีมือด้านนี้มากนัก
ดังนั้นมื้ออาหารของเธอจึงค่อนข้างซ้ำซากจำเจอยู่บ้าง
หลังจากนี้คงต้องหาพ่อครัวแม่ครัวซักคน
“ส่วนเรื่องของพ่อบ้านนั่น
ช่วงนี้เขาไม่ได้ออกไปข้างนอกนานแค่ไหนแล้ว”
พัดลูกไม้ที่กำลังโบกเข้าหาตัวถูกหุบโดยพลัน
หญิงสาวกลอกตาอย่างครุ่นคิดพลางตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ
“ก็ตั้งแต่ที่เจอเจ้าวันนั้น รวมๆก็เกือบสองสัปดาห์ได้”
“งั้นคงเกี่ยวกับตระกูลของเขา
คำสาปแห่งเกรกอรี่”
“คำ
คำสาปอะไรนะ?”
ฟาเบียนนั่งหลังเหยียดตรงอย่างวางมาด
ดวงตาสีอำพันสบตากับเธออยู่ครู่หนึ่ง
เขาดูพอใจกับประกายความอยากรู้อยากเห็นเบาบางที่ฉาบอยู่บนนัยน์ตาของเธอเป็นอย่างมาก
เขายิ้มดูภูมิฐานน่าเชื่อถือ “จริงๆจะเรียกคำสาปก็ไม่ถูก แต่เป็นที่รู้กันว่าตระกูลเกรกอรี่มีความต้องการ
‘เรื่องนั้น’ มากกว่าปกติ”
“เรื่องนั้น..”
คิ้วของเธอขมวดเป็นโบ “เรื่องอะไร?”
“ความสัมพันธ์ทางกายของชายหญิง”
พรวด!
“แค่กๆๆ
นี่ข้ากินอยู่ไม่เห็นรึไง มาพูดเรื่องอะไรเอาตอนนี้กัน” เธอกุลีกุจอเช็ดคราบชาเลือดที่เปรอะเปื้อนใบหน้าส่วนล่างอย่างเร่งรีบ
ใบหน้าที่เฉยชามาโดยตลอดแสดงความกระดากและตกใจไปในเวลาเดียวกันจนกลายเป็นสีหน้าประหลาด
โดยมีตัวต้นเหตุส่งผ้าเช็ดหน้ามาให้ด้วยดวงตาที่ทอประกายขำขัน
“เขาเหม่อลอยไม่มีสมาธิอยู่บ่อยๆใช่มั้ย
นั่นเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยมานาน ซึ่งขัดกับธรรมชาติของตระกูลเขา”
ฟาเบียนโคลงศีรษะ
“ก็มีข่าวลือบ้างเหมือนกันว่ามันเป็นคำสาปที่เชื้อพระวงศ์เอลิเซียมร่ายเอาไว้เพื่อแก้แค้นที่สมาชิกของตระกูลเกรกอรี่คนนึงในอดีตไม่ยอมร่วมหอกับเธอ”
นั่นแวมไพร์หรืออะไร
ทำไมร่ายคำสาปได้ด้วย..
แต่กับราชวงศ์เอลิเซียมที่พวกเขาเชื่อว่ามีบรรพบุรุษเป็นเทวดาตกสวรรค์อย่างลูซิเฟอร์
เรื่องร่ายคำสาปก็คงเป็นข่าวลือที่ดูไม่ได้เกินจริงอะไรสำหรับพวกชาวบ้านล่ะมั้ง
เธอกลอกตา คิดตามแล้วก็หมดอารมณ์กินชาเลือดไข่มุกเสียดื้อๆ
“แล้ววิธีแก้ล่ะ”
เธอถามต่อโดยกระแอมเล็กน้อยกลบเกลื่อนความรู้สึกเก้อกระดาก
“ง่ายมาก
ปล่อยเขาไปเสพสุขซักสัปดาห์ละครั้งสองครั้งก็บรรเทาได้บ้าง”
“ไม่คิดรึไงว่าถ้าหมอนั่นอยากไปก็ไปได้อยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องให้ข้าปล่อยไปด้วยซ้ำ ประเด็นมันอยู่ที่เจ้าตัวไม่ยอมไปต่างหาก” ควีเนตต้าบ่นอุบอิบ
“อีกหนทางหนึ่งคือท่านไปเสพสังวาสกับเขา..”
ดวงตาสีอำพันเหลือบมองหญิงสาวที่คล้ายจะแข็งค้างไปเรียบร้อย เนตรคมฉายแววรู้ทันคล้ายสายตาที่ผู้ใหญ่มองเด็ก
(เฮ้ เธออายุมากกว่าเขานะ) “แน่นอนว่าท่านคงไม่อยาก และข้าก็ไม่อนุญาตด้วย
เขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ”
แม้จะติดใจอยู่บ้าง
แต่ความโล่งในกลับมีมากกว่า เธอถอนหายใจยาวเหยียด
“แล้ว...”
“เลือดของแวมไพร์สตรี
นั่นพอจะช่วยได้บ้าง”
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการเธอก็ยิ้มกริ่ม
ไฟแห่งความสงสัยใคร่รู้ถูกดับลง
โบกพัดเข้าหาตัวและไม่สนใจชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามอีก
ในเมื่อรู้วิธีแก้ปัญหาแล้ว ที่เหลือก็มีเพียงสั่งให้ใครซักคนไปหาของที่ว่านั่นก็พอ
ฟาเบียนเห็นท่าทีสบายใจเฉิบเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงทุ้มต่ำ เขาสะบัดมือทีหนึ่งหนังสือปกหนังเกือบสิบเล่มก็ลอยมากองอยู่ตรงหน้า
พัดในมือร่วงลงพื้น
สายตาที่กำลังจะหันไปสนใจอย่างอื่นถูกดึงกลับมามองชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง
“นี่คือทั้งหมดที่ท่านต้องอ่าน
อีก 7 วันข้าจะมาที่นี่อีกครั้ง ถามคำถามทั้งหมด 100 ข้อ และท่านต้องตอบให้ถูก 95
ข้อ”
ใครมันจะไปทำได้วะ!
อืม..เธอทำได้
หมายถึง—
เธอผิดไปแค่สองข้อจากคำถามทั้งหมดนั่น แม้แต่ฟาเบียนยังมองเธอด้วยความพอใจปนเปกับความรู้สึกทึ่งคล้ายเจอสิ่งมหัศจรรย์อย่างที่
8 ของโลกอะไรแบบนั้น เจ้าตัวคิดบทลงโทษหากตอบถูกไม่ถึง 95 ข้อมาเสียดิบดี
น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่ามันจะเสียเปล่า
“ข้าคงประเมินความสามารถทางการจำและการเรียนการสอนของราชวงศ์ต่ำเกินไป”
นั่นคือสิ่งที่เขากล่าวหลังจากหายตกตะลึงเรียบร้อย
แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงเขา
แม้แต่ไฮเรซหรือตัวเธอเองก็ยังไม่คิดว่าจะทำได้จริงๆ
มันน่าประหลาดใจตั้งแต่ที่เธอสามารถอ่านหนังสือเหล่านั้นรอบเดียวก็จำได้ทั้งหมด
โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวข้องกับภูมิศาสตร์ หลักการปกครอง ยุทธศาสตร์ การเมือง
การค้าและเศรษฐกิจ เธอล้วนคุ้นเคยคล้ายเคยเรียนมาก่อน
แม้มีเนื้อหาใหม่ที่พึ่งเจอก็สามารถทำความเข้าใจได้ไม่ยาก
มีเพียงประวัติศาสตร์เท่านั้นที่เธอต้องอ่านทวนถึงสามสี่รอบจึงเข้าใจ
นั่นหมายความว่าเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนตอนที่เธอยังไม่ลงโลง—
อะแฮ่ม ยังไม่หลับใหล เธอคงได้รับการเคี่ยวเข็ญเล่าเรียนอย่างหนัก
ความรู้ถึงได้ยังติดตัวมาแม้จะหลับไปเกือบหมื่นปีแบบนี้
เธอมองหนังสือประวัติศาสตร์ที่อยู่ในมือ
เรื่องราวของราชวงศ์เอลิเซียมนั้นมีค่อนข้างน้อย
อนึ่งเนื่องจากบันทึกของราชวงศ์ส่วนใหญ่ถูกเผาไหม้ไปพร้อมกับปราสาทเอลิเซียมเมื่อหมื่นกว่าปีก่อน
แน่นอนว่าปราสาทหลังนี้ก็เป็นเพียงปราสาทที่เอลฟ์และแฟรี่ช่วยกันบูรณะให้คล้ายของเดิมมากที่สุดเท่านั้น
และถ้าถามว่าทำไมคนเกียจคร้านตัวเป็นขนเช่นเธอถึงตะบี้ตะบันอ่านหนังสือเหล่านั้นจนจบได้ภายใน
1 สัปดาห์ คำตอบอย่างแรกก็คงจะเป็นข้อเสนอของไฮเรซที่บอกว่าจะซื้อนิยายเล่มใหม่ให้หากเธอผ่าน
ส่วนคำตอบข้อที่สองคือเธอมีลางสังหรณ์ว่าหากไม่ผ่านฟาเบียนต้องหาอะไรมาเล่นงานเธอแน่ๆ
และมันก็จริง—
บทลงโทษหากไม่ผ่านคือการฝึกหฤโหดกับฟาเบียนทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลา 1
สัปดาห์เต็มจนกว่าพวก 6 ตระกูลใหญ่จะเดินทางมา
“คนเฮงซวย”
เธอสบถคำหยาบที่เรียนรู้มาจากแดนมนุษย์เสียงเบายามเมื่อนึกถึงบทลงโทษนั่น
ไฮเรซที่กำลังเสิร์ฟขนมทานเล่นที่ทำจากเลือดลงบนโต๊ะหัวเราะเสียงทุ้มใส
“ข้านึกว่านั่นเป็นคำที่ใช้เรียกมนุษย์คนนั้นเสียอีก”
เธอโบกพัดไปมา เอนตัวนอนโดยศีรษะหนุนลงบนแขนที่พาดกับหมอนอิง
พลางตอบเสียงเฉื่อย “นิโคลัสคือคนเฮงซวยคนที่ 1 หมอนี่คือคนเฮงซวยคนที่ 2”
พ่อบ้านหนุ่มยิ้มกริ่ม
ดูภูมิใจมากที่ตัวเองไม่กลายเป็นหนึ่งในนั้น
“มันแปลว่าอะไร”
คิ้วโก่งเป็นคันศรขมวดเข้าหากัน ดวงตาสีอำพันมีเงามืดพาดผ่านยามมองบุคคลทั้งสองที่สื่อสารกันโดยมีประเด็นเป็นคำศัพท์ที่เขาไม่เข้าใจ
คล้ายมีความรู้สึกประหลาดเกาะกุมหัวใจของเขา เป็นความรู้สึกริษยาอันน่ารังเกียจนัก
ชายหนุ่มหลับตาลงครู่หนึ่งและเมื่อลืมตาขึ้นมาใหม่เงาดำนั้นก็หายไป
“เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ตัวเองไม่ชอบหน้าครับ”
ไฮเรซตอบอย่างสุภาพ
ราชครูหนุ่มมองหญิงสาวตัวต้นเหตุนิ่ง
ควีเนตต้าลอบกลอกตามองบน “ก็แค่เรียกไปงั้น เจ้าอย่าได้ใส่ใจ”
“ดี”
ฟาเบียนกล่าวเพียงแค่นั้น ไม่ใช่ว่าเขาเชื่อสิ่งที่ควีเนตต้ากล่าว
เพียงแต่คร้านจะสนใจจึงเลือกที่จะตัดบทสนทนาโดยการยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ
แม้แวมไพร์จะทานอาหารมนุษย์ไม่ได้ แต่เครื่องดื่มเช่น น้ำชา น้ำผลไม้ หรือนม
หากใส่เลือดลงไปในปริมาณที่พอเหมาะก็สามารถทานได้ไม่ยาก
“ข้าจะหาข้ารับใช้ไว้ให้ท่านจำนวนหนึ่ง
ยังไงซะพ่อบ้านคนเดียวของท่านก็คงไม่มีความสามารถมากถึงขั้นคอยเสิร์ฟน้ำเสิร์ฟอาหารให้ขุนนางจาก
6 ตระกูลใหญ่ทุกคนได้หรอก”
ก็จริง..พวกเอลฟ์กับแฟรี่ที่คอยทำความสะอาดและทำอาหารก็ไม่ชอบแสดงตัวต่อหน้าผู้อื่น
คงไม่สามารถมาช่วยไฮเรซดูแลแขกได้
“หากประกาศรับสมัครจากขุนนางชั้นล่างและพวกชาวบ้าน
นั่นมันค่อนข้างวุ่นวาย..โดยเฉพาะเรื่องหนอนบ่อนไส้” ควีเนตต้าที่ยังนอนหนุนแขนกับหมอนอิงว่า
“ไม่ต้องห่วง”
ฟาเบียนกล่าวเสียงทุ้ม “ข้าจะเลือกพวกเขามาจากข้ารับใช้ในปราสาทตระกูลมอสเวน”
หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นเจ้าของปราสาทไม่ได้ตอบกลับ
ทว่าดวงตาสีแดงก่ำที่มักไร้แววดูเอื่อยเฉื่อยกลับฉายแววลึกล้ำอ่านยาก ข้ารับใช้จากปราสาทมอสเวนงั้นหรือ—
นั่นก็ชัดเจนแล้วว่าข้ารับใช้เหล่านั้นขึ้นตรงและภักดีต่อใคร รับใช้เธอก็ส่วนหนึ่ง
จับตามองและคอยรายงานความเคลื่อนไหวก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง
ฟาเบียน
จิ้งจอกเฒ่าแห่งตระกูลมอสเวน
“องค์หญิง..”
ไฮเรซกล่าวเรียกหญิงสาวด้วยความเป็นกังวล
คิดว่าเจ้าตัวก็คงรู้เช่นกันว่าการรับข้ารับใช้จากมอสเวนมามันหมายความว่ายังไง
แต่แล้วอย่างไรเล่า..เมื่อเธอได้ขึ้นเป็นราชินีอย่างเป็นทางการ
ก็ค่อยเปิดรับสมัครเฟ้นหาข้ารับใช้ที่ไว้ใจได้
แถมตอนนั้นเธอคงมีเวลาทดสอบความภักดีและแยกพวกหนอนออกไปด้วย
“งั้นข้าไม่เกรงใจเจ้า
ขอซัก..” เธอทำทีเป็นครุ่นคิด “10 ถึง 15 คนกำลังดี”
“เข้าใจแล้ว”
มุมปากของเธอยกขึ้นสูง
อยู่ไปอยู่มา—
ค่อยหาเรื่องไล่ออกแล้วแทนที่ด้วยคนของเธอก็ยังไม่สาย
หลังจากที่ฟาเบียนกลับไปแล้ว
ภายในห้องรับแขกจึงเหลือเพียงควีเนตต้าและไฮเรซเท่านั้น เธอยังคงนอนในท่าเดิม
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปเห็นจะเป็นดวงตาสีแดงฉานที่ปิดสนิทคล้ายไม่ต้องการให้ใครรบกวน
ซึ่งไฮเรซก็รู้ความนัยนั้นดีและเป็นคนนิ่งสงบพอที่จะยืนอยู่เฉยๆไม่รบกวนการพักสายตาของนายเหนือหัว
สายลมเย็นสบายพัดเข้ามาภายในห้องผ่านบานหน้าต่างที่เปิดอ้า
แสงจันทร์สีขาวนวลเล็ดรอดออกมากระทบกับใบหน้างามที่ยังคงหลับตาพริ้มอยู่บนโซฟาตัวหรู
ผมสีขาวประกายเงินยาวสยายแผ่เต็มโซฟา
ผิวขาวละเอียดค่อนไปทางซีดตัดกับชุดกระโปรงสีดำสนิทอย่างลงตัว
กลายเป็นภาพที่งดงามราวกับภาพวาดของจิตกรชั้นเอก
เธอดูคล้ายกับราชสีห์ที่กำลังหลับใหล
เขาเดินออกจากห้องอย่างไร้เสียงฝีเท้า
เพียงชั่วครู่ก็กลับมาพร้อมกับผ้าห่มผืนบางในมือ
ไฮเรซค่อยๆวางมันทาบทับลงบนเรือนร่างของหญิงสาว
จนแน่ใจว่าไม่มีส่วนใดของร่างกายเธอเล็ดรอดออกจากผ้าห่มเขาจึงได้ถอยหลังกลับไปยืนที่เดิม
หมับ!
ร่างอรชรที่คิดว่าหลับใหลไปแล้วหยัดตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
มือเรียวสวยคว้าข้อมือของเขาแล้วฉุดกระชากเข้ามาด้วยแรงที่ไม่มากไม่น้อยจนเขาเซไปหาอีกฝ่าย
โชคยังดีที่ยั้งตัวไม่ให้ล้มลงไปบนโซฟาได้ทัน
ดวงเนตรสีแดงก่ำของหญิงสาวหรี่ลง
“กลิ่นเลือดชัดเกินไป”
เธอพึมพำ แน่นอนว่ากลิ่นเลือดที่ว่านั่นไม่ได้หมายถึงกลิ่นเลือดของไฮเรซ
แต่เป็นกลิ่นเลือดของแวมไพร์สตรีที่อบอวลอยู่รอบตัวของอีกฝ่าย
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพ่อบ้านของเธอคนนี้คงดื่มไปทีละหลายๆแก้วเพื่อดับความกระหายและความร้อนรุ่มที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
“มันทำให้ข้าหงุดหงิดนิดหน่อย”
เพราะกลิ่นเลือดที่ว่านั่นทำให้เธอลำคอแห้งผากเกือบตลอดเวลา
“ขออภัยครับ
ข้าจะไปอาบน้ำล้างตัวและดื่มมันให้น้อยลง”
ควีเนตต้าสบตากับดวงเนตรสีอะเมทิสต์คู่นั้นท่ามกลางความเงียบงัน
สิ่งใดที่ทำให้เธอไม่พอใจไฮเรซย่อมไม่ทำ
เขามีความเป็นพ่อบ้านและข้ารับใช้ส่วนตัวของเธอสูงมากเสียจนดูไม่ออกว่าแท้จริงแล้วเขาก็ถือเป็นแวมไพร์ขุนนางตระกูลหนึ่ง
เธอพ่นลมหายใจยาวเหยียดพลางเสตามองไปทางอื่น “ไม่ต้องหรอก
แค่ไปเตรียมชามาให้ข้าซักถ้วยก็พอ”
“เข้าใจแล้วครับ”
ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงต่ำก่อนก้าวขาออกจากห้องไป
ดวงเนตรสีแดงฉานมองตามบานประตูที่ถูกปิดลง
มีเพียงเลือดของแวมไพร์สตรีหรือมนุษย์สตรีเท่านั้นที่สามารถบรรเทาอาการที่ฟาเบียนและคนอื่นๆเรียกว่า
คำสาปแห่งเกรกอรี่ นั่นได้ แน่นอนว่าแค่บรรเทาความร้อนรุ่มที่เกิดขึ้น
ไม่ได้ทำให้หายขาดแต่อย่างใด
ดื่มมากถึงเพียงนั้น—
ขวดเลือดที่ฟาเบียนให้ไว้เมื่อเกือบสัปดาห์ก่อนคงแทบไม่เหลือแล้ว
เธอหลุบตาต่ำอย่างครุ่นคิด
เลือดที่ฟาเบียนนำมาให้ไฮเรซเป็นเลือดจากข้ารับใช้สตรีในปราสาทของเขา
เลือดจากแวมไพร์สตรีชาวบ้านที่ขายเลือดเพื่อหาเงิน
(มีชาวบ้านจำนวนมากทำเช่นนี้เนื่องจากเลือดของแวมไพร์นั้นขายได้ราคาดีระดับหนึ่ง)
ไม่ก็เลือดที่พวกมนุษย์บริจาคในโรงพยาบาล มือเรียวโบกพัดเข้าหาตัว
พลางเอื้อนเอ่ยประโยคหนึ่งเสียงเบาหวังเพียงให้แฟรี่และเอลฟ์ตัวจ้อยที่เร้นกายอยู่ในเงามืดภายในห้องได้ยิน
“ไปหาเลือดให้เขาเพิ่ม
ถ้าเป็นไปได้ก็เลือดบุตรีของพวกขุนนาง ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
เธอได้ยินเสียงวิ้งคล้ายเป็นการตอบรับ
ก่อนที่จะสัมผัสได้ว่าพลังงานเล็กจ้อยภายในห้องที่เธอสัมผัสได้ก่อนหน้านี้ลอยหายไปแล้วผ่านทางหน้าต่าง
หญิงสาวปิดเปลือกตาลงก่อนเอนกายนอนลงเช่นเดิม
มาอัพแล้วค่า ฮือ หายไปนานมากกกกกกกกกก (คิดว่าครั้งหน้าก็น่าจะนานประมาณนี้แหละค่ะ แหะ)
ไว้เจอกันตอนหน้านะคะ ถ้าเจอคำผิดก็ทักได้น๊า
ความคิดเห็น