ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KHR & KNB] The Black Carnival | all27 & all x kuroko

    ลำดับตอนที่ #8 : Canival 07 :: In The Mist

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.05K
      151
      10 ส.ค. 62

     

     

     

             เสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาสีอะความารีนมองไปยังทางเดินที่เคยว่างเปล่า แต่บัดนี้กลับมีเพื่อนๆรวมถึงรุ่นพี่และรุ่นน้องของเขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรน ไม่ห่างกันนั้นคือนักเรียนที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลพวกเขาอย่างสึนะและเพื่อนในกลุ่มของเจ้าตัว หนึ่งในนั้นคือยามาโมโตะที่ดูจะกังวลกว่าคนอื่นนิดหน่อย

     

              “เขาเป็นไงบ้าง” เหล่าเด็กหนุ่มหลายสิบคนยืนมุงกันอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน นอกจากเด็กหนุ่มผมฟ้าที่นั่งรอเพื่อติดตามอาการของคิเสะแล้ว ก็มีทาคาโอะและซากุราอิที่พึ่งกลับมาหลังจากไปทำแผลที่เกิดจากการล้มและการชกต่อยมาหมาดๆนั่งอยู่ข้างๆกัน คุโรโกะส่ายหน้ากับคำถามของหนึ่งในสมาชิกตัวจริงของทีมบาสไคโจ

     

              “หมอยังไม่ออกจากห้องฉุกเฉินเลยครับ แต่คิดว่าไหล่ของเขาคงใช้การไม่ได้ซักพัก” และมันเป็นความผิดของผม ประโยคสุดท้ายก็ได้แต่คิดในใจด้วยความรู้สึกผิดที่ท่วมท้น ถ้าเขาหนีทันล่ะก็— ถ้าเขารู้ตัวว่ามีคนซุ่มโจมตีด้านหลังล่ะก็—

     

              “ขอโทษนะ มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันน่าจะคิดได้ว่าที่นั่นเวลากลางคืนมันอันตรายเกินไปสำหรับเด็กต่างเมืองอย่างพวกนาย” ยามาโมโตะก้มหน้าลงต่ำด้วยสีหน้าเหมือนกำลังรู้สึกผิด 

     

              “แต่จากสภาพที่เห็น ต่อให้คนที่ไปเป็นเด็กเมืองนี้ก็อันตรายอยู่ดีล่ะน่า ฮ่าๆๆๆ” ทาคาโอะหัวเราะ แถมยังไม่ใช่อันตรายธรรมดาๆซะด้วย ต้องบอกว่าอันตรายมากต่างหากล่ะ

     

              “เขาเข้าห้องฉุกเฉินไปนานรึยังครับ คุฟุฟุ”

     

              คุโรโกะหันมามองคนถาม “ก็ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆได้ครับ”

     

              “เห” นัยน์ตาสองสีเหลือบมองผู้เป็นบอสของตน สึนะโยชิที่ยังคงมีสีหน้าสงบไร้ซึ่งความแตกตื่นหรือพิรุธใดๆ แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวมีวิธีแก้ปัญหานี้อยู่แล้ว นภาหนุ่มที่ยังคงอยู่ในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนนามิโมริแผนกมัธยมปลายเดินออกห่างจากกลุ่มคนเงียบๆโดยพยายามไม่ให้เป็นที่สังเกตของใคร

     

              สายหมอกที่เห็นดังนั้นจึงได้หายตัวไปอย่างเงียบงันไม่ให้ใครผิดสังเกต

     

              ร่างสองร่างของหนึ่งนภาและหนึ่งสายหมอกเดินเข้าไปในห้องผู้อำนวยการของโรงพยาบาลโดยไม่รีบร้อน โรงพยาบาลนามิโมริเวลาเกือบเที่ยงคืนนั้นช่างเงียบสงัด เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับชายวัยกลางคนที่กำลังนั่งตรวจเอกสารอยู่บนโต๊ะทำงาน นัยน์ตาคมภายใต้กรอบแว่นมองผู้มาใหม่

     

              “วองโกเล่?

     

              ไม่แปลกที่จะรู้จักกันดี ในเมื่อโรงพยาบาลนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของวองโกเล่แฟมิลี่นับตั้งแต่บอสรุ่นที่สิบแห่งวองโกเล่ขึ้นรับตำแหน่ง

     

              “สวัสดีครับผู้อำนวยการ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”

     

              “ยินดีที่ได้พบครับท่านวองโกเล่” ชายวัยกลางคนร่างสูงค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม ลุกขึ้นจากเก้าอี้หนังมาทักทายผู้ที่ให้การสนับสนุนโรงพยาบาลของเขาจนกลายเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงและมีอุปกรณ์ครบครันที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น

     

              “เอ่อ มาหาผมด้วยเรื่องอะไรหรือครับ?” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลคลี่ยิ้มกับคำถามนั้น มือเรียวหยิบแผ่นเอกสารจำนวนหนึ่งออกมาก่อนยื่นมือให้อีกฝ่าย

     

              “ผมต้องการเปลี่ยนแพทย์ที่รักษา คิเสะ เรียวตะ”

     

              “เปลี่ยนแพทย์? ทำไมหรือครับ?

     

              “เป็นเรื่องภายในวองโกเล่น่ะครับ ผมหวังว่าคุณจะไม่ถามอะไรต่อ และถ้าเป็นไปได้..ช่วยออกคำสั่งเชิญแพทย์ทุกคนออกจากห้องฉุกเฉินตอนนี้เลยนะครับ แพทย์ที่ผมเตรียมไว้มาถึงโรงพยาบาลนี้แล้ว”

     

              ชายวัยกลางคนกอดเอกสารแนบอก ใจจริงนั้นรู้สึกหวาดกลัวจนแทบจะอยากหนีไปให้ไกล ใครจะไปคิดว่าเด็กหนุ่มม.ปลายคนหนึ่งจะสามารถขึ้นเป็นนภาแห่งวองโกเล่และมีอิทธิพลต่อเมืองนามิโมริได้ขนาดนี้ เขาผงกศีรษะรัวๆ แม้จะได้รับการช่วยเหลือมามากมายแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นมาเฟีย

     

              คนธรรมดาเช่นเขาก็ต้องกลัวอยู่แล้ว

     

              “รับทราบครับ ผมจะจัดการให้เดี๋ยวนี้”

     

              ใบหน้าเรียวยิ้มอย่างยินดี “ขอบคุณครับ”

     

              ร่างเล็กเดินออกจากห้องของผู้อำนวยการโรงพยาบาลทันทีที่หมดธุระ ไม่ต้องเข้าไปกดดันก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องทำตามคำสั่งของเขาแน่ๆ บุญคุณที่ได้รับการช่วยเหลืออย่างมากล้น ไหนจะความหวาดกลัวในสถานะของเขา สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นแรงผลักดันให้อีกฝ่ายต้องทำตามที่เขาพูดโดยไม่มีข้อแม้

     

              “คุณไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่สินะครับ วองโกเล่”

     

              “อยู่กันสองคน เรียกเหมือนเดิมก็ได้ มุคุโร่” ชายตาสองสีคลี่ยิ้มก่อนปรากฎตัวขึ้นมาท่ามกลางสายหมอกที่โอบล้อมทางเดินของโรงพยาบาลโดยไม่ทราบสาเหตุ นัยน์ตาสองสีเมียงมองใบหน้าของบุคคลที่ตนเคยทั้งรักและชิงชัง มือเรียวผลักคนตัวเล็กกว่าไปชนกับผนังด้วยแรงที่ไม่ใช่น้อยๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลของผู้อยู่ใต้อาณัติช้อนตามองคนตัวสูงด้วยแววตาแสดงความเหนือกว่า

     

              “นายคิดจะทำอะไร”

     

              “คิดว่าทำยังไงดีคุณถึงจะกลายเป็นของผมคนเดียว”

     

              ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มกับคำกล่าวนั้น “นภาโอบอุ้มทุกสิ่ง”

     

              “แต่สายหมอกอยู่บนผืนดินครับ สึนะโยชิคุง”

     

              “นายจะบอกว่านายไม่ใช่ของฉันเหรอ?” มือทั้งสองข้างกอบกุมใบหน้าหล่อคมคายของผู้พิทักษ์หนุ่มเอาไว้ ก่อนที่จะเลื่อนมาโอบล้อมคอของอีกฝ่ายพร้อมกับเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ชิดจนได้กลิ่นหอมเย็นๆราวกับกลิ่นดอกไม้ป่าในยามเช้าที่เต็มไปด้วยสายหมอก แขนแกร่งทั้งสองข้างที่ยันกำแพงเพื่อกักร่างเล็กเอาไว้เริ่มอ่อนลง

     

              และในที่สุดก็เปลี่ยนจากการยันกำแพงเป็นการโอบกอดร่างเล็กเอาไว้จนใบหน้าใสนั่นจมอยู่กับอก มุคุโร่ซุกหน้าลงกับลาดไหล่เล็ก นัยน์ตาสองสีปิดลงพร้อมกับแรงกอดรัดที่มากขึ้น หากแต่ผู้เป็นนภากลับไม่คิดจะดันตัวออก ในทางกลับกัน..มือเล็กลูบแผ่นหลังนั้นเบาๆ

     

              “คุณก็รู้ ผมเป็นของคุณ..แค่ของคุณ”

     

              “ใช่” ร่างเล็กว่า “นายเป็นของฉัน”

     

              ร่างทั้งสองผละออกจากกัน มุคุโร่เสตามองไปทางอื่นแก้เก้อ นัยน์ตาสองสีเหลือบมองไปทางนู้นทางนี้ทีเหมือนไม่รู้จะโฟกัสไปที่อะไร สึนะยิ้มขำ

     

              “นี่นายเขิน?

     

              “ไร้สาระครับสึนะโยชิคุง คุณนี่ร้ายกาจขึ้นนะครับ”

     

              “ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้”

     

              “ครับๆ” ผู้พิทักษ์สายหมอกกลอกตา “ผมให้แพทย์ที่ใช้พลังไฟอรุณได้เปลี่ยนตัวกับแพทย์ในห้องฉุกเฉินแล้ว คิดว่าไม่นานก็คงหายดีเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน”

     

              “ก็คงต้องรักษาไหล่ที่หักของอีกฝ่ายก่อนล่ะนะ ทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิม เหลือแค่รอยฟกช้ำกับรอยแผลถลอกเล็กๆน้อยๆก็พอ และให้บอกพวกที่รออยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยว่าหมอนั่นไม่ได้เป็นอะไร แค่บาดเจ็บนิดหน่อย”

     

              “สมกับเป็นคุณนะครับ ถ้าทำแบบนั้นต่อให้พวกเขาไม่เชื่อก็พิสูจน์อะไรไม่ได้ เพราะถึงไปให้แพทย์ที่อื่นตรวจ..ก็จะไม่พบอะไรนอกจากอาการฟกช้ำเท่านั้น”

     

              “หึ แน่ล่ะ ถ้ามีคนรู้ว่าหมอนั่นไหล่หักขึ้นมา พวกผู้ปกครองต้องดึงตัวลูกตัวเองกลับไปแน่ ฉันไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรอก”

     

              ผู้พิทักษ์สายหมอกแค่นยิ้ม นัยน์ตาสองสีลอบมองใบหน้าของผู้เป็นนภาด้วยสายตาอ่านยาก

     

              “คุณร้ายกาจขึ้นจริงๆนั่นล่ะครับ คุฟุฟุ”  

     

     

     

     

     

              “จริงๆเหรอครับหมอ? หมอนั่นไม่ได้ไหล่หักแน่เหรอครับ?

     

              ทาคาโอะถามนายแพทย์ที่เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่เชื่อกับคำบอกเล่าเกี่ยวกับอาการของนายแบบหนุ่มเลยซักนิด มีแค่รอยฟกช้ำกับแผลถลอก..ทั้งๆที่โดยไม้เบสบอลฟาดที่ไหล่ขนาดนั่นน่ะนะ?

     

              “ครับ คุณคิเสะเพียงแค่สลบไปเพราะความอ่อนเพลีย เขามีไข้ขึ้นสูงเพราะอากาศเวลากลางคืนที่หนาวเย็น นอกนั้นก็เป็นแค่แผลถลอกฟกช้ำธรรมดาๆ”

     

             ไม่จริงน่า แล้วที่หายเข้าไปในห้องฉุกเฉินเกือบ 3 ชั่วโมงนั่นล่ะ?

     

              พวกเขาคิดในใจ โดยเฉพาะคุโรโกะ ทาคาโอะ และซากุราอิที่เห็นเหตุการณ์มากับตากว่าคิเสะโดนไม้เบสบอลฟาดเข้าที่ไหล่จริงๆ พวกเขาตัดสินใจให้คิเสะพักที่โรงพยาบาลเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น โดยมีคุโรโกะและเพื่อนในทีมไคโจอีก 2 คนเป็นคนมานอนเฝ้า

     

              แน่นอนว่าพวกเขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ว่าพรุ่งนี้หลังจากที่พาอีกฝ่ายออกจากโรงพยาบาล พวกเขาจะพาคิเสะไปตรวจกับแพทย์ที่อื่นอีกทีเพื่อความแน่ใจ

     

              แต่ผลที่ออกมาก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

     

              เด็กหนุ่มผมฟ้านั่งถอนหายใจอยู่บริเวณม้านั่งในสวนสาธารณะนามิโมริ นัยน์ตาสีอะความารีนเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย เขายังคงมีแผลถลอกและรอยฟกช้ำอยู่ตามร่างกายเพราะเหตุการณ์นั้น หวนนึกไปถึงเพื่อนผมทองซึ่งยังคงนอนซมอยู่ที่หอพักเพราะพิษไข้ด้วยความเป็นห่วง

     

              “ทั้งที่ไม้เบสบอลฟาดลงที่ไหล่แรงขนาดนั้นแท้ๆ”

     

             มันน่าเหลือเชื่อเกินไป

     

              “นายมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ยเท็ตสึ”

     

              “อาโอมิเนะคุง?

     

              กายสูงใหญ่หย่อนตัวลงนั่งข้างๆพลางหยิบผ้าชุบน้ำที่พาดอยู่บนคอมาเช็ดเหงื่อตามคอและใบหน้าของตัวเอง อาโอมิเนะวางแขนข้างหนึ่งไว้บนศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีฟ้านุ่มๆนั่น นัยน์ตาคมเสมองไปทางอื่น

     

              “คิดมากเรื่องคิเสะรึไง”

     

              “ก็นิดหน่อยครับ”

     

              “หมอนั่นไม่ได้เป็นอะไร นายควรดีใจสิ”

     

              “ก็ดีใจ แต่ผม— ไม่รู้สิ ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง มันดูแปลกๆ” ชายเจ้าของผิวสีแทนเกาหัวแกรก ไม่เข้าใจความคิดที่ซับซ้อนเกินไปของคนตัวเล็กกว่า ลึกๆแล้วนั้นกำลังรู้สึกอิจฉานายแบบหนุ่มคนนั้นที่ช่วงนี้ได้รับความเป็นห่วงและอยู่ในความคิดของคุโรโกะแทบจะตลอดเวลา

     

              “หงุดหงิดชะมัดเลยว่ะ”

     

              “เอ๋?

     

              “นายเอาแต่คิดถึงหมอนั่น มันหงุดหงิด” คุโรโกะมองอีกฝ่ายนิ่ง นัยน์ตาสีอะความารีนที่มักจะดูเฉยชาไร้อารมณ์อยู่เสมอกลับแฝงแววขบขันไว้เล็กน้อย

     

              “นี่คุณ..”

     

              “...”

     

              “ชอบคิเสะคุงเหรอครับ?

     

              “ไอบ้านี่!!!” มือใหญ่ผลักศีรษะทุยอย่างแรงจนร่างเล็กแทบจะเซถลาไปจากม้านั่ง ในใจนั้นกำลังครุ่นคิด ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กนี่จะซื่อบื้อกว่าที่เขาคิดมากนัก

     

              “เขินแล้วชอบใช้ความรุนแรงเหรอครับ?

     

              “ฉันไม่ได้ชอบมันโว้ยยยย!!

     

              “อ้าว แล้วชอบใครล่ะครับ?” ร่างเล็กเอียงคอมอง ร่างสูงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งเมื่อเผลอสบตากับนัยน์ตาสีสวยราวกับสีของท้องนภาคู่นั้น ร่างสูงเม้มปาก เสตามองไปทางอื่น ผิวสีแทนแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

     

             ชอบนายนั่นแหละ

     

              “ชอบคิเสะคุงจริงๆสินะครับ หน้าแดงเชียว”

     

              ....

     

              หมดคำจะพูด อาโอมิเนะกุมขมับกับคำพูดนั้น รู้สึกอยากจะโดดน้ำตายขึ้นมาเสียดื้อๆ บทจะรู้ทันก็ช่างรู้ทันคนอื่นจนน่ากลัว เป็นคนช่างสังเกตในเรื่องของคนอื่น แต่กลับซื่อบื้อเรื่องของตัวเองสุดๆ

     

              “เฮ้อ ช่างเถอะ” ชายหนุ่มถอนหายใจ ดึงแขนร่างเล็กให้ลุกขึ้น

     

              “รีบไปโรงยิมกันเถอะ เล่นบาสซักหน่อย ถือซะว่าแก้เครียด”

     

              ใบหน้าหวานยิ้มบางในยามที่คนตัวสูงกว่าไม่ทันได้สังเกต

     

              “ครับๆ ไปเล่นบาสกัน”

     

     

     

     

    ----------|----------|----------|----------|----------

     

     

     

              นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้กวาดตามองร่างของเหล่านักเรียนแลกเปลี่ยนซึ่งกำลังซ้อมกีฬากันอยู่ในสนามด้วยสายตาอ่านยาก เขาอยู่ในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนนามิโมริ สาเหตุเพราะไม่ได้ต้องการจะมาเพื่อฝึกซ้อมแต่อย่างใด แค่อยากเห็นทักษะและความสามารถของคนเหล่านี้กับตาเท่านั้น

     

              ข้างๆกันคือโกคุเดระและยามาโมโตะ ดูเหมือนว่าคนหลังนี่จะมาเพราะสนใจในสปิริตนักกีฬาของคนพวกนี้ล้วนๆ

     

              “ซาวาดะ นายไม่ซ้อมเหรอ?” ผู้เดินเข้ามาถามก็คือ มิยาจิ ยูยะ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่ 3 เป็นกัปตันทีมชูโตคุ อีกทั้งยังเป็นน้องชายของ มิยาจิ คิโยชิ สมาชิกทีมบาสชูโตคุที่พึ่งเรียนจบไปเมื่อปีที่แล้ว สึนะส่ายหน้ากับคำถามนั้น

     

              “ผมอยากดูทุกคนซ้อมมากกว่าน่ะครับ”

     

              “นายนี่แปลกคนจริงนะ” ฮิวงะที่เดินมาสมทบไหวไหล่ นัยน์ตาคมภายใต้กรอบแว่นลอบมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของรุ่นน้องด้วยแววตาอ่านยาก

     

              “ทั้งๆที่เป็นกัปตันเหมือนพวกฉันแท้ๆ”

     

              “นี่แกกล้าหาเรื่องรุ่นที่สิบเหรอ!?

     

              “ฮะๆ ใจเย็นสิโกคุเดระ รุ่นพี่เขาไม่ได้ว่าอะไรสึนะซักหน่อย” ลำบากยามาโมโตะที่ต้องมาปรามคนหัวร้อนง่าย แม้โกคุเดระจะพยายามฝึกฝนตัวเองจนใจเย็นขึ้นแล้ว แต่แน่นอนว่ามันไม่สามารถแก้ไขนิสัยบางส่วนของตัวเองได้ หนึ่งในนั้นคือการปกป้องนภาแห่งวองโกเล่อย่างออกหน้าออกตาจนน่าหมั่นไส้

     

              สึนะรู้ว่าคำพูดนั้นของฮิวงะไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร อีกฝ่ายก็แค่อยากให้เขาไปฝึกร่วมกับลูกทีมคนอื่นๆที่เป็นตัวสำรอง คงเพราะที่ผ่านมาเขาและสมาชิกทีมตัวจริงแทบไม่โผล่เข้ามาฝึกซ้อมในโรงยิมเลย คงคล้ายกับคำพูดกระตุ้นให้ขยันซ้อมล่ะมั้ง?

     

              “จะว่าไปฉันก็อยากซ้อมกับสึนะจังเหมือนกันนะ”

     

              “สึ— สึนะจัง?

     

              “แกกล้าดียังไงไปเรียกรุ่นที่สิบแบบนั้— “

     

              “เรย์โอะ..ไปเรียกเขาแบบนั้นได้ไง ไม่ได้สนิทกันไม่ใช่เหรอ?” อาคาชิมองใบหน้าของเด็กหนุ่มผมน้ำตาลซึ่งยังคงเหวออยู่หน่อยๆ เป็นคนที่บางทีก็ดูซื่อจนน่าตลก อย่างเช่นหน้าเหวอๆในตอนนี้ คงตกใจที่อยู่ๆก็ถูกเรียกแบบนั้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

     

              “โธ่เซย์จัง ก็ฉันอยากสนิทกับสึนะจังนี่ เหมือนที่..ฉันอยากสนิทกับเท็ตจังนั่นล่ะ” คุโรโกะที่กำลังจะพาสลูกจากฟุริฮาตะส่งให้อิซึกิถึงกับอึ้งจนเผลอพาสลงห่วง ปฏิกิริยาที่ไม่คาดฝันของเด็กหนุ่มผมฟ้าทำให้อาโอมิเนะ ทาคาโอะ คิเสะ และเหล่านักบาสคนอื่นๆถึงกับหลุดหัวเราะ

     

              “เรย์โอะ..” กรรไกรสีแดงถูกชูขึ้นพร้อมกับสีหน้าเหี้ยมๆของชายผมแดง นัยน์ตาสองสีมองร่างสูงกว่าของรุ่นพี่หนุ่ม รู้สึกคิ้วกระตุกยังไงชอบกล หากไม่ยับยั้งชั่งใจไว้อาจเผลอใช้กรรไกเจื๋อนคนตรงหน้าไปแล้ว

     

              “อะ— แฮะ ฉันล้อเล่นน่ะเซย์จัง ฮะๆๆๆ ไปล่ะ” ว่าแล้วก็ชิ่งหนีออกนอกโรงยิมไปทันที ทิ้งให้อาคาชิที่พึ่งรู้สึกตัวว่าเผลอหยิบกรรไกรติดตัวมาจากที่พักได้แต่กุมขมับ ดูเหมือนนิสัยแย่ๆจากอีกบุคลิกซึ่งติดตัวมาอย่างยาวนานจะยังคงไม่หายไป

     

              “ฮ่าๆๆๆ แกนี่ชอบพกของอันตรายไปไหนมาไหนจริงนะ”

     

              “คนพกระเบิดอย่างนายไม่น่าจะพูดอะไรแบบนั้นได้นะโกคุเดระ” ยามาโมโตะพูดเสียงเบาพลางหัวเราะ

     

             คนพกดาบอย่างนายก็เหมือนกันแหละ ยามาโมโตะ

     

              นภาแห่งวองโกเล่คิดในใจ

     

              บรรยากาศกลับมาครื้นเครงอีกครั้งหลังจากที่อาโอมิเนะทำใจกล้าไปล้ออาคาชิเรื่องฉายาที่ถูกคิดขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้วอย่าง นายน้อยกรรไกรบิน จนอาคาชิแทบจะหยิบกรรไกรขึ้นมาใช้อีกรอบ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องเก็บไปเมื่อพบว่าหนึ่งในคนที่ขำขันกับเรื่องนี้คือคุโรโกะที่หันหน้าไปทางอื่นทั้งยังพยายามกลั้นขำเพราะไม่อยากให้เขารู้สึกแย่

     

             ยังชอบทำตัวน่ารักเหมือนเดิม

     

              เอาเป็นว่าครั้งนี้ เขาจะปล่อยเพื่อนผิวแทนไปก่อนก็ได้ เห็นแก่ที่ทำให้คุโรโกะหัวเราะได้ล่ะนะ (แม้จะเป็นการขำแบบแอบๆก็เถอะ)

     

              “จะว่าไป พวกนายยังมาเรียนที่นี่ไม่ถึงเดือน แต่ฮอตสุดขั้ว!!” ผู้พิทักษ์อรุณแห่งวองโกเล่ซึ่งเข้ามาในโรงยิมตั้งแต่ตอนไหนไม่อาจทราบได้ว่าเสียงดัง สึนะโยชิหัวเราะก่อนพยักหน้าสนับสนุนกับคำพูดนั้น แม้พวกอาคาชิจะพึ่งมาแลกเปลี่ยนได้เพียงสัปดาห์กว่า แต่กลับเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนหญิงและนักเรียนชายมากจนน่าตกใจ

     

              และแน่นอนว่าตัวท็อปคงไม่พ้นอาคาชิที่มักทำตัวเป็นสุภาพบุรุษกับผู้หญิงจนดูราวกับเจ้าชาย กับคิเสะที่เป็นที่นิยมมากอยู่แล้วเนื่องจากเป็นนายแบบ รองจากสองคนนี้ก็คือฮิมุโระที่ดูราวกับเจ้าชายน้ำแข็ง นอกนั้นก็เป็นที่นิยมเช่นกัน แต่อาจจะไม่มากเท่าสามคนข้างต้น

     

              อ้อ อีกคนหนึ่ง

     

              อาโอมิเนะ

     

              ดูเหมือนว่าหมอนี่จะเป็นที่ชื่นชอบในหมู่เพื่อนผู้ชายมากพอสมควร คงเพราะเซนส์กีฬาที่มากล้นนั่น ไหนจะความนิยมชมชอบในหนังสือลามก ทำให้เข้ากันได้ดีกับพวกเพื่อนผู้ชายจนสนิทกับเพื่อนผู้ชายเกือบทั้งโรงเรียน

     

             แต่เขาไม่ได้จำหน้าได้ทุกคนหรอกนะ..

     

              คุโรโกะลอบมองคิเสะที่ยังคงนั่งหัวเราะกับการหยอกล้อกันระหว่างนักเรียนแลกเปลี่ยนอย่างพวกเขาและพวกนามิโมริ อีกฝ่ายดูร่าเริงขึ้นมาและไร้ซึ่งร่องรอยของความเจ็บปวด รอยบาดแผลที่เคยมีก็เลือนหายไปตามกาลเวลา นึกตกใจที่มันหายไปเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ผ่านไปแค่ 3 วันกลับไม่เหลือแม้แต่รอยช้ำเขียว

     

              บางที..สงสัยไปก็อาจจะไม่ได้อะไรขึ้นมารึเปล่านะ

     

              แค่นายแบบหนุ่มคนนั้นไม่ได้เป็นอะไรมากก็น่าจะดีแล้ว

     

              นัยน์ตาสีอะความารีนดูเหม่อลอยเหมือนคนที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์ของตัวเอง

     

              ใช่ มันดีแล้ว

     

             แค่คิเสะคุงปลอดภัย นั่นก็ดีแล้ว..

     

              เขาควรจะเลิกคิดมากเสียที

     

     

     

     

     

     

    ----------|----------|----------|----------|----------

    คิดพล็อตไว้หมดแล้ว แต่ไปๆมาๆก็เริ่มตันค่ะ T^T

    ชื่อตอนนี่ก็แทบไม่เกี่ยวกับเนื้อหาเลย 555555555555555555

    ปล.เอาใจช่วยอาโอมิเนะเยอะๆนะคะ (ฮา)

     

     

     

     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×