คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Canival 07 :: In The Mist
เสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้นเรื่อยๆ
นัยน์ตาสีอะความารีนมองไปยังทางเดินที่เคยว่างเปล่า
แต่บัดนี้กลับมีเพื่อนๆรวมถึงรุ่นพี่และรุ่นน้องของเขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรน
ไม่ห่างกันนั้นคือนักเรียนที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลพวกเขาอย่างสึนะและเพื่อนในกลุ่มของเจ้าตัว
หนึ่งในนั้นคือยามาโมโตะที่ดูจะกังวลกว่าคนอื่นนิดหน่อย
“เขาเป็นไงบ้าง”
เหล่าเด็กหนุ่มหลายสิบคนยืนมุงกันอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
นอกจากเด็กหนุ่มผมฟ้าที่นั่งรอเพื่อติดตามอาการของคิเสะแล้ว
ก็มีทาคาโอะและซากุราอิที่พึ่งกลับมาหลังจากไปทำแผลที่เกิดจากการล้มและการชกต่อยมาหมาดๆนั่งอยู่ข้างๆกัน
คุโรโกะส่ายหน้ากับคำถามของหนึ่งในสมาชิกตัวจริงของทีมบาสไคโจ
“หมอยังไม่ออกจากห้องฉุกเฉินเลยครับ
แต่คิดว่าไหล่ของเขาคงใช้การไม่ได้ซักพัก” และมันเป็นความผิดของผม ประโยคสุดท้ายก็ได้แต่คิดในใจด้วยความรู้สึกผิดที่ท่วมท้น
ถ้าเขาหนีทันล่ะก็— ถ้าเขารู้ตัวว่ามีคนซุ่มโจมตีด้านหลังล่ะก็—
“ขอโทษนะ
มันเป็นความผิดของฉันเอง
ฉันน่าจะคิดได้ว่าที่นั่นเวลากลางคืนมันอันตรายเกินไปสำหรับเด็กต่างเมืองอย่างพวกนาย”
ยามาโมโตะก้มหน้าลงต่ำด้วยสีหน้าเหมือนกำลังรู้สึกผิด
“แต่จากสภาพที่เห็น
ต่อให้คนที่ไปเป็นเด็กเมืองนี้ก็อันตรายอยู่ดีล่ะน่า ฮ่าๆๆๆ” ทาคาโอะหัวเราะ แถมยังไม่ใช่อันตรายธรรมดาๆซะด้วย
ต้องบอกว่าอันตรายมากต่างหากล่ะ
“เขาเข้าห้องฉุกเฉินไปนานรึยังครับ
คุฟุฟุ”
คุโรโกะหันมามองคนถาม
“ก็ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆได้ครับ”
“เห”
นัยน์ตาสองสีเหลือบมองผู้เป็นบอสของตน สึนะโยชิที่ยังคงมีสีหน้าสงบไร้ซึ่งความแตกตื่นหรือพิรุธใดๆ
แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวมีวิธีแก้ปัญหานี้อยู่แล้ว นภาหนุ่มที่ยังคงอยู่ในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนนามิโมริแผนกมัธยมปลายเดินออกห่างจากกลุ่มคนเงียบๆโดยพยายามไม่ให้เป็นที่สังเกตของใคร
สายหมอกที่เห็นดังนั้นจึงได้หายตัวไปอย่างเงียบงันไม่ให้ใครผิดสังเกต
ร่างสองร่างของหนึ่งนภาและหนึ่งสายหมอกเดินเข้าไปในห้องผู้อำนวยการของโรงพยาบาลโดยไม่รีบร้อน
โรงพยาบาลนามิโมริเวลาเกือบเที่ยงคืนนั้นช่างเงียบสงัด
เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับชายวัยกลางคนที่กำลังนั่งตรวจเอกสารอยู่บนโต๊ะทำงาน
นัยน์ตาคมภายใต้กรอบแว่นมองผู้มาใหม่
“วองโกเล่?”
ไม่แปลกที่จะรู้จักกันดี
ในเมื่อโรงพยาบาลนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของวองโกเล่แฟมิลี่นับตั้งแต่บอสรุ่นที่สิบแห่งวองโกเล่ขึ้นรับตำแหน่ง
“สวัสดีครับผู้อำนวยการ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”
“ยินดีที่ได้พบครับท่านวองโกเล่”
ชายวัยกลางคนร่างสูงค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม ลุกขึ้นจากเก้าอี้หนังมาทักทายผู้ที่ให้การสนับสนุนโรงพยาบาลของเขาจนกลายเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงและมีอุปกรณ์ครบครันที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น
“เอ่อ
มาหาผมด้วยเรื่องอะไรหรือครับ?” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลคลี่ยิ้มกับคำถามนั้น
มือเรียวหยิบแผ่นเอกสารจำนวนหนึ่งออกมาก่อนยื่นมือให้อีกฝ่าย
“ผมต้องการเปลี่ยนแพทย์ที่รักษา
คิเสะ เรียวตะ”
“เปลี่ยนแพทย์? ทำไมหรือครับ?”
“เป็นเรื่องภายในวองโกเล่น่ะครับ
ผมหวังว่าคุณจะไม่ถามอะไรต่อ และถ้าเป็นไปได้..ช่วยออกคำสั่งเชิญแพทย์ทุกคนออกจากห้องฉุกเฉินตอนนี้เลยนะครับ
แพทย์ที่ผมเตรียมไว้มาถึงโรงพยาบาลนี้แล้ว”
ชายวัยกลางคนกอดเอกสารแนบอก
ใจจริงนั้นรู้สึกหวาดกลัวจนแทบจะอยากหนีไปให้ไกล ใครจะไปคิดว่าเด็กหนุ่มม.ปลายคนหนึ่งจะสามารถขึ้นเป็นนภาแห่งวองโกเล่และมีอิทธิพลต่อเมืองนามิโมริได้ขนาดนี้
เขาผงกศีรษะรัวๆ แม้จะได้รับการช่วยเหลือมามากมายแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นมาเฟีย
คนธรรมดาเช่นเขาก็ต้องกลัวอยู่แล้ว
“รับทราบครับ
ผมจะจัดการให้เดี๋ยวนี้”
ใบหน้าเรียวยิ้มอย่างยินดี
“ขอบคุณครับ”
ร่างเล็กเดินออกจากห้องของผู้อำนวยการโรงพยาบาลทันทีที่หมดธุระ
ไม่ต้องเข้าไปกดดันก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องทำตามคำสั่งของเขาแน่ๆ บุญคุณที่ได้รับการช่วยเหลืออย่างมากล้น
ไหนจะความหวาดกลัวในสถานะของเขา สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นแรงผลักดันให้อีกฝ่ายต้องทำตามที่เขาพูดโดยไม่มีข้อแม้
“คุณไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่สินะครับ
วองโกเล่”
“อยู่กันสองคน
เรียกเหมือนเดิมก็ได้ มุคุโร่” ชายตาสองสีคลี่ยิ้มก่อนปรากฎตัวขึ้นมาท่ามกลางสายหมอกที่โอบล้อมทางเดินของโรงพยาบาลโดยไม่ทราบสาเหตุ
นัยน์ตาสองสีเมียงมองใบหน้าของบุคคลที่ตนเคยทั้งรักและชิงชัง
มือเรียวผลักคนตัวเล็กกว่าไปชนกับผนังด้วยแรงที่ไม่ใช่น้อยๆ
นัยน์ตาสีน้ำตาลของผู้อยู่ใต้อาณัติช้อนตามองคนตัวสูงด้วยแววตาแสดงความเหนือกว่า
“นายคิดจะทำอะไร”
“คิดว่าทำยังไงดีคุณถึงจะกลายเป็นของผมคนเดียว”
ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มกับคำกล่าวนั้น
“นภาโอบอุ้มทุกสิ่ง”
“แต่สายหมอกอยู่บนผืนดินครับ
สึนะโยชิคุง”
“นายจะบอกว่านายไม่ใช่ของฉันเหรอ?” มือทั้งสองข้างกอบกุมใบหน้าหล่อคมคายของผู้พิทักษ์หนุ่มเอาไว้
ก่อนที่จะเลื่อนมาโอบล้อมคอของอีกฝ่ายพร้อมกับเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ชิดจนได้กลิ่นหอมเย็นๆราวกับกลิ่นดอกไม้ป่าในยามเช้าที่เต็มไปด้วยสายหมอก
แขนแกร่งทั้งสองข้างที่ยันกำแพงเพื่อกักร่างเล็กเอาไว้เริ่มอ่อนลง
และในที่สุดก็เปลี่ยนจากการยันกำแพงเป็นการโอบกอดร่างเล็กเอาไว้จนใบหน้าใสนั่นจมอยู่กับอก
มุคุโร่ซุกหน้าลงกับลาดไหล่เล็ก นัยน์ตาสองสีปิดลงพร้อมกับแรงกอดรัดที่มากขึ้น
หากแต่ผู้เป็นนภากลับไม่คิดจะดันตัวออก ในทางกลับกัน..มือเล็กลูบแผ่นหลังนั้นเบาๆ
“คุณก็รู้
ผมเป็นของคุณ..แค่ของคุณ”
“ใช่”
ร่างเล็กว่า “นายเป็นของฉัน”
ร่างทั้งสองผละออกจากกัน
มุคุโร่เสตามองไปทางอื่นแก้เก้อ นัยน์ตาสองสีเหลือบมองไปทางนู้นทางนี้ทีเหมือนไม่รู้จะโฟกัสไปที่อะไร
สึนะยิ้มขำ
“นี่นายเขิน?”
“ไร้สาระครับสึนะโยชิคุง
คุณนี่ร้ายกาจขึ้นนะครับ”
“ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้”
“ครับๆ”
ผู้พิทักษ์สายหมอกกลอกตา “ผมให้แพทย์ที่ใช้พลังไฟอรุณได้เปลี่ยนตัวกับแพทย์ในห้องฉุกเฉินแล้ว
คิดว่าไม่นานก็คงหายดีเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน”
“ก็คงต้องรักษาไหล่ที่หักของอีกฝ่ายก่อนล่ะนะ
ทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิม เหลือแค่รอยฟกช้ำกับรอยแผลถลอกเล็กๆน้อยๆก็พอ และให้บอกพวกที่รออยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยว่าหมอนั่นไม่ได้เป็นอะไร
แค่บาดเจ็บนิดหน่อย”
“สมกับเป็นคุณนะครับ
ถ้าทำแบบนั้นต่อให้พวกเขาไม่เชื่อก็พิสูจน์อะไรไม่ได้ เพราะถึงไปให้แพทย์ที่อื่นตรวจ..ก็จะไม่พบอะไรนอกจากอาการฟกช้ำเท่านั้น”
“หึ
แน่ล่ะ ถ้ามีคนรู้ว่าหมอนั่นไหล่หักขึ้นมา พวกผู้ปกครองต้องดึงตัวลูกตัวเองกลับไปแน่
ฉันไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรอก”
ผู้พิทักษ์สายหมอกแค่นยิ้ม
นัยน์ตาสองสีลอบมองใบหน้าของผู้เป็นนภาด้วยสายตาอ่านยาก
“คุณร้ายกาจขึ้นจริงๆนั่นล่ะครับ
คุฟุฟุ”
“จริงๆเหรอครับหมอ? หมอนั่นไม่ได้ไหล่หักแน่เหรอครับ?”
ทาคาโอะถามนายแพทย์ที่เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่เชื่อกับคำบอกเล่าเกี่ยวกับอาการของนายแบบหนุ่มเลยซักนิด
มีแค่รอยฟกช้ำกับแผลถลอก..ทั้งๆที่โดยไม้เบสบอลฟาดที่ไหล่ขนาดนั่นน่ะนะ?
“ครับ
คุณคิเสะเพียงแค่สลบไปเพราะความอ่อนเพลีย เขามีไข้ขึ้นสูงเพราะอากาศเวลากลางคืนที่หนาวเย็น
นอกนั้นก็เป็นแค่แผลถลอกฟกช้ำธรรมดาๆ”
ไม่จริงน่า
แล้วที่หายเข้าไปในห้องฉุกเฉินเกือบ 3 ชั่วโมงนั่นล่ะ?
พวกเขาคิดในใจ
โดยเฉพาะคุโรโกะ ทาคาโอะ
และซากุราอิที่เห็นเหตุการณ์มากับตากว่าคิเสะโดนไม้เบสบอลฟาดเข้าที่ไหล่จริงๆ
พวกเขาตัดสินใจให้คิเสะพักที่โรงพยาบาลเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น
โดยมีคุโรโกะและเพื่อนในทีมไคโจอีก 2 คนเป็นคนมานอนเฝ้า
แน่นอนว่าพวกเขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
ว่าพรุ่งนี้หลังจากที่พาอีกฝ่ายออกจากโรงพยาบาล พวกเขาจะพาคิเสะไปตรวจกับแพทย์ที่อื่นอีกทีเพื่อความแน่ใจ
แต่ผลที่ออกมาก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เด็กหนุ่มผมฟ้านั่งถอนหายใจอยู่บริเวณม้านั่งในสวนสาธารณะนามิโมริ
นัยน์ตาสีอะความารีนเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย เขายังคงมีแผลถลอกและรอยฟกช้ำอยู่ตามร่างกายเพราะเหตุการณ์นั้น
หวนนึกไปถึงเพื่อนผมทองซึ่งยังคงนอนซมอยู่ที่หอพักเพราะพิษไข้ด้วยความเป็นห่วง
“ทั้งที่ไม้เบสบอลฟาดลงที่ไหล่แรงขนาดนั้นแท้ๆ”
มันน่าเหลือเชื่อเกินไป
“นายมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ยเท็ตสึ”
“อาโอมิเนะคุง?”
กายสูงใหญ่หย่อนตัวลงนั่งข้างๆพลางหยิบผ้าชุบน้ำที่พาดอยู่บนคอมาเช็ดเหงื่อตามคอและใบหน้าของตัวเอง
อาโอมิเนะวางแขนข้างหนึ่งไว้บนศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีฟ้านุ่มๆนั่น
นัยน์ตาคมเสมองไปทางอื่น
“คิดมากเรื่องคิเสะรึไง”
“ก็นิดหน่อยครับ”
“หมอนั่นไม่ได้เป็นอะไร
นายควรดีใจสิ”
“ก็ดีใจ
แต่ผม— ไม่รู้สิ ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง มันดูแปลกๆ” ชายเจ้าของผิวสีแทนเกาหัวแกรก
ไม่เข้าใจความคิดที่ซับซ้อนเกินไปของคนตัวเล็กกว่า
ลึกๆแล้วนั้นกำลังรู้สึกอิจฉานายแบบหนุ่มคนนั้นที่ช่วงนี้ได้รับความเป็นห่วงและอยู่ในความคิดของคุโรโกะแทบจะตลอดเวลา
“หงุดหงิดชะมัดเลยว่ะ”
“เอ๋?”
“นายเอาแต่คิดถึงหมอนั่น
มันหงุดหงิด” คุโรโกะมองอีกฝ่ายนิ่ง นัยน์ตาสีอะความารีนที่มักจะดูเฉยชาไร้อารมณ์อยู่เสมอกลับแฝงแววขบขันไว้เล็กน้อย
“นี่คุณ..”
“...”
“ชอบคิเสะคุงเหรอครับ?”
“ไอบ้านี่!!!” มือใหญ่ผลักศีรษะทุยอย่างแรงจนร่างเล็กแทบจะเซถลาไปจากม้านั่ง ในใจนั้นกำลังครุ่นคิด
ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กนี่จะซื่อบื้อกว่าที่เขาคิดมากนัก
“เขินแล้วชอบใช้ความรุนแรงเหรอครับ?”
“ฉันไม่ได้ชอบมันโว้ยยยย!!”
“อ้าว
แล้วชอบใครล่ะครับ?” ร่างเล็กเอียงคอมอง ร่างสูงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งเมื่อเผลอสบตากับนัยน์ตาสีสวยราวกับสีของท้องนภาคู่นั้น
ร่างสูงเม้มปาก เสตามองไปทางอื่น ผิวสีแทนแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ชอบนายนั่นแหละ
“ชอบคิเสะคุงจริงๆสินะครับ
หน้าแดงเชียว”
....
หมดคำจะพูด
อาโอมิเนะกุมขมับกับคำพูดนั้น รู้สึกอยากจะโดดน้ำตายขึ้นมาเสียดื้อๆ
บทจะรู้ทันก็ช่างรู้ทันคนอื่นจนน่ากลัว เป็นคนช่างสังเกตในเรื่องของคนอื่น แต่กลับซื่อบื้อเรื่องของตัวเองสุดๆ
“เฮ้อ
ช่างเถอะ” ชายหนุ่มถอนหายใจ ดึงแขนร่างเล็กให้ลุกขึ้น
“รีบไปโรงยิมกันเถอะ
เล่นบาสซักหน่อย ถือซะว่าแก้เครียด”
ใบหน้าหวานยิ้มบางในยามที่คนตัวสูงกว่าไม่ทันได้สังเกต
“ครับๆ
ไปเล่นบาสกัน”
----------|----------|----------|----------|----------
นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้กวาดตามองร่างของเหล่านักเรียนแลกเปลี่ยนซึ่งกำลังซ้อมกีฬากันอยู่ในสนามด้วยสายตาอ่านยาก
เขาอยู่ในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนนามิโมริ สาเหตุเพราะไม่ได้ต้องการจะมาเพื่อฝึกซ้อมแต่อย่างใด
แค่อยากเห็นทักษะและความสามารถของคนเหล่านี้กับตาเท่านั้น
ข้างๆกันคือโกคุเดระและยามาโมโตะ
ดูเหมือนว่าคนหลังนี่จะมาเพราะสนใจในสปิริตนักกีฬาของคนพวกนี้ล้วนๆ
“ซาวาดะ
นายไม่ซ้อมเหรอ?” ผู้เดินเข้ามาถามก็คือ มิยาจิ ยูยะ
นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่ 3 เป็นกัปตันทีมชูโตคุ
อีกทั้งยังเป็นน้องชายของ มิยาจิ คิโยชิ
สมาชิกทีมบาสชูโตคุที่พึ่งเรียนจบไปเมื่อปีที่แล้ว สึนะส่ายหน้ากับคำถามนั้น
“ผมอยากดูทุกคนซ้อมมากกว่าน่ะครับ”
“นายนี่แปลกคนจริงนะ”
ฮิวงะที่เดินมาสมทบไหวไหล่ นัยน์ตาคมภายใต้กรอบแว่นลอบมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของรุ่นน้องด้วยแววตาอ่านยาก
“ทั้งๆที่เป็นกัปตันเหมือนพวกฉันแท้ๆ”
“นี่แกกล้าหาเรื่องรุ่นที่สิบเหรอ!?”
“ฮะๆ
ใจเย็นสิโกคุเดระ รุ่นพี่เขาไม่ได้ว่าอะไรสึนะซักหน่อย” ลำบากยามาโมโตะที่ต้องมาปรามคนหัวร้อนง่าย
แม้โกคุเดระจะพยายามฝึกฝนตัวเองจนใจเย็นขึ้นแล้ว แต่แน่นอนว่ามันไม่สามารถแก้ไขนิสัยบางส่วนของตัวเองได้
หนึ่งในนั้นคือการปกป้องนภาแห่งวองโกเล่อย่างออกหน้าออกตาจนน่าหมั่นไส้
สึนะรู้ว่าคำพูดนั้นของฮิวงะไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร
อีกฝ่ายก็แค่อยากให้เขาไปฝึกร่วมกับลูกทีมคนอื่นๆที่เป็นตัวสำรอง
คงเพราะที่ผ่านมาเขาและสมาชิกทีมตัวจริงแทบไม่โผล่เข้ามาฝึกซ้อมในโรงยิมเลย
คงคล้ายกับคำพูดกระตุ้นให้ขยันซ้อมล่ะมั้ง?
“จะว่าไปฉันก็อยากซ้อมกับสึนะจังเหมือนกันนะ”
“สึ—
สึนะจัง?”
“แกกล้าดียังไงไปเรียกรุ่นที่สิบแบบนั้— “
“เรย์โอะ..ไปเรียกเขาแบบนั้นได้ไง
ไม่ได้สนิทกันไม่ใช่เหรอ?” อาคาชิมองใบหน้าของเด็กหนุ่มผมน้ำตาลซึ่งยังคงเหวออยู่หน่อยๆ
เป็นคนที่บางทีก็ดูซื่อจนน่าตลก อย่างเช่นหน้าเหวอๆในตอนนี้ คงตกใจที่อยู่ๆก็ถูกเรียกแบบนั้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“โธ่เซย์จัง
ก็ฉันอยากสนิทกับสึนะจังนี่ เหมือนที่..ฉันอยากสนิทกับเท็ตจังนั่นล่ะ” คุโรโกะที่กำลังจะพาสลูกจากฟุริฮาตะส่งให้อิซึกิถึงกับอึ้งจนเผลอพาสลงห่วง
ปฏิกิริยาที่ไม่คาดฝันของเด็กหนุ่มผมฟ้าทำให้อาโอมิเนะ ทาคาโอะ คิเสะ
และเหล่านักบาสคนอื่นๆถึงกับหลุดหัวเราะ
“เรย์โอะ..”
กรรไกรสีแดงถูกชูขึ้นพร้อมกับสีหน้าเหี้ยมๆของชายผมแดง
นัยน์ตาสองสีมองร่างสูงกว่าของรุ่นพี่หนุ่ม รู้สึกคิ้วกระตุกยังไงชอบกล
หากไม่ยับยั้งชั่งใจไว้อาจเผลอใช้กรรไกเจื๋อนคนตรงหน้าไปแล้ว
“อะ—
แฮะ ฉันล้อเล่นน่ะเซย์จัง ฮะๆๆๆ ไปล่ะ” ว่าแล้วก็ชิ่งหนีออกนอกโรงยิมไปทันที ทิ้งให้อาคาชิที่พึ่งรู้สึกตัวว่าเผลอหยิบกรรไกรติดตัวมาจากที่พักได้แต่กุมขมับ
ดูเหมือนนิสัยแย่ๆจากอีกบุคลิกซึ่งติดตัวมาอย่างยาวนานจะยังคงไม่หายไป
“ฮ่าๆๆๆ
แกนี่ชอบพกของอันตรายไปไหนมาไหนจริงนะ”
“คนพกระเบิดอย่างนายไม่น่าจะพูดอะไรแบบนั้นได้นะโกคุเดระ”
ยามาโมโตะพูดเสียงเบาพลางหัวเราะ
คนพกดาบอย่างนายก็เหมือนกันแหละ
ยามาโมโตะ
นภาแห่งวองโกเล่คิดในใจ
บรรยากาศกลับมาครื้นเครงอีกครั้งหลังจากที่อาโอมิเนะทำใจกล้าไปล้ออาคาชิเรื่องฉายาที่ถูกคิดขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้วอย่าง
นายน้อยกรรไกรบิน จนอาคาชิแทบจะหยิบกรรไกรขึ้นมาใช้อีกรอบ
แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องเก็บไปเมื่อพบว่าหนึ่งในคนที่ขำขันกับเรื่องนี้คือคุโรโกะที่หันหน้าไปทางอื่นทั้งยังพยายามกลั้นขำเพราะไม่อยากให้เขารู้สึกแย่
ยังชอบทำตัวน่ารักเหมือนเดิม
เอาเป็นว่าครั้งนี้
เขาจะปล่อยเพื่อนผิวแทนไปก่อนก็ได้ เห็นแก่ที่ทำให้คุโรโกะหัวเราะได้ล่ะนะ
(แม้จะเป็นการขำแบบแอบๆก็เถอะ)
“จะว่าไป
พวกนายยังมาเรียนที่นี่ไม่ถึงเดือน แต่ฮอตสุดขั้ว!!” ผู้พิทักษ์อรุณแห่งวองโกเล่ซึ่งเข้ามาในโรงยิมตั้งแต่ตอนไหนไม่อาจทราบได้ว่าเสียงดัง
สึนะโยชิหัวเราะก่อนพยักหน้าสนับสนุนกับคำพูดนั้น แม้พวกอาคาชิจะพึ่งมาแลกเปลี่ยนได้เพียงสัปดาห์กว่า
แต่กลับเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนหญิงและนักเรียนชายมากจนน่าตกใจ
และแน่นอนว่าตัวท็อปคงไม่พ้นอาคาชิที่มักทำตัวเป็นสุภาพบุรุษกับผู้หญิงจนดูราวกับเจ้าชาย
กับคิเสะที่เป็นที่นิยมมากอยู่แล้วเนื่องจากเป็นนายแบบ
รองจากสองคนนี้ก็คือฮิมุโระที่ดูราวกับเจ้าชายน้ำแข็ง นอกนั้นก็เป็นที่นิยมเช่นกัน
แต่อาจจะไม่มากเท่าสามคนข้างต้น
อ้อ
อีกคนหนึ่ง
อาโอมิเนะ
ดูเหมือนว่าหมอนี่จะเป็นที่ชื่นชอบในหมู่เพื่อนผู้ชายมากพอสมควร
คงเพราะเซนส์กีฬาที่มากล้นนั่น ไหนจะความนิยมชมชอบในหนังสือลามก
ทำให้เข้ากันได้ดีกับพวกเพื่อนผู้ชายจนสนิทกับเพื่อนผู้ชายเกือบทั้งโรงเรียน
แต่เขาไม่ได้จำหน้าได้ทุกคนหรอกนะ..
คุโรโกะลอบมองคิเสะที่ยังคงนั่งหัวเราะกับการหยอกล้อกันระหว่างนักเรียนแลกเปลี่ยนอย่างพวกเขาและพวกนามิโมริ
อีกฝ่ายดูร่าเริงขึ้นมาและไร้ซึ่งร่องรอยของความเจ็บปวด
รอยบาดแผลที่เคยมีก็เลือนหายไปตามกาลเวลา นึกตกใจที่มันหายไปเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ผ่านไปแค่
3 วันกลับไม่เหลือแม้แต่รอยช้ำเขียว
บางที..สงสัยไปก็อาจจะไม่ได้อะไรขึ้นมารึเปล่านะ
แค่นายแบบหนุ่มคนนั้นไม่ได้เป็นอะไรมากก็น่าจะดีแล้ว
นัยน์ตาสีอะความารีนดูเหม่อลอยเหมือนคนที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์ของตัวเอง
ใช่
มันดีแล้ว
แค่คิเสะคุงปลอดภัย
นั่นก็ดีแล้ว..
เขาควรจะเลิกคิดมากเสียที
----------|----------|----------|----------|----------
คิดพล็อตไว้หมดแล้ว
แต่ไปๆมาๆก็เริ่มตันค่ะ T^T
ชื่อตอนนี่ก็แทบไม่เกี่ยวกับเนื้อหาเลย
555555555555555555
ปล.เอาใจช่วยอาโอมิเนะเยอะๆนะคะ
(ฮา)
ความคิดเห็น