ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KHR & KNB] The Black Carnival | all27 & all x kuroko

    ลำดับตอนที่ #15 : Canival 14 :: What Can You Do?

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.65K
      117
      2 ก.ย. 62

     

     

     

              ในชีวิตของ ฮิบาริ เคียวยะ มีไม่กี่ครั้งที่เขาจะเห็นรอยยิ้มจริงใจของนภาแห่งวองโกเล่นับตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อนที่เจ้าตัวขึ้นสืบทอดรับตำแหน่งวองโกเล่รุ่นที่ 10 มันคงจะเป็นเรื่องที่ยาก ที่จะสามารถ เหมือนเดิมได้ตลอดรอดฝั่งทั้งๆที่ผู้คนและสภาพแวดล้อมรอบตัวกำลังบีบบังคับให้เด็กหนุ่มธรรมดาๆคนหนึ่งต้องเปลี่ยนไป

     

              แบกรับหน้าที่ที่ตัวเองไม่เคยต้องการ

     

              แต่เพื่อพวกพ้อง

     

              เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน

     

              นัยน์ตาสีรัตติกาลมองร่างทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องนอนของสึนะโยชิภายในคฤหาสน์ฝั่งขวาด้วยสายตาอ่านยาก เขาเอนหลังพิงกำแพงก่อนเบือนสายตาหนีไปทางอื่น ยอมรับว่าไม่พอใจนัก ถ้าจะให้ใช้อากาศหายใจร่วมกับเด็กนี่ เขายอมเจอหน้ายัยมาเรีย เกรฟยาร์ดนั่นจะดีซะกว่า

     

              เพราะอะไรน่ะหรือ?

     

              เพราะเด็กนี่— มีหลายอย่างที่คล้ายกับ ซาวาดะ สึนะโยชิ เมื่อก่อนมากจนเกินไป

     

              เป็นหนึ่งในคนส่วนใหญ่ที่เขาเกลียดขี้หน้า พูดให้ถูกคือเขาก็ไม่เคยชอบขี้หน้าใครมากไปกว่านภาแห่งวองโกเล่อยู่แล้ว โดยเฉพาะไอหัวสับปะรด หัวเผือก และหัวทอง(?) อ้อ ใช่— รวมถึงไอมือขวางี่เง่า และไอดาร์กเนียนนั่นก็ด้วย

     

              มันช่าง..น่ารำคาญ

     

              เพราะแบบนั้นถึงได้เกลียดการสุมหัว

     

              นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ของนภาแห่งวองโกเล่เหลือบมองสมาร์ทวอทช์บนข้อมือซึ่งกำลังบ่งบอกว่าเวลานี้ก็ 9 โมงเช้าเข้าไปแล้ว มันคือเวลานัดสำหรับการออกเดินทางไปเที่ยวที่เมืองมิลาน

     

              “เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เขาหันมายิ้มให้กับคนอายุน้อยกว่า ก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายและผู้พิทักษ์เมฆาของตนออกจากห้องไป

     

              ภายในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์หลักเต็มไปด้วยเด็กวัยรุ่นหลายสิบชีวิตกำลังยืนล้อมวงกันพูดคุยเกี่ยวกับทริปในวันนี้ หลายๆคนมีกระเป๋าเป้ไว้สำหรับพกพาของอำนวยความสะดวก ในขณะที่บางคนก็แทบจะเรียกได้ว่าไปตัวเปล่าเนื่องจากขี้เกียจพกอะไรให้มากความ

     

              คุโรโกะมองสึนะโยชิที่เดินเข้ามาในห้องโถงตามหลังมาด้วยหัวหน้ากรรมการคุมกฎแห่งนามิโมริที่พวกเขาต่างรู้สึกหวาดกลัว และเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่พวกเขาไม่รู้จัก

     

              “เอ๋..นั่นใครน่ะ”

     

              ร่างโปร่งที่พึ่งมาถึงผายมือมาทางเด็กหนุ่มข้างกายก่อนคลี่ยิ้มหวาน “นี่คือ ไลโอเนล จี ฟรอสต์ ครับ เป็นญาติห่างๆของอาจารย์ดีโน่ เขาอยากมาเที่ยวด้วยกัน อาจารย์ดีโน่ก็เลยพามาฝากผมเอาไว้”

     

              “ญาติห่างๆ?” ทุกคนไล่สายตามองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจ อาจจะไม่ได้เหมือนมาก— แต่จากสีผมและสีตาก็ดูคล้ายๆอยู่

     

              “พวกนายเตรียมตัวกันเสร็จรึยัง?” อิมาโยชิที่กำลังเดินลงมาจากบันไดเอ่ยปากถามขึ้น ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นจึงชูกระเป๋าสำหรับใส่สัมภาระเล็กๆน้อยๆของตัวเองขึ้นมา อดีตกัปตันทีมโทโอกาคุเอ็นยิ้มอย่างพอใจ

     

              “อาจารย์ดีโน่จะไปเจอพวกเราทีเดียวที่มิลาน ระหว่างนี้ฉันจะดูแลไปก่อน เพราะงั้นอย่าวุ่นวายนา”

     

              “รู้แล้วน่า ไอแว่นปีศาจเอ้ย!” อิมาโยชิหันไปยิ้มให้ผู้พูดอย่างอาโอมิเนะ แต่..อาจจะเป็นเพราะประโยคเมื่อครู่ ที่ทำให้รอยยิ้มนั้นดูเหี้ยมผิดปกติจนชายหนุ่มผิวแทนถึงกับสะดุ้ง

     

              “งั้นไปกันเถอะ” พวกเขาเดินไปขึ้นรถโดยสารคันโตอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เด็กหนุ่มผมฟ้าเจ้าของนัยน์ตาสีอะความารีนผู้ถูกดึงมานั่งใกล้ๆกับอาคาชิหันซ้ายขวามองคนรอบรถ

     

              “แล้วรุ่นพี่ฮิบาริล่ะครับ?” สึนะโยชิหันมายิ้มแหย่

     

              “เขาจะตามไปพร้อมอาจารย์ดีโน่น่ะ พอดีไม่ชอบอยู่กับคนมากๆ” แต่ว่า— ไปกับอาจารย์ดีโน่งั้นหรือ? สภาพก็คงเละไม่ต่างกัน

     

              ใช้เวลาเกือบชั่วโมงรถบัสสีดำคันหรูก็แล่นเข้าสู่ตัวเมืองมิลาน ทุกสายตาจับจ้องออกไปยังนอกหน้าต่าง พวกเขาพยายามหัดพูดภาษาอิตาลีเบื้องต้นมาบ้างแล้ว อย่างน้อยก็รู้ว่าต้องพูดอย่างไรเวลาขอบคุณ ขอโทษ ถามราคาหรือบอกจำนวนสิ่งที่ต้องการ

     

              “ผู้ชายอิตาลีนี่หน้าตาดีจริงๆน๊า” โมโมอิเท้าคางกับขอบหน้าต่างรถ ก่อนเหลือบตามองคุโรโกะที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากเธอเท่าไหร่นัก

     

              “แต่สำหรับฉันเท็ตสึคุงก็หล่อที่สุดอยู่ดี~

     

              “เอาล่ะ ถึงแล้ว”

     

              ที่แรกที่รถบัสพามาก็คือ มหาวิหารมิลาน (Milan Cathedral) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ  Duomo di Milano เป็นมหาวิหารใจกลางเมืองซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของที่นี่ ตัวมหาวิหารมีการสร้างแบบสถาปัตยกรรมกอธิคที่อลังการและยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าสำหรับพวกเขาแล้วนี่เป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก

     

              “โคตรสวยเลย” ฮิวงะถึงกับหลุดปากชม ทุกคนเริ่มลงจากรถแล้วแยกย้ายกันไปถ่ายรูปและเดินเที่ยวรอบมหาวิหาร โดยที่ตามกำหนดการแล้วจะอยู่ที่นี่เพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น พวกเขาจึงไม่รีรอที่จะเดินชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมอันสวยงามแห่งนี้

     

              “อาจารย์ดีโน่ มาแล้วเหรอครับ” สึนะที่ตัดสินใจรอทุกคนอยู่หน้ามหาวิหารซึ่งเป็นจุดรวมตัวเอ่ยทักม้าพยศหนุ่มผู้มาพร้อมกับผู้พิทักษ์เมฆาของเขา รวมถึงมือขวาคนสนิทอย่างโรมาริโอ้ สภาพของดีโน่มีร่องรอยของการต่อสู้เล็กน้อย แต่ก็ไม่มีการบาดเจ็บ คงเพราะมีลูกน้องอยู่ข้างๆ

     

              “ได้ยินสึนะเรียกฉันว่าอาจารย์ดีโน่แบบนี้ก็รู้สึกดีทุกคนเลยน๊า”

     

              “อยากโดนขย้ำรึไง ไอม้าพยศ” ฮิบาริที่รีบดึงตัวนภาแห่งวองโกเล่มาหลบหลังตัวเองอย่างไวชูทอนฟาขึ้นสูง นภาสีทองแห่งคาบัคโรเน่ยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้

     

              “เห็นปากร้ายกับเขา ก็หวงเขาไม่ใช่เหรอเคียวยะ” ฮิบาริชักสีหน้า นัยน์ตาสีรัตติกาลเหลือบมองร่างโปร่งบางที่ยืนตาปริบๆอยู่ด้านหลังตัวเอง

     

              “ใครหวงไอปลานี่กัน”

     

              คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปลาเริ่มรู้สึกตงิด

     

             ปากร้ายขึ้นทุกครั้งที่เจอหน้าเลยนะคนๆนี้

     

     

     

     

              “ฉันถ่ายรูปให้มั้ยคุโรจิน” คุโรโกะเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ของคนตรงหน้าที่ถือกล้องพร้อมรอยยิ้มจางๆซึ่งถูกส่งมาให้เขา ร่างเล็กมีสีหน้าครุ่นคิดก่อนพยักหน้า

     

              “ขอบคุณครับ”

     

              “งั้นเรามาถ่ายรูปคู่กันเถอะคุโรโกจจิ~” ร่างสูงผมทองผู้วิ่งแจ๋นมาจากไหนก็ไม่มีใครทราบวาดวงแขนโอบรอบคอของคนตัวเล็กกว่าอย่างสนิทสนม ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้จนริมฝีปากแทบจะแนบชิดกับแก้มเนียนนุ่น ก่อนที่จะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากคนสูงสองร้อยกว่าเซนติเมตร

     

              “อ เอ่อ มุราซากิบารัจจิ— “

     

              “ฉันไม่ถ่ายแล้ว” เด็กโข่งเอาแต่ใจเก็บกล้องเข้ากระเป๋าแทบจะในทันทีพร้อมทำหน้างอ จนฮิมุโระที่เดินอยู่ด้วยกันต้องรีบไปตบบ่าให้ใจเย็นลงก่อน

     

              “อัตสึชิ อย่าเอาแต่ใจสิ”

     

              “แต่— “

     

    แต่แล้วมุราซากิบาระซึ่งขยับตัวโดยไม่ทันได้ระวังความสูงใหญ่ของร่างกายตัวเอง ก็เผลอไปชนคุโรโกะที่ยืนอยู่ข้างๆกันเข้า

     

             ผลั่ก!

     

              “อ้ะ..” ร่างเล็กของเด็กหนุ่มผมฟ้าที่เซไปชนกับใครบางคนที่อยู่ด้านหลังถูกคนๆนั้นรับตัวเอาไว้ก่อนที่จะล้มลงกับพื้น นัยน์ตาสีอะความารีนที่หลับตาปี๋ค่อยๆลืมขึ้นมาทีละข้าง ไร้ซึ่งความเจ็บปวดใดๆ สิ่งที่เห็นมีเพียงสีหน้าตื่นตกใจของพวกฮิมุโระเท่านั้น

     

              ใบหน้าหวานเบี่ยงมองคนด้านหลัง

     

             อา ชาวต่างชาติ

     

              “เป็นอะไรมั้ยครับ?” ภาษาญี่ปุ่นสำเนียงแปล่งๆถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหยัก ชายหนุ่มที่ช่วยรับเขาเอาไว้ก่อนล้มลงนั้นเป็นชายร่างสูงใหญ่แบบชาวต่างชาติ ดูจากส่วนสูงก็น่าจะพอๆกับอาโอมิเนะหรือคิเสะ ผมสีดำขลับเป็นเงางามตัดกับผิวขาวซีดเหมือนคนที่ไม่ค่อยได้รับแสงแดด ดูตรงข้ามกับร่างกายที่กำยำเหมือนนักกีฬาภายใต้ชุดลำลองสีทึบ นัยน์ตาสีน้ำตาลทองสว่างวาววับราวกับนัยน์ตาของสัตว์นักล่าจำพวกเสือหรือสิงโต

     

              “ม ไม่เป็นไรครับ ผมขอโทษจริงๆ” คุโรโกะผงกศีรษะขอโทษชายตรงหน้าเป็นการใหญ่ แม้ใบหน้าของอีกฝ่ายจะดูคมเข้มและบางทีก็ดูดุดัน แต่— ก็อาจจะใจดีกว่าที่เห็นภายนอก

     

              “ใจเย็นๆ ตัวคุณก็เท่านั้น ต่อให้ล้มทับผม ผมก็คงไม่เจ็บหรอก”

     

              “เอ๋?

     

              “งั้นผมไปก่อนนะครับ” ชายแปลกหน้าโบกมือลาก่อนเดินหายไปท่ามกลางฝูงชน คุโรโกะมีสีหน้างงงวยเล็กน้อย อีกฝ่ายดู— ใจดี? แต่ก็มีความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อกวนในใจทำให้เขากระสับกระส่าย

     

              “หมอนั่น อยู่ดีๆก็ถูกชน แถมคนที่ชนยังเป็นคนจืดจางแบบคุโรโกะอีก ถ้าเป็นคนปกติต้องตกใจไม่ใช่รึไง?” มิโดริมะผู้ยืนสังเกตอยู่ตั้งแต่แรกขมวดคิ้วมุ่น

     

              “นั่นสิ คนที่ชนเป็นคุโรโกจจิเลยนะฮะ”

     

              คุโรโกะหันไปมองเส้นทางที่ชายคนนั้นเดินหายไป

     

              “ผมก็รู้สึก— แปลกใจเหมือนกันครับ”

     

     

     

     

              นัยน์ตาสีทองอร่ามคล้ายสัตว์นักล่าจำพวกเสือเหลือบมองเส้นทางที่ตัวเองพึ่งเดินจากมาด้วยสายตาคมกริบ ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ขวักไขว่กันอยู่บนถนน เขากลับพบว่าเด็กหนุ่มจืดจางคนนั้นน่าสนใจไม่ใช่น้อย

     

              ดูธรรมดาๆ

     

              แต่ว่า..

     

             ก็— น่าสนใจ

     

              “มีอะไรรึเปล่าครับ ท่านมอร์เต้” ชายหนุ่มในชุดสูทผู้สวมแว่นตากันแดดสีดำทักขึ้นด้วยความสงสัย ร่างกายสูงใหญ่กำยำแบบชาวยุโรปอยู่เคียงกายผู้เป็นนายของตนอย่างสุภาพและนอบน้อม ชายเจ้าของนัยน์ตาคล้ายสัตว์จำพวกเสือส่ายหน้า

     

              “เปล่า”

     

              “...”

     

              “ไม่มีอะไรทั้งนั้น”

     

     

     

              ดีโน่และพวกสึนะที่ยืนคุยกันมาพักใหญ่เงียบไปเมื่อหลายๆคนเริ่มมาตามจุดนัดพบจนใกล้จะครบแล้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนที่เขาจะเรียกให้ทุกคนกลับขึ้นรถโดยสารเมื่อพบว่า 2 คนสุดท้ายของกลุ่มกำลังจะเดินมาทางนี้

     

              “หืม พวกนายรักษาเวลากันได้ดีมากเลยนะ ขอชมเลย!” อาจารย์หนุ่มผมทองชมเชยพร้อมรอยยิ้มร่า ข้างๆเขามีไลโอเนลและโรมาริโอ้ยืนอยู่ด้วยกัน ก่อนที่เขาจะพาเด็กๆขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไป

     

              ย่านเบร์รา (Brera District) คือจุดมุ่งหมายต่อไปของพวกเขา ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมอย่างมาก อาคารบ้านเรือนเป็นสถาปัตยกรรมสีเหลืองไข่ที่ดูเรียบง่ายและดูมีมนต์ขลัง อาจารย์ดีโน่บอกว่าที่นี่เต็มไปด้วยงานศิลป์มากมาย ไหนจะร้านอาหารที่แสนเอร็ดอร่อย ไนต์คลับ และบูธจำหน่ายงานศิลปะ

     

              เป็นสถานที่ที่คงขาดไปไม่ได้หากได้มาเที่ยวที่มิลาน

     

              “งั้นคราวนี้ก็แยกย้ายกันไปเมื่อที่มหาวิหารมิลานนะ แถมนี่ก็จะเที่ยงแล้ว เพราะงั้นฉันให้เวลา 2 ชั่วโมง ในการเดินเที่ยวและหามื้อเที่ยงกินให้เรียบร้อย แล้วค่อยมาเจอกันที่นี่” อาจารย์ดีโน่ชี้แจ้ง ทุกคนพยักหน้ารับก่อนเริ่มไปเกาะกลุ่มกันเพื่อเดินเที่ยวและถ่ายรูป

     

              “พวกยามาโมโตะเนี่ยดูไม่ได้เอนจอยเท่าไหร่เลยนา” ฮายามะ โคทาโร่ ว่าด้วยสีหน้าเซ็งๆระหว่างแอบสังเกตท่าทีของยามาโมโตะและคนในกลุ่มที่ดูจะเฉยชากับสถาปัตยกรรมอันงดงามพวกนี้

     

              จริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้สนใจมากนักหรอก พอดีไม่ใช่คนละเอียดอ่อน

     

              “หรือพวกเขาจะเห็นบ่อยนะ เห็นบอกว่าเคยเรียนที่อิตาลีนี่”

     

              สึนะโยชิที่ได้ยินการพูดคุยระหว่างเรย์โอะและโคทาโร่เลิกคิ้ว ที่เรย์โอะพูดก็ไม่ผิดนัก ปราสาทหลักของวองโกเล่ตั้งอยู่ที่เมืองเล็กๆที่อยู่ติดกับมิลาน เพราะงั้นจึงแทบจะพูดได้ว่าไม่มีซอกมุมไหนของมิลานที่พวกเขาไม่รู้จัก ทั้งการพูดคุยรับประทานอาหารหรูๆในร้านอาหารในเมืองมิลานกับแฟมิลี่พันธมิตรก็เกิดขึ้นบ่อยจนแทบจะรู้จักเมนูขึ้นชื่อของทุกร้าน ไหนจะเหตุผลที่ว่ามิลานเป็นหนึ่งในอาณาเขตของวองโกเล่และพันธมิตรอีก

     

              ครั้งนี้คุโรโกะไม่ได้ไปเดินกับฮิมุโระซังเหมือนในตอนแรก เขาตัดสินใจที่จะเดินไปกับทีมรุ่นปาฏิหาริย์เหมือนเดิม ในขณะที่ฮิมุโระซึ่งดูเหมือนจะสนิทกับทีมเซย์รินมากขึ้นจึงไปด้วยกัน นอกจากนั้นก็ยังมีการรวมกลุ่มกันแบบคละโรงเรียน เนื่องจากพวกเขาสนิทชิดเชื้อกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

     

              “เลือกร้านซักทีเถอะอาคาชิ” อาโอมิเนะแคะขี้หูพลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย เนื่องจากอดีตกัปตันหนุ่มผมแดงของพวกเขาใช้เวลาเลือกร้านอาหารสำหรับมื้อเที่ยงเกือบ 20 นาทีแล้ว ร้านนี้ก็ไม่เอา ร้านนั้นก็ไม่ได้ แล้วชาตินี้พ่อคุณจะได้กินมั้ย!?

     

              “เดี๋ยวนะครับ นั่นน่ะ..” คุโรโกะชะงักเมื่อเห็นใครคนหนึ่งพึ่งเดินผ่านไปตรงหัวมุมซอย ผมสีน้ำตาลไหม้ชี้ฟูนั่นช่างคุ้นตา

     

              “ซาวาดะคุงกับ— แรมโบ้คุงรึเปล่านะ?” เสียงของเขาทำให้ทุกคนต้องหันไปมองทางที่เขาชี้ อาคาชิมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะโยนกระเป๋าของตัวเองให้อาโอมิเนะถือพร้อมกับพูดเสียงดัง

     

              “ฝากไว้หน่อย เดี๋ยวฉันมา!” ร่างสูงโปร่งของผู้มีฉายาว่าจักรพรรดิไร้พ่ายแห่งราคุซันวิ่งตามสองคนนั้นไปแทบจะในทันที สำหรับอาคาชิ เขามีเรื่องมากมายที่อยากจะไขข้อสงสัย จริงๆแล้วให้รอเวลานานกว่านี้ก็ย่อมได้ แต่ไม่รู้ทำไม..ร่างกายถึงวิ่งไปก่อนที่สมองจะสั่งการ

     

             มันมีเรื่องบางอย่างที่เขาอยากรู้

     

             ทั้งผู้ที่สนับสนุนพวกเขาอยู่ ทั้งเรื่องของสัญลักษณ์วองโกเล่นั่น

     

              “เดี๋ยวสิครับ! อาคาชิคุง!” คุโรโกะที่เห็นท่าไม่ดีจึงวิ่งตามอดีตกัปตันของตัวเองไป ในขณะที่คนที่เหลือหันมามองหน้ากันอย่างมึนงง แล้วพวกเขาล่ะ? ต้องไปด้วยรึเปล่า?

     

              “เอาเป็นว่าไปหาร้านอาหารไว้นั่งรอเถอะ” มิโดริมะตัดสินใจ ก่อนที่ทุกคนจะพยักหน้ารับพร้อมกับเสียงท้องร้องที่ดังขึ้น

     

              “นั่นสินะฮะ ฮะๆ”

     

     

     

     

              “ร้านนี้เหรอครับวองโกเล่?” แรมโบ้ถาม นัยน์ตาสีดำขลับเงยหน้าขึ้นมองป้ายร้านที่เป็นไม้สักอย่างดี มีรอยแกะสลักเป็นตัวอักษรอย่างงดงาม ตัวร้านก็ดูหรูหราน่าถ่ายรูป นภาแห่งวองโกเล่พยักหน้า ก่อนที่จะเดินนำผู้พิทักษ์อัสนีเข้าไปในร้าน

     

              “ยินดีต้อนรับครับ” พนักงานหนุ่มชาวอิตาลีในร้านโค้งอย่างมีมารยาท สึนะโยชิยิ้มรับ เขาเหลือบสายตามองไปรอบๆร้าน ที่นี่เป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่มีชื่อเสียง มีผู้คนมากมายต่างพากันจับจองที่นั่งรับประทานอาหาร คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนธรรมดา ไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกับโลกมืด

     

              ไม่ว่าจะพิซซ่าอิตาเลียน ลาซานญ่า หรือแม้แต่สปาเก็ตตี้ ต่างก็ส่งกลิ่นหอมน่ารับประทานทั้งสิ้น เด็กหนุ่มหันไปยิ้มให้กับพนักงานต้อนรับพลางชูมือข้างที่สวมแหวนวองโกเล่ขึ้นมา

     

             “มาร์ชเมลโล่สำหรับคุณกล้วยไม้ 1 ที่ครับ” พนักงานหนุ่มชะงักไปเพียงชั่วครู่ ก่อนจะยกยิ้มอย่างเข้าใจในรหัสลับแล้วผายมือเชิญเขาขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของร้าน ห้องที่เขาเข้าไปเป็นห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัวที่มีเพียงแขกของเจ้าของกิจการแห่งนี้เท่านั้นที่สามารถใช้บริการได้

     

              ที่นี่มีชื่อว่า ภัตตาคารมาร์ชเมลโล่

     

             เป็นร้านอาหารอิตาเลียนแต่กลับมีชื่อเป็นขนมหวาน ใครมันช่างกล้าตั้—

     

              แน่นอน คนที่คุณก็รู้จักกันดี

     

              “อ้าว สึนะโยชิคุง~ มาแล้วเหรอ~” ร่างโปร่งมองไปยังบุคคลที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกลางห้อง นัยน์ตาคมกริบสีม่วงอะเมทิสต์ที่มักจะทอประกายอยู่เสมอมองมายังเขา เส้นผมสีขาวโพลนราวกับสีของไข่มุกทำให้เจ้าตัวดูเด่นสะดุดตาในห้องที่ทั้งผนังและเพดานสีค่อนทางไข่ไก่ เบียคุรันอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำทับด้วยเสื้อกั๊กสีขาวไร้ลวดลาย กางเกงสีขาวขายาวดูเข้ากับเสื้อท่อนบนเป็นอย่างดี ส่วนเสื้อนอกถูกพาดเอาไว้บนบ่า

     

              ไม่ว่าจะดูอย่างไร เขาก็คิดว่าเจ้าตัวก็ดูเป็นหนุ่มเพลย์บอยนักรักมากกว่ามาเฟีย

     

              “สวัสดีครับเบียคุรัน” ร่างเล็กยิ้มหวาน ส่งสายตามองแรมโบ้เป็นเชิงสื่อให้ไปหาอะไรทานข้างนอกก่อน คนอายุน้อยกว่ายิ้มรับแล้วเดินออกไป

     

              นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้หันกลับมามองนภาสีขาวตรงหน้าอีกครั้ง

     

              ถ้าจะพูดให้ถูก เบียคุรันไม่ได้อายุห่างกับเขามากนัก เจ้าตัวอายุมากกว่าเขาเพียงปีเดียวเท่านั้น หลังจากจบศึกโลกอนาคต เบียคุรันก็ถูกทางวองโกเล่จับตาดูอย่างใกล้ชิดเพื่อที่จะกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งก็เพราะการช่วยเหลือของเบียคุรัน ที่ทำให้พวกเขาผ่านศึกแห่งสายรุ้งมาได้

     

              จนตอนนี้เจ้าตัวก็สร้างกลุ่มมาเฟียของตัวเองขึ้นมาแล้ว ในนามของ เจสโซ่แฟมิลี่ ชื่อเดียวกับที่ใช้ในโลกอนาคต ภายใต้สัตย์ปฏิญาณว่าจะเป็นพันธมิตรและผู้คอยช่วยเหลือที่ดีของวองโกเล่

     

              แม้จะบอกว่าเป็น พันธมิตร แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนในวองโกเล่จะไว้ใจพวกเจสโซ่

     

              ให้ตาย เพราะไอท่าทางชอบกวนประสาทชาวบ้าน เดี๋ยวร้ายเดี๋ยวดีของคุณกล้วยไม้เขานั่นแหละ

     

              “ไม่ได้เจอเธอซะนาน ฉันคิดถึงเธอมากเลยรู้มั้ย สึนะโยชิคุง” คนเจ้าเล่ห์ยิ้มตาหยี ในมือมีถุงมาร์ชเมลโล่สองถุงให้เจ้าตัวสุ่มหยิบเข้าปาก ทั้งๆที่อาหารบนโต๊ะก็เยอะแยะ ทำไมถึงยึดติดกับมาร์ชเมลโล่นักนะ..

     

              “คุณจะทานของหวานก่อนของคาวไม่ได้นะครับ” ร่างโปร่งบางปราม อย่างน้อยก็ช่วยทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ทีเถอะ ทานแต่มาร์ชเมลโล่ อีกไม่นานเบาหวานคงถามหา

     

              “เธอเป็นห่วงฉันด้วยเหรอเนี่ย เธอเนี่ยน่ารักเสมอต้นเสมอปลายเลยนะ”

     

              “เบียคุรัน..” มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ แต่ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มหวาน

     

              “รู้แล้วน่าๆ” ถุงมาร์ชเมลโล่ทั้งสองถุงถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะ ถึงอย่างนั้นคนตรงหน้ากลับไม่มีทีท่าว่าจะหยิบมีดส้อมขึ้นมาแต่อย่างใด

     

              “ถ้าเป็นห่วงฉัน ก็ป้อนฉันด้วยสิ” นภาแห่งวองโกเล่ทำหน้าเอือม

     

              “ผมแค่กลัวคุณจะเป็นเบาหวานตายแล้วผมไม่มีใครให้ใช้งานน่ะครับ”

     

              “เธอนี่ใจร้ายจังนะ” นภาสีขาวแห่งเจสโซ่แฟมิลี่ยกยิ้มขำขัน นัยน์ตาสีม่วงอะเมทิสต์หรี่มองร่างโปร่งบางตรงหน้าอย่างพินิจ ทั้งริมฝีปากรูปกระจับที่แดงระเรื่อนั่น ทั้งนัยน์ตาสีน้ำตาลกลมที่น่าหลงใหลนั่น ถ้ามีเวลามากกว่านี้— ก็คงจะได้ทำอะไรสนุกๆเยอะแยะแท้ๆ

     

              “เรามาเข้าเรื่องกันเถอะครับ”

     

              “หืม? เอาสิ” สึนะโยชิคลี่ยิ้มกับการตอบรับของนภาสีขาว

     

              “เรื่องที่ผมไหว้วานไป..”

     

              “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันจัดการให้เธอเรียบร้อยแล้วล่ะ”

     

              “งั้นเหรอครับ จะว่าไปผมก็อยากรู้เหมือนกัน— ว่าคุณจะสามารถทำอะไรเพื่อผมได้บ้าง” บอสของเจสโซแฟมิลี่ยิ้มร้ายกาจ แม้เขาจะเป็นนภาสีขาวผู้โดดเด่นและอันตรายมากแค่ไหน ก็คงปฏิเสธไม่ได้ เกี่ยวกับข่าวลือที่ว่าเจสโซแฟมิลี่เป็นกลุ่มมาเฟียที่ขึ้นตรงต่อวองโกเล่รุ่นที่สิบ

     

              เหตุผลก็คงจะรู้ๆกันอยู่

     

              ร่างสูงหยัดตัวลุกขึ้น ใช้มือทั้งสองยันโต๊ะเอาไว้ ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้นภาแห่งวองโกเล่จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายกลิ่นของดอกไม้ป่า นัยน์ตาสีอะเมทิสต์จดจ้องเข้าไปในดวงเนตรสีน้ำตาลโดยไม่คิดละสายตา

     

              “ถ้าเพื่อเธอ— ฉันก็ทำได้ทุกอย่างนั่นล่ะ”

     

     

     

     

              นัยน์ตาสีฟ้าอะความารีนค่อยๆลืมตาขึ้นในความมืด เขาได้กลิ่นเหม็นฉุนจมูก คล้ายจะเป็นกลิ่นสนิม ทั้งยังรู้สึกคัดจมูกอยู่ตลอดเวลาเหมือนกำลังอยู่ในที่ๆมีฝุ่นเยอะมาก ข้อมือขยับไม่ได้คล้ายว่าจะถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือก แต่ขาทั้งสองข้างยังคงเป็นอิสระ

     

              เขากระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับโฟกัสสายตา

     

              และภาพตรงหน้าก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนสมองขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก

     

              อาคาชิ ฮิมุโระ และสมาชิกทีมเซย์รินรวมถึงริโกะที่เป็นผู้จัดการทีมตกอยู่ในสภาพสลบไสลไม่ได้สติ มือของทุกคนถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือก นัยน์ตาสีฟ้าสั่นระริก

     

              นี่มันเรื่องอะไรกัน!?

     

     

     

     

     

    ----------|----------|----------|----------|----------

    พูดตามตรง ในเรื่องรีบอร์นเราชอบเบียคุรันกับมุคุโร่ที่สุดค่ะ /ต้องขอโทษท่านฮิด้วยจริงๆ พอดีชอบผู้ชายหล่อ + เจ้าเล่ห์มากแผนการง่า ;///; 

    ตั้งแต่ตอนนี้ไปจะไม่ค่อยมีเรื่องราวน่ารักๆใสๆแล้วนะคะ

    เนื้อเรื่องจะเริ่มเครียดขึ้นมาอีกระดับนึง ;-;

    ปกติจะไม่อัพวันจันทร์ แต่นี่มาชดเชยที่วันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ได้อัพตอนใหม่ค่ะ แหะ

    พอดีตอนนั้นกำลังติดปรมาจารย์ลัทธิมาร ล่าสุดก็คือพึ่งดูจบไป—

    อ่านแล้วเม้นเป็นกำลังใจให้ด้วยน๊า รักทุกคนค่ะ

     

     

     

     

     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×