คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Canival 14 :: What Can You Do?
ในชีวิตของ
ฮิบาริ เคียวยะ
มีไม่กี่ครั้งที่เขาจะเห็นรอยยิ้มจริงใจของนภาแห่งวองโกเล่นับตั้งแต่เมื่อ 2
ปีก่อนที่เจ้าตัวขึ้นสืบทอดรับตำแหน่งวองโกเล่รุ่นที่ 10 มันคงจะเป็นเรื่องที่ยาก
ที่จะสามารถ ‘เหมือนเดิม’ ได้ตลอดรอดฝั่งทั้งๆที่ผู้คนและสภาพแวดล้อมรอบตัวกำลังบีบบังคับให้เด็กหนุ่มธรรมดาๆคนหนึ่งต้องเปลี่ยนไป
แบกรับหน้าที่ที่ตัวเองไม่เคยต้องการ
แต่เพื่อพวกพ้อง
เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นเมื่อ
2 ปีก่อน
นัยน์ตาสีรัตติกาลมองร่างทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องนอนของสึนะโยชิภายในคฤหาสน์ฝั่งขวาด้วยสายตาอ่านยาก
เขาเอนหลังพิงกำแพงก่อนเบือนสายตาหนีไปทางอื่น ยอมรับว่าไม่พอใจนัก
ถ้าจะให้ใช้อากาศหายใจร่วมกับเด็กนี่ เขายอมเจอหน้ายัยมาเรีย
เกรฟยาร์ดนั่นจะดีซะกว่า
เพราะอะไรน่ะหรือ?
เพราะเด็กนี่—
มีหลายอย่างที่คล้ายกับ ซาวาดะ สึนะโยชิ เมื่อก่อนมากจนเกินไป
เป็นหนึ่งในคนส่วนใหญ่ที่เขาเกลียดขี้หน้า
พูดให้ถูกคือเขาก็ไม่เคยชอบขี้หน้าใครมากไปกว่านภาแห่งวองโกเล่อยู่แล้ว
โดยเฉพาะไอหัวสับปะรด หัวเผือก และหัวทอง(?) อ้อ ใช่—
รวมถึงไอมือขวางี่เง่า และไอดาร์กเนียนนั่นก็ด้วย
มันช่าง..น่ารำคาญ
เพราะแบบนั้นถึงได้เกลียดการสุมหัว
นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ของนภาแห่งวองโกเล่เหลือบมองสมาร์ทวอทช์บนข้อมือซึ่งกำลังบ่งบอกว่าเวลานี้ก็
9 โมงเช้าเข้าไปแล้ว มันคือเวลานัดสำหรับการออกเดินทางไปเที่ยวที่เมืองมิลาน
“เอาล่ะ
ไปกันเถอะ” เขาหันมายิ้มให้กับคนอายุน้อยกว่า
ก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายและผู้พิทักษ์เมฆาของตนออกจากห้องไป
ภายในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์หลักเต็มไปด้วยเด็กวัยรุ่นหลายสิบชีวิตกำลังยืนล้อมวงกันพูดคุยเกี่ยวกับทริปในวันนี้
หลายๆคนมีกระเป๋าเป้ไว้สำหรับพกพาของอำนวยความสะดวก ในขณะที่บางคนก็แทบจะเรียกได้ว่าไปตัวเปล่าเนื่องจากขี้เกียจพกอะไรให้มากความ
คุโรโกะมองสึนะโยชิที่เดินเข้ามาในห้องโถงตามหลังมาด้วยหัวหน้ากรรมการคุมกฎแห่งนามิโมริที่พวกเขาต่างรู้สึกหวาดกลัว
และเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่พวกเขาไม่รู้จัก
“เอ๋..นั่นใครน่ะ”
ร่างโปร่งที่พึ่งมาถึงผายมือมาทางเด็กหนุ่มข้างกายก่อนคลี่ยิ้มหวาน
“นี่คือ ไลโอเนล จี ฟรอสต์ ครับ เป็นญาติห่างๆของอาจารย์ดีโน่
เขาอยากมาเที่ยวด้วยกัน อาจารย์ดีโน่ก็เลยพามาฝากผมเอาไว้”
“ญาติห่างๆ?” ทุกคนไล่สายตามองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจ อาจจะไม่ได้เหมือนมาก—
แต่จากสีผมและสีตาก็ดูคล้ายๆอยู่
“พวกนายเตรียมตัวกันเสร็จรึยัง?” อิมาโยชิที่กำลังเดินลงมาจากบันไดเอ่ยปากถามขึ้น
ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นจึงชูกระเป๋าสำหรับใส่สัมภาระเล็กๆน้อยๆของตัวเองขึ้นมา
อดีตกัปตันทีมโทโอกาคุเอ็นยิ้มอย่างพอใจ
“อาจารย์ดีโน่จะไปเจอพวกเราทีเดียวที่มิลาน
ระหว่างนี้ฉันจะดูแลไปก่อน เพราะงั้นอย่าวุ่นวายนา”
“รู้แล้วน่า
ไอแว่นปีศาจเอ้ย!”
อิมาโยชิหันไปยิ้มให้ผู้พูดอย่างอาโอมิเนะ แต่..อาจจะเป็นเพราะประโยคเมื่อครู่
ที่ทำให้รอยยิ้มนั้นดูเหี้ยมผิดปกติจนชายหนุ่มผิวแทนถึงกับสะดุ้ง
“งั้นไปกันเถอะ”
พวกเขาเดินไปขึ้นรถโดยสารคันโตอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เด็กหนุ่มผมฟ้าเจ้าของนัยน์ตาสีอะความารีนผู้ถูกดึงมานั่งใกล้ๆกับอาคาชิหันซ้ายขวามองคนรอบรถ
“แล้วรุ่นพี่ฮิบาริล่ะครับ?” สึนะโยชิหันมายิ้มแหย่
“เขาจะตามไปพร้อมอาจารย์ดีโน่น่ะ
พอดีไม่ชอบอยู่กับคนมากๆ” แต่ว่า— ไปกับอาจารย์ดีโน่งั้นหรือ? สภาพก็คงเละไม่ต่างกัน
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงรถบัสสีดำคันหรูก็แล่นเข้าสู่ตัวเมืองมิลาน
ทุกสายตาจับจ้องออกไปยังนอกหน้าต่าง
พวกเขาพยายามหัดพูดภาษาอิตาลีเบื้องต้นมาบ้างแล้ว
อย่างน้อยก็รู้ว่าต้องพูดอย่างไรเวลาขอบคุณ ขอโทษ ถามราคาหรือบอกจำนวนสิ่งที่ต้องการ
“ผู้ชายอิตาลีนี่หน้าตาดีจริงๆน๊า”
โมโมอิเท้าคางกับขอบหน้าต่างรถ
ก่อนเหลือบตามองคุโรโกะที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากเธอเท่าไหร่นัก
“แต่สำหรับฉันเท็ตสึคุงก็หล่อที่สุดอยู่ดี~”
“เอาล่ะ
ถึงแล้ว”
ที่แรกที่รถบัสพามาก็คือ
มหาวิหารมิลาน (Milan Cathedral) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ
Duomo di Milano
เป็นมหาวิหารใจกลางเมืองซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของที่นี่ ตัวมหาวิหารมีการสร้างแบบสถาปัตยกรรมกอธิคที่อลังการและยิ่งใหญ่
แน่นอนว่าสำหรับพวกเขาแล้วนี่เป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก
“โคตรสวยเลย”
ฮิวงะถึงกับหลุดปากชม ทุกคนเริ่มลงจากรถแล้วแยกย้ายกันไปถ่ายรูปและเดินเที่ยวรอบมหาวิหาร
โดยที่ตามกำหนดการแล้วจะอยู่ที่นี่เพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
พวกเขาจึงไม่รีรอที่จะเดินชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมอันสวยงามแห่งนี้
“อาจารย์ดีโน่
มาแล้วเหรอครับ” สึนะที่ตัดสินใจรอทุกคนอยู่หน้ามหาวิหารซึ่งเป็นจุดรวมตัวเอ่ยทักม้าพยศหนุ่มผู้มาพร้อมกับผู้พิทักษ์เมฆาของเขา
รวมถึงมือขวาคนสนิทอย่างโรมาริโอ้ สภาพของดีโน่มีร่องรอยของการต่อสู้เล็กน้อย
แต่ก็ไม่มีการบาดเจ็บ คงเพราะมีลูกน้องอยู่ข้างๆ
“ได้ยินสึนะเรียกฉันว่าอาจารย์ดีโน่แบบนี้ก็รู้สึกดีทุกคนเลยน๊า”
“อยากโดนขย้ำรึไง
ไอม้าพยศ” ฮิบาริที่รีบดึงตัวนภาแห่งวองโกเล่มาหลบหลังตัวเองอย่างไวชูทอนฟาขึ้นสูง
นภาสีทองแห่งคาบัคโรเน่ยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้
“เห็นปากร้ายกับเขา
ก็หวงเขาไม่ใช่เหรอเคียวยะ” ฮิบาริชักสีหน้า นัยน์ตาสีรัตติกาลเหลือบมองร่างโปร่งบางที่ยืนตาปริบๆอยู่ด้านหลังตัวเอง
“ใครหวงไอปลานี่กัน”
คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปลาเริ่มรู้สึกตงิด
ปากร้ายขึ้นทุกครั้งที่เจอหน้าเลยนะคนๆนี้
“ฉันถ่ายรูปให้มั้ยคุโรจิน”
คุโรโกะเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ของคนตรงหน้าที่ถือกล้องพร้อมรอยยิ้มจางๆซึ่งถูกส่งมาให้เขา
ร่างเล็กมีสีหน้าครุ่นคิดก่อนพยักหน้า
“ขอบคุณครับ”
“งั้นเรามาถ่ายรูปคู่กันเถอะคุโรโกจจิ~”
ร่างสูงผมทองผู้วิ่งแจ๋นมาจากไหนก็ไม่มีใครทราบวาดวงแขนโอบรอบคอของคนตัวเล็กกว่าอย่างสนิทสนม
ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้จนริมฝีปากแทบจะแนบชิดกับแก้มเนียนนุ่น ก่อนที่จะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากคนสูงสองร้อยกว่าเซนติเมตร
“อ
เอ่อ มุราซากิบารัจจิ— “
“ฉันไม่ถ่ายแล้ว”
เด็กโข่งเอาแต่ใจเก็บกล้องเข้ากระเป๋าแทบจะในทันทีพร้อมทำหน้างอ
จนฮิมุโระที่เดินอยู่ด้วยกันต้องรีบไปตบบ่าให้ใจเย็นลงก่อน
“อัตสึชิ
อย่าเอาแต่ใจสิ”
“แต่—
“
แต่แล้วมุราซากิบาระซึ่งขยับตัวโดยไม่ทันได้ระวังความสูงใหญ่ของร่างกายตัวเอง
ก็เผลอไปชนคุโรโกะที่ยืนอยู่ข้างๆกันเข้า
ผลั่ก!
“อ้ะ..”
ร่างเล็กของเด็กหนุ่มผมฟ้าที่เซไปชนกับใครบางคนที่อยู่ด้านหลังถูกคนๆนั้นรับตัวเอาไว้ก่อนที่จะล้มลงกับพื้น
นัยน์ตาสีอะความารีนที่หลับตาปี๋ค่อยๆลืมขึ้นมาทีละข้าง ไร้ซึ่งความเจ็บปวดใดๆ
สิ่งที่เห็นมีเพียงสีหน้าตื่นตกใจของพวกฮิมุโระเท่านั้น
ใบหน้าหวานเบี่ยงมองคนด้านหลัง
อา
ชาวต่างชาติ
“เป็นอะไรมั้ยครับ?” ภาษาญี่ปุ่นสำเนียงแปล่งๆถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหยัก
ชายหนุ่มที่ช่วยรับเขาเอาไว้ก่อนล้มลงนั้นเป็นชายร่างสูงใหญ่แบบชาวต่างชาติ
ดูจากส่วนสูงก็น่าจะพอๆกับอาโอมิเนะหรือคิเสะ ผมสีดำขลับเป็นเงางามตัดกับผิวขาวซีดเหมือนคนที่ไม่ค่อยได้รับแสงแดด
ดูตรงข้ามกับร่างกายที่กำยำเหมือนนักกีฬาภายใต้ชุดลำลองสีทึบ นัยน์ตาสีน้ำตาลทองสว่างวาววับราวกับนัยน์ตาของสัตว์นักล่าจำพวกเสือหรือสิงโต
“ม
ไม่เป็นไรครับ ผมขอโทษจริงๆ” คุโรโกะผงกศีรษะขอโทษชายตรงหน้าเป็นการใหญ่
แม้ใบหน้าของอีกฝ่ายจะดูคมเข้มและบางทีก็ดูดุดัน แต่—
ก็อาจจะใจดีกว่าที่เห็นภายนอก
“ใจเย็นๆ
ตัวคุณก็เท่านั้น ต่อให้ล้มทับผม ผมก็คงไม่เจ็บหรอก”
“เอ๋?”
“งั้นผมไปก่อนนะครับ”
ชายแปลกหน้าโบกมือลาก่อนเดินหายไปท่ามกลางฝูงชน คุโรโกะมีสีหน้างงงวยเล็กน้อย
อีกฝ่ายดู— ใจดี?
แต่ก็มีความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อกวนในใจทำให้เขากระสับกระส่าย
“หมอนั่น
อยู่ดีๆก็ถูกชน แถมคนที่ชนยังเป็นคนจืดจางแบบคุโรโกะอีก
ถ้าเป็นคนปกติต้องตกใจไม่ใช่รึไง?”
มิโดริมะผู้ยืนสังเกตอยู่ตั้งแต่แรกขมวดคิ้วมุ่น
“นั่นสิ
คนที่ชนเป็นคุโรโกจจิเลยนะฮะ”
คุโรโกะหันไปมองเส้นทางที่ชายคนนั้นเดินหายไป
“ผมก็รู้สึก—
แปลกใจเหมือนกันครับ”
นัยน์ตาสีทองอร่ามคล้ายสัตว์นักล่าจำพวกเสือเหลือบมองเส้นทางที่ตัวเองพึ่งเดินจากมาด้วยสายตาคมกริบ
ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ขวักไขว่กันอยู่บนถนน
เขากลับพบว่าเด็กหนุ่มจืดจางคนนั้นน่าสนใจไม่ใช่น้อย
ดูธรรมดาๆ
แต่ว่า..
ก็—
น่าสนใจ
“มีอะไรรึเปล่าครับ
ท่านมอร์เต้” ชายหนุ่มในชุดสูทผู้สวมแว่นตากันแดดสีดำทักขึ้นด้วยความสงสัย
ร่างกายสูงใหญ่กำยำแบบชาวยุโรปอยู่เคียงกายผู้เป็นนายของตนอย่างสุภาพและนอบน้อม ชายเจ้าของนัยน์ตาคล้ายสัตว์จำพวกเสือส่ายหน้า
“เปล่า”
“...”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น”
ดีโน่และพวกสึนะที่ยืนคุยกันมาพักใหญ่เงียบไปเมื่อหลายๆคนเริ่มมาตามจุดนัดพบจนใกล้จะครบแล้ว
นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้กวาดตามองไปรอบๆ
ก่อนที่เขาจะเรียกให้ทุกคนกลับขึ้นรถโดยสารเมื่อพบว่า 2
คนสุดท้ายของกลุ่มกำลังจะเดินมาทางนี้
“หืม
พวกนายรักษาเวลากันได้ดีมากเลยนะ ขอชมเลย!” อาจารย์หนุ่มผมทองชมเชยพร้อมรอยยิ้มร่า
ข้างๆเขามีไลโอเนลและโรมาริโอ้ยืนอยู่ด้วยกัน
ก่อนที่เขาจะพาเด็กๆขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไป
ย่านเบร์รา
(Brera
District) คือจุดมุ่งหมายต่อไปของพวกเขา
ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมอย่างมาก อาคารบ้านเรือนเป็นสถาปัตยกรรมสีเหลืองไข่ที่ดูเรียบง่ายและดูมีมนต์ขลัง
อาจารย์ดีโน่บอกว่าที่นี่เต็มไปด้วยงานศิลป์มากมาย ไหนจะร้านอาหารที่แสนเอร็ดอร่อย
ไนต์คลับ และบูธจำหน่ายงานศิลปะ
เป็นสถานที่ที่คงขาดไปไม่ได้หากได้มาเที่ยวที่มิลาน
“งั้นคราวนี้ก็แยกย้ายกันไปเมื่อที่มหาวิหารมิลานนะ
แถมนี่ก็จะเที่ยงแล้ว เพราะงั้นฉันให้เวลา 2 ชั่วโมง
ในการเดินเที่ยวและหามื้อเที่ยงกินให้เรียบร้อย แล้วค่อยมาเจอกันที่นี่”
อาจารย์ดีโน่ชี้แจ้ง
ทุกคนพยักหน้ารับก่อนเริ่มไปเกาะกลุ่มกันเพื่อเดินเที่ยวและถ่ายรูป
“พวกยามาโมโตะเนี่ยดูไม่ได้เอนจอยเท่าไหร่เลยนา”
ฮายามะ โคทาโร่
ว่าด้วยสีหน้าเซ็งๆระหว่างแอบสังเกตท่าทีของยามาโมโตะและคนในกลุ่มที่ดูจะเฉยชากับสถาปัตยกรรมอันงดงามพวกนี้
จริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้สนใจมากนักหรอก
พอดีไม่ใช่คนละเอียดอ่อน
“หรือพวกเขาจะเห็นบ่อยนะ
เห็นบอกว่าเคยเรียนที่อิตาลีนี่”
สึนะโยชิที่ได้ยินการพูดคุยระหว่างเรย์โอะและโคทาโร่เลิกคิ้ว
ที่เรย์โอะพูดก็ไม่ผิดนัก
ปราสาทหลักของวองโกเล่ตั้งอยู่ที่เมืองเล็กๆที่อยู่ติดกับมิลาน
เพราะงั้นจึงแทบจะพูดได้ว่าไม่มีซอกมุมไหนของมิลานที่พวกเขาไม่รู้จัก
ทั้งการพูดคุยรับประทานอาหารหรูๆในร้านอาหารในเมืองมิลานกับแฟมิลี่พันธมิตรก็เกิดขึ้นบ่อยจนแทบจะรู้จักเมนูขึ้นชื่อของทุกร้าน
ไหนจะเหตุผลที่ว่ามิลานเป็นหนึ่งในอาณาเขตของวองโกเล่และพันธมิตรอีก
ครั้งนี้คุโรโกะไม่ได้ไปเดินกับฮิมุโระซังเหมือนในตอนแรก
เขาตัดสินใจที่จะเดินไปกับทีมรุ่นปาฏิหาริย์เหมือนเดิม
ในขณะที่ฮิมุโระซึ่งดูเหมือนจะสนิทกับทีมเซย์รินมากขึ้นจึงไปด้วยกัน
นอกจากนั้นก็ยังมีการรวมกลุ่มกันแบบคละโรงเรียน
เนื่องจากพวกเขาสนิทชิดเชื้อกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
“เลือกร้านซักทีเถอะอาคาชิ”
อาโอมิเนะแคะขี้หูพลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย เนื่องจากอดีตกัปตันหนุ่มผมแดงของพวกเขาใช้เวลาเลือกร้านอาหารสำหรับมื้อเที่ยงเกือบ
20 นาทีแล้ว ร้านนี้ก็ไม่เอา ร้านนั้นก็ไม่ได้ แล้วชาตินี้พ่อคุณจะได้กินมั้ย!?
“เดี๋ยวนะครับ
นั่นน่ะ..” คุโรโกะชะงักเมื่อเห็นใครคนหนึ่งพึ่งเดินผ่านไปตรงหัวมุมซอย
ผมสีน้ำตาลไหม้ชี้ฟูนั่นช่างคุ้นตา
“ซาวาดะคุงกับ—
แรมโบ้คุงรึเปล่านะ?”
เสียงของเขาทำให้ทุกคนต้องหันไปมองทางที่เขาชี้
อาคาชิมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่จะโยนกระเป๋าของตัวเองให้อาโอมิเนะถือพร้อมกับพูดเสียงดัง
“ฝากไว้หน่อย
เดี๋ยวฉันมา!” ร่างสูงโปร่งของผู้มีฉายาว่าจักรพรรดิไร้พ่ายแห่งราคุซันวิ่งตามสองคนนั้นไปแทบจะในทันที
สำหรับอาคาชิ เขามีเรื่องมากมายที่อยากจะไขข้อสงสัย
จริงๆแล้วให้รอเวลานานกว่านี้ก็ย่อมได้
แต่ไม่รู้ทำไม..ร่างกายถึงวิ่งไปก่อนที่สมองจะสั่งการ
มันมีเรื่องบางอย่างที่เขาอยากรู้
ทั้งผู้ที่สนับสนุนพวกเขาอยู่
ทั้งเรื่องของสัญลักษณ์วองโกเล่นั่น
“เดี๋ยวสิครับ! อาคาชิคุง!”
คุโรโกะที่เห็นท่าไม่ดีจึงวิ่งตามอดีตกัปตันของตัวเองไป
ในขณะที่คนที่เหลือหันมามองหน้ากันอย่างมึนงง แล้วพวกเขาล่ะ?
ต้องไปด้วยรึเปล่า?
“เอาเป็นว่าไปหาร้านอาหารไว้นั่งรอเถอะ”
มิโดริมะตัดสินใจ ก่อนที่ทุกคนจะพยักหน้ารับพร้อมกับเสียงท้องร้องที่ดังขึ้น
“นั่นสินะฮะ
ฮะๆ”
“ร้านนี้เหรอครับวองโกเล่?” แรมโบ้ถาม นัยน์ตาสีดำขลับเงยหน้าขึ้นมองป้ายร้านที่เป็นไม้สักอย่างดี
มีรอยแกะสลักเป็นตัวอักษรอย่างงดงาม ตัวร้านก็ดูหรูหราน่าถ่ายรูป
นภาแห่งวองโกเล่พยักหน้า ก่อนที่จะเดินนำผู้พิทักษ์อัสนีเข้าไปในร้าน
“ยินดีต้อนรับครับ”
พนักงานหนุ่มชาวอิตาลีในร้านโค้งอย่างมีมารยาท สึนะโยชิยิ้มรับ
เขาเหลือบสายตามองไปรอบๆร้าน ที่นี่เป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่มีชื่อเสียง มีผู้คนมากมายต่างพากันจับจองที่นั่งรับประทานอาหาร
คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนธรรมดา ไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกับโลกมืด
ไม่ว่าจะพิซซ่าอิตาเลียน
ลาซานญ่า หรือแม้แต่สปาเก็ตตี้ ต่างก็ส่งกลิ่นหอมน่ารับประทานทั้งสิ้น
เด็กหนุ่มหันไปยิ้มให้กับพนักงานต้อนรับพลางชูมือข้างที่สวมแหวนวองโกเล่ขึ้นมา
“มาร์ชเมลโล่สำหรับคุณกล้วยไม้
1 ที่ครับ” พนักงานหนุ่มชะงักไปเพียงชั่วครู่
ก่อนจะยกยิ้มอย่างเข้าใจในรหัสลับแล้วผายมือเชิญเขาขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของร้าน
ห้องที่เขาเข้าไปเป็นห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัวที่มีเพียงแขกของเจ้าของกิจการแห่งนี้เท่านั้นที่สามารถใช้บริการได้
ที่นี่มีชื่อว่า
ภัตตาคารมาร์ชเมลโล่
เป็นร้านอาหารอิตาเลียนแต่กลับมีชื่อเป็นขนมหวาน
ใครมันช่างกล้าตั้—
แน่นอน
คนที่คุณก็รู้จักกันดี
“อ้าว
สึนะโยชิคุง~ มาแล้วเหรอ~” ร่างโปร่งมองไปยังบุคคลที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกลางห้อง
นัยน์ตาคมกริบสีม่วงอะเมทิสต์ที่มักจะทอประกายอยู่เสมอมองมายังเขา
เส้นผมสีขาวโพลนราวกับสีของไข่มุกทำให้เจ้าตัวดูเด่นสะดุดตาในห้องที่ทั้งผนังและเพดานสีค่อนทางไข่ไก่
เบียคุรันอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำทับด้วยเสื้อกั๊กสีขาวไร้ลวดลาย
กางเกงสีขาวขายาวดูเข้ากับเสื้อท่อนบนเป็นอย่างดี ส่วนเสื้อนอกถูกพาดเอาไว้บนบ่า
ไม่ว่าจะดูอย่างไร
เขาก็คิดว่าเจ้าตัวก็ดูเป็นหนุ่มเพลย์บอยนักรักมากกว่ามาเฟีย
“สวัสดีครับเบียคุรัน”
ร่างเล็กยิ้มหวาน ส่งสายตามองแรมโบ้เป็นเชิงสื่อให้ไปหาอะไรทานข้างนอกก่อน
คนอายุน้อยกว่ายิ้มรับแล้วเดินออกไป
นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้หันกลับมามองนภาสีขาวตรงหน้าอีกครั้ง
ถ้าจะพูดให้ถูก
เบียคุรันไม่ได้อายุห่างกับเขามากนัก เจ้าตัวอายุมากกว่าเขาเพียงปีเดียวเท่านั้น
หลังจากจบศึกโลกอนาคต
เบียคุรันก็ถูกทางวองโกเล่จับตาดูอย่างใกล้ชิดเพื่อที่จะกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งก็เพราะการช่วยเหลือของเบียคุรัน
ที่ทำให้พวกเขาผ่านศึกแห่งสายรุ้งมาได้
จนตอนนี้เจ้าตัวก็สร้างกลุ่มมาเฟียของตัวเองขึ้นมาแล้ว
ในนามของ เจสโซ่แฟมิลี่ ชื่อเดียวกับที่ใช้ในโลกอนาคต
ภายใต้สัตย์ปฏิญาณว่าจะเป็นพันธมิตรและผู้คอยช่วยเหลือที่ดีของวองโกเล่
แม้จะบอกว่าเป็น
‘พันธมิตร’ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนในวองโกเล่จะไว้ใจพวกเจสโซ่
ให้ตาย
เพราะไอท่าทางชอบกวนประสาทชาวบ้าน เดี๋ยวร้ายเดี๋ยวดีของคุณกล้วยไม้เขานั่นแหละ
“ไม่ได้เจอเธอซะนาน
ฉันคิดถึงเธอมากเลยรู้มั้ย สึนะโยชิคุง” คนเจ้าเล่ห์ยิ้มตาหยี
ในมือมีถุงมาร์ชเมลโล่สองถุงให้เจ้าตัวสุ่มหยิบเข้าปาก
ทั้งๆที่อาหารบนโต๊ะก็เยอะแยะ ทำไมถึงยึดติดกับมาร์ชเมลโล่นักนะ..
“คุณจะทานของหวานก่อนของคาวไม่ได้นะครับ”
ร่างโปร่งบางปราม อย่างน้อยก็ช่วยทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ทีเถอะ ทานแต่มาร์ชเมลโล่
อีกไม่นานเบาหวานคงถามหา
“เธอเป็นห่วงฉันด้วยเหรอเนี่ย
เธอเนี่ยน่ารักเสมอต้นเสมอปลายเลยนะ”
“เบียคุรัน..”
มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ แต่ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มหวาน
“รู้แล้วน่าๆ”
ถุงมาร์ชเมลโล่ทั้งสองถุงถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะ
ถึงอย่างนั้นคนตรงหน้ากลับไม่มีทีท่าว่าจะหยิบมีดส้อมขึ้นมาแต่อย่างใด
“ถ้าเป็นห่วงฉัน
ก็ป้อนฉันด้วยสิ” นภาแห่งวองโกเล่ทำหน้าเอือม
“ผมแค่กลัวคุณจะเป็นเบาหวานตายแล้วผมไม่มีใครให้ใช้งานน่ะครับ”
“เธอนี่ใจร้ายจังนะ”
นภาสีขาวแห่งเจสโซ่แฟมิลี่ยกยิ้มขำขัน
นัยน์ตาสีม่วงอะเมทิสต์หรี่มองร่างโปร่งบางตรงหน้าอย่างพินิจ
ทั้งริมฝีปากรูปกระจับที่แดงระเรื่อนั่น ทั้งนัยน์ตาสีน้ำตาลกลมที่น่าหลงใหลนั่น
ถ้ามีเวลามากกว่านี้— ก็คงจะได้ทำอะไรสนุกๆเยอะแยะแท้ๆ
“เรามาเข้าเรื่องกันเถอะครับ”
“หืม? เอาสิ” สึนะโยชิคลี่ยิ้มกับการตอบรับของนภาสีขาว
“เรื่องที่ผมไหว้วานไป..”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า
ฉันจัดการให้เธอเรียบร้อยแล้วล่ะ”
“งั้นเหรอครับ
จะว่าไปผมก็อยากรู้เหมือนกัน— ว่าคุณจะสามารถทำอะไรเพื่อผมได้บ้าง”
บอสของเจสโซแฟมิลี่ยิ้มร้ายกาจ แม้เขาจะเป็นนภาสีขาวผู้โดดเด่นและอันตรายมากแค่ไหน
ก็คงปฏิเสธไม่ได้ เกี่ยวกับข่าวลือที่ว่าเจสโซแฟมิลี่เป็นกลุ่มมาเฟียที่ขึ้นตรงต่อวองโกเล่รุ่นที่สิบ
เหตุผลก็คงจะรู้ๆกันอยู่
ร่างสูงหยัดตัวลุกขึ้น
ใช้มือทั้งสองยันโต๊ะเอาไว้ ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้นภาแห่งวองโกเล่จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายกลิ่นของดอกไม้ป่า
นัยน์ตาสีอะเมทิสต์จดจ้องเข้าไปในดวงเนตรสีน้ำตาลโดยไม่คิดละสายตา
“ถ้าเพื่อเธอ—
ฉันก็ทำได้ทุกอย่างนั่นล่ะ”
นัยน์ตาสีฟ้าอะความารีนค่อยๆลืมตาขึ้นในความมืด
เขาได้กลิ่นเหม็นฉุนจมูก คล้ายจะเป็นกลิ่นสนิม ทั้งยังรู้สึกคัดจมูกอยู่ตลอดเวลาเหมือนกำลังอยู่ในที่ๆมีฝุ่นเยอะมาก
ข้อมือขยับไม่ได้คล้ายว่าจะถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือก แต่ขาทั้งสองข้างยังคงเป็นอิสระ
เขากระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับโฟกัสสายตา
และภาพตรงหน้าก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนสมองขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก
อาคาชิ
ฮิมุโระ และสมาชิกทีมเซย์รินรวมถึงริโกะที่เป็นผู้จัดการทีมตกอยู่ในสภาพสลบไสลไม่ได้สติ
มือของทุกคนถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือก นัยน์ตาสีฟ้าสั่นระริก
นี่มันเรื่องอะไรกัน!?
----------|----------|----------|----------|----------
พูดตามตรง ในเรื่องรีบอร์นเราชอบเบียคุรันกับมุคุโร่ที่สุดค่ะ /ต้องขอโทษท่านฮิด้วยจริงๆ พอดีชอบผู้ชายหล่อ + เจ้าเล่ห์มากแผนการง่า ;///;
ตั้งแต่ตอนนี้ไปจะไม่ค่อยมีเรื่องราวน่ารักๆใสๆแล้วนะคะ
เนื้อเรื่องจะเริ่มเครียดขึ้นมาอีกระดับนึง
;-;
ปกติจะไม่อัพวันจันทร์
แต่นี่มาชดเชยที่วันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ได้อัพตอนใหม่ค่ะ แหะ
พอดีตอนนั้นกำลังติดปรมาจารย์ลัทธิมาร
ล่าสุดก็คือพึ่งดูจบไป—
อ่านแล้วเม้นเป็นกำลังใจให้ด้วยน๊า
รักทุกคนค่ะ
ความคิดเห็น