ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KHR & KNB] The Black Carnival | all27 & all x kuroko

    ลำดับตอนที่ #9 : Canival 08 :: Symbol of Vongola

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2K
      148
      11 ส.ค. 62

     

     

     

              สเต็กชิ้นโตที่ได้รับการหันเป็นชิ้นๆเรียบร้อยแล้วถูกจิ้มเข้าปาก คิเสะที่บัดนี้กลับมาหายดีแบบไม่เหลือแม้แต่รอยฟกช้ำและอาการเจ็บปวดนั่งเท้าคางมองอดีตกัปตันของตัวเองที่กำลังรับประทานอาหารด้วยท่าทางที่ดูสมกับเป็นผู้ดี ก็นะ สมกับเป็นว่าที่ผู้นำตระกูลอาคาชิคนต่อไปจริงๆนั่นแหละ

     

              แต่ที่น่าหงุดหงิดน่ะ มันเป็นการที่ชายผมแดงจับเพื่อนตัวเล็กของตัวเองไปนั่งข้างๆกันนั่นต่างหาก

     

             ทำไมคุโรโกจจิถึงต้องตามใจอาคาชิอยู่เรื่อยเลยนะ!

     

              “มองอะไรเรียวตะ”

     

              เปล่านะ! ฉันไม่ได้มองอาคาชิจจิซักหน่อย” นายแบบหนุ่มลนลานตอบ

     

              “เหรอ?

     

              “จริงๆ..ก็มองนิดนึง”

     

             โกหกคนตรงหน้าไม่ได้จริงๆสินะ!

     

              “แล้วคิเสะคุงมองอาคาชิคุงทำไมเหรอครับ?” ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมาจากจานสลัด นัยน์ตาสีอะความารีนคู่นั้นจ้องมองเขาด้วยความสงสัย ต้องยอมรับเลยว่าคนตัวเล็กนั้นน่ารักจริงๆ แม้เขาจะเจอผู้หญิงสวยๆ ผู้หญิงน่ารักๆ หรือแม้แต่ผู้ชายร่างน้อยบอบบางมาแล้วนับไม่ถ้วนในงานถ่ายแบบ แต่ก็ไม่เคยแพ้ทางใครเท่าคุโรโกะมาก่อน

     

              “อ เอ่อ..”

     

              “หืม?

     

              “ไม่มีอะไรหรอกฮะ!” ยกจานสเต็กที่เหลือเพียงผักของตัวเองขึ้นแล้วเดินจ้ำอ้าวออกไปจากการเค้นถามของจักรพรรดิผมแดงและองค์ชายตัวน้อยๆ(?)ของเขา ระหว่างทางก็สวนกับกลุ่มของสึนะโยชิที่กำลังเดินมายังห้องอาหารพอดี ยามาโมโตะจับแขนเขาเอาไว้ก่อนที่เขาจะหนีขึ้นห้องได้ดังใจนึก

     

              “นี่นายหายดีแล้วใช่มั้ย?

     

              คิเสะขมวดคิ้ว ก่อนจะพยักหน้ารับ “อ้อ หายดีแล้ว นายไม่ต้องเป็นห่วง”

     

              ชายหนุ่มผู้เป็นถึงกัปตันทีมเบสบอลของโรงเรียนนามิโมริถอนหายใจอย่างโล่งอก อีกฝ่ายคงจะเป็นห่วงพวกเขามากพอตัว และคงรู้สึกผิดที่ทำให้พวกเขาต้องไปพบเจอเรื่องอันตรายแบบนั้น

     

              “อ้าวคิเสะ แล้วก็— พวกนาย” ผู้ที่เดินเข้ามาร่วมวงสนทนาก็คือมือชู้ตอันดับหนึ่งของโรงเรียนชูโตคุ นัยน์ตาสีมรกตไล่มองพวกเขาทีละคนก่อนเลิกคิ้ว

     

              “คุโรโกะไม่ได้อยู่กับนายเหรอคิเสะ”

     

              “อยู่กับอาคาชิจจิที่ห้องอาหารน่ะ” มิโดริมะขมวดคิ้วมุ่น

     

              “อาคาชิ?

     

              “พวกเขายังอยู่ที่ห้องอาหารอยู่เหรอครับ พวกคุณไปตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วนี่?” แรมโบ้ถาม เขาคิดว่าการใช้เวลากินข้าวเที่ยงเกือบชั่วโมงแบบนี้มันก็เกินไปหน่อย เขาเห็นอาคาชิ คุโรโกะและคิเสะออกจากห้องตั้งแต่ตอน 11 โมงกว่าๆ จนตอนนี้ก็จะบ่ายโมงเข้าไปแล้ว

     

              “พอดีคนเยอะน่ะสิ” ไม่รวมที่สองคนนั้นเอาแต่สวีทหวานกันอย่างกับแฟนจนแทบไม่ได้แตะอาหาร (แต่เขาเชื่อว่าคุโรโกจจิไม่รู้ตัวหรอกว่าท่าทางของทั้งคู่ที่มีต่อกันมันเหมือนแฟนกันขนาดไหน)

     

              เวลาอยู่กับสองคนนั้นทีไรก็รู้สึกเหมือนจะเห็นออร่าสีชมพูล้อมรอบจนน่าโมโห ไม่ใช่แค่ออร่าสีชมพูเท่านั้นนะ แต่บางทียังแอบเห็นออร่าอำมหิตจากกัปตันผมแดงที่เหมือนจะบอกผ่านทางสายตาว่าถ้าเข้ามารบกวนได้ถูกเจื๋อนทิ้งแน่

     

             ใครจะไปสู้อาคาชิจจิได้กันล่ะ!!

     

              “จะว่าไป บัตรประจำตัวนักเรียนของพวกนายมาแล้ว รบกวนช่วยไปเอาที่ห้องฉันแล้วเอาไปแจกคนอื่นๆหน่อยได้รึเปล่า” สึนะที่ทำท่าเหมือนนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ว่า ก่อนหันไปขอร้องตาใสกับคิเสะและมิโดริมะที่ได้แต่ทำท่าทางอ้ำๆอึ้งๆเพราะปฏิเสธไม่ได้

     

              “เอาเถอะ ก็ได้ แต่ขอคีย์การ์ดห้องนายด้วยล่ะ” มิโดริมะดันแว่นขึ้น ในขณะที่คิเสะก็ได้แต่เพียงพยักหน้าอย่างจำยอมเท่านั้น ยังไงซะพวกเขาก็ว่าง บางทีการทำตัวเป็นประโยชน์กับคนอื่นก็คงจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

     

              “ฮ่าๆๆ ขอบคุณนะ จริงๆฉันต้องเป็นคนเอามาแจกพวกนาย แต่พอดีมีธุระด่วนน่ะ”

     

              “สึนะโยชิจจิก็สู้ๆนะ ดูเหมือนพวกนายจะยุ่งๆตลอดเวลาเลย”

     

              “ส สึนะโยชิจจิ?” นภาแห่งวองโกเล่หน้าเหวอไปเล็กน้อย

     

              “แกเป็นใครถึงมาเรียกรุ่นที่สิบด้วยชื่อแบบนั้นหา!!??

     

              “ใจเย็นก่อนเจ้าตัวปลาหมึก!

     

              “เสียงดังมากนัก เดี๋ยวจะขย้ำให้ตาย”  

     

              “พวกนายใจเย็นๆสิ เวลาคิเสะนับถือใครก็จะเติม จิ ต่อท้ายน่ะ” คนที่ปรามศึกน้ำลายขนาดย่อมก็คือมิโดริมะที่ดูจะทนกับความวุ่นวายตรงหน้าไม่ค่อยจะได้ โกคุเดระที่พอรู้ว่าการที่เรียกชื่อรุ่นที่สิบของเขาแบบนั้นแปลว่าการเคารพนับถือ ก็เปลี่ยนมาเป็นส่งสายตามุ่งมั่น(?)ให้กับนายแบบหนุ่มในทันที

     

              “แกนี่ตามีแววจริงๆว่ะ รุ่นที่สิบน่ะทั้งน่าเคารพ น่ายกย่อง น่านับถือ เป็นบุคคลที่ บลาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” สึนะที่เริ่มจะทนกับการอวยไม่หยุดของผู้พิทักษ์วายุของตนไม่ได้หันไปหาหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มซึ่งยืนอยู่ใกล้โกคุเดระที่สุด โคลมพยักหน้า

     

              “รุ่นที่สิบเป็นคนที่เจ๋งที่สุ— อุ้บ!” ปากที่กำลังจะพร่ำบอกถึงความยอดเยี่ยมของนายเหนือหัวของตนถูกอุดไว้ด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ของผู้พิทักษ์สายหมอกสาว โกคุเดระทำท่าจะโวยวาย แต่โคลมก็ไม่ยอมแพ้ เธอยัดผ้าผืนใหม่เข้าไปทันที

     

              “ฮะๆๆๆ พวกนายนี่ตลกดีจัง” อิซึกิที่เดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดิบพอดีหัวเราะขำขัน

     

              “จะว่าไปพวกนายจะไปเอาของที่ซาวาดะฝากใช่มั้ย ฉันไปด้วย”

     

              “ขอบคุณฮะรุ่นพี่”

     

              “ฮ่าๆๆๆ ไม่เป็นไรๆ” อิซึกิยิ้มอย่างอารมณ์ดี ปกติแล้วเขาจะเป็นเหยื่อของอาหารพิสดารของริโกะ แต่เพราะวันนี้เขาเลือกที่จะลงมาทานอาหารเที่ยงก่อนที่ริโกะจะลงจากห้อง ทำให้รอดพ้นจากอาหารของโค้ชสาวได้อย่างหวุดหวิด

     

             ในที่สุดฉันก็หนีรอดจากการท้องเสียได้แล้ว!

     

              “งั้นพวกผมไปกินข้าวก่อนนะครับ คุฟุฟุ” มุคุโร่ว่าแล้วดันหลังนภาหนุ่มแห่งวองโกเล่ไปยังจุดมุ่งหมายในตอนแรก พวกเขาโบกมือลากันเล็กน้อยก่อนจะแยกกันไปทางใครทางมัน อิซึกิ คิเสะ และมิโดริมะหันมามองหน้ากัน ก่อนที่พวกเขาจะขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุดของหอพักโดยไม่มีคำพูดอะไรเล็ดรอดออกมาจากปากระหว่างทางเลยแม้แต่คำเดียว

     

              ในทันทีที่ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดของหอพักก็อดที่จะรู้สึกตะลึงกับความหรูหราของมันไม่ได้ ชั้นที่พวกเขาพักอยู่ก็ว่าหรูหราและสะดวกสบายมากแล้ว แต่ชั้นที่สิบของหอพักแห่งนี้นั้นยิ่งกว่า แม้แต่โคมไฟตรงทางเดินยังเป็นโคมไฟระย้าที่ดูราวกับโคมไฟในคฤหาสน์หรูๆซักแห่ง ภาพที่ติดตามผนังทางเดินก็ล้วนเป็นภาพที่งดงามบ่งบอกว่าผู้วาดนั้นต้องเป็นจิตรกรมืออาชีพแน่ๆ

     

              “ชักอยากรู้แล้วสิว่าเจ้าของหอพักนี่ต้องมีงบขนาดไหนถึงสร้างที่นี่ขึ้นมาได้”

     

              “มิโดริมัจจิ ต้องสงสัยนักเรียนที่พักมากกว่านะ ว่าต้องรวยแค่ไหนถึงพักที่หอแบบนี้ได้น่ะ”

     

              “อา นั่นสินะ” อิซึกิพยักหน้ารับความเห็นของทั้งคู่ มันก็..สวยงามตระการตาจริงๆนั่นแหละ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่จะเป็นแค่หอพักของนักเรียนมัธยมปลาย

     

              พวกเขาหยิบคีย์การ์ดที่สึนะโยนให้ก่อนจากกันมาทาบกับเครื่องสแกนหน้าประตู ช่องสีดำรูปสี่เหลี่ยมเกิดแสงสีเขียวสว่างเพียงขั่วครู่ก่อนที่จะได้ยินเสียงติ๊ดพร้อมกับบานประตูที่ค่อยๆเปิดออก

     

              พวกเขาว่าห้องของพวกเขานั้นใหญ่แล้ว แต่ห้องของสึนะกลับใหญ่ยิ่งกว่าเสียอีก ทั้งที่เป็นห้องที่พักแค่คนเดียวแท้ๆ ที่รู้มาจากอาจารย์ดีโน่ ชั้นสิบเป็นชั้นเดียวที่ห้องพักไม่เหมือนกับห้องอื่น แม้จะเป็นห้องสูทที่มีทั้งห้องรับแขกและห้องครัว แต่กลับไม่ได้มีสองห้องนอนอยู่ในนั้น มันเป็นห้องนอนเดี่ยวๆที่มีเตียงขนาดคิงไซส์อยู่กลางห้อง เรียกได้ว่าหรูกว่าห้องของพวกเขาพอสมควร

     

              “พวกนั้นคงรวยมากสินะเนี่ย” คิเสะยิ้มค้าง เขาเคยไปทั้งคฤหาสน์และคอนโดของตระกูลอาคาชิซึ่งเป็นคอนโดที่แพงและหรูหราติดอันดับท็อป 10 ของญี่ปุ่น ห้องนอนของสึนะโยชิเทียบได้กับคอนโดเหล่านั้น

     

              “จะว่าไป ก็ลืมถามเลยว่าของตั้งอยู่ตรงไหน”

     

              “นั่นสิ”

     

              พวกเขาแยกย้ายกันไปหาตามห้องรับแขก ก่อนจะพึ่งสังเกตได้ว่าไม่ห่างจากห้องครัวนั้นมีห้องเล็กๆที่ดูคล้ายจะเป็นห้องทำงานไม่ก็ห้องสมุดขนาดย่อมอยู่ด้วย เมื่อไม่พบสิ่งที่ตามหา ชายหนุ่มทั้งสามจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องนั้นแม้จะคิดว่ามันค่อนข้างเสียมารยาทก็ตาม

     

              “เฮ้ๆ! ใช่นี้รึเปล่า?” นักเรียนม.ปลายปี 3 คนเดียวในกลุ่มชูบัตรนักเรียนที่ถูกวางซ้อนทับกันจำนวนหนึ่งขึ้นมา เขาเจอมันวางอยู่บนโต๊ะทำงานหลังจากตามหาอยู่ในห้องรับแขกนานกว่าครึ่งชั่วโมง คิเสะที่ละสายตาจากหนังสือมากมายในห้องวิ่งเข้ามาดูก่อนพยักหน้ารับ

     

              “น่าจะใช่นะฮะ นั่นบัตรของฟุริฮาตะ อ้อ แล้วก็นั่นบัตรของมุราซากิบารัจจิ”

     

              “ในที่สุดก็เจอ เอาล่ะ กลับกันเถอะ” คิเสะผงกหัวรับคำของรุ่นพี่หนุ่ม หากแต่พวกเขากลับต้องพับเก็บความคิดนั้นไปเมื่อพบว่ามือชู้ตอันดับหนึ่งของรุ่นปาฏิหาริย์กลับไม่ยอมก้าวขาไปไหน นัยน์ตาคมภายใต้กรอบแว่นนั้นจับจ้องไปยังที่ที่หนึ่ง

     

              ภาพที่ดูเหมือนจะเป็นครอบครัวสุขสันต์ มี ซาวาดะ สึนะโยชิ คาดคะเนแล้วน่าจะอยู่ในช่วงมัธยมต้น มีหญิงสาวผมน้ำตาลที่น่าจะเป็นมารดาของเจ้าตัว และชายผิวแทนรูปร่างกำยำที่ดูแล้วน่าจะเป็นบิดา และยังมีชายชราอีกคนท่าทางดูใจดียืนอยู่ข้างๆกัน

     

              “รูปครอบครัว?

     

              “มิโดริมัจจินี่ชอบใส่ใจเรื่องคนอื่นตลอดเลยนะฮะ”

     

              “นี่นายด่ามิโดริมะอยู่เหรอคิเสะ”

     

              “เปล่าซักหน่อย ฉันกำลังชมต่างหากล่ะ!

     

              ไม่ว่าจะเป็นการชมหรือการแซะก็ตาม น่าแปลกที่มิโดริมะไม่คิดจะสนใจแม้แต่จะหันหลังกลับมาต่อปากต่อคำ ชายผมเขียวยังคงมองภาพนั้นโดยไม่ละสายตา เมื่อคิดๆดูแล้วเขาก็ค้นพบว่า— สึนะโยชิไม่เคยพูดถึงเรื่องครอบครัวของตัวเองมาก่อน เจ้าตัวเคยบอกว่ามีบ้านอยู่ที่นี่ ถึงอย่างนั้นกลับไม่เคยพูดถึงบ้านที่ว่านั่นเลย

     

              เขาละสายตาจากมันก่อนจะเดินตามเสียงเรียกของคิเสะ ทว่า..

     

              “นี่มัน..” นัยน์ตาคมกลับเหลือบไปเห็นสันหนังสือที่ดูคุ้นตาเล่มหนึ่ง เขาเดินดุ่มๆไปหยิบมันออกจากตู้ หน้าปกของหนังสือเป็นภาษาอะไรซักอย่างที่เขาไม่ค่อยเข้าใจ คาดคะเนว่าน่าจะเป็นภาษาเยอรมันไม่ก็อิตาลี นอกนั้นก็ยังมีสัญลักษณ์สีทองรูปร่างแปลกๆปรากฎอยู่บนหน้าปก

     

              มันดูคล้ายกับ..

     

              อะไรซักอย่างที่มีเปลือกหอยประดับปีกอยู่บนสุด มีลายเลี้ยวๆคดๆ มีปืนยาวสองกระบอกไขว้กัน มีรูปกระสุนปืนอยู่บนรูปโล่

     

              มันช่างคุ้นตา เป็นสัญลักษณ์ที่เขาคิดว่าเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

     

             แต่กลับนึกไม่ออก

     

              “มิโดริมัจจิไปได้แล้วนะ” เสียงเร่งจากห้องรับแขกทำให้ชายหนุ่มได้สติ มือเรียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปสัญลักษณ์นั่นไว้ก่อนเอาหนังสือกลับไปวางที่เดิม

     

              “เออๆ ฉันกำลังจะออกไปนี่ไง”

     

     

     

     

    ----------|----------|----------|----------|----------

     

     

     

              หลังจากวันนั้น— พวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้เข้าไปในห้องของพวกสึนะโยชิอีก และมิโดริมะก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่เขาถ่ายเก็บเอาไว้ให้ใครฟัง มันคงเพราะเขากำลังลังเล บางทีลางสังหรณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นช่วงนี้อาจจะเป็นแค่การคิดไปเองก็ได้

     

             ราศีที่ติดอันดับราศีอับโชคในวันนี้คือราศีกุมภ์ ราศีกรกฎ และราศี— ค่ะ!’

     

              เหมือนกับมีคลื่นสัญญาณบางอย่างแทรกเข้ามาในสมอง เขาไม่รับรู้อะไรอีกหลังจากที่ราศีกรกฎถูกกล่าวถึงในรายการโอฮาอาสะผ่านทางทีวีจอยักษ์ซึ่งตั้งอยู่ในห้องรับแขก นัยน์ตาสีมรกตสั่นระริก เขารู้สึกเครียดกว่าที่เคยเป็น

     

              ตั้งแต่มาแลกเปลี่ยนที่นามิโมริ

     

              ก็ไม่มีวันไหนที่โอฮาอาสะจะทำนายว่าราศีกรกฎมีโชคอีกเลย

     

              มีแต่อับโชค! อับโชค! และอับโชคคคคคคคคคคคคคค!!!

     

             หมับ!

     

              “เฮ้ย!!” ชายหนุ่มร่างสูงสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อสัมผัสได้ถึงฝ่ามือบนหัวไหล่ แต่เมื่อหันไปมองแล้วพบกับกลุ่มผมสีฟ้านุ่มนั่นเขาก็กลับมาเก๊กทำฟอร์มเหมือนเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

              “ตกใจอะไรขนาดนั้นครับมิโดริมะคุง ราศีกรกฎอับโชคอีกแล้วเหรอครับ”

     

             ถูก!!

     

              “อะไรของนาย ราศีกรกฎของฉันต้องโชคดีติดอันดับท็อปอยู่แล้วสิ” แสร้งทำเหมือนว่าคำพูดของคนตัวเล็กกว่านั้นช่างไร้สาระ มือเรียวดันแว่นขึ้นพลางเสตามองไปทางอื่น ฟอร์มจัดเสียจนไม่อยากยอมรับว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นมันถูกจริงๆ

     

              “แต่ว่านะมิโดชิน— เมื่อกี้ฉันได้ยินว่าราศีกรกฎอับโชคนา” ชายร่างสูงเหนือมนุษย์หยิบขนมขึ้นมาแล้วเดินไปนั่งเหยียดขาบนโซฟา แต่เพราะร่างกายที่สูงใหญ่เกินไปทำให้ขาของเขาเลยโซฟาจนกลายเป็นว่าไปพาดกับที่วางแขนแทน

     

              “ไม่จริงซักหน่อย นายฟังผิดรึเปล่ามุราซากิบาระ!

     

              และเนื่องจากราศีกรกฎเป็นราศีที่อับโชคที่สุดในวันนี้ ขอเตือนว่าอย่าโกหกจะดีกว่านะคะ เพราะจะถูกรู้ทันได้ในทันทีเลยล่ะค่า รายการทีวีจอมจุ้นว่าต่อราวกับมีตาเห็น พวกเขาทั้งสามมองหน้ากัน โดยมีมิโดริมะที่รีบหลบตาในทันทีที่ถูกจ้อง

     

             อืม ดูเหมือนรายการนี้จะแม่นจริงๆนะครับ

     

              นี่คือความคิดของ คุโรโกะ เท็ตสึยะ ผู้ไม่เคยเชื่อเรื่องดวงชะตาเลยตลอดอายุ 17 ปี

     

    แล้วก็ของนำโชคสำหรับวันนี้ก็คือของสีฟ้าๆค่ะ!’

     

              “ของฟ้าๆเหรอ ง่ำๆ” มุราซากิบาระเคี้ยวขนมพลางเหล่ตามองร่างเล็กซึ่งนั่งจ้องทีวีด้วยความอยากรู้อยากเห็น นัยน์ตาสีอะความารีนคู่นั้นดูเปล่งประกายราวกับเด็กที่พบของเล่นที่ตนถูกใจ

     

              “งั้นมิโดชินก็พกคุโรชินไปสิ คุโรชินก็ผมสีฟ้านา ชุดที่ใส่วันนี้ก็สีฟ้าเหมือนกัน”

     

              “แต่คุโรโกะไม่ใช่สิ่งของนะ!

     

              “อะไรเล่า” เด็กโข่งเกาศีรษะเนื่องจากตามอารมณ์ของคนซึนไม่ทัน “แค่สีฟ้าๆก็พอนี่ ทำไมต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากด้วยน๊า”

     

             ถ้าทำอะไรแบบไม่คิดหน้าคิดหลังเหมือนนายฉันก็โดนอาคาชิเจื๋อนทิ้งน่ะสิ!!

     

              “จะว่าไปนะคุโรโกะ” มิโดริมะกระแอมก่อนพยายามเปลี่ยนเรื่อง เขากวักมือเรียกเด็กหนุ่มร่างบางให้มานั่งข้างๆกันแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา รูปสัญลักษณ์ที่เขาถ่ายเอาไว้โชว์หราอยู่บนหน้าจอ

     

              “นายเคยเห็นสัญลักษณ์แบบนี้บ้างมั้ย?” ร่างเล็กขมวดคิ้ว ครุ่นคิดตามคำพูดของคนตัวสูงกว่า

     

              “เอ ไม่นะครับ ผมว่าผมไม่เคยเห— “

     

              “แต่ฉันว่าฉันเคยเห็นนา” มุราซากิบาระที่นอนเท้าคางกับโซฟาเอ่ยแทรกขึ้นเสียงเฉื่อย ในมือโยนลูกบาสขนาดจิ๋วขึ้นลงเหมือนไม่รู้จะทำอะไร ทั้งคุโรโกะและมิโดริมะต่างสนใจในคำพูดนั้น

     

              “จริงเหรอ? นายเห็นที่ไหน?

     

              “อืมมมม ฉันไม่ค่อยมั่นใจอ่า” ชายหนุ่มว่า “แต่เหมือนจะเคยเห็นเป็นตราประทับบนเอกสารตอนไปที่บ้านของอาคาชิน รึเปล่านะ?

     

              สีหน้าของชายหนุ่มดูเหมือนไม่ค่อยมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองพูดนัก ถึงอย่างนั้นมันก็ช่วยคลายความสงสัยในใจของมือชู้ตแห่งรุ่นปาฏิหาริย์ไปได้เปราะหนึ่ง

     

              หรือว่าจะเป็นสัญลักษณ์ของพวกนายทุนนะ?

     

              ครอบครัวของซาวาดะอาจจะเป็นพวกนายทุนมีอำนาจคล้ายๆตระกูลอาคาชิรึเปล่า?

     

              “ว่าแต่ถามทำไมเหรอครับมิโดริมะคุง” คุโรโกะที่ขยับตัวเข้ามาใกล้ชิดเขามากขึ้นเงยหน้าขึ้นมาถาม นัยน์ตาสีฟ้าอะความารีนใสแจ๋วช้อนมองอย่างต้องการคำตอบ ร่างกายที่ใกล้ชิดกันทำให้เขาแอบได้กลิ่นหวานๆคล้ายกลิ่นขนมลอยมาจากร่างกายของคนตัวเล็ก อืม..คล้ายกลิ่นวนิลลาอ่อนๆ

     

              และแน่นอน..การที่คนตัวเล็กขยับเข้ามาใกล้ชิดแบบนั้นมันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสติแตก

     

              จิตใจฟุ้งซ่านจนแทบจะไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว

     

              “อา ก็ ก็— เจอในห้องของซาวาดะน่ะ เลย..สงสัยนิดหน่อย”

     

              “เอ๋? งั้นเหรอครับ?” ร่างเล็กขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น ชะเง้อมองรูปในโทรศัพท์จนผมสีฟ้านุ่มคลอเคลียอยู่บริเวณแก้มและลำคอของคนตัวสูงกว่า และมันทำให้ชายหนุ่มเผลอสูดดมกลิ่นหวานๆของแชมพูจากศีรษะของคนตัวเล็กไปหลายครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ

     

             ให้ตาย หอม..หอมจริงๆนั่นแหละ

     

              คุโรโกะทำให้เขารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองในบางครั้ง แต่บางคราก็ทำให้เขาผ่อนคลายเสียจนน่าเหลือเชื่อ มีเสน่ห์บางอย่างที่ดึงดูดใครหลายๆคนให้อยากเชยชมเพราะความน่ารักอย่างเป็นธรรมชาตินั่น

     

              มือแกร่งเผลอเอื้อมไปโอบไหล่ของคนตัวเล็กโดยไม่ทันรู้ตัว

     

              “นี่นายคิดว่านายกำลังทำอะไรอยู่ ชินทาโร่”

     

              ชิบหาย พ่อมา..

     

     

     

     

              ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่ห้องหนึ่งในปราสาทสีดำทะมึนที่ให้บรรยากาศวังเวงและน่าขนลุกของวาเรีย เหล่าสมาชิกระดับสูงต่างนั่งอยู่กับความคิดของตัวเอง ที่แตกต่างก็คงจะมี สเปลบี สควอโล่ ที่เอาแต่โวยวายเพราะยังหาเนื้อให้บอสเวรตะไลของตัวเองไม่ได้

     

              “โว้ยยยยยย!! ไอบอสคิดอะไรถึงอยากกินเนื้อวัวพันธุ์ไทยที่ไปเติบโตบนเทือกเขาหิมาลัยวะ!!” ชายร่างสูงขยุ้มผมยาวสลวยของตัวเองจนยุ่งฟู นัยน์ตาคมฉายแววหงุดหงิดผสมกับความลนลานที่ยังหาสิ่งที่ซันซัสอยากทานไม่ได้ เขายังไม่อยากจ่ายค่าซ่อมปราสาทวาเรียเพิ่มตอนที่หมอนั่นอาละวาดหรอกนะ!

     

              “เอางี้ดีกว่านะสควอโล่ วัวที่ไหนมันจะไปโตบนเทือกเขาหิมาลัยไม่ทราบ ไม่ต้องพูดถึงวัวพันธุ์ไทยนะ ถึงเป็นวัวพันธุ์นอกก็ไม่บ้าไปโตที่นั่นหรอก ชิชิชิ” เบลเฟกอลหัวเราะกับความอยากกินอะไรที่มันโคตรประหลาดของผู้เป็นบอส

     

              “ก็เออสิวะ! ฉันถึงได้กลุ้มใจไงโว้ยว่าจะไปหาให้ไอบอสเวรนั่นได้ยังไง!!

     

              มาม่อนซึ่งนั่งฟังรองหัวหน้าสายพันธุ์ปลาพล่ามมาซักพักก็ชักจะรำคาญ “งั้นเอางี้มั้ยล่ะ ฉันหาให้ได้นา แต่คงต้องคิดเงิน”

     

              “แล้วแกจะไปหามาจากไหนไม่ทราบเจ้าเปี้ยก เจ้าชายล่ะสงสัย”

     

              “ก็สร้างภาพลวงตาเอาน่ะสิ”

     

              โป้ก!!

     

              คนที่เขกหัวอัลโกบาเรโน่จอมงกไม่ใช่รองหัวหน้าผมยาวหรือมือมีดโรคจิตอย่างที่เลวี่และลุซซูเรียคิด พวกเขาหันไปมองผู้มาใหม่ที่เดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม ตาทั้งสองครั้งที่หยีเป็นสระอิตลอดเวลาเหมือนตาของจิ้งจอกมองมายังพวกเขาผ่านกรอบแว่นคล้ายกำลังทักทาย

     

              ใบหน้าหล่อคมดูเจ้าเล่ห์ที่มักจะประดับไปด้วยรอยยิ้มร้ายอยู่เสมอล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำสนิทราวกับสีของปีกอีกา ร่างกายสูงโปร่งในชุดสูทสีดำดูแปลกตาปกปิดกล้ามเนื้อแขนและขาซึ่งเป็นตัวบ่งบอกถึงการฝึกกีฬามาอย่างหนักของอีกฝ่าย

     

              “ว๊ายๆๆๆ กลับมาแล้วเหรอ~” ลุซซูเรียรีบยกน้ำมาวางไว้บนโต๊ะอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นการต้อนรับแขก นานๆทีคนๆนี้จะกลับมาที่นี่ซักครั้ง

     

              ถ้าไม่ได้ทำภารกิจอยู่ต่างประเทศก็จะไปสิงสถิตอยู่ที่ปราสาทวองโกเล่

     

              ทั้งๆที่พึ่งกลับมาจากญี่ปุ่นเมื่อปลายปีที่แล้วแท้ๆ

     

              “แต่ฉันได้ข่าวว่าแกจะไปหาไอบอสทูน่านั่นที่ญี่ปุ่นนี่ จะไปเมื่อไหร่ล่ะ?” สควอโล่ที่เลิกคิดเรื่องอาหารการกินของบอสใหญ่แห่งวาเรียไปชั่วขณะเลิกคิ้ว เช่นเดียวกับคนอื่นๆที่ต่างพากันล้มเลิกกิจกรรมที่ตัวเองทำอยู่แล้วหันมาสนใจชายหนุ่มผู้มาใหม่

     

              “ฮะๆๆ ก็เร็วๆนี้ล่ะมั้ง แล้วแต่รีบอร์นจะสั่ง”

     

              ทั้งๆที่มีสีหน้ายิ้มแย้ม แต่กลับดูเสแสร้งอย่างไรบอกไม่ถูก สมกับเป็นคนที่เคยถูก ซาวาดะ อิเอมิสึ ทาบทามให้เป็นผู้พิทักษ์สายหมอกของสึนะก่อนหน้าโคลมและมุคุโร่

     

              ซันซัสที่พึ่งเดินเข้ามาเหลือบตามองไอสวะตัวใหม่(?)ในห้องด้วยสายตาเฉยชา

     

              “เจอแกกี่ครั้งก็ไม่เคยถูกชะตากับแกเลยว่ะ ไอสวะอิมาโยชิ โชอิจิ

     

              “ยา~ อย่าพูดแบบนั้นสิซันซัส ฉันดีใจจะตายไปที่ได้เจอพวกนายน่ะ :)

     

     

     

     

     

     

    ----------|----------|----------|----------|----------

    ยกตอนนี้ให้ฝั่งคุโรโกะไปค่ะ (ฮา)

    มิโดริมะก็คือซึนหนักแล้วนะคะ แอบเนียนด้วย อย่าคิดว่าคนอื่นจะรู้ไม่ทัน

    รักอาคาชิค่ะ รักเสมอ ต่อให้เป็นตอนของมิโดริมะก็จะโดนอาคาชิแย่งซีน(?)อยู่ดี

    อ่านแล้วเม้นเป็นกำลังใจซักนิดน๊า รักรีดเดอร์ทุกคนค่ะ /ปามินิฮาร์ท

    ปล.ยังไม่เช็คคำผิดค่า ถ้าเจอก็ทักได้เด้อ

     

     

     

     

     

     

     

     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×