ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านชายทั้งหลาย ช่วยเลิกปีนเตียงองค์ราชินีซักทีเถอะ!!

    ลำดับตอนที่ #6 : Turn 04 – จองจำ

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ค. 63


     

     

                ร่างกายของเธอไม่ได้เต็มร้อยมาตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ก้าวขาออกจากหลอดทดลองนั่นร่างกายของเธอก็แทบจะไร้เรี่ยวแรงเพราะขาดสารอาหาร พอมาอาศัยอยู่กับนิโคลัสในบ้านหลังนั้นก็ดันทานแต่อาหารมนุษย์ (แม้จะอาเจียนออกมาทีหลังก็เถอะ) ทำให้ร่างกายที่ควรจะได้รับการฟื้นฟูจากการหลับใหลมาเป็นเวลานานกลับอาการทรุดลงกว่าเดิม


                พลังของเธอนั้นมีมหาศาล แต่สังขารร่างกายในยามนี้กลับไม่ได้แข็งแกร่งเพียงนั้น


                หากให้เปรียบ ตอนนี้พลังของเธอก็เป็นเหมือนกับของเหลวที่มีความหนาแน่นและความดันสูง ส่วนร่างกายของเธอกลับเป็นขวดแก้วบางๆที่มีรอยร้าวประดับ ร่างกายที่ยังไม่หายดี ซ้ำยังทรุดลง ทำให้พลังที่ควรจะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพกลับถูกลดทอนประสิทธิภาพนั้นลง


                เลือดเพียงขวดเดียวก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากไปกว่าการทำให้แก้วหนาขึ้น แต่รอยร้าวยังคงอยู่


                เธอครางเสียงแหบ มันเป็นเสียงที่คล้ายกับเสียงของสัตว์ป่าเวลาบาดเจ็บมากกว่าเสียงมนุษย์ พลางเดินเข้าไปหลบในอาคารเพียงหนึ่งเดียวที่ยังไม่ถล่มเป็นหน้ากองเช่นอาคารอื่นๆอย่างทุลักทุเล หยดเลือดจากบาดแผลที่มือทั้งสองข้างหยดเป็นทาง คิดว่าหากพวกนั้นมาตามหาที่นี่ด้วยก็คงพบตัวเธอได้ไม่ยาก


                “ให้ตายสิ” เธอสบถ พลางค่อยๆทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น เอนหลังพิงกำแพงอย่างหมดแรง บาดแผลบนใบหน้าเริ่มหายไปแล้ว แต่อาการสายตาพร่ายังคงมีอยู่ สิ่งที่นิโคลัสผสมให้เธอดื่มคงเป็นยาสลบสำหรับล้มช้างโขลงใหญ่ แม้มันจะไม่ถึงขั้นทำให้เธอสลบไป แต่ก็ออกฤทธิ์ทำให้เธอรู้สึกมึนงงไม่น้อย


                มันคงจะดีหากเธอได้พักซักหน่อย คิดได้ดังนั้นก็พยายามที่จะข่มตาลง


                ในตอนนั้นเอง ที่เธอยังไม่สามารถแยกแยะว่าสิ่งที่ได้ยินและได้สัมผัสเป็นความจริงหรือความฝัน เธอสัมผัสได้ถึงอุ่นไอจากมือหนาของใครบางคนทาบทับลงบนหน้าผาก ได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นหู เป็นเสียงที่เธอได้ยินมาตลอดหลายเดือนมานี้นับตั้งแต่เจอเขาครั้งแรกในห้องทดลอง


                เธอพยายามลืมตาขึ้นมอง แต่ภาพตรงหน้าก็ช่างพร่าเลือน มันทำให้เธอไม่เห็นว่าอีกฝ่ายทำสีหน้าแบบไหนอยู่ รู้เพียงว่าเสียงของเขากำลังทำให้เธอรู้สึกราวถูกถ่วงด้วยลูกตุ้มหนัก มันเป็นความรู้สึกที่เธอเองก็ยากจะเข้าใจ


                “โทษทีนะ คุณหนู..”


                น้ำเสียงนั้น— ช่างประหลาดนัก


                “ฉันว่ามันน่าจะอยู่แถวนี้”


                “สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกัน หามันให้เจอให้ได้!!


                “หากจับเป็นไม่ได้ก็ต้องจับตาย!


                “เราจะต้องจับผู้หญิงนั่นกลับไปที่องค์กรสาขาหลักให้ได้!! รีบไปหาเธอเร็วเข้า!


                เสียงอื้ออึงดังมาจากด้านนอก เธอคิดว่ามันคงเป็นเสียงของพวกฮันเตอร์ที่พยายามตามล่าเธออยู่แน่ๆ สัมผัสอบอุ่นที่หน้าผากหายไปแทนที่ด้วยความว่างเปล่า มันทำให้เธอต้องลืมตาขึ้นเพื่อดูว่าแท้จริงแล้วสัมผัสและไออุ่นที่ตนได้รับเมื่อครู่เป็นของใครกันแน่ ทว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้พบกลับไม่มีอะไรเลย


                คล้ายได้สติ เธอรีบหยัดตัวลุกขึ้นเพื่อเตรียมหนี สลัดความมึนงงที่เกิดขึ้นทิ้งก่อนถีบตัวขึ้นไปบนระเบียงของอาคารหลังหนึ่งที่อยู่ในละแวกนั้น ก่อนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปยังระเบียงของอาคารอีกหลังหนึ่ง ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆด้วยความเร็วที่มั่นใจว่ามันมากพอที่พวกมนุษย์จะตามไม่ทัน


                เสียงแหวกอากาศดังขึ้นพร้อมกับดาบที่พุ่งทะยานมาเฉียดหน้าปักตรงหลังคาของอาคารหลังหนึ่งเข้าอย่างจัง ดวงตาสีแดงฉานของเธอสว่างวาบขึ้นเพียงชั่วครู่ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ เธอหันหน้าไปมองทิศทางที่มันพุ่งมา เป็นหนึ่งในฮันเตอร์พวกนั้นเอง เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่สวมเครื่องแบบขององค์กรแบบไม่เรียบร้อยนัก ดวงตาคมเข้มฉายแววประสบการณ์บ่งบอกว่าคงมีอายุมากประมาณหนึ่ง


                “นั่นคุณครูซ!! เขาอยู่แรงค์แพลทินัม!” เธอขมวดคิ้ว หากจำไม่ผิดแรงค์แพลทินัมนับว่าเป็นแรงค์ที่สูงที่สุดในหมู่ฮันเตอร์


                แรงค์ในหมู่ฮันเตอร์ เรียงจากแรงค์ต่ำสุด คือ แรงค์ไร้นาม แรงค์บรอนซ์ แรงค์ซิลเวอร์ แรงค์โกลด์ แรงค์ไวท์โกลด์ และสุดท้ายคือ แรงค์แพลทินัม ซึ่งเป็นแรงค์ระดับสูงสุด จากที่นิโคลัสเคยเล่าให้ฟัง แรงค์แพลทินัมคือฮันเตอร์ระดับตำนานที่สามารถจัดการแวมไพร์ระดับ S ได้สบายๆ


                เดิมทีชายคนนี้ก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ได้ เพราะเธอเหนือกว่าแวมไพร์ที่ถูกพวกมนุษย์จัดว่าอยู่ในระดับ S แต่ด้วยสภาพร่างกายของเธอตอนนี้..


                ชายร่างใหญ่ที่ชื่อว่าครูซโหนเชือกสลิงขึ้นมาอยู่บนหลังคาระดับเดียวกับเธอ ดวงตาของเขาไม่ได้ฉายแววขลาดกลัวแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีเหนือกว่า มันดูสงบนิ่ง สายตาแบบนี้มันทำให้เธอนึกถึงฟาเบียน สายตาของคนมากประสบการณ์


                “ไม่เคยมีแวมไพร์แบบคุณปรากฏตัวขึ้นมาก่อน” ชายที่ชื่อว่าครูซว่าเสียงเรียบ เขาไม่บุ่มบ่ามโจมตีเธอเหมือนพวกฮันเตอร์ก่อนหน้านี้


                “อยากเรียกว่ายัยหนูอยู่หรอก เพราะคุณให้ความรู้สึกแบบนั้น แต่..การตัดสินอายุแวมไพร์จากรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอะไรที่ยากมาก คุณอายุเท่าไหร่ 100 กว่าปี 200 เหรอ? หรือพันกว่าปี” เขาถามเสียงเอื่อย


                “หมื่นปี” สายตาคมปราบมีแววประหลาดใจพาดผ่าน ก่อนที่มันจะกลับมานิ่งสงบเรียบเฉยดังเดิม เขางึมงำในลำคอ “ไม่ใช่แค่ปู่ย่าสินะ นั่นคงเป็นบรรพบุรุษโคตรตระกูลเลย”


                ถ้าหากการชวนคุยนั่นทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ก็นับว่าเขาทำได้ดีมาก หากเป็นแวมไพร์ปกติคงมัวแต่คุยกับเขาจนหลบฮันเตอร์อีกสองคนที่โผล่มาจากด้านหลังไม่ทันแน่ ควีเนตต้าเบี่ยงตัวหลบอย่างง่ายดาย ในขณะที่สายตาของก็ยังไม่ละไปจากใบหน้าของครูซ


                ชายร่างใหญ่ครางเสียงเอื่อยในลำคอ ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว ถ้าพูดถึงพละกำลัง..มนุษย์ย่อมไม่สามารถเอาชนะแวมไพร์ได้ ฮันเตอร์หลายคนไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้แล้วเข้าโจมตีแบบสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ครูซต่างออกไป เขาใช้อุปกรณ์ในมือได้เกิดประโยชน์สูงสุดแบบที่เธอต้องนึกชม อุปกรณ์ที่เธอไม่รู้จักนั่นกลายเป็นเครื่องมือชั้นดีที่ช่วยทดแทนจุดอ่อนด้านพละกำลังของเขา


                ดาบของเขาได้รับการเสริมประสิทธิภาพโดยเทคโนโลยีของมนุษย์ ทำให้มันแข็งแรงและทนทานกว่าดาบปกติอยู่มาก ชนิดที่ว่าสามารถสร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้เธอได้เลยหากเธอไม่ระวังตัวให้ดี


                ดวงตาสีแดงฉานของเธอเบิกกว้างเมื่อสัมผัสได้ว่านอกจากชายทั้งสามที่กำลังรุมโจมตีเธออยู่ในตอนนี้ ยังมีใครอีกคนที่พุ่งมาจากด้านหลัง เธอเหวี่ยงแขนไปหวังจะสะบัดร่างของอีกฝ่ายให้พ้นจากตัว ทว่าอีกฝ่ายกลับหนังเหนียวกว่าที่คิด มือคู่นั้นจับแขนเธอเอาไว้แน่นและไม่ยอมปล่อยไม่ว่าเธอจะสะบัดแรงแค่ไหนก็ตาม เธอคำรามเสียงต่ำเมื่อสัมผัสได้ถึงของแหลมคมที่เจาะแขนข้างนั้นของเธออย่างแรงจนเลือดกระฉูด


                ม่านตาสีแดงขยายกว้าง มืออีกข้างรีบจับคอเสื้อของเด็กสาวคนนั้นแล้วจับทุ่มกับหลังคาจนกระเบื้องแตกละเอียด กลิ่นเลือดหอมหวนโชยมาตามลม ทว่านั่นกลับไม่ทำให้เธอรู้สึกเสียสมาธิเท่าความชาหนึบที่แขนข้างที่หญิงสาวคนนั้นฉีดยาบางอย่างเข้าไปในตัวเธอ


                สายตาเธอเริ่มกลับมาพร่าเลือนอีกครั้ง เลือดในกายเย็นเยียบ ความหนักอึ้งที่แขนราวกับถูกลูกตุ้มถ่วงเอาไว้ทำให้เธอทรุดลงนั่งในที่สุด ไร้เรี่ยวแรงจะถีบตัวเองหลีกหนีชายอีก 3 คนที่พยายามจะเข้ามาจับกุม และก่อนที่สติเธอจะดับลง..


                เธอเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น


                บนหลังคาของอาคารอีกฟากหนึ่ง เขาคือฟาเบียนนั่นเอง แม้จะเลือนราง แต่เธอเห็นฟาเบียนขยับปากเป็นคำๆหนึ่ง


                “องค์หญิง” เขาต้องการจะบอกเธอว่าเธอยังสามารถหนีไปจากที่นี่ได้ หากตัดสินใจกลับไปกับเขา


                “ไม่”


    และเธอปฏิเสธ

     



                1 สัปดาห์หลังจากนั้น ภายในศูนย์กักกันแวมไพร์ขององค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์สาขาใหญ่ ณ อาณาจักรเอวา


                “ไง พ่อฮันเตอร์แรงค์โกลด์” เธอกล่าวทักนิโคลัสเสียงเฉื่อยพร้อมรอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตา เนตรกลมสีแดงดั่งโลหิตสะท้อนภาพของฮันเตอร์หนุ่มที่พึ่งได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นแรงค์โกลด์หลังการจับกุมเธอเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อนสำเร็จไปได้ด้วยดี


                ในขณะที่เธอถูกจองจำไว้ในห้องขังสีขาวปลอดที่ภายในมีเพียงเตียงกับห้องน้ำขนาดย่อม อีกฝ่ายกลับได้รับการยกย่องที่สามารถทำให้การจับกุมเธอเป็นไปได้ด้วยดี


              ช่างน่าหงุดหงิดจริงๆ


                ดวงตาสีฟ้าแซฟไฟร์ของอีกฝ่ายหลุบตามองขาของเธอที่ถูกโซ่ตรวนเงินบริสุทธิ์ล่ามเอาไว้เพื่อลดทอนพลัง มุมปากของเขายกขึ้น “เธอนี่ปากดีจริงๆเลยนะ”


                เธอแค่นหัวเราะดังเหอะ สถานที่ที่กักขังเธอเป็นศูนย์กักกันแวมไพร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อาคารที่เธออยู่นี้เองก็เป็นที่รวบรวมแวมไพร์ระดับ A ไปจนถึง S ไม่ก็แวมไพร์หายากที่นานๆจะปรากฏตัวซักครั้งเช่นเธอ ที่นี่นั้นน่าเบื่อหน่าย— กระจกใสที่พวกนักวิทยาศาสตร์สาธยายว่าเป็นกระจกกันกระสุนชั้นดีคือสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างบุคคลภายในห้องขังและบุคคลภายนอกเอาไว้โดยสิ้นเชิง


                มันเป็นกระจกใสที่สามารถมองเห็นภายนอกได้ชัดเจนและไม่เก็บเสียง ทว่ากลับไม่สามารถทำลายมันเพื่อออกไปได้ จริงๆด้วยพลังของเธอก็อาจจะทำได้ หากไม่ใช่เพราะเธอค้นพบว่าการอยู่ที่นี่ก็ไม่เลวนัก มันก็ไม่ได้ต่างจากการอยู่ที่บ้านของนิโคลัส วันๆก็นั่งเล่นนอนเล่น แค่เปลี่ยนสถานที่ก็เท่านั้น


                “แล้วเจ้าเป็นไงบ้างล่ะ มีความสุขรึเปล่า” ควีเนตต้าถามพลางเดินนวยนาดไปนอนเล่นบนเตียงอย่างเกียจคร้าน “คงร่ำรวยมากสิท่า คงมีชื่อเสียงเงินทองมากสิท่า”


                เธอเว้นช่วงก่อนฉีกยิ้มเหี้ยม “พวกมนุษย์เฮงซวย”


                “ว่าฉันแบบนี้ใจร้ายจังนะคุณหนู คนเรามันก็ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดกันทั้งนั้น เงินคือพระเจ้า ไม่รู้รึไง” นิโคลัสว่าพลางไหวไหล่คล้ายไม่ยี่หระกับสิ่งที่เธอพูด หญิงสาวกลอกตา


                “เจ้าจะไปไหนก็ไปเถอะ ข้าหมดอารมณ์จะคุยด้วยแล้ว”


                “อะไรกัน ฉันออกจะคิดถึงเธอ” แม้จะพูดเช่นนั้น แต่นิโคลัสก็ยอมจากไปแต่โดยดี โดยไม่ลืมพูดบางอย่างทิ้งท้ายก่อนจะก้าวขาออกไป “อ้อ ฉันไม่ว่างขนาดมาลบไฟล์กล้องวงจรปิดให้ทุกครั้งหรอกนะ”


    ขาที่แกว่งไปมาหยุดลงก่อนที่เธอจะลุกขึ้นมาแล้วนั่งบนเตียงในท่ากอดเข่า ดวงตาสีแดงฉานเหม่อมองออกไปด้านนอกด้วยสายตาว่างเปล่า


                หลังจากเหตุการณ์เมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน นิโคลัสก็ได้รับการเลื่อนขั้นจากแรงค์ซิลเวอร์เป็นแรงค์โกลด์เนื่องจากความดีของเขาที่ช่วยให้องค์กรสามารถจับเธอได้ เขากลายเป็นหนึ่งในฮันเตอร์ที่มีชื่อเสียง และได้รับการบรรจุให้มาทำงานในองค์กรสาขาหลัก เป็นที่เคารพ เป็นที่ชื่นชม เป็นที่นับถือ ผู้คนต่างพูดกันว่าเขาเป็นผู้ที่เหลือรอดจากเหตุการณ์แวมไพร์บุกสาขาโมลันเทีย เป็นเจ้าหน้าที่ที่ปกป้องที่นั่นจนถึงวินาทีสุดท้าย และโดนเธอจับไปเป็นตัวประกัน..


                คือ เดี๋ยวนะ จับไปเป็นตัวประกัน? แค่คิดก็อยากจะอ้วกออกมา แล้วอะไรอีกนะ? เป็นเจ้าหน้าที่ที่ปกป้องที่นั่นจนถึงวินาทีสุดท้าย บ้าบอกันไปใหญ่ หมอนั่นคิดจะชิ่งหนีเอาตัวรอดต่างหาก


                เพียงแค่นึกถึงก็อดที่จะเบ้ปากไม่ได้ หมอนั่นกลายเป็นฮันเตอร์ผู้เลื่องชื่อ ส่วนเธอกลับถูกจองจำอยู่ในห้องขังแคบๆนี่


                จริงๆจะบอกว่าเธอถูกจองจำมันก็ไม่ถูกนัก


                หญิงสาวหยัดการลุกขึ้นจากที่นอนพลางบิดกายไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยล้า เมื่อหลับตาลงและสัมผัสได้ว่านอกจากหน้าประตูบานใหญ่ของอาคารก็ไม่มีพวกฮันเตอร์เฝ้าอยู่ที่ไหนอีก เธอจึงปลดโซ่ตรวนที่พันธนาการขาของตัวเองออกแล้วนำมันไปคล้องหมอนข้างที่วางอยู่บนเตียง เดินไปที่ประตูอย่างเชื่องช้า ทันทีที่ฝ่ามือสัมผัสกับเครื่องสี่เหลี่ยมที่เป็นตัวล็อค สายพลังงานบางอย่างก็แผ่จากฝ่ามือของเธอไปที่มันจนในที่สุดแสงจากหน้าจอก็ดับลงพร้อมกับบานประตูสีขาวสะอาดที่เปิดออก


                เธอเริ่มเคลื่อนตัวออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็วจนแทบจะไม่มีใครสังเกตเห็น ในสายตาของเหล่าแวมไพร์ที่ถูกขังอยู่ในชั้นเดียวกันก็เห็นเพียงร่างของเธออย่างเลือนรางเท่านั้น คล้ายกับเห็นเธอปรากฎอยู่ตรงหน้า ครู่เดียวก็กลายเป็นว่าเธอไปโผล่อยู่ไกลออกไปเสียแล้ว


                เพียงพริบตาควีเนตต้าก็สามารถออกมาจากอาคารกักขังและองค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์ได้อย่างง่ายดาย เธอมาโผล่อยู่บนอาคารใจกลางเมืองขนาดใหญ่ อาณาจักรเอวาถือเป็นอาณาจักรของมนุษย์ที่เรียกได้ว่าทันสมัยและปลอดภัยที่สุด หนึ่งในเหตุผลนั้นคือที่นี่เป็นที่ตั้งขององค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์สาขาหลักซึ่งเต็มไปด้วยฮันเตอร์แรงค์สูงๆมารวมตัวกัน นอกจากนั้นยังมีนักวิทยาศาสตร์เก่งกาจมากมายที่สรรค์สร้างอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆให้เหล่าฮันเตอร์ใช้ในการปกป้องประชาชน


                เธอเหยียดกายนั่งลงบนหลังคา เท้าคางมองเหล่ามนุษย์ที่เดินขวักไขว่กันในเมือง อาณาจักรเอวาแตกต่างกับเมืองโมลันเทียอยู่มาก อย่างแรกคือที่นี่มีสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่ารถยนต์ พวกมันเป็นยานพาหนะทางบกที่สะดวกสบายแต่ราคาสูงลิ่ว อย่างที่สองคือผู้คนที่นี่สวมใส่ชุดดูหลากหลายกว่าโมลันเทีย บ้างใส่ชุดกระโปรงฟูฟ่อง บ้างแต่งกายแบบทันสมัยและเรียบหรูโดยไม่จำเป็นต้องมีกระโปรงบานๆหรือเสื้อขลิบด้ายทอง


                ในขณะที่โมลันเทียและเมืองมนุษย์อื่นๆส่วนมากยังนิยมใช้ขนบธรรมเนียมโบราณ ที่นี่กลับดูเจริญก้าวหน้าและทันสมัย ซ้ำยังเป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์มากกว่าเมืองอื่นๆที่ยังเน้นเกษตรและค้าขาย


                1 สัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากการถูกจองจำเธอก็หลบหนีมาเที่ยวบ้างประมาณ 3-4 ครั้ง นิโคลัสเป็นคนเดียวที่รู้เพราะครั้งหนึ่งเขาเข้ามาหาเธอแต่พบว่าเธอไม่อยู่ในห้องขัง แน่นอนว่าเขาไม่ได้ว่าอะไรแต่กลับทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งแล้วช่วยบิดเบือนภาพในกล้องวงจรปิดซะอย่างงั้น


                เธอสามารถหนีออกจากที่นั่นได้อย่างสบายๆและไม่มีใครจับได้ แต่เธอก็เกียจคร้านเกินกว่าจะทำมัน เธอยังไม่พร้อมถูกจับเข้าไปใส่ในกรงทองที่ถูกเรียกว่าราชวงศ์ ดังนั้นเธอจึงทำเพียงนั่งๆนอนๆในห้องขังแล้วออกมาเที่ยวข้างนอกบ้างเป็นครั้งคราว


                เธอหยิบวิกผมลอนสีน้ำตาลอ่อนที่ซื้อเก็บไว้ตอนหนีมาครั้งแรกขึ้นสวม หลุบตามองชุดของตัวเองที่กลมกลืนกับชุดของชาวบ้านอยู่พอสมควรก่อนจะโรยตัวลงจากหลังคาอาคารสูงลงมายังพื้นเบื้องล่างอย่างรวดเร็วพอที่จะไม่ให้พวกมนุษย์สังเกตเห็น ร่มลูกไม้สีดำคันเดิมถูกกางออกเพื่อปกป้องผิวของเธอจากแสงแดด ต้องขอบคุณที่ตอนโยนเธอเข้าไปในห้องขังคนพวกนั้นก็ยังอุตส่าห์หวังดีโยนร่มกับพัดของเธอเข้ามาให้ด้วย


                “คุณผู้หญิงท่านนั้นสนใจดอกไม้ร้านเรามั้ยครับ”


                “ขนมปังที่นี่พึ่งนำออกมาจากเตาร้อนๆ คุณผู้หญิงคุณผู้ชายท่านใดที่สนใจสามารถเข้ามาดูก่อนได้นะคะ!


                “นายจะทำอะไรหลังเรียนจบเหรอ”


                “ได้ข่าวรึยัง ดูเหมือนช่วงนี้อาณาจักรเอลิกอสจะวุ่นวายน่าดู ก็นี่ล่ะนะ รูปปั้นขององค์หญิงอารีเอลล่าแตกนี่”


                “รถคันนั้นของใครน่ะ โคตรสวยเลย”


                “เมื่อปิดเทอมฉันไปได้ไปเที่ยวที่โมลันเทียด้วยล่ะ วุ่นวายใหญ่เลย เห็นว่าองค์กรฮันเตอร์ที่นั่นถูกทำลายยับ”


                เสียงมากมายดังเข้ามาในโสตประสาท ร่างระหงเดินนวยนาดไปตามทางเท้าอย่างไม่รีบร้อน ดวงตาสีแดงไร้ประกายกวาดมองร้านค้าที่ตั้งอยู่สองข้างทาง พอจะรู้ว่าตอนนี้สายตาของผู้คนมากมายคงกำลังจับจ้องที่เธอ แม้จะสวมวิกปิดบังเส้นผมที่เด่นสะดุดตา แต่เธอก็ไม่ได้ปลอมตัวหรือแปลงโฉมแต่อย่างใด ใบหน้ายังคงงามล่มเมืองจนหญิงสาวหลายคนต่างอิจฉา แม้ไม่อยากเป็นจุดสนใจ แต่ใครกันจะห้ามสายตาของคนอื่นได้


                กลิ่นอายของมนุษย์มากมายลอยฟุ้งเข้าจมูก ผสมปนเปกับกลิ่นอายของแวมไพร์ตนอื่นที่คาดว่าคงปะปนอยู่ในมนุษย์เหล่านี้เช่นกัน เดินไปได้พักหนึ่งเธอก็หยุดเมื่อได้ยินเสียงท้องร้องเบาๆ แน่นอนว่าเธออดอยากมาหลายวัน หากซื้อเลือดจากโรงพยาบาลซักแห่งก็พอนำมากินดับความกระหายไปได้บ้าง น่าเสียดายที่เธอไม่มีเงินพอจะทำแบบนั้น


                “เลือด..” เธอพึมพำเมื่อได้กลิ่นหอมเจือจาง มันไม่น่าจะเป็นเลือดของมนุษย์— กลิ่นหอมกว่าเลือดของมนุษย์หรือแวมไพร์ระดับต่ำ แต่ก็ไม่ได้หอมเท่าเลือดที่ฟาเบียนนำมาให้เมื่อครั้งนั้น โดยไม่รู้ตัวเธอก็เดินไปตามกลิ่นนั้นเสียแล้ว


                ตุบ..


                ควีเนตต้าชะงักไปเมื่อเดินไปเดินมาใบหน้าก็ชนเข้ากับบางสิ่ง กลิ่นเลือดเจือจางนั่นก็หยุดลงที่ตรงนี้เช่นกัน ใบหน้างามเงยขึ้นมองก็พบว่าสิ่งที่เธอเดินมาชนคือแผ่นหลังกว้างของชายคนหนึ่ง เขาที่หันหน้ามาพบเธอก็นิ่งไป แววตาก็มีความประหลาดใจพาดผ่าน


    “ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ” เสียงของเขาทุ้มต่ำและอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก ควีเนตต้าพยักหน้ารับ อีกฝ่ายย่อตัวลงคุกเข่าตรงหน้า มือทั้งสองข้างภายใต้ถุงมือหนังสีดำปักกระโปรงให้เธออย่างใจดี นั่นทำให้เธอพึ่งสังเกตว่าชุดกระโปรงตัวนี้ของเธอก็มีฝุ่นเกาะไม่ใช่น้อยเลย แต่เพราะแบบนี้เองจึงทำให้เธอเห็นรอยเลือดจางๆบนเสื้อเชิ้ตสีขาวของเขา คิดว่ากลิ่นเลือดนั่นคงมาจากตรงนี้


    “เจ้— บาดเจ็บเหรอ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเธอ ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้ม


    “นิดหน่อยครับ”


    “อ้อ..”


    ให้ตาย แม้จะแค่เลือนราง แต่กลิ่นเลือดนั่นก็หอมจริงๆ เธอพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาสีแดงช้อนมองชายหนุ่มที่กลับมายืนเต็มความสูง ชายคนนี้หน้าตาดีจริงๆ หุ่นก็ดีเหมือนหุ่นพวกนายแบบในนิตยสารที่เคยเห็นในบ้านของนิโคลัส ที่สำคัญ..


    ไม่ใช่มนุษย์เสียด้วย


    เธอเพียงแค่มองเขาเงียบๆ ไม่ได้ขอบคุณหรือขอโทษ ทำเพียงหมุนตัวกลับไปยังทิศทางที่ตนพึ่งเดินมาก็เท่านั้น ใกล้ถึงเวลาที่พวกยามจะมาเดินตรวจตราภายในห้องขังแล้ว เธอไม่อยากกลับช้านัก ไม่ได้กลัว แต่ก็ไม่ได้อยากให้เรื่องมันวุ่นวาย


    ชายหนุ่มยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาสีม่วงจับจ้องแผ่นหลังนั้นจนกระทั่งมันหายไปท่ามกลางฝูงชน กลิ่นหอมอันสูงศักดิ์ก็หายไปจากบริเวณนั้นเช่นกัน มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย


    “เจอแล้ว”

     

    น้องทำเหมือนห้องขังเป็นบ้านตัวเองเลยนะคะ ฮือ

    ส่วนฉากสุดท้าย..หวาย ลองทายกันดูมั้ยคะว่าใคร เชื่อว่าทุกคนน่าจะทายถูก เพราะตอนที่แล้วเขาก็โผล่มาจึ๋งนึง

    วันนี้อัพแค่ตอนนี้ตอนเดียวค่า เพราะงั้นไม่ต้องรอตอนเย็นน๊า เนื่องจากตอนใกล้หมดสต็อกแล้วเลยต้องลงแบบประหยัดๆหน่อย หลังจากนี้อาจจะเริ่มลงแบบวันเว้นวัน ไม่ก็วันเว้นสองวัน ไม่ก็อาทิตย์ล่ะวันค่ะ (ฮา)

    ชอบน้อง รักน้อง กดให้กำลังใจพร้อมคอมเม้นเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ!

    ปล.กว่าจะคิดออกมาได้ซักตอนลำบากมากค่ะ อย่างตอนนี้ก็เกือบ 8 หน้า A4 แง้




    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×