คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Turn 04 – จองจำ
ร่างกายของเธอไม่ได้เต็มร้อยมาตั้งแต่แรกแล้ว
ตั้งแต่วินาทีที่ก้าวขาออกจากหลอดทดลองนั่นร่างกายของเธอก็แทบจะไร้เรี่ยวแรงเพราะขาดสารอาหาร
พอมาอาศัยอยู่กับนิโคลัสในบ้านหลังนั้นก็ดันทานแต่อาหารมนุษย์
(แม้จะอาเจียนออกมาทีหลังก็เถอะ) ทำให้ร่างกายที่ควรจะได้รับการฟื้นฟูจากการหลับใหลมาเป็นเวลานานกลับอาการทรุดลงกว่าเดิม
พลังของเธอนั้นมีมหาศาล
แต่สังขารร่างกายในยามนี้กลับไม่ได้แข็งแกร่งเพียงนั้น
หากให้เปรียบ
ตอนนี้พลังของเธอก็เป็นเหมือนกับของเหลวที่มีความหนาแน่นและความดันสูง
ส่วนร่างกายของเธอกลับเป็นขวดแก้วบางๆที่มีรอยร้าวประดับ ร่างกายที่ยังไม่หายดี
ซ้ำยังทรุดลง
ทำให้พลังที่ควรจะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพกลับถูกลดทอนประสิทธิภาพนั้นลง
เลือดเพียงขวดเดียวก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากไปกว่าการทำให้แก้วหนาขึ้น
แต่รอยร้าวยังคงอยู่
เธอครางเสียงแหบ
มันเป็นเสียงที่คล้ายกับเสียงของสัตว์ป่าเวลาบาดเจ็บมากกว่าเสียงมนุษย์
พลางเดินเข้าไปหลบในอาคารเพียงหนึ่งเดียวที่ยังไม่ถล่มเป็นหน้ากองเช่นอาคารอื่นๆอย่างทุลักทุเล
หยดเลือดจากบาดแผลที่มือทั้งสองข้างหยดเป็นทาง
คิดว่าหากพวกนั้นมาตามหาที่นี่ด้วยก็คงพบตัวเธอได้ไม่ยาก
“ให้ตายสิ”
เธอสบถ พลางค่อยๆทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น เอนหลังพิงกำแพงอย่างหมดแรง บาดแผลบนใบหน้าเริ่มหายไปแล้ว
แต่อาการสายตาพร่ายังคงมีอยู่ สิ่งที่นิโคลัสผสมให้เธอดื่มคงเป็นยาสลบสำหรับล้มช้างโขลงใหญ่
แม้มันจะไม่ถึงขั้นทำให้เธอสลบไป แต่ก็ออกฤทธิ์ทำให้เธอรู้สึกมึนงงไม่น้อย
มันคงจะดีหากเธอได้พักซักหน่อย
คิดได้ดังนั้นก็พยายามที่จะข่มตาลง
ในตอนนั้นเอง
ที่เธอยังไม่สามารถแยกแยะว่าสิ่งที่ได้ยินและได้สัมผัสเป็นความจริงหรือความฝัน
เธอสัมผัสได้ถึงอุ่นไอจากมือหนาของใครบางคนทาบทับลงบนหน้าผาก
ได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นหู เป็นเสียงที่เธอได้ยินมาตลอดหลายเดือนมานี้นับตั้งแต่เจอเขาครั้งแรกในห้องทดลอง
เธอพยายามลืมตาขึ้นมอง
แต่ภาพตรงหน้าก็ช่างพร่าเลือน มันทำให้เธอไม่เห็นว่าอีกฝ่ายทำสีหน้าแบบไหนอยู่
รู้เพียงว่าเสียงของเขากำลังทำให้เธอรู้สึกราวถูกถ่วงด้วยลูกตุ้มหนัก
มันเป็นความรู้สึกที่เธอเองก็ยากจะเข้าใจ
“โทษทีนะ
คุณหนู..”
น้ำเสียงนั้น—
ช่างประหลาดนัก
“ฉันว่ามันน่าจะอยู่แถวนี้”
“สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกัน
หามันให้เจอให้ได้!!”
“หากจับเป็นไม่ได้ก็ต้องจับตาย!”
“เราจะต้องจับผู้หญิงนั่นกลับไปที่องค์กรสาขาหลักให้ได้!!
รีบไปหาเธอเร็วเข้า!”
เสียงอื้ออึงดังมาจากด้านนอก
เธอคิดว่ามันคงเป็นเสียงของพวกฮันเตอร์ที่พยายามตามล่าเธออยู่แน่ๆ
สัมผัสอบอุ่นที่หน้าผากหายไปแทนที่ด้วยความว่างเปล่า
มันทำให้เธอต้องลืมตาขึ้นเพื่อดูว่าแท้จริงแล้วสัมผัสและไออุ่นที่ตนได้รับเมื่อครู่เป็นของใครกันแน่
ทว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้พบกลับไม่มีอะไรเลย
คล้ายได้สติ
เธอรีบหยัดตัวลุกขึ้นเพื่อเตรียมหนี สลัดความมึนงงที่เกิดขึ้นทิ้งก่อนถีบตัวขึ้นไปบนระเบียงของอาคารหลังหนึ่งที่อยู่ในละแวกนั้น
ก่อนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปยังระเบียงของอาคารอีกหลังหนึ่ง
ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆด้วยความเร็วที่มั่นใจว่ามันมากพอที่พวกมนุษย์จะตามไม่ทัน
เสียงแหวกอากาศดังขึ้นพร้อมกับดาบที่พุ่งทะยานมาเฉียดหน้าปักตรงหลังคาของอาคารหลังหนึ่งเข้าอย่างจัง
ดวงตาสีแดงฉานของเธอสว่างวาบขึ้นเพียงชั่วครู่ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ
เธอหันหน้าไปมองทิศทางที่มันพุ่งมา เป็นหนึ่งในฮันเตอร์พวกนั้นเอง
เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่สวมเครื่องแบบขององค์กรแบบไม่เรียบร้อยนัก
ดวงตาคมเข้มฉายแววประสบการณ์บ่งบอกว่าคงมีอายุมากประมาณหนึ่ง
“นั่นคุณครูซ!! เขาอยู่แรงค์แพลทินัม!” เธอขมวดคิ้ว
หากจำไม่ผิดแรงค์แพลทินัมนับว่าเป็นแรงค์ที่สูงที่สุดในหมู่ฮันเตอร์
แรงค์ในหมู่ฮันเตอร์
เรียงจากแรงค์ต่ำสุด คือ แรงค์ไร้นาม แรงค์บรอนซ์ แรงค์ซิลเวอร์ แรงค์โกลด์
แรงค์ไวท์โกลด์ และสุดท้ายคือ แรงค์แพลทินัม ซึ่งเป็นแรงค์ระดับสูงสุด
จากที่นิโคลัสเคยเล่าให้ฟัง
แรงค์แพลทินัมคือฮันเตอร์ระดับตำนานที่สามารถจัดการแวมไพร์ระดับ S ได้สบายๆ
เดิมทีชายคนนี้ก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ได้
เพราะเธอเหนือกว่าแวมไพร์ที่ถูกพวกมนุษย์จัดว่าอยู่ในระดับ S แต่ด้วยสภาพร่างกายของเธอตอนนี้..
ชายร่างใหญ่ที่ชื่อว่าครูซโหนเชือกสลิงขึ้นมาอยู่บนหลังคาระดับเดียวกับเธอ
ดวงตาของเขาไม่ได้ฉายแววขลาดกลัวแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีเหนือกว่า
มันดูสงบนิ่ง สายตาแบบนี้มันทำให้เธอนึกถึงฟาเบียน สายตาของคนมากประสบการณ์
“ไม่เคยมีแวมไพร์แบบคุณปรากฏตัวขึ้นมาก่อน”
ชายที่ชื่อว่าครูซว่าเสียงเรียบ
เขาไม่บุ่มบ่ามโจมตีเธอเหมือนพวกฮันเตอร์ก่อนหน้านี้
“อยากเรียกว่ายัยหนูอยู่หรอก
เพราะคุณให้ความรู้สึกแบบนั้น
แต่..การตัดสินอายุแวมไพร์จากรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอะไรที่ยากมาก คุณอายุเท่าไหร่
100 กว่าปี 200 เหรอ? หรือพันกว่าปี”
เขาถามเสียงเอื่อย
“หมื่นปี”
สายตาคมปราบมีแววประหลาดใจพาดผ่าน ก่อนที่มันจะกลับมานิ่งสงบเรียบเฉยดังเดิม
เขางึมงำในลำคอ “ไม่ใช่แค่ปู่ย่าสินะ นั่นคงเป็นบรรพบุรุษโคตรตระกูลเลย”
ถ้าหากการชวนคุยนั่นทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
ก็นับว่าเขาทำได้ดีมาก หากเป็นแวมไพร์ปกติคงมัวแต่คุยกับเขาจนหลบฮันเตอร์อีกสองคนที่โผล่มาจากด้านหลังไม่ทันแน่
ควีเนตต้าเบี่ยงตัวหลบอย่างง่ายดาย ในขณะที่สายตาของก็ยังไม่ละไปจากใบหน้าของครูซ
ชายร่างใหญ่ครางเสียงเอื่อยในลำคอ
ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว
ถ้าพูดถึงพละกำลัง..มนุษย์ย่อมไม่สามารถเอาชนะแวมไพร์ได้
ฮันเตอร์หลายคนไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้แล้วเข้าโจมตีแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
แต่ครูซต่างออกไป เขาใช้อุปกรณ์ในมือได้เกิดประโยชน์สูงสุดแบบที่เธอต้องนึกชม
อุปกรณ์ที่เธอไม่รู้จักนั่นกลายเป็นเครื่องมือชั้นดีที่ช่วยทดแทนจุดอ่อนด้านพละกำลังของเขา
ดาบของเขาได้รับการเสริมประสิทธิภาพโดยเทคโนโลยีของมนุษย์
ทำให้มันแข็งแรงและทนทานกว่าดาบปกติอยู่มาก ชนิดที่ว่าสามารถสร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้เธอได้เลยหากเธอไม่ระวังตัวให้ดี
ดวงตาสีแดงฉานของเธอเบิกกว้างเมื่อสัมผัสได้ว่านอกจากชายทั้งสามที่กำลังรุมโจมตีเธออยู่ในตอนนี้
ยังมีใครอีกคนที่พุ่งมาจากด้านหลัง
เธอเหวี่ยงแขนไปหวังจะสะบัดร่างของอีกฝ่ายให้พ้นจากตัว ทว่าอีกฝ่ายกลับหนังเหนียวกว่าที่คิด
มือคู่นั้นจับแขนเธอเอาไว้แน่นและไม่ยอมปล่อยไม่ว่าเธอจะสะบัดแรงแค่ไหนก็ตาม
เธอคำรามเสียงต่ำเมื่อสัมผัสได้ถึงของแหลมคมที่เจาะแขนข้างนั้นของเธออย่างแรงจนเลือดกระฉูด
ม่านตาสีแดงขยายกว้าง
มืออีกข้างรีบจับคอเสื้อของเด็กสาวคนนั้นแล้วจับทุ่มกับหลังคาจนกระเบื้องแตกละเอียด
กลิ่นเลือดหอมหวนโชยมาตามลม
ทว่านั่นกลับไม่ทำให้เธอรู้สึกเสียสมาธิเท่าความชาหนึบที่แขนข้างที่หญิงสาวคนนั้นฉีดยาบางอย่างเข้าไปในตัวเธอ
สายตาเธอเริ่มกลับมาพร่าเลือนอีกครั้ง
เลือดในกายเย็นเยียบ ความหนักอึ้งที่แขนราวกับถูกลูกตุ้มถ่วงเอาไว้ทำให้เธอทรุดลงนั่งในที่สุด
ไร้เรี่ยวแรงจะถีบตัวเองหลีกหนีชายอีก 3 คนที่พยายามจะเข้ามาจับกุม และก่อนที่สติเธอจะดับลง..
เธอเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
บนหลังคาของอาคารอีกฟากหนึ่ง
เขาคือฟาเบียนนั่นเอง แม้จะเลือนราง แต่เธอเห็นฟาเบียนขยับปากเป็นคำๆหนึ่ง
“องค์หญิง”
เขาต้องการจะบอกเธอว่าเธอยังสามารถหนีไปจากที่นี่ได้ หากตัดสินใจกลับไปกับเขา
“ไม่”
และเธอปฏิเสธ
1
สัปดาห์หลังจากนั้น ภายในศูนย์กักกันแวมไพร์ขององค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์สาขาใหญ่ ณ
อาณาจักรเอวา
“ไง
พ่อฮันเตอร์แรงค์โกลด์” เธอกล่าวทักนิโคลัสเสียงเฉื่อยพร้อมรอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตา
เนตรกลมสีแดงดั่งโลหิตสะท้อนภาพของฮันเตอร์หนุ่มที่พึ่งได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นแรงค์โกลด์หลังการจับกุมเธอเมื่อ
1 สัปดาห์ก่อนสำเร็จไปได้ด้วยดี
ในขณะที่เธอถูกจองจำไว้ในห้องขังสีขาวปลอดที่ภายในมีเพียงเตียงกับห้องน้ำขนาดย่อม
อีกฝ่ายกลับได้รับการยกย่องที่สามารถทำให้การจับกุมเธอเป็นไปได้ด้วยดี
ช่างน่าหงุดหงิดจริงๆ
ดวงตาสีฟ้าแซฟไฟร์ของอีกฝ่ายหลุบตามองขาของเธอที่ถูกโซ่ตรวนเงินบริสุทธิ์ล่ามเอาไว้เพื่อลดทอนพลัง
มุมปากของเขายกขึ้น “เธอนี่ปากดีจริงๆเลยนะ”
เธอแค่นหัวเราะดังเหอะ
สถานที่ที่กักขังเธอเป็นศูนย์กักกันแวมไพร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
อาคารที่เธออยู่นี้เองก็เป็นที่รวบรวมแวมไพร์ระดับ A ไปจนถึง
S ไม่ก็แวมไพร์หายากที่นานๆจะปรากฏตัวซักครั้งเช่นเธอ
ที่นี่นั้นน่าเบื่อหน่าย— กระจกใสที่พวกนักวิทยาศาสตร์สาธยายว่าเป็นกระจกกันกระสุนชั้นดีคือสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างบุคคลภายในห้องขังและบุคคลภายนอกเอาไว้โดยสิ้นเชิง
มันเป็นกระจกใสที่สามารถมองเห็นภายนอกได้ชัดเจนและไม่เก็บเสียง
ทว่ากลับไม่สามารถทำลายมันเพื่อออกไปได้ จริงๆด้วยพลังของเธอก็อาจจะทำได้
หากไม่ใช่เพราะเธอค้นพบว่าการอยู่ที่นี่ก็ไม่เลวนัก
มันก็ไม่ได้ต่างจากการอยู่ที่บ้านของนิโคลัส วันๆก็นั่งเล่นนอนเล่น
แค่เปลี่ยนสถานที่ก็เท่านั้น
“แล้วเจ้าเป็นไงบ้างล่ะ
มีความสุขรึเปล่า” ควีเนตต้าถามพลางเดินนวยนาดไปนอนเล่นบนเตียงอย่างเกียจคร้าน
“คงร่ำรวยมากสิท่า คงมีชื่อเสียงเงินทองมากสิท่า”
เธอเว้นช่วงก่อนฉีกยิ้มเหี้ยม
“พวกมนุษย์เฮงซวย”
“ว่าฉันแบบนี้ใจร้ายจังนะคุณหนู
คนเรามันก็ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดกันทั้งนั้น เงินคือพระเจ้า ไม่รู้รึไง”
นิโคลัสว่าพลางไหวไหล่คล้ายไม่ยี่หระกับสิ่งที่เธอพูด หญิงสาวกลอกตา
“เจ้าจะไปไหนก็ไปเถอะ
ข้าหมดอารมณ์จะคุยด้วยแล้ว”
“อะไรกัน
ฉันออกจะคิดถึงเธอ” แม้จะพูดเช่นนั้น แต่นิโคลัสก็ยอมจากไปแต่โดยดี
โดยไม่ลืมพูดบางอย่างทิ้งท้ายก่อนจะก้าวขาออกไป “อ้อ
ฉันไม่ว่างขนาดมาลบไฟล์กล้องวงจรปิดให้ทุกครั้งหรอกนะ”
ขาที่แกว่งไปมาหยุดลงก่อนที่เธอจะลุกขึ้นมาแล้วนั่งบนเตียงในท่ากอดเข่า
ดวงตาสีแดงฉานเหม่อมองออกไปด้านนอกด้วยสายตาว่างเปล่า
หลังจากเหตุการณ์เมื่อ
1 สัปดาห์ก่อน
นิโคลัสก็ได้รับการเลื่อนขั้นจากแรงค์ซิลเวอร์เป็นแรงค์โกลด์เนื่องจากความดีของเขาที่ช่วยให้องค์กรสามารถจับเธอได้
เขากลายเป็นหนึ่งในฮันเตอร์ที่มีชื่อเสียง
และได้รับการบรรจุให้มาทำงานในองค์กรสาขาหลัก เป็นที่เคารพ เป็นที่ชื่นชม
เป็นที่นับถือ
ผู้คนต่างพูดกันว่าเขาเป็นผู้ที่เหลือรอดจากเหตุการณ์แวมไพร์บุกสาขาโมลันเทีย
เป็นเจ้าหน้าที่ที่ปกป้องที่นั่นจนถึงวินาทีสุดท้าย และโดนเธอจับไปเป็นตัวประกัน..
คือ
เดี๋ยวนะ จับไปเป็นตัวประกัน?
แค่คิดก็อยากจะอ้วกออกมา แล้วอะไรอีกนะ?
เป็นเจ้าหน้าที่ที่ปกป้องที่นั่นจนถึงวินาทีสุดท้าย บ้าบอกันไปใหญ่
หมอนั่นคิดจะชิ่งหนีเอาตัวรอดต่างหาก
เพียงแค่นึกถึงก็อดที่จะเบ้ปากไม่ได้
หมอนั่นกลายเป็นฮันเตอร์ผู้เลื่องชื่อ ส่วนเธอกลับถูกจองจำอยู่ในห้องขังแคบๆนี่
จริงๆจะบอกว่าเธอถูกจองจำมันก็ไม่ถูกนัก
หญิงสาวหยัดการลุกขึ้นจากที่นอนพลางบิดกายไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยล้า เมื่อหลับตาลงและสัมผัสได้ว่านอกจากหน้าประตูบานใหญ่ของอาคารก็ไม่มีพวกฮันเตอร์เฝ้าอยู่ที่ไหนอีก เธอจึงปลดโซ่ตรวนที่พันธนาการขาของตัวเองออกแล้วนำมันไปคล้องหมอนข้างที่วางอยู่บนเตียง เดินไปที่ประตูอย่างเชื่องช้า ทันทีที่ฝ่ามือสัมผัสกับเครื่องสี่เหลี่ยมที่เป็นตัวล็อค สายพลังงานบางอย่างก็แผ่จากฝ่ามือของเธอไปที่มันจนในที่สุดแสงจากหน้าจอก็ดับลงพร้อมกับบานประตูสีขาวสะอาดที่เปิดออก
เธอเริ่มเคลื่อนตัวออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็วจนแทบจะไม่มีใครสังเกตเห็น
ในสายตาของเหล่าแวมไพร์ที่ถูกขังอยู่ในชั้นเดียวกันก็เห็นเพียงร่างของเธออย่างเลือนรางเท่านั้น
คล้ายกับเห็นเธอปรากฎอยู่ตรงหน้า
ครู่เดียวก็กลายเป็นว่าเธอไปโผล่อยู่ไกลออกไปเสียแล้ว
เพียงพริบตาควีเนตต้าก็สามารถออกมาจากอาคารกักขังและองค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์ได้อย่างง่ายดาย
เธอมาโผล่อยู่บนอาคารใจกลางเมืองขนาดใหญ่
อาณาจักรเอวาถือเป็นอาณาจักรของมนุษย์ที่เรียกได้ว่าทันสมัยและปลอดภัยที่สุด
หนึ่งในเหตุผลนั้นคือที่นี่เป็นที่ตั้งขององค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์สาขาหลักซึ่งเต็มไปด้วยฮันเตอร์แรงค์สูงๆมารวมตัวกัน
นอกจากนั้นยังมีนักวิทยาศาสตร์เก่งกาจมากมายที่สรรค์สร้างอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆให้เหล่าฮันเตอร์ใช้ในการปกป้องประชาชน
เธอเหยียดกายนั่งลงบนหลังคา
เท้าคางมองเหล่ามนุษย์ที่เดินขวักไขว่กันในเมือง อาณาจักรเอวาแตกต่างกับเมืองโมลันเทียอยู่มาก
อย่างแรกคือที่นี่มีสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่ารถยนต์
พวกมันเป็นยานพาหนะทางบกที่สะดวกสบายแต่ราคาสูงลิ่ว อย่างที่สองคือผู้คนที่นี่สวมใส่ชุดดูหลากหลายกว่าโมลันเทีย
บ้างใส่ชุดกระโปรงฟูฟ่อง บ้างแต่งกายแบบทันสมัยและเรียบหรูโดยไม่จำเป็นต้องมีกระโปรงบานๆหรือเสื้อขลิบด้ายทอง
ในขณะที่โมลันเทียและเมืองมนุษย์อื่นๆส่วนมากยังนิยมใช้ขนบธรรมเนียมโบราณ
ที่นี่กลับดูเจริญก้าวหน้าและทันสมัย
ซ้ำยังเป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์มากกว่าเมืองอื่นๆที่ยังเน้นเกษตรและค้าขาย
1
สัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากการถูกจองจำเธอก็หลบหนีมาเที่ยวบ้างประมาณ 3-4 ครั้ง
นิโคลัสเป็นคนเดียวที่รู้เพราะครั้งหนึ่งเขาเข้ามาหาเธอแต่พบว่าเธอไม่อยู่ในห้องขัง
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ว่าอะไรแต่กลับทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งแล้วช่วยบิดเบือนภาพในกล้องวงจรปิดซะอย่างงั้น
เธอสามารถหนีออกจากที่นั่นได้อย่างสบายๆและไม่มีใครจับได้
แต่เธอก็เกียจคร้านเกินกว่าจะทำมัน
เธอยังไม่พร้อมถูกจับเข้าไปใส่ในกรงทองที่ถูกเรียกว่าราชวงศ์
ดังนั้นเธอจึงทำเพียงนั่งๆนอนๆในห้องขังแล้วออกมาเที่ยวข้างนอกบ้างเป็นครั้งคราว
เธอหยิบวิกผมลอนสีน้ำตาลอ่อนที่ซื้อเก็บไว้ตอนหนีมาครั้งแรกขึ้นสวม
หลุบตามองชุดของตัวเองที่กลมกลืนกับชุดของชาวบ้านอยู่พอสมควรก่อนจะโรยตัวลงจากหลังคาอาคารสูงลงมายังพื้นเบื้องล่างอย่างรวดเร็วพอที่จะไม่ให้พวกมนุษย์สังเกตเห็น
ร่มลูกไม้สีดำคันเดิมถูกกางออกเพื่อปกป้องผิวของเธอจากแสงแดด
ต้องขอบคุณที่ตอนโยนเธอเข้าไปในห้องขังคนพวกนั้นก็ยังอุตส่าห์หวังดีโยนร่มกับพัดของเธอเข้ามาให้ด้วย
“คุณผู้หญิงท่านนั้นสนใจดอกไม้ร้านเรามั้ยครับ”
“ขนมปังที่นี่พึ่งนำออกมาจากเตาร้อนๆ
คุณผู้หญิงคุณผู้ชายท่านใดที่สนใจสามารถเข้ามาดูก่อนได้นะคะ!”
“นายจะทำอะไรหลังเรียนจบเหรอ”
“ได้ข่าวรึยัง ดูเหมือนช่วงนี้อาณาจักรเอลิกอสจะวุ่นวายน่าดู ก็นี่ล่ะนะ รูปปั้นขององค์หญิงอารีเอลล่าแตกนี่”
“รถคันนั้นของใครน่ะ
โคตรสวยเลย”
“เมื่อปิดเทอมฉันไปได้ไปเที่ยวที่โมลันเทียด้วยล่ะ
วุ่นวายใหญ่เลย เห็นว่าองค์กรฮันเตอร์ที่นั่นถูกทำลายยับ”
เสียงมากมายดังเข้ามาในโสตประสาท
ร่างระหงเดินนวยนาดไปตามทางเท้าอย่างไม่รีบร้อน ดวงตาสีแดงไร้ประกายกวาดมองร้านค้าที่ตั้งอยู่สองข้างทาง
พอจะรู้ว่าตอนนี้สายตาของผู้คนมากมายคงกำลังจับจ้องที่เธอ
แม้จะสวมวิกปิดบังเส้นผมที่เด่นสะดุดตา
แต่เธอก็ไม่ได้ปลอมตัวหรือแปลงโฉมแต่อย่างใด ใบหน้ายังคงงามล่มเมืองจนหญิงสาวหลายคนต่างอิจฉา
แม้ไม่อยากเป็นจุดสนใจ แต่ใครกันจะห้ามสายตาของคนอื่นได้
กลิ่นอายของมนุษย์มากมายลอยฟุ้งเข้าจมูก
ผสมปนเปกับกลิ่นอายของแวมไพร์ตนอื่นที่คาดว่าคงปะปนอยู่ในมนุษย์เหล่านี้เช่นกัน
เดินไปได้พักหนึ่งเธอก็หยุดเมื่อได้ยินเสียงท้องร้องเบาๆ แน่นอนว่าเธออดอยากมาหลายวัน
หากซื้อเลือดจากโรงพยาบาลซักแห่งก็พอนำมากินดับความกระหายไปได้บ้าง
น่าเสียดายที่เธอไม่มีเงินพอจะทำแบบนั้น
“เลือด..”
เธอพึมพำเมื่อได้กลิ่นหอมเจือจาง มันไม่น่าจะเป็นเลือดของมนุษย์—
กลิ่นหอมกว่าเลือดของมนุษย์หรือแวมไพร์ระดับต่ำ แต่ก็ไม่ได้หอมเท่าเลือดที่ฟาเบียนนำมาให้เมื่อครั้งนั้น
โดยไม่รู้ตัวเธอก็เดินไปตามกลิ่นนั้นเสียแล้ว
ตุบ..
ควีเนตต้าชะงักไปเมื่อเดินไปเดินมาใบหน้าก็ชนเข้ากับบางสิ่ง
กลิ่นเลือดเจือจางนั่นก็หยุดลงที่ตรงนี้เช่นกัน
ใบหน้างามเงยขึ้นมองก็พบว่าสิ่งที่เธอเดินมาชนคือแผ่นหลังกว้างของชายคนหนึ่ง
เขาที่หันหน้ามาพบเธอก็นิ่งไป แววตาก็มีความประหลาดใจพาดผ่าน
“ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ”
เสียงของเขาทุ้มต่ำและอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก ควีเนตต้าพยักหน้ารับ
อีกฝ่ายย่อตัวลงคุกเข่าตรงหน้า มือทั้งสองข้างภายใต้ถุงมือหนังสีดำปักกระโปรงให้เธออย่างใจดี
นั่นทำให้เธอพึ่งสังเกตว่าชุดกระโปรงตัวนี้ของเธอก็มีฝุ่นเกาะไม่ใช่น้อยเลย
แต่เพราะแบบนี้เองจึงทำให้เธอเห็นรอยเลือดจางๆบนเสื้อเชิ้ตสีขาวของเขา
คิดว่ากลิ่นเลือดนั่นคงมาจากตรงนี้
“เจ้— บาดเจ็บเหรอ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเธอ
ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้ม
“นิดหน่อยครับ”
“อ้อ..”
ให้ตาย
แม้จะแค่เลือนราง แต่กลิ่นเลือดนั่นก็หอมจริงๆ เธอพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่
ดวงตาสีแดงช้อนมองชายหนุ่มที่กลับมายืนเต็มความสูง ชายคนนี้หน้าตาดีจริงๆ
หุ่นก็ดีเหมือนหุ่นพวกนายแบบในนิตยสารที่เคยเห็นในบ้านของนิโคลัส ที่สำคัญ..
ไม่ใช่มนุษย์เสียด้วย
เธอเพียงแค่มองเขาเงียบๆ
ไม่ได้ขอบคุณหรือขอโทษ ทำเพียงหมุนตัวกลับไปยังทิศทางที่ตนพึ่งเดินมาก็เท่านั้น
ใกล้ถึงเวลาที่พวกยามจะมาเดินตรวจตราภายในห้องขังแล้ว เธอไม่อยากกลับช้านัก
ไม่ได้กลัว แต่ก็ไม่ได้อยากให้เรื่องมันวุ่นวาย
ชายหนุ่มยังคงยืนอยู่ที่เดิม
ดวงตาสีม่วงจับจ้องแผ่นหลังนั้นจนกระทั่งมันหายไปท่ามกลางฝูงชน กลิ่นหอมอันสูงศักดิ์ก็หายไปจากบริเวณนั้นเช่นกัน
มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย
“เจอแล้ว”
ความคิดเห็น