ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านชายทั้งหลาย ช่วยเลิกปีนเตียงองค์ราชินีซักทีเถอะ!!

    ลำดับตอนที่ #5 : Turn 03 – ไล่ล่า

    • อัปเดตล่าสุด 30 มิ.ย. 63


     

                อีกด้านหนึ่ง ยามราตรีที่เงียบสงัดเป็นดั่งเวลาออกล่าของเผ่าพันธุ์ที่บัดนี้ยืนอยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ดวงตาสีอะเมทิสต์ทอแสงเรืองรองสว่างไสว บรรยากาศภายในห้องนอนขนาดใหญ่ยังคงร้อนระอุเมื่อสองร่างบนเตียงโรมรันกันอย่างดุเดือด ผ้าห่มกองอยู่บนพื้น เสื้อผ้าบางส่วนถูกฉีกกระชากกระจัดกระจาย


                ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวใต้ร่างที่กำลังบิดตัวไปมาอย่างเอียงอาย ริมฝีปากหยักกดยิ้มนุ่มลึกอ่านยาก มือหนาภายใต้ถุงมือหนังสีดำลูบไล้ขาของหญิงสาวใต้ร่างตั้งแต่ปลายเท้าไปจนถึงขาอ่อน


                แต่การกระทำทั้งหลายก็หยุดไปเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น


                “ท่านเกรกอรี่” ชายหนุ่มที่ยืนรออยู่ด้านนอกประตูกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก มือทั้งสองข้างกุมเข้าหากันยามไว้อาลัยให้ตัวเองในใจ ทั้งยังคาดเดาความเป็นไปได้ว่าชายหนุ่มในห้องจะออกมาฟังเขาหรือออกมาฆ่าเขากันแน่


                เป็นที่รู้กันว่าไม่ควรรบกวน 'เขา' เวลาล่าเหยื่อ


                ภายใต้รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนของเขา ใครจะรู้ว่าในใจกำลังคิดอะไรอยู่


                แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่แวมไพร์สูงส่งอย่างพวก 6 ตระกูลใหญ่ แต่ก็เป็นผู้สืบสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเกรกอรี่— ตระกูลที่ทำหน้าที่อารักขาและดูแลปราสาทสูงตระหง่านซึ่งตั้งอยู่ในอาณาเขตศูนย์กลาง ไม่สิ หน้าที่ของเขาไม่ใช่ดูแลปราสาท แต่เป็นการปกป้องบัลลังก์แห่งนั้นเพื่อรอวันที่เจ้าของที่แท้จริงจะปรากฏตัว


                บัลลังก์ที่ว่างเปล่า


                “มีอะไร” ชายหนุ่มที่เดินออกมาจากห้องนอนถามด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท เพียงแค่นี้ก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าตัวคงไม่ปลื้มกับการถูกขัดจังหวะนัก


                แวมไพร์หนุ่มผู้มาเยือนกระแอมเสียงเบา เหลือบตามองประตูเพื่อให้มั่นใจว่ามันปิดสนิทและไม่มีใครดักฟังแน่นอน เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับชายหนุ่มเจ้าของคฤหาสน์ขนาดย่อม พลางหวนนึกถึงหญิงสาวที่ตนเจอเมื่อหลายวันก่อน สตรีรูปร่างโปร่งบางผู้มีใบหน้างดงามดุจเทพธิดา ดวงตาสีแดงฉานราวโลหิต และผมสีขาวโพลนประกายเงินที่ส่องสว่างยามกระทบกับแสงแดด


                ไม่มีใครเคยเห็นมนุษย์หรือแวมไพร์ตนใดมีสีผมและสีตาเช่นนั้น


                แต่ไม่เคยเห็น— ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมี


                “ข้าคิดว่าข้าเจอนางแล้ว” เอริกว่า มือลูบลำคอที่ยังคงมีรอยแดงหลงเหลืออยู่ทั้งที่ด้วยความสามารถของเผ่าแวมไพร์ แผลควรจะหายสนิทไร้ร่องรอยไปตั้งแต่เมื่อสองสามชั่วโมงก่อน


                “ใคร”


                องค์หญิง


                เพียงแค่คำเดียวที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากปาก บรรยากาศน่าอึดอัดก็โอบล้อมพวกเขา ดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์ของชายหนุ่มเจ้าของคฤหาสน์ฉายแววล้ำลึกครู่หนึ่ง


                “เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครเจอนางมาเกือบหมื่นปีแล้ว นางไม่น่าจะยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ”


                “ข้าก็คิดแบบนั้น ตอนที่เห็นนาง ทั้งผมสีขาวเป็นประกายและดวงตาสีแดงนั่น..ข้าคิดจะสังหารนางเสีย เพราะคิดว่านางเป็นสิ่งมีชีวิตที่พวกมนุษย์หน้าโง่นั่นสร้างขึ้นมา” ภาพตอนที่นางตวัดมือเพียงทีหนึ่งเขาก็กระแทกกับกำแพงเหล็กกล้าโผล่เข้ามาในห้วงความคิด


                “นางเป็นแวมไพร์ นายท่าน แวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ ถึงข้ากับไลล่าจะไม่ใช่แวมไพร์ตระกูลชนชั้นสูง แต่ท่านก็น่าจะรู้ว่าพวกเรามีฝีมือมากขนาดไหน”


                “....”


                “และไหนท่านลองบอกข้า มีแวมไพร์ตระกูลใดบนโลกที่มีผมสีขาวประกายเงินและดวงตาสีแดงฉานดั่งเลือด”


                “....”


                “นอกจากราชวงศ์เอลิเซียม


    ราชวงศ์แห่งเผ่าพันธุ์แวมไพร์ แวมไพร์ตระกูลโบราณที่หายสาบสูญไปนานเกือบหลายหมื่นปี


                ไฮเรซ เกรกอรี่ โคลงศีรษะ


                ดูเหมือนบัลลังก์ที่ตระกูลเขาเฝ้าปกป้องดูแลมานับหมื่นปี— จะไม่ว่างอีกต่อไปแล้ว

     



                ควีเนตต้าไม่ได้ให้คำตอบแก่ชายหนุ่มคนนั้นในทันที หรืออีกแง่หนึ่งก็คือเธอตัดสินใจที่จะไม่ไป ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรจากเธออีก เขาทำเพียงแนะนำตัวเองกับเธอพร้อมมอบขวดแก้วขวดหนึ่งซึ่งภายในบรรจุของเหลวสีแดงสดเอาไว้มาให้เท่านั้น


              ฟาเบียน มอสเวน


                “ตระกูลมอสเวนงั้นสินะ..” ควีเนตต้ามีไม่ได้มีความทรงจำครบถ้วนนัก เธอพอจะจำได้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่รายละเอียดอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือช่วงนั้นเธอใช้ชีวิตอย่างไร เธอกลับจำได้ไม่ชัดนัก ทั้งอย่างนั้นก็พอจะจำได้ว่าในตอนที่เธอมีชีวิตอยู่— หมายถึงเมื่อหมื่นกว่าปีก่อน ในตอนนั้นองค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์ของมนุษย์ยังไม่ก่อตั้งขึ้น สิ่งที่เรียกว่าเทคโนโลยีก็ยังไม่ถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นด้วยซ้ำ เธอพอจำได้ลางๆว่าตระกูลมอสเวนเป็น 1 ใน 10 ตระกูลใหญ่


                แต่ตอนที่ทักถามไปว่าเขาเป็น 1 ใน 10 ขุนนางตระกูลใหญ่เหรอ ดวงตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นกลับฉายแววประหลาดใจ ก่อนที่จะให้คำตอบว่าไม่ใช่ 10 แต่เป็น 6 ตระกูลใหญ่ต่างหาก


                เธอมองขวดบรรจุเลือดในมืออย่างชั่งใจ แน่นอน มันไม่ใช่เลือดของสัตว์ ฟาเบียนรู้ว่าเธอเป็นราชวงศ์— การให้เลือดของสัตว์ก็ไม่ต่างจากการเหยียดหยาม เธอเปิดฝามันออกก่อนยื่นหน้าเข้าไปดมมันใกล้ๆ เป็นกลิ่นเลือดที่หอมหวานน่าลิ้มลองยิ่งกว่ากลิ่นเลือดที่ละเลงองค์กรฮันเตอร์สาขาโมลันเทียในครั้งนั้นเสียอีก


                “นี่มัน..” กลิ่นคล้ายกับแวมไพร์หนุ่มตนที่ชื่อเอริก แต่ก็แตกต่าง..


                “เลือดของแวมไพร์” และต้องเป็นแวมไพร์ระดับที่สูงมากเสียด้วย คงเป็นแวมไพร์ชนชั้นขุนนางซักตระกูลเป็นแน่ เลือดของแวมไพร์ด้วยกันย่อมเป็นเลือดที่ดีที่สุดและหอมหวานที่สุด แต่ด้วยลักษณะนิสัยที่ค่อนไปทางหยิ่งยโส ไม่มีทางที่แวมไพร์จะยอมมอบเลือดให้ผู้อื่นได้ดื่ม ดังนั้นอาหารจานหลักของแวมไพร์ย่อมเป็นเลือดมนุษย์


                การดื่มเลือดของแวมไพร์ด้วยกันนั้นแปลได้หลายความหมาย ทั้งการจงรักภักดี การยอมสวามิภักดิ์ต่ออำนาจและกำลัง ความรัก ความหลงใหล ความเทิดทูน ให้เกียรติ การสยบอยู่แทบเท้า หรือแม้แต่..การเหยียดหยาม


                อย่างหลังนั้นเป็นกรณีที่บังคับกินเลือด ซึ่งมักจะเกิดในกลุ่มแวมไพร์อารมณ์ร้ายที่นิยมทรมานและดื่มเลือดของผู้ด้อยกว่าเป็นอาหาร


                บางทีนี่อาจจะเป็นเลือดของฟาเบียนเอง ไม่ก็เลือดของแวมไพร์ซักคนที่ชายคนนั้นไปข่มขู่(?)มาล่ะมั้ง คิดได้ดังนั้นเธอก็ยกมันขึ้นซดทั้งขวด รสชาติหวานลิ้นไหลลงคอไปอย่างง่ายดาย ร่างกายของเธอกระปรี้กระเปร่า รสหวานยังคงติดอยู่แม้ว่าเธอจะกลืนทั้งหมดนั่นลงกระเพาะไปแล้วก็ตาม นิโคลัสที่ลงมาจากบันไดชั้นสองมองขวดนั่นตาโต


                “นั่นอะไรน่ะ”


                “อาหารของข้า” เขาเบ้หน้า ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะค่อยๆปรากฎรอยยิ้มล้อเลียน “นี่ยัยคุณหนูตู้ปลา เธอคงไม่ได้แอบเจาะเลือดฉันไปตอนกลางคืนใช่มั้ย เฮ้อ น่ากลัวจริงๆ!


                เธอส่ายหน้าอย่างระอา


                “เลือดของมนุษย์อย่างเจ้าจะอร่อยซักแค่ไหนกันเชียว ข้ายอมกินเลือดหนูเลือดแมวยังดีกว่า”


                “พูดแบบนี้ใจร้ายชะมัด”


                “เลิกบ่นอุบอิบแล้วไปทำงานบ้านซะ” ดวงตาคมเบิกกว้าง ส่ายหน้าเถียงทันควัน “ฉันยังไม่หายดี เธอนั่นแหละต้องทำ”


                แต่ควีเนตต้ากลับไปฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เธอเดินอย่างนวยนาดไปนอนอยู่บนโซฟา ทำตัวเหลวๆคล้ายแมว ชายหนุ่มที่เห็นดังนั้นก็ได้แต่ยอมแพ้แล้วยอมเดินกระเผลกๆมาหยิบไม้กวาดไปแต่โดยดี

     



                หลังจากนั้นเกือบเดือน


                “ข้าจะออกไปจ่ายตลาด” เธอว่า มือก็คว้าร่มผ้าลูกไม้สีดำสำหรับกันแดดมาถือ แม้เธอจะไม่ได้แพ้แสงเหมือนพวกที่ไม่ได้เป็นแวมไพร์แต่กำเนิดที่หากถูกแสงแดดจะผิวไหม้และสลายไป แต่ก็นับว่าแสงแดดมันทำให้เธอรำคาญไม่น้อย นอกจากจะทำให้สายตาเธอพร่ามัวและมองได้ไม่ดีเท่าที่ควรแล้ว ยังทำให้เธอรู้สึกแสบผิวเล็กน้อยและกระหายมากขึ้นอีกด้วย


                นิโคลัสที่นั่งเล่นอยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมอง พลางชูพัดลูกไม้สไตล์วินเทจสีดำสนิทขึ้นให้อยู่ในระดับเดียวกับสายตาของเธอ


                “ของขวัญ” เขาว่า ก่อนจะให้เหตุผลว่ามันเป็นสิ่งที่ใช้แทนคำขอบคุณที่เธอช่วยเขา หญิงสาวฉงนไม่น้อยแต่ก็รับมันเอาไว้ ไม่คิดว่าผู้ชายกวนประสาทแบบนี้จะทำอะไรดีๆอย่างการให้ของขวัญผู้มีพระคุณเป็นด้วย ซึ่งเหมือนนิโคลัสจะรู้ว่าเธอคิดอะไรเขาจึงทำหน้าหงุดหงิดใส่แล้วรีบดันหลังเธอออกจากบ้าน


                “รีบไปรีบมาล่ะยัยงี่เง่า! แล้วก็อย่าซื้อของไร้ประโยชน์มานะ” เธอกะพริบตาปริบๆอย่างงุนงง สุดท้ายก็ได้แต่กลั้นยิ้มแล้วเดินออกจากบ้านไป มือก็ถือทั้งพัดและร่มที่คล้ายถูกออกแบบมาให้คู่กันด้วยแววตาปีติ ทำให้ไม่ทันเห็นดวงตาสีฟ้าที่ทอแสงอ่อนลงยามมองเธอเดินพ้นขอบประตูไป


              หน้าร้อนงี่เง่า..


                เธอสบถ อยากจะเงยหน้าขึ้นด่าทอพระอาทิตย์ที่ยังสาดแสงส่องแม้ว่านี่จะใกล้เย็นเข้าไปทุกที มือข้างหนึ่งถือร่มเอาไว้ อีกข้างหนึ่งถือพัดและถุงผ้าที่บรรจุของเสียเต็มถุง เธอผุดยิ้มบางอย่างอารมณ์ดียามคิดว่าจะไปตอกหน้าหมอนั่นเสียหน่อยว่าเธอเองก็เลือกซื้อของเป็นเหมือนกัน ทว่าขาทั้งสองข้างกลับต้องชะงักเมื่อฮู้ดสีดำสนิทที่ปกปิดสีผมของเธอถูกลมพัดจนหลุดออก ผมสีขาวประกายเงินสยายออกพร้อมกับสายตานับสิบคู่ที่จับจ้องมายังกลุ่มผมของเธออย่างสนใจ


                ขาของเธอก้าวเร็วขึ้น และเร็วขึ้น ไร้ซึ่งความนวยนาดคล้ายแมวชั้นสูงเช่นเคย เธอไม่มีมือสำหรับดึงฮู้ดขึ้นสวม ทำได้เพียงเดินให้เร็วขึ้นเพื่อไปถึงที่หมายเท่านั้น เพราะที่นี่คนเยอะเกินไป..การจะใช้พลังหรือถีบตัวเองขึ้นบนหลังคาย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนฉลาดพึงกระทำ จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายและกลิ่นเลือดที่โชยมา พวกมันคือคนขององค์กรแน่นอน


                “ผู้หญิงคนนั้นเป็นแวมไพร์ ระดับ S!! หากจับเป็นไม่ได้ก็ฆ่าเธอซะ!!” หัวใจของเธอเต้นระรัว ไม่ใช่เพราะความกลัว— แต่เพราะความตื่นตะหนก มันจะเป็นไปได้ยังไงที่อีกฝ่ายจะรู้ว่าเธอเป็นแวมไพร์ ต่อให้มีผมสีนี้ก็เถอะ เธอภาวนาขอให้ผู้หญิงที่พวกนั้นพูดถึงไม่ใช่เธอ แต่คำภาวนานั้นก็ไม่เป็นผล เมื่อเสียงฝีเท้าดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆ และเพียงพริบตาร่างของเธอก็ถูกพวกนั้นล้อมเอาไว้เสียแล้ว


                เธอกลอกตา หากเธอแสดงพลังแล้วหนีไป มันเป็นเรื่องยากที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างสงบสุข พวกนั้นจะตามไล่ล่าเธอจนกว่าจะหาตัวเธอเจอ หรือต่อให้เธอไม่แสดงพลัง ก็ไม่มีทางที่เธอจะตบตาพวกนั้นได้


                ไม่ว่าจะทางไหนเธอก็กลับไปหานิโคลัสไม่ได้


                กลับไปยังบ้านหลังนั้นไม่ได้


                เธอถีบตัวขึ้นไปยืนบนหลังคาของอาคารหลังหนึ่งก่อนจะออกตัววิ่งแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนหวังจะสลัดพวกบ้านี่ให้หลุด นัยน์ตามองร่มที่มืออีกข้างและของที่ซื้อมาในมืออีกข้างอย่างเงียบงัน เธอไม่ได้ทิ้งมันไปทั้งที่เวลานั้นเธอควรจะทิ้งทุกอย่างและเอาตัวรอด กระสุนเงินพุ่งเฉียดแก้มของเธอเข้าอย่างจังจนเกิดบาดแผลเป็นทางยาว หากเป็นกระสุนอื่นแผลมันควรจะหายทันที


                แต่เพราะเป็นกระสุนเงิน— ความสามารถในการสมานตัวจึงถูกลดทอนจนมันไม่สามารถหายได้ในทันที


                แม้จะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นแผลเป็น แต่เธอก็รู้สึกหงุดหงิดนักยามที่อาวุธของมนุษย์ทำบาดแผลให้เธอได้เช่นนี้ ร่างบางค่อยๆหย่อนตัวลงพื้น สะบัดมือทีหนึ่งก็เกิดลมวูบไหวจนอาคารบ้านเรือนต่างสั่นสะเทือนราวแผ่นดินไหวก็ไม่ปาน ต้นไม้ที่มีลำต้นไม่แข็งแรงพอต่างหักลงราวถูกโค่น ขัดขวางเส้นทางไม่ให้พวกนั้นมุ่งมาหาเธอได้อีก


                แต่กลับมีพวกมันมาจากอีกเส้นทางแล้วดักหน้าเธอเอาไว้ พวกมันล้วนเป็นฮันเตอร์ระดับสูง อย่างน้อยก็คิดว่าคงไม่มีใครแรงค์ต่ำกว่านิโคลัส เธอมองเหล่าฮันเตอร์นับสิบที่ยืนเรียงกันเป็นหน้ากระดาน วันนี้เป็นวันที่แดดแรงกว่าทุกครั้ง และเป็นช่วงเวลาที่แวมไพร์เช่นเธอจะไม่มีเรี่ยวแรงเต็มร้อยนัก ซ้ำยังอาหารของมนุษย์ที่เธอกินร่วมกับชายหนุ่มคนนั้นตลอดระยะเวลาเดือนกว่าที่ผ่านมา


                สิ่งเหล่านั้น..กำลังบั่นทอนพลังของเธอ


                เธอเค้นรอยยิ้มเหยียดหยันออกมา ในใจคิดถึงความเป็นไปได้มากมายที่พวกนี้จะรู้ว่าเธอเป็นแวมไพร์ กำลังทำอะไรอยู่ และรู้ทันเธอ อาจจะมีพวกของมันแฝงตัวอยู่ในหมู่ชาวบ้าแล้วบังเอิญพบเธอเข้า อาจจะเพราะมีอุปกรณ์อะไรซักอย่างตามตัวเธอตั้งแต่ตอนเธออยู่ในห้องทดลอง หรือไม่..


                “นิโคลัส..” เธอพึมพำเสียงแหบ ดวงตาสีแดงฉานวาวโรจน์ยามจับจ้องชายหนุ่มที่เดินแหวกมนุษย์พวกนั้นมายืนอยู่ตรงหน้าแถว ดวงตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้นไร้แววและดำมืด ไม่เปล่งประกายหยอกล้อหรือยียวนเช่นทุกครั้ง เหมือนกับใบหน้าของเขาที่มีเพียงรอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตาเท่านั้นที่ประดับอยู่


                “จับเธอ” เพียงแค่เอ่ยเสียงเบาร่างของฮันเตอร์ทุกนายก็กรูเข้ามาหาเธอราวกับผึ้งที่พบน้ำหวานหรือมดที่พบน้ำตาล


              “องค์หญิง การอาศัยอยู่กับมนุษย์มีแต่จะทำให้ท่านอ่อนแอลง พวกมนุษย์นั้นไว้ใจไม่ได้ พวกเขาจะหักหลังท่าน จะฆ่าท่าน จะทำให้ท่านต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น”


                คำพูดของฟาเบียนดังขึ้นมาในห้วงความคิด หากเธอเป็นมนุษย์ การใช้ฮันเตอร์มากมายนับสิบคนมารุมหญิงสาวเพียงคนเดียวเช่นเธอแบบนี้นับว่าเป็นการกระทำที่ไม่น่าชื่นชมเลยซักนิด แต่เพราะเธอเป็นแวมไพร์ เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีเรี่ยวแรงมหาศาลและมีพลังเหนือธรรมชาติที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ความจริงข้อนี้คงทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นมาหน่อยล่ะมั้ง


                เธอเบี่ยงตัวหลบคมดาบและลูกกระสุนอย่างคล่องแคล่วผิดกับท่าทีเกียจคร้านดุจแมวสูงส่งก่อนหน้านี้ ใจหนึ่งอยากจะฉีกกระชากพวกเขา ทำลายพวกมันให้ตายๆไปซะให้หมด แต่อีกใจหนึ่งเธอกลับอยากคงความเป็นเธอไว้ให้มากที่สุด


                เธอที่เป็นเธอ ควีเนตต้า เอลิเซียม ผู้มีเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำ ไม่ใช่ ควีเนตต้า เอลิเซียม องค์หญิงที่ฟาเบียนพูดถึง


                แต่ว่า..ยิ่งเห็นใบหน้าของนิโคลัส ยิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเขา ยิ่งสบตากับเขา เพลิงแห่งโทสะที่คิดว่าเริ่มมอดดับก็โหมกระหน่ำอีกครั้ง เธอตวัดมือผลักฮันเตอร์คนหนึ่งจนกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงดังอั่ก คิดว่ากระดูกซี่โครงคงหักเละแทบไม่เหลือชิ้นดี ไม่สิ อาจจะพิการเพราะกระดูกสันหลังคดงอด้วยซ้ำ หลังจากนั้นเธอก็ฟาดขาเข้าที่ท้องของฮันเตอร์สาวคนหนึ่งที่ตั้งใจจะใช้ดาบแทงเธอจากด้านหลัง เพียงพริบตาเดียวร่างนั้นก็ทรุดลงกับพื้นพร้อมกับเลือดที่ทะลุหูและปากบ่งบอกว่าอวัยวะภายในคงถูกทำลายจนหมด


                พวกมันกลืนน้ำลายลงคอ ไม่กล้าย่างเท้าเข้ามาใกล้มากกว่านั้น สายตาระมัดระวังและหวาดระแวงว่าเธอจะฆ่าใครเป็นรายต่อไปทำให้พวกมันบางคนขาสั่นจนแทบยืนไม่ได้ด้วยซ้ำ เธอได้ยินเสียงพวกมันพึมพำแว่วๆว่านี่มันไม่ใช่ระดับ S แล้ว มีแวมไพร์ที่อยู่สูงกว่าระดับ S อีกงั้นเหรอ


                เสียงอื้ออึงนั่นทำเอาเธออยากจะระเบิดเสียงหัวเราะ แต่ก็ทำไมไม่ได้ ดูท่านิโคลัสคงไม่ได้บอกสิ่งที่เธอเคยเล่าให้อีกฝ่ายฟังให้พวกมันรู้ พวกมันถึงยังคิดว่าแวมไพร์ระดับสูงสุดที่จะมีได้คือระดับ S เท่านั้น


                ถือว่าน่ายินดีได้มั้ยนะ ที่การปะทะของเธอจะทำให้พวกมันตระหนักถึงความจริงและอาจคิดค้นอาวุธที่สามารถทำลายแวมไพร์ชั้นสูงกว่านั้นได้ในภายภาคหน้า เธอโยนถุงผ้าที่มีวัตถุดิบสำหรับทำอาหารไปข้างหลังอย่างไม่ใส่ใจ มือข้างหนึ่งยังคงถือร่ม ในขณะที่มืออีกข้างยังคงถือพัดลูกไม้สีดำสไตล์วินเทจเอาไว้ สายตาจับจ้องไปยังนิโคลัสอย่างท้าทาย


                “เธอแข็งแกร่งกว่าที่พวกเราคิดมาก”


                “นี่ขนาดพวกเราทั้งหมดเป็นแรงค์โกลด์นะ”


                “เราควรตามคนจากศูนย์ใหญ่มาเพิ่ม”


                “รีบๆเรียกพวกเขามาเร็วเข้า บอกว่ามีแวมไพร์ที่น่าจะคลาสสูงกว่า S ปรากฏตัว”


                เธอถีบตัวขึ้นจากพื้นอีกครั้งไปยืนอยู่บนไหล่ของฮันเตอร์ชายร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามคนหนึ่ง ก่อนตีลังกาหมุนตัวถีบอีกฝ่ายจนล้มลงไปนอนกับพื้น มือข้างที่ถือพัดก็ใช้มันปัดป่ายป้องกันตัวเองจากคมดาบที่พยายามฟาดฟันมายังเธอ เพียงแค่โบกเล็กน้อยก็เกิดเป็นลมกรรโชกแรงทำเอาร่างของฮันเตอร์บางคนเกือบปลิวไปชนอาคาร


                เธอยืนนิ่ง เตรียมโบกพัดเพื่อสู้ต่อ ทว่าดวงตาสีแดงฉานกลับเริ่มพร่าเลือนเพราะบางอย่าง ร่างกายของเธอหนักอึ้งจนแทบจะล้มทรุดอยู่กับพื้น ความวิงเวียนศีรษะอันไร้ที่มาทำให้เธอรู้สึกพะอืดพะอมเสียเหลือเกิน ใบหน้างามพิลาศพยายามเงยขึ้นมองคนที่น่าจะเป็นต้นเหตุ


                นิโคลัสไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นอีกต่อไปแล้ว เขาขยับเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆ เขาก้มหน้าลงต่ำ และด้วยเงาของผมสีน้ำเงินเข้มทำให้เธอมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าเช่นไรยามมองมาที่เธอ


                “อาหารที่เจ้าทำ.. เจ้าใส่อะไรลงไป” เธอถามเสียงต่ำ ใบหน้างดงามบิดเบี้ยวด้วยไฟแห่งโทสะที่กำลังจะเผาผลาญร่างและจิตใจของเธอจนมอดไหม้ มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเล็บที่งอกยาวทะลุฝ่ามือบางของตัวเองไปอย่างน่าหวาดเสียว เลือดสีแดงฉานอาบชุ่มมือคู่นั้น ควีเนตต้าค่อยๆหยัดกายลุกขึ้นตอบโต้การโจมตีของเหล่าฮันเตอร์อย่างยากลำบาก


                เธอดีดตัวขึ้นจากพื้นไปยืนบนหลังคาอีกครั้ง หลับตาลงเพื่อเพ่งสมาธิ ต้องการที่จะหลุดพ้นจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เธออยากจะหายตัวไปที่ไหนซักแห่ง ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมา— สถานที่ที่เธอหายตัวมากลับเป็นที่ตั้งขององค์กรฮันเตอร์สาขาโมลันเทียที่เธอกับนิโคลัสพบเจอกันเป็นครั้งแรก


                เธอมองสถานที่แห่งนี้อย่างเงียบงัน


              อา นี่มันช่างน่าบัดซบเสียจริงๆ

     

    อ้าว นิโคลัส... / หักนิโคลัส 10 แต้ม

    (นิโคลัส : ผมว่าผมก็บอกไปแล้วนะว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคืออำนาจกับเงินตรา) 

    หลังจากนี้น่าจะไม่ได้มาอัพวันละสองตอนแล้วนะคะ อาจจะเป็นวันละตอนไม่ก็วันเว้นวัน พอดีตอนที่สต็อกไว้ใกล้หมดแล้ว แหะ

    สำหรับใครก็ตามที่อยากทุบตีนิโคลัส.. ผายมือค่ะ เชิญเลย ตีให้ก้นลาย!!!

    ปล. อีกเช่นเคย ถ้าพบคำผิดหรือประโยคไหนดูแปลกๆไม่เข้ากันก็ทักได้นะคะ เผื่อเราไม่ถี่ถ้วนพอ ;---;

    ปล.2 พรุ่งนี้น้องๆคนไหนเปิดเทอมแล้วก็สู้ๆนะคะ ส่วนเรายังไม่เปิด กร๊าก(?)

    #ใครปีนเตียงราชินี 




    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×