คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Turn 03 – ไล่ล่า
อีกด้านหนึ่ง
ยามราตรีที่เงียบสงัดเป็นดั่งเวลาออกล่าของเผ่าพันธุ์ที่บัดนี้ยืนอยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
ดวงตาสีอะเมทิสต์ทอแสงเรืองรองสว่างไสว บรรยากาศภายในห้องนอนขนาดใหญ่ยังคงร้อนระอุเมื่อสองร่างบนเตียงโรมรันกันอย่างดุเดือด
ผ้าห่มกองอยู่บนพื้น เสื้อผ้าบางส่วนถูกฉีกกระชากกระจัดกระจาย
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวใต้ร่างที่กำลังบิดตัวไปมาอย่างเอียงอาย
ริมฝีปากหยักกดยิ้มนุ่มลึกอ่านยาก มือหนาภายใต้ถุงมือหนังสีดำลูบไล้ขาของหญิงสาวใต้ร่างตั้งแต่ปลายเท้าไปจนถึงขาอ่อน
แต่การกระทำทั้งหลายก็หยุดไปเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ท่านเกรกอรี่”
ชายหนุ่มที่ยืนรออยู่ด้านนอกประตูกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก
มือทั้งสองข้างกุมเข้าหากันยามไว้อาลัยให้ตัวเองในใจ ทั้งยังคาดเดาความเป็นไปได้ว่าชายหนุ่มในห้องจะออกมาฟังเขาหรือออกมาฆ่าเขากันแน่
เป็นที่รู้กันว่าไม่ควรรบกวน 'เขา' เวลาล่าเหยื่อ
ภายใต้รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนของเขา
ใครจะรู้ว่าในใจกำลังคิดอะไรอยู่
แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่แวมไพร์สูงส่งอย่างพวก
6 ตระกูลใหญ่ แต่ก็เป็นผู้สืบสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเกรกอรี่—
ตระกูลที่ทำหน้าที่อารักขาและดูแลปราสาทสูงตระหง่านซึ่งตั้งอยู่ในอาณาเขตศูนย์กลาง
ไม่สิ หน้าที่ของเขาไม่ใช่ดูแลปราสาท
แต่เป็นการปกป้องบัลลังก์แห่งนั้นเพื่อรอวันที่เจ้าของที่แท้จริงจะปรากฏตัว
บัลลังก์ที่ว่างเปล่า
“มีอะไร”
ชายหนุ่มที่เดินออกมาจากห้องนอนถามด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท
เพียงแค่นี้ก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าตัวคงไม่ปลื้มกับการถูกขัดจังหวะนัก
แวมไพร์หนุ่มผู้มาเยือนกระแอมเสียงเบา
เหลือบตามองประตูเพื่อให้มั่นใจว่ามันปิดสนิทและไม่มีใครดักฟังแน่นอน
เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับชายหนุ่มเจ้าของคฤหาสน์ขนาดย่อม
พลางหวนนึกถึงหญิงสาวที่ตนเจอเมื่อหลายวันก่อน
สตรีรูปร่างโปร่งบางผู้มีใบหน้างดงามดุจเทพธิดา ดวงตาสีแดงฉานราวโลหิต
และผมสีขาวโพลนประกายเงินที่ส่องสว่างยามกระทบกับแสงแดด
ไม่มีใครเคยเห็นมนุษย์หรือแวมไพร์ตนใดมีสีผมและสีตาเช่นนั้น
แต่ไม่เคยเห็น—
ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมี
“ข้าคิดว่าข้าเจอนางแล้ว”
เอริกว่า มือลูบลำคอที่ยังคงมีรอยแดงหลงเหลืออยู่ทั้งที่ด้วยความสามารถของเผ่าแวมไพร์
แผลควรจะหายสนิทไร้ร่องรอยไปตั้งแต่เมื่อสองสามชั่วโมงก่อน
“ใคร”
“องค์หญิง”
เพียงแค่คำเดียวที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากปาก
บรรยากาศน่าอึดอัดก็โอบล้อมพวกเขา ดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์ของชายหนุ่มเจ้าของคฤหาสน์ฉายแววล้ำลึกครู่หนึ่ง
“เป็นไปไม่ได้
ไม่มีใครเจอนางมาเกือบหมื่นปีแล้ว นางไม่น่าจะยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ”
“ข้าก็คิดแบบนั้น ตอนที่เห็นนาง ทั้งผมสีขาวเป็นประกายและดวงตาสีแดงนั่น..ข้าคิดจะสังหารนางเสีย เพราะคิดว่านางเป็นสิ่งมีชีวิตที่พวกมนุษย์หน้าโง่นั่นสร้างขึ้นมา” ภาพตอนที่นางตวัดมือเพียงทีหนึ่งเขาก็กระแทกกับกำแพงเหล็กกล้าโผล่เข้ามาในห้วงความคิด
“นางเป็นแวมไพร์
นายท่าน แวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ ถึงข้ากับไลล่าจะไม่ใช่แวมไพร์ตระกูลชนชั้นสูง
แต่ท่านก็น่าจะรู้ว่าพวกเรามีฝีมือมากขนาดไหน”
“....”
“และไหนท่านลองบอกข้า
มีแวมไพร์ตระกูลใดบนโลกที่มีผมสีขาวประกายเงินและดวงตาสีแดงฉานดั่งเลือด”
“....”
“นอกจากราชวงศ์เอลิเซียม”
ราชวงศ์แห่งเผ่าพันธุ์แวมไพร์
แวมไพร์ตระกูลโบราณที่หายสาบสูญไปนานเกือบหลายหมื่นปี
ไฮเรซ
เกรกอรี่ โคลงศีรษะ
ดูเหมือนบัลลังก์ที่ตระกูลเขาเฝ้าปกป้องดูแลมานับหมื่นปี—
จะไม่ว่างอีกต่อไปแล้ว
ควีเนตต้าไม่ได้ให้คำตอบแก่ชายหนุ่มคนนั้นในทันที
หรืออีกแง่หนึ่งก็คือเธอตัดสินใจที่จะไม่ไป ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรจากเธออีก
เขาทำเพียงแนะนำตัวเองกับเธอพร้อมมอบขวดแก้วขวดหนึ่งซึ่งภายในบรรจุของเหลวสีแดงสดเอาไว้มาให้เท่านั้น
ฟาเบียน
มอสเวน
“ตระกูลมอสเวนงั้นสินะ..”
ควีเนตต้ามีไม่ได้มีความทรงจำครบถ้วนนัก เธอพอจะจำได้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่รายละเอียดอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือช่วงนั้นเธอใช้ชีวิตอย่างไร
เธอกลับจำได้ไม่ชัดนัก ทั้งอย่างนั้นก็พอจะจำได้ว่าในตอนที่เธอมีชีวิตอยู่—
หมายถึงเมื่อหมื่นกว่าปีก่อน
ในตอนนั้นองค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์ของมนุษย์ยังไม่ก่อตั้งขึ้น
สิ่งที่เรียกว่าเทคโนโลยีก็ยังไม่ถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นด้วยซ้ำ เธอพอจำได้ลางๆว่าตระกูลมอสเวนเป็น
1 ใน 10 ตระกูลใหญ่
แต่ตอนที่ทักถามไปว่าเขาเป็น
1 ใน 10 ขุนนางตระกูลใหญ่เหรอ ดวงตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นกลับฉายแววประหลาดใจ
ก่อนที่จะให้คำตอบว่าไม่ใช่ 10 แต่เป็น 6 ตระกูลใหญ่ต่างหาก
เธอมองขวดบรรจุเลือดในมืออย่างชั่งใจ
แน่นอน มันไม่ใช่เลือดของสัตว์ ฟาเบียนรู้ว่าเธอเป็นราชวงศ์—
การให้เลือดของสัตว์ก็ไม่ต่างจากการเหยียดหยาม
เธอเปิดฝามันออกก่อนยื่นหน้าเข้าไปดมมันใกล้ๆ
เป็นกลิ่นเลือดที่หอมหวานน่าลิ้มลองยิ่งกว่ากลิ่นเลือดที่ละเลงองค์กรฮันเตอร์สาขาโมลันเทียในครั้งนั้นเสียอีก
“นี่มัน..”
กลิ่นคล้ายกับแวมไพร์หนุ่มตนที่ชื่อเอริก แต่ก็แตกต่าง..
“เลือดของแวมไพร์”
และต้องเป็นแวมไพร์ระดับที่สูงมากเสียด้วย
คงเป็นแวมไพร์ชนชั้นขุนนางซักตระกูลเป็นแน่
เลือดของแวมไพร์ด้วยกันย่อมเป็นเลือดที่ดีที่สุดและหอมหวานที่สุด
แต่ด้วยลักษณะนิสัยที่ค่อนไปทางหยิ่งยโส ไม่มีทางที่แวมไพร์จะยอมมอบเลือดให้ผู้อื่นได้ดื่ม
ดังนั้นอาหารจานหลักของแวมไพร์ย่อมเป็นเลือดมนุษย์
การดื่มเลือดของแวมไพร์ด้วยกันนั้นแปลได้หลายความหมาย
ทั้งการจงรักภักดี การยอมสวามิภักดิ์ต่ออำนาจและกำลัง ความรัก ความหลงใหล
ความเทิดทูน ให้เกียรติ การสยบอยู่แทบเท้า หรือแม้แต่..การเหยียดหยาม
อย่างหลังนั้นเป็นกรณีที่บังคับกินเลือด
ซึ่งมักจะเกิดในกลุ่มแวมไพร์อารมณ์ร้ายที่นิยมทรมานและดื่มเลือดของผู้ด้อยกว่าเป็นอาหาร
บางทีนี่อาจจะเป็นเลือดของฟาเบียนเอง
ไม่ก็เลือดของแวมไพร์ซักคนที่ชายคนนั้นไปข่มขู่(?)มาล่ะมั้ง
คิดได้ดังนั้นเธอก็ยกมันขึ้นซดทั้งขวด รสชาติหวานลิ้นไหลลงคอไปอย่างง่ายดาย
ร่างกายของเธอกระปรี้กระเปร่า
รสหวานยังคงติดอยู่แม้ว่าเธอจะกลืนทั้งหมดนั่นลงกระเพาะไปแล้วก็ตาม
นิโคลัสที่ลงมาจากบันไดชั้นสองมองขวดนั่นตาโต
“นั่นอะไรน่ะ”
“อาหารของข้า”
เขาเบ้หน้า ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะค่อยๆปรากฎรอยยิ้มล้อเลียน “นี่ยัยคุณหนูตู้ปลา
เธอคงไม่ได้แอบเจาะเลือดฉันไปตอนกลางคืนใช่มั้ย เฮ้อ น่ากลัวจริงๆ!”
เธอส่ายหน้าอย่างระอา
“เลือดของมนุษย์อย่างเจ้าจะอร่อยซักแค่ไหนกันเชียว
ข้ายอมกินเลือดหนูเลือดแมวยังดีกว่า”
“พูดแบบนี้ใจร้ายชะมัด”
“เลิกบ่นอุบอิบแล้วไปทำงานบ้านซะ”
ดวงตาคมเบิกกว้าง ส่ายหน้าเถียงทันควัน “ฉันยังไม่หายดี เธอนั่นแหละต้องทำ”
แต่ควีเนตต้ากลับไปฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
เธอเดินอย่างนวยนาดไปนอนอยู่บนโซฟา ทำตัวเหลวๆคล้ายแมว ชายหนุ่มที่เห็นดังนั้นก็ได้แต่ยอมแพ้แล้วยอมเดินกระเผลกๆมาหยิบไม้กวาดไปแต่โดยดี
หลังจากนั้นเกือบเดือน
“ข้าจะออกไปจ่ายตลาด”
เธอว่า มือก็คว้าร่มผ้าลูกไม้สีดำสำหรับกันแดดมาถือ
แม้เธอจะไม่ได้แพ้แสงเหมือนพวกที่ไม่ได้เป็นแวมไพร์แต่กำเนิดที่หากถูกแสงแดดจะผิวไหม้และสลายไป
แต่ก็นับว่าแสงแดดมันทำให้เธอรำคาญไม่น้อย
นอกจากจะทำให้สายตาเธอพร่ามัวและมองได้ไม่ดีเท่าที่ควรแล้ว
ยังทำให้เธอรู้สึกแสบผิวเล็กน้อยและกระหายมากขึ้นอีกด้วย
นิโคลัสที่นั่งเล่นอยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมอง
พลางชูพัดลูกไม้สไตล์วินเทจสีดำสนิทขึ้นให้อยู่ในระดับเดียวกับสายตาของเธอ
“ของขวัญ”
เขาว่า ก่อนจะให้เหตุผลว่ามันเป็นสิ่งที่ใช้แทนคำขอบคุณที่เธอช่วยเขา
หญิงสาวฉงนไม่น้อยแต่ก็รับมันเอาไว้
ไม่คิดว่าผู้ชายกวนประสาทแบบนี้จะทำอะไรดีๆอย่างการให้ของขวัญผู้มีพระคุณเป็นด้วย
ซึ่งเหมือนนิโคลัสจะรู้ว่าเธอคิดอะไรเขาจึงทำหน้าหงุดหงิดใส่แล้วรีบดันหลังเธอออกจากบ้าน
“รีบไปรีบมาล่ะยัยงี่เง่า! แล้วก็อย่าซื้อของไร้ประโยชน์มานะ” เธอกะพริบตาปริบๆอย่างงุนงง
สุดท้ายก็ได้แต่กลั้นยิ้มแล้วเดินออกจากบ้านไป
มือก็ถือทั้งพัดและร่มที่คล้ายถูกออกแบบมาให้คู่กันด้วยแววตาปีติ
ทำให้ไม่ทันเห็นดวงตาสีฟ้าที่ทอแสงอ่อนลงยามมองเธอเดินพ้นขอบประตูไป
หน้าร้อนงี่เง่า..
เธอสบถ
อยากจะเงยหน้าขึ้นด่าทอพระอาทิตย์ที่ยังสาดแสงส่องแม้ว่านี่จะใกล้เย็นเข้าไปทุกที
มือข้างหนึ่งถือร่มเอาไว้ อีกข้างหนึ่งถือพัดและถุงผ้าที่บรรจุของเสียเต็มถุง เธอผุดยิ้มบางอย่างอารมณ์ดียามคิดว่าจะไปตอกหน้าหมอนั่นเสียหน่อยว่าเธอเองก็เลือกซื้อของเป็นเหมือนกัน
ทว่าขาทั้งสองข้างกลับต้องชะงักเมื่อฮู้ดสีดำสนิทที่ปกปิดสีผมของเธอถูกลมพัดจนหลุดออก
ผมสีขาวประกายเงินสยายออกพร้อมกับสายตานับสิบคู่ที่จับจ้องมายังกลุ่มผมของเธออย่างสนใจ
ขาของเธอก้าวเร็วขึ้น
และเร็วขึ้น ไร้ซึ่งความนวยนาดคล้ายแมวชั้นสูงเช่นเคย เธอไม่มีมือสำหรับดึงฮู้ดขึ้นสวม
ทำได้เพียงเดินให้เร็วขึ้นเพื่อไปถึงที่หมายเท่านั้น
เพราะที่นี่คนเยอะเกินไป..การจะใช้พลังหรือถีบตัวเองขึ้นบนหลังคาย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนฉลาดพึงกระทำ
จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายและกลิ่นเลือดที่โชยมา พวกมันคือคนขององค์กรแน่นอน
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นแวมไพร์
ระดับ S!!
หากจับเป็นไม่ได้ก็ฆ่าเธอซะ!!”
หัวใจของเธอเต้นระรัว ไม่ใช่เพราะความกลัว— แต่เพราะความตื่นตะหนก
มันจะเป็นไปได้ยังไงที่อีกฝ่ายจะรู้ว่าเธอเป็นแวมไพร์ ต่อให้มีผมสีนี้ก็เถอะ
เธอภาวนาขอให้ผู้หญิงที่พวกนั้นพูดถึงไม่ใช่เธอ แต่คำภาวนานั้นก็ไม่เป็นผล
เมื่อเสียงฝีเท้าดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
และเพียงพริบตาร่างของเธอก็ถูกพวกนั้นล้อมเอาไว้เสียแล้ว
เธอกลอกตา
หากเธอแสดงพลังแล้วหนีไป มันเป็นเรื่องยากที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างสงบสุข
พวกนั้นจะตามไล่ล่าเธอจนกว่าจะหาตัวเธอเจอ หรือต่อให้เธอไม่แสดงพลัง
ก็ไม่มีทางที่เธอจะตบตาพวกนั้นได้
ไม่ว่าจะทางไหนเธอก็กลับไปหานิโคลัสไม่ได้
กลับไปยังบ้านหลังนั้นไม่ได้
เธอถีบตัวขึ้นไปยืนบนหลังคาของอาคารหลังหนึ่งก่อนจะออกตัววิ่งแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนหวังจะสลัดพวกบ้านี่ให้หลุด
นัยน์ตามองร่มที่มืออีกข้างและของที่ซื้อมาในมืออีกข้างอย่างเงียบงัน
เธอไม่ได้ทิ้งมันไปทั้งที่เวลานั้นเธอควรจะทิ้งทุกอย่างและเอาตัวรอด
กระสุนเงินพุ่งเฉียดแก้มของเธอเข้าอย่างจังจนเกิดบาดแผลเป็นทางยาว
หากเป็นกระสุนอื่นแผลมันควรจะหายทันที
แต่เพราะเป็นกระสุนเงิน—
ความสามารถในการสมานตัวจึงถูกลดทอนจนมันไม่สามารถหายได้ในทันที
แม้จะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นแผลเป็น
แต่เธอก็รู้สึกหงุดหงิดนักยามที่อาวุธของมนุษย์ทำบาดแผลให้เธอได้เช่นนี้
ร่างบางค่อยๆหย่อนตัวลงพื้น
สะบัดมือทีหนึ่งก็เกิดลมวูบไหวจนอาคารบ้านเรือนต่างสั่นสะเทือนราวแผ่นดินไหวก็ไม่ปาน
ต้นไม้ที่มีลำต้นไม่แข็งแรงพอต่างหักลงราวถูกโค่น
ขัดขวางเส้นทางไม่ให้พวกนั้นมุ่งมาหาเธอได้อีก
แต่กลับมีพวกมันมาจากอีกเส้นทางแล้วดักหน้าเธอเอาไว้
พวกมันล้วนเป็นฮันเตอร์ระดับสูง อย่างน้อยก็คิดว่าคงไม่มีใครแรงค์ต่ำกว่านิโคลัส
เธอมองเหล่าฮันเตอร์นับสิบที่ยืนเรียงกันเป็นหน้ากระดาน
วันนี้เป็นวันที่แดดแรงกว่าทุกครั้ง
และเป็นช่วงเวลาที่แวมไพร์เช่นเธอจะไม่มีเรี่ยวแรงเต็มร้อยนัก
ซ้ำยังอาหารของมนุษย์ที่เธอกินร่วมกับชายหนุ่มคนนั้นตลอดระยะเวลาเดือนกว่าที่ผ่านมา
สิ่งเหล่านั้น..กำลังบั่นทอนพลังของเธอ
เธอเค้นรอยยิ้มเหยียดหยันออกมา
ในใจคิดถึงความเป็นไปได้มากมายที่พวกนี้จะรู้ว่าเธอเป็นแวมไพร์ กำลังทำอะไรอยู่
และรู้ทันเธอ อาจจะมีพวกของมันแฝงตัวอยู่ในหมู่ชาวบ้าแล้วบังเอิญพบเธอเข้า
อาจจะเพราะมีอุปกรณ์อะไรซักอย่างตามตัวเธอตั้งแต่ตอนเธออยู่ในห้องทดลอง หรือไม่..
“นิโคลัส..”
เธอพึมพำเสียงแหบ
ดวงตาสีแดงฉานวาวโรจน์ยามจับจ้องชายหนุ่มที่เดินแหวกมนุษย์พวกนั้นมายืนอยู่ตรงหน้าแถว
ดวงตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้นไร้แววและดำมืด ไม่เปล่งประกายหยอกล้อหรือยียวนเช่นทุกครั้ง
เหมือนกับใบหน้าของเขาที่มีเพียงรอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตาเท่านั้นที่ประดับอยู่
“จับเธอ”
เพียงแค่เอ่ยเสียงเบาร่างของฮันเตอร์ทุกนายก็กรูเข้ามาหาเธอราวกับผึ้งที่พบน้ำหวานหรือมดที่พบน้ำตาล
“องค์หญิง
การอาศัยอยู่กับมนุษย์มีแต่จะทำให้ท่านอ่อนแอลง พวกมนุษย์นั้นไว้ใจไม่ได้
พวกเขาจะหักหลังท่าน จะฆ่าท่าน จะทำให้ท่านต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น”
คำพูดของฟาเบียนดังขึ้นมาในห้วงความคิด
หากเธอเป็นมนุษย์ การใช้ฮันเตอร์มากมายนับสิบคนมารุมหญิงสาวเพียงคนเดียวเช่นเธอแบบนี้นับว่าเป็นการกระทำที่ไม่น่าชื่นชมเลยซักนิด
แต่เพราะเธอเป็นแวมไพร์
เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีเรี่ยวแรงมหาศาลและมีพลังเหนือธรรมชาติที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
ความจริงข้อนี้คงทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นมาหน่อยล่ะมั้ง
เธอเบี่ยงตัวหลบคมดาบและลูกกระสุนอย่างคล่องแคล่วผิดกับท่าทีเกียจคร้านดุจแมวสูงส่งก่อนหน้านี้
ใจหนึ่งอยากจะฉีกกระชากพวกเขา ทำลายพวกมันให้ตายๆไปซะให้หมด
แต่อีกใจหนึ่งเธอกลับอยากคงความเป็นเธอไว้ให้มากที่สุด
เธอที่เป็นเธอ
ควีเนตต้า เอลิเซียม ผู้มีเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำ ไม่ใช่ ควีเนตต้า เอลิเซียม
องค์หญิงที่ฟาเบียนพูดถึง
แต่ว่า..ยิ่งเห็นใบหน้าของนิโคลัส
ยิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเขา ยิ่งสบตากับเขา
เพลิงแห่งโทสะที่คิดว่าเริ่มมอดดับก็โหมกระหน่ำอีกครั้ง
เธอตวัดมือผลักฮันเตอร์คนหนึ่งจนกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงดังอั่ก
คิดว่ากระดูกซี่โครงคงหักเละแทบไม่เหลือชิ้นดี ไม่สิ
อาจจะพิการเพราะกระดูกสันหลังคดงอด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นเธอก็ฟาดขาเข้าที่ท้องของฮันเตอร์สาวคนหนึ่งที่ตั้งใจจะใช้ดาบแทงเธอจากด้านหลัง
เพียงพริบตาเดียวร่างนั้นก็ทรุดลงกับพื้นพร้อมกับเลือดที่ทะลุหูและปากบ่งบอกว่าอวัยวะภายในคงถูกทำลายจนหมด
พวกมันกลืนน้ำลายลงคอ
ไม่กล้าย่างเท้าเข้ามาใกล้มากกว่านั้น สายตาระมัดระวังและหวาดระแวงว่าเธอจะฆ่าใครเป็นรายต่อไปทำให้พวกมันบางคนขาสั่นจนแทบยืนไม่ได้ด้วยซ้ำ
เธอได้ยินเสียงพวกมันพึมพำแว่วๆว่านี่มันไม่ใช่ระดับ S แล้ว มีแวมไพร์ที่อยู่สูงกว่าระดับ S อีกงั้นเหรอ
เสียงอื้ออึงนั่นทำเอาเธออยากจะระเบิดเสียงหัวเราะ
แต่ก็ทำไมไม่ได้
ดูท่านิโคลัสคงไม่ได้บอกสิ่งที่เธอเคยเล่าให้อีกฝ่ายฟังให้พวกมันรู้
พวกมันถึงยังคิดว่าแวมไพร์ระดับสูงสุดที่จะมีได้คือระดับ S เท่านั้น
ถือว่าน่ายินดีได้มั้ยนะ
ที่การปะทะของเธอจะทำให้พวกมันตระหนักถึงความจริงและอาจคิดค้นอาวุธที่สามารถทำลายแวมไพร์ชั้นสูงกว่านั้นได้ในภายภาคหน้า
เธอโยนถุงผ้าที่มีวัตถุดิบสำหรับทำอาหารไปข้างหลังอย่างไม่ใส่ใจ
มือข้างหนึ่งยังคงถือร่ม
ในขณะที่มืออีกข้างยังคงถือพัดลูกไม้สีดำสไตล์วินเทจเอาไว้ สายตาจับจ้องไปยังนิโคลัสอย่างท้าทาย
“เธอแข็งแกร่งกว่าที่พวกเราคิดมาก”
“นี่ขนาดพวกเราทั้งหมดเป็นแรงค์โกลด์นะ”
“เราควรตามคนจากศูนย์ใหญ่มาเพิ่ม”
“รีบๆเรียกพวกเขามาเร็วเข้า
บอกว่ามีแวมไพร์ที่น่าจะคลาสสูงกว่า S ปรากฏตัว”
เธอถีบตัวขึ้นจากพื้นอีกครั้งไปยืนอยู่บนไหล่ของฮันเตอร์ชายร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามคนหนึ่ง
ก่อนตีลังกาหมุนตัวถีบอีกฝ่ายจนล้มลงไปนอนกับพื้น
มือข้างที่ถือพัดก็ใช้มันปัดป่ายป้องกันตัวเองจากคมดาบที่พยายามฟาดฟันมายังเธอ
เพียงแค่โบกเล็กน้อยก็เกิดเป็นลมกรรโชกแรงทำเอาร่างของฮันเตอร์บางคนเกือบปลิวไปชนอาคาร
เธอยืนนิ่ง
เตรียมโบกพัดเพื่อสู้ต่อ ทว่าดวงตาสีแดงฉานกลับเริ่มพร่าเลือนเพราะบางอย่าง
ร่างกายของเธอหนักอึ้งจนแทบจะล้มทรุดอยู่กับพื้น
ความวิงเวียนศีรษะอันไร้ที่มาทำให้เธอรู้สึกพะอืดพะอมเสียเหลือเกิน
ใบหน้างามพิลาศพยายามเงยขึ้นมองคนที่น่าจะเป็นต้นเหตุ
นิโคลัสไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นอีกต่อไปแล้ว
เขาขยับเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆ เขาก้มหน้าลงต่ำ และด้วยเงาของผมสีน้ำเงินเข้มทำให้เธอมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าเช่นไรยามมองมาที่เธอ
“อาหารที่เจ้าทำ..
เจ้าใส่อะไรลงไป” เธอถามเสียงต่ำ
ใบหน้างดงามบิดเบี้ยวด้วยไฟแห่งโทสะที่กำลังจะเผาผลาญร่างและจิตใจของเธอจนมอดไหม้
มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเล็บที่งอกยาวทะลุฝ่ามือบางของตัวเองไปอย่างน่าหวาดเสียว
เลือดสีแดงฉานอาบชุ่มมือคู่นั้น
ควีเนตต้าค่อยๆหยัดกายลุกขึ้นตอบโต้การโจมตีของเหล่าฮันเตอร์อย่างยากลำบาก
เธอดีดตัวขึ้นจากพื้นไปยืนบนหลังคาอีกครั้ง
หลับตาลงเพื่อเพ่งสมาธิ ต้องการที่จะหลุดพ้นจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
เธออยากจะหายตัวไปที่ไหนซักแห่ง ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมา—
สถานที่ที่เธอหายตัวมากลับเป็นที่ตั้งขององค์กรฮันเตอร์สาขาโมลันเทียที่เธอกับนิโคลัสพบเจอกันเป็นครั้งแรก
เธอมองสถานที่แห่งนี้อย่างเงียบงัน
อา
นี่มันช่างน่าบัดซบเสียจริงๆ
หลังจากนี้น่าจะไม่ได้มาอัพวันละสองตอนแล้วนะคะ อาจจะเป็นวันละตอนไม่ก็วันเว้นวัน พอดีตอนที่สต็อกไว้ใกล้หมดแล้ว แหะ
สำหรับใครก็ตามที่อยากทุบตีนิโคลัส.. ผายมือค่ะ เชิญเลย ตีให้ก้นลาย!!!
ปล. อีกเช่นเคย ถ้าพบคำผิดหรือประโยคไหนดูแปลกๆไม่เข้ากันก็ทักได้นะคะ เผื่อเราไม่ถี่ถ้วนพอ ;---;
ปล.2 พรุ่งนี้น้องๆคนไหนเปิดเทอมแล้วก็สู้ๆนะคะ ส่วนเรายังไม่เปิด กร๊าก(?)
#ใครปีนเตียงราชินี
ความคิดเห็น