คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Canival 04 :: The Strongest Guardian
หลังจากการซ้อมแข่งบาสกันเมื่อวาน
มันทำให้พวกเขาและกลุ่มเพื่อนของสึนะโยชิสนิทกันอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะเรียวเฮและยามาโมโตะ สองคนนั้นเป็นนักกีฬา
มันทำให้พวกเขาสามารถพูดคุยเรื่องกีฬาแต่ละอย่างโดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นบาสเท่านั้นได้ทั้งวันทั้งคืน
อย่างเช่นเมื่อวานที่ทั้งคู่ไปนอนห้องเดียวกับพวกฮิวงะ
แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมในระดับหนึ่ง
คุยกันถูกคอจนแทบไม่ได้นอน
นี่คือคำบอกเล่าของฟุริฮาตะที่พักอยู่ห้องนั้นด้วยเช่นกัน
วันนี้เป็นวันเสาร์
พวกเขาจึงไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่าการนอนอืดอยู่บนเตียง
บางคนก็ไปซ้อมบาสที่โรงยิมเพราะกลัวว่าฝีมือจะขึ้นสนิม
ในขณะที่บางคนที่บ้ากีฬามากๆอย่างอาโอมิเนะและคิเสะกลับตอบรับคำชวนการไปวิ่งรอบเมืองช่วงเช้าของผู้พิทักษ์อรุณแห่งวองโกเล่เสียอย่างนั้น
ก๊อกๆ
มิโดริมะเดินไปเปิดประตูตรงห้องรับแขก
ก่อนจะพบกับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลฟู่ฟ่องซึ่งรับหน้าที่เป็นคนดูแลพวกเขากำลังยืนยิ้มแป้นอยู่หน้าประตู
ข้างกายเจ้าตัวมีชายตาสองสีเจ้าของผมทรงสับปะรดและหญิงสาวผู้มีผมทรงเดียวกันขนาบข้าง
“มีอะไรเหรอซาวาดะ”
“แหะ
คือว่า— ขอเข้าไปหน่อยได้มั้ย?”
“อ้อ”
มิโดริมะทำหน้าเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ ก่อนจะเปิดประตูให้บุคคลทั้งสามเข้ามา
“เข้ามาสิ”
สามหน่อซึ่งมารบกวนห้องของนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มีอายุพอๆกันหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาสีเทาอ่อนซึ่งตั้งอยู่กลางห้องรับแขก
ในโซนหลังบาร์ซึ่งเป็นห้องครัวขนาดย่อมมีคุโรโกะและอาคาชิกำลังช่วยกันชงกาแฟให้พวกเขาเพื่อเป็นการรับแขก
ในขณะที่มุราซากิบาระนั้นกำลังนอนเอื่อยอยู่ในห้องนอนของตัวเองซึ่งเปิดประตูทิ้งเอาไว้
“หืม
แล้วอีกสองคนล่ะครับ คุฟุฟุ”
“หมายถึงคิเสะคุงกับอาโอมิเนะคุงสินะครับ
เห็นว่ายามาโมโตะกับรุ่นพี่ซาซางาวะชวนไปวิ่งรอบโรงเรียนน่ะ” คุโรโกะว่าก่อนวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะรับแขกทรงสี่เหลี่ยม
นัยน์ตาสีฟ้าอะความารีนมองหน้าเพื่อนร่วมห้องอย่างสึนะโยชิซึ่งกำลังมีสีหน้าครุ่นคิด
“มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“อ้อ—
“ เด็กหนุ่มส่ายหน้า “ไม่มีอะไรมากหรอก แค่คิดว่าจะชวนไปเยี่ยมชมศาลเจ้านามิโมริน่ะ
มาอยู่เมืองนี้อย่างน้อยก็ควรไปซักครั้ง”
“เห”
ชายหนุ่มผมแดงผู้มีฉายาเป็นถึงจักรพรรดิแห่งราคุซันลากเสียงด้วยความสนใจ
เขาอ้อมมาทางด้านหลังโซฟาก่อนหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาอีกตัวที่อยู่ตรงข้ามกับเด็กหนุ่มผมน้ำตาล
นัยน์ตาสองสีเป็นประกายระยับ
“ฉันค่อนข้างสนใจอะไรพวกนี้น่ะ
ไปด้วยกันมั้ย เท็ตสึยะ ชินทาโร่”
“ไม่เอาล่ะ
วันนี้ดวงราศีกรกฎไม่ถูกกับศาลเจ้า ฉันขอบาย”
มือชู้ตอันดับหนึ่งแห่งรุ่นปาฏิหาริย์ปฏิเสธแทบจะในทันที
ในหัวก็นึกย้อนไปถึงคำทำนายของรายการโอฮาอาสะเมื่อเช้า
แขนแกร่งหยิบยางมัดผมสีชมพูขึ้นมาคล้องไว้ที่ข้อมือ
ท่ามกลางสายตาที่มองมายังเขาเหมือนเขาเป็นตัวประหลาดของชายผู้ทำผมทรงสับปะรด
“นั่นอะไรเหรอคะ?” คนที่ถามไม่ใช่มุคุโร่ แต่เป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องนี้
โคลมเอียงคอมองด้วยความสงสัย
นัยน์ตาข้างเดียวที่ไม่ได้ถูกปิดด้วยผ้าปิดตานั้นหลุบตาต่ำลงมองยางมัดผมอย่างสนใจ
“ลักกี้ไอเทมของราศีกรกฎน่ะ”
“ฉันมีอยู่เยอะเลย
สนใจมั้ยคะ?” เธอเปิดกระเป๋าสะพายออก
เผยให้เห็นยางมัดผมหลากสีซึ่งถูกบรรจุอยู่ในถุงเล็กๆ
มิโดริมะแสร้งดันแว่นขึ้นเหมือนไม่สนใจตามประสาคนปากแข็ง
นัยน์ตาสีเขียวเหล่มองไปทางอื่น
“ก็ไม่ได้สนใจ
แต่ถ้าให้— ฉันจะรับไว้แล้วกัน”
“จริงๆก็คือมิโดชินอยากได้ใจจะขาด
แค่วางฟอร์มน่ะ”
มุราซากิบาระซึ่งเดินออกมาจากห้องนอนตัวเองเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบพูดเสียงยาน
ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงนั่งข้างอาคาชิ
(เนื่องจากที่นั่งข้างคุโรโกะมีอาคาชิกับมิโดริมะขนาบข้างอยู่แล้ว)
“ฉันไม่ได้ซึนเดเระ!!”
“อา
ฉันยังไม่ได้พูดคำนั้นออกมาเลยนะมิโดชิน..”
“!!!!”
ชายหนุ่มสวมแว่นที่พึ่งรู้ตัวว่าตัวเองปล่อยไก่ตัวโตออกมาเสียแล้วหน้าขึ้นสี
เหลือบมองไปยังคุโรโกะก็เห็นเจ้าตัวแอบหันหน้าไปทางอื่นเพื่อกลั้นขำ
ไอการทำให้คนที่ตัวเองชอบยิ้มหรือหัวเราะได้มันก็ดีอยู่หรอก แต่แบบ..
ขายขี้หน้าโคตรๆ!
“เอาเป็นว่าพวกเราไป แต่ขอเวลาเตรียมตัวหน่อยนะ” อาคาชิหันมาตอบสึนะ
ถึงแม้ว่ามิโดริมะจะไม่อยากไป..แต่เขาคิดว่าเขาสามารถลากเจ้าตัวไปด้วยกันได้
ส่วนคุโรโกะกับมุราซากิบาระก็คงไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่
สึนะหันมายิ้มให้พวกเขา
“งั้นฉันไปชวนคนอื่นๆก่อนนะ เดี๋ยวเจอกันที่ชั้นล่างเลย”
หลังจากรู้จักกันมา 3 ถึง 4 วัน พวกเขาก็สนิทกันขึ้นมาก
จนตอนนี้อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดกับเขาด้วยสรรพนามแบบเป็นทางการนั่นแล้ว
“โอเคครับ”
สิ้นการตอบกลับของคุโรโกะ เด็กหนุ่มผมน้ำตาลและเพื่อนอีก 2 คนก็เดินออกไปจากห้อง
กัปตันทีมราคุซันหันมามองรูมเมทของตนด้วยสายตาอ่านยาก
“พวกนายจะไปกับฉันใช่มั้ย?”
“เฮ้อ—
นายตอบรับไปขนาดนั้นแล้ว จะมาถามอะไรฉันเอาตอนนี้อาคาชิ”
“ผมไปอยู่แล้วล่ะครับ”
“ถ้าคุโรชินไปฉันก็ไป”
อาคาชิคลี่ยิ้มร้ายกาจ
“ฉันนึกอยู่แล้วว่าพวกนายต้องพูดแบบนี้”
การเดินทางครั้งนี้มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น
อาจจะเพราะคนส่วนใหญ่คงไม่ชื่นชอบการตั้งขึ้นบันไดเพื่อไปยังศาลเจ้าที่ตั้งอยู่บนภูเขานัก
นอกจากสึนะ มุคุโร่ โคลม และซาซางาวะ เคียวโกะ น้องสาวของเรียวเฮแล้ว ก็มีกลุ่มนักเรียนแลกเปลี่ยนอีกประมาณ
10 คน ซึ่งพวกเขาล้วนเป็นคนที่สึนะพอจะสนิทด้วยในระดับหนึ่ง มีทั้งคุโรโกะ อาคาชิ
มิโดริมะ มุราซากิบาระ ฮิมุโระ ฮิวงะ ทาคาโอะ ริโกะ โมโมอิ แล้วก็ฮายามะ
โคทาโร่ หนึ่งในสมาชิกทีมบาสราคุซัน
จริงๆแล้วมีอิซึกิอีกคนที่ดั้นด้นจะมาให้ได้
น่าเสียดายที่เจ้าตัวท้องเสียกะทันหัน
สุดท้ายก็ต้องนอนพักอยู่ที่หอโดยมีมิโตเบะและฟุริฮาตะคอยดูแล
“เขาจะไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ยคะ”
เคียวโกะหันไปถามโค้ชสาวของทีมด้วยความเป็นห่วง
หญิงสาวโบกไม้โบกมือไปมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ฮ่าๆๆ
อย่างหมอนั่นไม่ได้ตายง่ายๆหรอก”
“แต่เขาดูท้องเสียหนักอยู่นะ”
“ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก
หมอนั่นมันดูแลตัวเองได้อยู่แล้วล่ะ”
โค้ชสาวปีสามหัวเราะร่วนราวกับเห็นมันเป็นเรื่องตลก
ในขณะที่คุโรโกะและฮิวงะซึ่งรู้ว่าต้นเหตุของอาการท้องเสียของผู้มีอีเกิ้ลอายแห่งทีมเซย์รินเป็นฝีมือใครก็ได้แต่หน้าซีด
ที่หมอนั่นเป็นแบบนั้นก็ฝีมือเธอไม่ใช่เรอะ
กัปตันหนุ่มแห่งทีมเซย์รินคิดในใจ
แต่ก็นะ
ใครจะไปคิดว่าอาหารหน้าตารับประทานนั่นจะเป็นฝีมือของริโกะ
ก็เกือบชิมไปแล้ว
แต่พอเห็นสภาพอิซึกิก็ยั้งมือไว้ได้ทัน
อาการมาทันทีที่อาหารลงถึงกระเพาะ
แค่คิดก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบไปทั้งตัว
สึนะโยชิและมุคุโร่ที่อยู่ในเหตุการณ์การท้องเสียกะทันหันของรุ่นพี่คนนั้นยิ้มค้าง
ตั้งปณิธานไว้ในใจว่าจะไม่มีวันแตะต้องอาหารที่โค้ชสาวคนนั้นทำเป็นอันขาด
การเดินทางมายังศาลเจ้านั้นคุ้มค่ากว่าที่พวกเขาคิดไว้
นั่นคงเพราะศาลเจ้าแห่งนี้ถูกทำนุบำรุงและซ่อมแซมจนสวยงามดูใหม่เอี่ยม
และเนื่องจากมันอยู่บนเขา
ทำให้เมื่อมองลงไปด้านล่างก็สามารถเห็นวิวของเมืองนามิโมริอันแสนสงบสุขได้อย่างทั่วถึง
น่าเสียดาย
หากได้มาดูเวลาพระอาทิตย์ตกดินคงจะสวยไม่น้อย
“ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดที่หนึ่งของนามิโมริครับ
คนนิยมมากันมากช่วง 6 โมงเย็น แต่วิวตอนเช้าแบบนี้ก็สวยเหมือนกัน”
สึนะโยชิอธิบายด้วยน้ำเสียงทุ้มหวานน่าฟัง
เจ้าตัวผายมือไปยังตัวศาลเจ้าด้านในซึ่งดูใหม่กว่า 2 ปีที่แล้วมาก
นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ทอดสายตามองพื้นที่รอบๆ
ความทรงจำมากมายตอนอยู่มัธยมต้นหลั่งไหลเข้ามาในหัว
“แล้วก็ศาลเจ้านั่น
ว่ากันว่าขึ้นชื่อเรื่องความรักและการเรียน ถ้าอยากขอพรก็เชิญได้เลยนะครับ”
หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มแยกย้ายกันไปดูส่วนต่างๆของศาลเจ้าและภูเขาลูกนี้
สึนะเดินกับกลุ่มอาคาชิ ในขณะที่มุคุโร่และโคลมเดินอยู่กับทาคาโอะ ฮิมุโระ ฮิวงะ
แล้วก็โคทาโร่ และเคียวโกะเดินอยู่กับโมโมอิและริโกะ
“แล้วพวกคุโรโกะคุงไม่ไปขอพรกันเหรอ”
เด็กหนุ่มผมน้ำตาลมองด้วยความฉงน
“ผมอยากชมวิวก่อนน่ะครับ”
คุโรโกะเป็นคนตอบ
“ส่วนพวกฉันก็ตามใจเท็ตสึยะ”
“เห..”
ศึกชิงนางจริงๆนั่นล่ะ
บอสหนุ่มของวองโกเล่คิดในใจ
“จะว่าไป
เวลากลางคืนก็น่าจะวิวสวยนี่นา เนอะอาคาชิน”
มุราซากิบาระว่าพลางมองวิวของเมืองนามิโมริที่ปรากฎแก่สายตา
อาคาชิพยักหน้าเล็กน้อย ถ้าเป็นในเวลากลางคืนที่มีทั้งแสงดาวและแสงไฟจากเมืองเบื้องล่าง
วิวในเวลานั้นคงจะสวยอย่างหาได้ยากเลยทีเดียว
“พวกนายจะมาศาลเจ้าเวลานั้นกันรึไง”
มิโดริมะขมวดคิ้ว
“ทำไมเหรอชินทาโร่
หรือนายกลัวผี?”
“ผีไม่มีจริงอาคาชิ”
“อ้อ
เหรอครับ” คุโรโกะว่าพลางลากเสียงยาวเหมือนกำลังหยอกล้อ
ชายหนุ่มผมเขียวยกมือขึ้นปิดใบหน้า
เจ้าตัวคงจะมองเขาออกจนทะลุปรุโปร่งว่าแท้จริงแล้วส่วนลึกๆในใจของเขาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อเรื่องผีไปเสียทีเดียว
“จริงแล้ววิวเวลานั้นก็สวยจริงๆนั่นล่ะ
แต่ฉันไม่แนะนำหรอกนะ” สึนะคลี่ยิ้มบาง
คำพูดนั้นทำให้หนุ่มนักบาสผมหลากสีหันมามองเขาด้วยความฉงน
“ที่นี่เวลากลางคืนค่อนข้างอันตรายน่ะ
มันเปลี่ยว แถมยังอยู่บนภูเขา
ถ้าถูกปล้นหรือถูกทำร้ายก็คงไม่มีใครบังเอิญผ่านมาช่วยหรอก”
“ที่ซาวาดะคุงพูดก็มีเหตุผลอยู่นะครับ”
เด็กหนุ่มผมฟ้ามีสีหน้าครุ่นคิด
เจ้าตัวกำลังคิดตามคำเตือนของเพื่อนใหม่ซึ่งรู้จักเมืองนี้ดีกว่าพวกเขา
เช่นเดียวกับอาคาชิและมิโดริมะที่กำลังคิดตามเช่นกัน
ในขณะที่คนตัวสูงใหญ่อีกคนนั้นกลับเอาแต่หยิบขนมเข้าปากโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว
Rrrrr
เด็กหนุ่มผมน้ำตาลชะงักไปเมื่อโทรศัพท์ของตนซึ่งถูกเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงสั่น
เขาหยิบมันขึ้นมาก่อนมองชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจออย่างชั่งใจ
นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้มองพวกเขาเล็กน้อย
“ฉันขอตัวก่อนนะ
เชิญพวกนายตามสบายเลย”
หลังจากได้รับการพยักหน้าเป็นการตอบกลับแล้ว
เด็กหนุ่มผมน้ำตาลผู้มีตำแหน่งเป็นถึงนภาแห่งวองโกเล่ก็ปลีกตัวออกมาอยู่ในป่าซึ่งเป็นจุดอับคน
ไม่ค่อยมีใครสนใจมาเดินที่นี่นัก เด็กหนุ่มกดรับสายก่อนแนบมันกับหู
“ไงบาจิล”
[ท่านซาวาดะ ข่าวร้ายครับ]
“ข่าวร้าย?”
[เกี่ยวกับพวกอันธพาลที่ท่านโกคุเดระไปอัดจนเละเมื่อวันก่อนน่ะครับ คือ—
ดูเหมือนว่าพวกมันจะเกี่ยวข้องกับยากูซ่าที่พวกผู้อาวุโสหมายหัวอยู่]
นภาแห่งวองโกเล่ขมวดคิ้ว “แล้วพวกตาแก่นั่นว่าไง”
[พวกเขาบอกให้คุณกำจัดทิ้ง..ครับ]
“ให้ตายสิ บอกพวกนั้นว่าเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
[รับทราบครับท่านซาวาดะ ข้อมูลของเหยื่อผมจะส่งเมลล์ไปให้นะครับ]
“เข้าใจแล้ว บาย”
ตื้ด—
เขากดตัดสายทันทีที่บอกลาคนปลายสายเรียบร้อย
นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ทอประกายวาวโรจน์
แม้จะรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกขัดช่วงเวลาอันสงบสุขที่สุดแสนจะน้อยนิด
แต่การลุกขึ้นมาต่อต้านก็ไม่ใช่วิถีทางที่ฉลาดนัก
พวกตาแก่หัวโบราณนั่นน่าเบื่อเป็นบ้า
สวบ
ในตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวด้านหลัง
มือเรียวเอื้อมไปจับมีดสั้นซึ่งถูกซ่อนอยู่ในกระเป๋าของตัวเองไว้แน่น
เมื่อสัมผัสได้ว่าผู้มาใหม่นั้นคงอยู่ใกล้ตนเพียงแค่เอื้อม ร่างเล็กก็หมุนตัวพร้อมกับเหวี่ยงของมีคมในมือเพื่อป้องกันตัวเองตามสัญชาตญาณทันที
“โอ๊ะ
อันตรายๆ”
รุ่นพี่ซาซางาวะ?
“รุ่นพี่ซาซางาวะ?” ผู้พิทักษ์อรุณหนุ่มแห่งวองโกเล่ยิ้มร่าอย่างสดใส
ทันทีที่เห็นว่าเป็นใครเด็กหนุ่มผู้เป็นนภาก็ปล่อยมีดออกจากมือ เช่นเดียวกับที่ร่างสูงปล่อยข้อมือของนายเหนือหัวของตนทันที
“เรียกคุณพี่เหมือนเดิมก็ได้”
“อ้อ
ขอโทษครับ พอดีอยู่กับพวกเขานานเลยติดเรียกแบบนั้นน่ะ”
พวกเขาที่ว่าก็หมายถึงพวกนักบาสพวกนั้นนั่นเอง เพราะเวลาอยู่ที่โรงเรียนจะทำให้ใครรู้ว่าสถานะของพวกเขาเป็นเจ้านายกับลูกน้องไม่ได้เด็ดขาด
ดังนั้นพวกเขาจึงกลับมาแทนตัวเองเหมือนตอนม.ต้นอีกครั้ง
แต่ตอนที่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วยเหมือนตอนนี้..พวกเขาก็จะกลับมาพูดจากันอย่างสนิทสนมโดยไม่มีสถานะรุ่นพี่รุ่นน้องเข้ามาเกี่ยว
“ว่าแต่มีธุระอะไรเหรอครับ? ไม่ใช่ว่าตอนนี้คุณพี่ต้องไปวิ่งรอบเมืองกับยามาโมโตะ อาโอมิเนะคุงแล้วก็คิเสะคุงเหรอ?”
“ก็นะ
พอดีมีคนส่งข่าวน่าสนุกมาให้น่ะ เลยคิดว่าเอามาบอกนายก่อนน่าจะดีกว่า”
“ข่าวน่าสนุก?”
ผู้พิทักษ์อรุณแห่งวองโกเล่คลี่ยิ้ม
มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ดูสดใสเหมือนพระอาทิตย์ที่เจิดจรัสเช่นทุกที
มันเป็นรอยยิ้มที่เขาไม่คิดว่าคนอย่างเจ้าตัวจะยิ้มออกมาด้วยซ้ำ
แต่อย่างว่า..
เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน
“ไอหมอนั่น—
ฮิบาริกลับมาแล้วนะ”
ฉัวะ!!
มีดสั้นสีเงินแทงทะลุลำคอของชายหนุ่มผู้โชคร้ายอย่างแม่นยำ
ท่ามกลางความมืดมิดในยามเที่ยงคืนของนามิโมริ
แสงจันทร์สาดส่องลงมายังหยาดเลือดที่กระเซ็นเปรอะเปื้อนพื้นตัวหนอนในบริเวณตีนเขาหน้าศาลเจ้านามิโมริ
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของผู้ก่อเหตุมองร่างไร้ชีวิตซึ่งแน่นิ่งอยู่แทบเท้าด้วยสายตาเรียบเฉย
ไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง
ไม่มีแม้แต่เสียงร้องขอชีวิต
ร่างไร้ลมหายใจของชายฉกรรจ์ทั้ง
5 ล้วนเป็นคนๆเดียวกับที่วิ่งไล่โกคุเดระเมื่อวันก่อน
เขาสะบัดเลือดออกจากมีดสั้นใบโปรดก่อนเก็บมันเข้ากระเป๋า เดินเข้าไปใกล้ชายผู้โชคร้ายก่อนย่อตัวลงนั่งข้างๆพร้อมกับใช้มือที่แสนเรียวบางของตนพลิกหน้าของชายคนนั้นไปมา
“โทษตัวเองซะเถอะที่ทำให้ทุกอย่างมันกลายมาเป็นแบบนี้”
เด็กหนุ่มพูดเสียงเบาราวกับกำลังกระซิบ
นัยน์ตาคมฉายแววอ่านยากในขณะที่เหลือบมองร่างโชกเลือดของผู้ร้ายซึ่งล้วนถูกตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ลำคอทุกคน
มันคือวิชาการลอบฆ่าที่เขาฝึกมากับรีบอร์น
ต้องรวดเร็วและแม่นยำ
ต้องแข็งแกร่งและไม่มีความลังเล
ถ้าคนพวกนี้เป็นแค่อันธพาลที่วิ่งไล่ยิกโกคุเดระเพราะถูกเดินชนก็คงไม่ต้องมาพบจุดจบแบบนี้
มันควรจะจบไปตั้งแต่ตอนที่ถูกผู้พิทักษ์วายุของเขาจัดการแล้ว แต่
เพราะคนพวกนี้มันไม่เจียมตัว
สายของเขาส่งข่าวรายงานมาว่าพวกนี้เป็นอันธพาลในสังกัดของยากูซ่าที่ต่อต้านวองโกเล่แฟมิลี่
และพวกมันกำลังจะไปขอกำลังสนับสนุนจากยากูซ่าพวกนั้น
จริงๆก็เป็นแค่กลุ่มยากูซ่านอกคอก ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือมีกำลังพลมากอะไร
เขาจะไม่ใส่ใจพวกมันก็ได้ แต่ว่า—
พวกตาแก่งี่เง่—
หมายถึง
พวกผู้อาวุโสในวองโกเล่ต้องการให้กำจัดกลุ่มยากูซ่านั่นไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
พวกนั้นคงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟที่วองโกเล่ถูกหัวหน้าของพวกมันหยามหน้าเมื่อเดือนก่อน
‘ฉันบอกให้กำจัดก็ต้องกำจัดสิ!!’
เสียงของหนึ่งในผู้อาวุโสพวกนั้นดังขึ้นมาในความคิด
ร่างเล็กแค่นหัวเราะในลำคอ รู้สึกหงุดหงิดอย่างน่าประหลาด
แต่ก็ไม่คิดจะขัดสิ่งที่ตาแก่พวกนั้นพูดแต่อย่างใด
รู้แล้วล่ะน่า
จัดการให้แล้วนี่ไง
คนแก่นี่ต้องหัวร้อนง่ายทุกคนเลยรึเปล่านะ
เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น
นัยน์ตาสีน้ำตาลหม่นแสงลงพลางมองไปยังร่างไร้วิญญาณพวกนั้นอย่างเหม่อลอย เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้
อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่คิดที่จะหยิบมีดหรือปืนขึ้นมาป้องกันตัวเองเผื่อในกรณีฉุกเฉินแต่อย่างใด
เพราะเขารู้อยู่แล้ว
รู้อยู่แล้วว่าใครที่กำลังเดินเข้ามา
“ผมนึกว่าคุณจะกลับมาถึงตั้งแต่เที่ยงซะอีก
คุณช้านะครับ”
ชายหนุ่มร่างสูงผู้มีกลุ่มผมสีดำราวกับปีกอีกายืนซ้อนอยู่ด้านหลังเขา
แม้จะไม่ได้หันหลังกลับไปมอง แต่ร่างบางก็รู้ว่านัยน์ตาสีรัตติกาลคู่นั้นคงกำลังจ้องมองเขาอยู่
มือใหญ่สัมผัสลงบนไหล่เล็กของผู้เป็นนภาแห่งวองโกเล่แผ่วเบา
“คุณคิดว่าอิตาลีกับญี่ปุ่นมันใกล้กันมากรึไง
คุณดูโง่ลงนะสึนะโยชิ”
และนี่คือประโยคแรกที่
ฮิบาริ เคียวยะ เอ่ยกับเขาหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานเกือบหนึ่งเดือน
----------|----------|----------|----------|----------
ท่านฮิไม่อ่อนโยนเลย!!
สงสัยหงุดหงิดน่ะค่ะ
ชื่อบทก็บอกอยู่ว่าเป็นตอนของพี่แก แต่โผล่มาแค่ประโยคเดียว— /โดนเตะ
ค่าตัวท่านฮิเค้าแพงค่ะ
(ฮา)
เจอกันอีกทีวันเสาร์นะคะ
เม้นซักนิดจิตแจ่มใสค่า เลิฟๆ
ความคิดเห็น