คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Turn 02 – องค์หญิง
หญิงสาวดีดตัวลอยขึ้นจากพื้นพสุธาไปยืนอยู่บนหลังคาของอาคารเพียงหลังเดียวที่ยังเป็นรูปเป็นร่างอย่างนวยนาด
ดวงตาสีแดงราวกับโลหิตกวาดมองลานกว้างขององค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์ที่บัดนี้เหลือเพียงซากอาคารที่ถล่มลงมาเท่านั้น ท่าทางเชื่องช้าแต่สง่างามของเธอชวนให้นึกถึงสัตว์จำพวกแมวอย่างเสือและสิงโตที่ลืมตาตื่นจากการจำศีล
ซากศพของมนุษย์และแวมไพร์กระจัดกระจายเกลื่อนจนนึกอยากจะเบ้หน้า
แม้กลิ่นเลือดจะหอมรัญจวน
แต่สภาพศพที่ไม่น่ามองนั่นกลับทำให้อาการกระหายของเธอหายไปอย่างรวดเร็ว
เลือดไม่กี่หยดไม่อาจดับกระหายได้นานนัก
แต่จะให้ไปดื่มเลือดเอาจากซากศพพวกเจ้าหน้าที่
ก็รู้สึกว่ามันออกจะน่าสะอิดสะเอียนไปเสียหน่อย บางสิ่งแหวกอากาศจนเกิดเสียงต้านลมพุ่งทะลวงมาหยุดอยู่ตรงหน้า
เธอมองมันด้วยสายตาที่ค่อนไปทางแข็งกร้าว
เพราะบุคคลที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก็คือแวมไพร์สาวน้อยโลลิที่พึ่งถูกเวทย์สะท้อนกระเด็นไปเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อน
“แวมไพร์..”
ควีเนตต้าพึมพำ หลุบตาต่ำมองเด็กสาวที่ตัวเล็กกว่าด้วยสายตาว่างเปล่า
“เจ้าเป็นใคร”
เด็กสาวผู้มีส่วนสูงไม่เกิน 150 เซนติเมตรถามเสียงต่ำ
ดวงตากลมโตคู่นั้นมองเธออย่างระมัดระวังยิ่ง
“ไม่รู้”
เธอไม่คิดบอกชื่ออีกฝ่าย อาจจะเพราะสัญชาตญาณหรืออะไรก็ตามแต่
“ไม่รู้!? นี่เจ้าเห็นข้าเป็นเพื่อนเล่นรึไง!?” เด็กสาวร่างเล็กดูโกรธจัด
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่พุ่งมาโจมตีโดยตรง
คงเพราะพอรู้ว่าฝีมือของพวกเธอมันต่างชั้นกันขนาดไหน
ทันใดนั้นเองที่แวมไพร์หนุ่มก็โผล่มายืนข้างเด็กสาว เขามองเธอด้วยสายตาตำหนิ
“ช่างเรื่องผู้หญิงคนนี้ก่อน
ไลล่า เราต้องตามหาคฑา”
“เอริก..!!”
“ไลล่า”
เด็กสาวโลลิที่ชื่อไลล่าดูไม่ชอบใจนัก
แต่สุดท้ายก็ดีดตัวกลางอากาศแล้วหายไปจากตรงหน้าเธอ
ทิ้งไว้เพียงชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่เหลือบตามองเธอเพียงเล็กน้อย
คอของเขายังมีรอยมือสีแดงเถือกและบาดแผลจากกรงเล็บของเธออยู่
เขาค้อมศีรษะลงพอเป็นมารยาทก่อนจะก้าวขาทะยานออกไป
คฑางั้นเหรอ..
“รีบตามหาคฑาของท่านกลอเรีย!”
“ทำลายองค์กรนี่ให้หมด”
อ้อ
“พวกมันคงบุกมาที่นี่เพราะคิดว่าที่นี่ซ่อนคฑาอะไรนั่นเอาไว้สินะ”
เธอพึมพำก่อนเหินลงมายืนอยู่บนพื้นตามปกติ ฝนหยุดตก เมฆฝนเคลื่อนลอยไปไกล
แต่กลิ่นอายของสายฝนยังคงอยู่ เธอเดินไปหยุดอยู่ตรงซากอาคารที่ภายใต้น่าจะมีร่างของนิโคลัสอยู่
แม้จะไม่ค่อยมั่นใจนัก..แต่เธอคิดว่าอีกฝ่ายยังไม่ตาย
เพียงแค่นึกถึงใบหน้ายียวนนั่น
เออ เขาคงไม่ตายง่ายๆหรอก แต่ถ้าอยู่ใต้ซากตึกนานกว่านี้ก็ไม่แน่
คิดได้ดังนั้นจึงสะบัดมือทีหนึ่งอย่างเชื่องช้า
เพียงครู่เดียวซากตึกก็คล้ายถูกลมพัดอย่างแรงจนกระจัดกระจาย
เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มที่นอนหายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น
ดวงตาสีแดงฉานกวาดมองร่างนั้นอย่างถี่ถ้วน ขาและกระดูกซี่โครงหัก..
เธอเดินเข้าไปใกล้แล้วนั่งยองข้างๆร่างนั้น
มือก็ควานหากิ่งไม้ก่อนนำมันมาจิ้มเพื่อดูว่าอีกฝ่ายยังรู้สึกตัวอยู่รึเปล่า
“ตายยังน่ะ”
เธอถาม แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ
ทันใดนั้นเองที่เธอได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายและเสียงเอะอะที่ดังขึ้นจากด้านนอก
กลิ่นเลือดแบบนี้ พวกแวมไพร์มาเพิ่มกันอีกแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงพยุงร่างของนิโคลัสขึ้น
มือเรียวเกลี่ยเส้นผมสีน้ำเงินเข้มที่คลอเคลียใบหน้าของอีกฝ่าย
ที่เธอสู้กับพวกนั้นได้เพราะนิโคลัสพาเธอออกมาจากตู้ปลานั่น
ทำให้ร่างกายเธอสามารถปรับสภาพกับโลกภายนอกได้และค่อยๆกลับมามีเรี่ยวแรงในที่สุด
ไม่อยากคิดเลยว่าหากเขาปล่อยเธอไว้ในหลอดทดลองนั่น
แล้วพวกแวมไพร์มาพบเข้า..
เธอที่ไม่สามารถปรับสภาพตามอากาศภายนอกได้คงตายกลายเป็นซากอยู่ใต้ดิน
อย่างไรก็ตาม
นิโคลัสไม่ใช่คนดี..แม้เธอจะหลับ แต่เธอก็ได้ยินสิ่งที่เขาพูดกับเดวิด—
เพื่อนของเขา เขาบอกว่าจะไปช่วย แต่สุดท้ายเขาก็คิดจะหนี
ควีเนตต้ามองเขาอย่างชั่งใจ เธอเกลียดความวุ่นวาย แต่เขาก็เป็นผู้มีพระคุณ
สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจแบกเขาขึ้นหลัง
ใช้ความเร็วที่เหนือกว่าดีดตัวขึ้นฟ้าและเคลื่อนไหวไปตามหลังคาของอาคารบ้านเรือนเพื่อหาที่หลบภัยโดยเร็ว
สถานที่ที่เธอพานิโคลัสมาหลบซ่อนตัวเป็นสถานที่ที่เธอได้กลิ่นนิโคลัสเด่นชัดที่สุด
เธอคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นบ้านของเขา มันเป็นอาคารสองชั้นที่เงียบเหงาและว่างเปล่า
ไม่มีใครอยู่นอกจากห้องนอนและห้องต่างๆที่ถูกทิ้งไว้ให้ฝุ่นเกรอะ
ดูเหมือนนิโคลัสเองก็ไม่ได้กลับบ้านบ่อยนัก เธอวางอีกฝ่ายลงบนเตียงนอน
สวมฮู้ดคุมเส้นผมสีขาวประกายเงินของตัวเองเพื่อไม่ให้มันกลายเป็นจุดเด่น
ก่อนจะออกจากบ้านไปเพื่อตามหมอซักคนที่น่าจะสามารถรักษานิโคลัสได้
และถ้าถามว่าเธอใช้เงินของใคร
แน่นอนว่าเป็นเงินที่นิโคลัสเก็บไว้ในบ้านแบบมั่วๆ
(นึกสงสัยว่าเขาไม่กลัวโจรเข้ามาบ้านเลยรึไง แต่ก็ช่างเถอะ)
แพทย์ชายวัยกลางคนมารักษานิโคลัส
ใช้เวลาเพียง 3 วันเขาก็ฟื้น แม้ร่างกายจะยังไม่หายดี
แต่การที่เขาได้สตินั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆแล้ว
“เธอช่วยฉัน”
“อ่าห้ะ
ข้าช่วยภาระชิ้นโตอย่างเจ้า” เธอเว้นช่วงครู่หนึ่งคล้ายกำลังคิดคำพูด “ถือซะว่าทดแทนที่เจ้าช่วยข้าออกมาจากที่นั่นแล้วกัน”
ชายหนุ่มหน้าเหวอไปเล็กน้อย
เขาเกือบสะดุ้งขึ้นชี้หน้าเธอหากไม่ใช่เพราะอาการเจ็บปวดรวดร้าวนั่นรั้งร่างกายของเขาให้ติดเตียง
“คุณหนูตู้ปลา..เธอพูดได้?”
“ข้าพูดได้
อีกอย่างข้าไม่ใช่คุณหนูตู้ปลา” เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “ควีเนตต้า
นั่นชื่อของข้า”
เธอไม่ได้บอกนามสกุล
และก็ไม่มีความคิดที่จะบอก
“ควีเนตต้า..”
เสียงทุ้มต่ำทวนชื่อเธอ ใบหน้าเขามีร่องรอยของความแปลกใจอยู่เจ็ดส่วน
คงคาดไม่ถึงว่าเธอจะตัดสินใจช่วยชีวิตของเขา
ทั้งที่จริงๆควรจะทิ้งให้เขาตายอยู่ที่นั่นแล้วหนีเอาตัวรอด
ก่อนที่เขาจะเบิกตากว้างเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือร่างของควีเนตต้าที่ถูกบีบคอแล้วยกขึ้นสูงจนขาลอยจากพื้นด้วยแรงจากมือเพียงข้างเดียว
“แล้วพวกมันหายไปไหนแล้ว
พวกมันทำร้ายเธอมากรึเปล่า!?” นิโคลัสถามเสียงร้อนรน
ดวงตาสีฟ้าก็กวาดมองร่างเธออย่างพินิจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ถ้าทำได้เขาก็คงอยากลุกมาจับเธอหมุนๆเพื่อดูให้ทั่วเสียด้วยซ้ำ
“นิดหน่อย
แต่ก็..” เธอหลุบตามองทั่วตัว “หายแล้ว
ดูเหมือนพวกมันจะตามหาอะไรซักอย่างเลยบุกที่นั่น
ไม่ได้มีเวลามาสนใจข้ากับเจ้านักหรอก”
“งั้นก็ดีแล้ว”
นิโคลัสงึมงำในลำคอ เขาเหลือบมองหญิงสาวเจ้าของเรือนร่างสะโอดสะองที่นำผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆมาเช็ดตามแขนและไหล่ของเขา
ดูเหมือนเธอจะเป็นคนดูแลเขาตลอดระยะเวลาสามวันมานี้ เขาเป็นเด็กกำพร้า
แน่นอนว่าต้องไม่เคยได้รับการดูแลอย่างเอาใจใส่จากใครที่ไหน
อย่าว่าแต่มาคอยเช็ดตัวยามป่วยไข้ แค่คนคอยเตือนให้หาข้าวทานยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ
ดวงตาสีม่วงอัญมณีทอแสงอ่อนลง
“ขอบคุณ”
“ว่าอะไรนะ”
เขาไหวไหล่ก่อนจะตอบปฏิเสธว่าไม่มีอะไร
หารู้ไม่ว่าคำขอบคุณของเขาควีเนตต้าได้ยินชัดคล้ายมีคนมาบอกอยู่ที่ข้างหู
เธอเพียงถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจเท่านั้น
แต่เมื่อเห็นท่าทีไม่ยี่หระและใบหน้ายียวนของอีกฝ่ายก็ทำให้เธอต้องถอนหายใจอีกครั้ง
หมอนี่ขอบคุณเธองั้นเหรอ—
ทั้งที่เธอเกือบจะทิ้งให้หมอนี่ต้องตายอยู่ที่นั่นแล้วแท้ๆ
“ไม่เป็นไร”
หลังจากนั้นเธอและนิโคลัสก็อาศัยอยู่ในบ้านสองชั้นหลังนั้นด้วยกันเพียงลำพัง
โชคดีที่มันมีสองห้องนอน เธอเคยถามเหมือนกันว่าทั้งที่เขาก็อยู่ตัวคนเดียวแต่ทำไมถึงซื้อบ้านที่มีสองห้องนอนแบบนี้
แต่เขากลับตอบแค่ว่าห้องนอนอีกห้องมีไว้เผื่อเพื่อนที่ทำภารกิจร่วมกันมาพัก
ซึ่งตอนนี้เพื่อนที่ว่านั่นก็ลาโลกนี้ไปหมดแล้ว
ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้นนิโคลัสก็หายดีและขยับได้
เขาไม่ได้ออกจากบ้านและไม่คิดจะออกไปในเมื่อตอนนี้ทางองค์กรประกาศว่าเขาเป็นผู้ที่สูญหายจากการถล่มของแวมไพร์ในครั้งนั้น
ดังนั้นหน้าที่ในการจับจ่ายตลาดจึงเป็นของหญิงสาวที่ไม่ประสีประสาเรื่องอาหารการกินของมนุษย์
วัตถุดิบที่ซื้อมาจึงใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง อาหารที่นิโคลัสกินก็มีรสชาติไม่ซ้ำกันแม้แต่วันเดียว
นั่นเพราะควีเนตต้าไม่เคยได้ลองชิมมันก่อนนำไปให้เขา
แวมไพร์ไม่สามารถทานอาหารของมนุษย์ได้
นอกจากมันจะไม่มีสารอาหารแล้วบางอย่างยังให้โทษกับร่างกายเสียด้วย
ดังนั้นควีเนตต้าจึงทำเพียงดูสูตรแล้วลงมือทำตามเท่านั้น
ไม่ได้ชิมเข้าไปแต่อย่างใด บางครั้ง(หรือส่วนใหญ่)ที่ขี้เกียจ ก็แค่เทส่วนผสมลงในหม้อมั่วๆ ตั้งไฟ แล้วก็นำใส่จานให้นิโคลัสกิน จนพักหลังๆเมื่อนิโคลัสเริ่มหายดี
เขาถึงกับขออัญเชิญเธอออกไปจากห้องครัวและลงมือทำอาหารด้วยตัวเอง
“ข้าก็ไม่ได้ฝีมือแย่ขนาดนั้น”
เธอเถียง แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นสายตาเอือมระอาของชายหนุ่มตัวสูงกว่า “ใช่
เจ้าไม่ได้ฝีมือแย่ แต่เจ้าไม่มีฝีมือเลยต่างหาก”
“นี่..”
“ไปรอที่โต๊ะซะ
แล้วเดี๋ยวข้าจะเอาอาหารไปให้”
เธอสงบปากสงบคำแล้วยอมไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่โต๊ะแต่โดยดี
นิโคลัสคงพอเดาได้แต่แรกแล้วว่าเธอเป็นแวมไพร์ เพราะเธอไม่เคยทานอาหารร่วมกับเขา
ที่สำคัญหากเธอเป็นเพียงมนุษย์คงไม่มีชีวิตรอดถึงขั้นแบกผู้ชายตัวสูงอย่างเขากลับบ้านมาได้แบบนี้
แต่เขาก็ไม่ได้รู้ถึงนิสัยการกินของแวมไพร์
ดังนั้นอาหารที่อยู่ตรงหน้าของเธอจึงเป็น— เนื้อต้ม?
โป๊ก! “เฮ้ย! เขกหัวฉันทำไมเนี่ย”
“แวมไพร์ที่ไหนกินเนื้อต้ม พวกข้ากินได้แค่เลือด” เธออธิบายเสียงเรียบ นิโคลัสลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำเงินเข้มของตัวเองปอยๆพลางบ่นอุบอิบไม่ได้ศัพท์
เขามองเนื้อต้มที่อุตส่าห์เสียสละเงินอันน้อยนิดไปซื้อที่ตลาดมาอย่างเสียดาย
สำหรับนิโคลัส สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออำนาจและเงินตรา
ยัยบ้านี่ไม่รู้หรอกว่าการต้องควักเงินตัวเองจ่ายค่าอาหารให้คนอื่นมันยากเย็นแค่ไหน
ควีเนตต้ามองใบหน้ามุ่ยๆของอีกฝ่ายพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
ใช้ส้อมในมือจิ้มเนื้อนั่นเข้าปากอย่างเชื่องช้าพลางเคี้ยวกร้วมๆ
นิโคลัสที่เห็นเธอทานได้ก็แทบจะหุบยิ้มไว้ไม่อยู่ตักอาหารของตัวเองที่เป็นซุปหน้าตาน่ารับประทานเข้าปากบ้าง
นิโคลัสเป็นคนที่มีนิสัยค่อนข้างแปลกประหลาด
นอกจากที่เขาจะไม่เกรงกลัวทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเธอเป็นแวมไพร์ที่สามารถฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ
เขายังยีหัวเธอแถมแซวนู่นนี่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เรียกได้ว่าการอยู่ร่วมกันระหว่างเธอและเขาก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไรนัก
“นี่ๆ
แล้วดินแดนแวมไพร์เป็นแบบไหน เหมือนอาณาจักรมนุษย์ปะ”
นิโคลัสถามเธอในวันหนึ่ง เขาเท้าคางมอง ดวงตาฟ้าอ่อนฉายแววฉงนสงสัยอย่างจริงจัง
เธอมองท่าทีอยากรู้อยากเห็นอย่างเกียจคร้าน
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะสนใจในสิ่งที่ตนไม่เคยล่วงรู้
สำหรับมนุษย์—
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแวมไพร์นั้นแปลกประหลาดและลึบลับ
“ก็..”
ควีเนตต้าลากเสียง พยายามเค้นความทรงจำทั้งหมดที่หลงเหลืออยู่ออกมาอธิบายเป็นคำพูด
“องค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์ของเจ้าจัดระดับความแข็งแกร่งของแวมไพร์ออกเป็นหลายระดับ
ระดับต่ำสุดก็คือ F , E , D , C , B , A
, และ S ใช่มั้ยล่ะ?”
นิโคลัสพยักหน้ารับ
“ใช่ ฉันเดาเลยนะว่าเธอต้อง A ไม่ก็ S อืม คุณหนูตู้ปลาอย่างเธอก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่คิด”
เธอส่ายหน้าอย่างระอาใจกับสีหน้ายียวนนั่น
จิ้มหน้าผากเขาไปสองสามทีก่อนเอ่ยเสียงเฉื่อย “ลืมไอระดับบ้าบอที่มนุษย์นั่นสอนเจ้าซะ
ในความเป็นจริงในเผ่าพันธุ์แวมไพร์ไม่ได้มีการจัดระดับแบบนั้นขึ้นเลยซักนิด”
นิโคลัสขมวดคิ้วเป็นปมทันที
ควีเนตต้าทิ้งตัวลงนอนเหยียดขาบนโซฟา พลางอธิบายเสียงยานคางคล้ายคนพึ่งตื่น “แวมไพร์แบ่งได้ออกเป็น
6 ระดับ ที่มีพลังและอำนาจน้อยที่สุดก็คือแวมไพร์ที่ไม่ได้เป็นแวมไพร์แต่กำเนิด อาจจะถูกคำสาป
ไปทำพันธสัญญา หรือถูกแวมไพร์ชนชั้นสูงกัดจนมีสภาพเป็นแวมไพร์ อะไรก็ตามแต่
พวกนี้เป็นพวกที่มักเข้าไปยุ่มย่ามกับโลกมนุษย์ และเป็นพวกที่ก่อปัญหามากที่สุด
แวมไพร์ระดับ F ถึง D ก็คือแวมไพร์กลุ่มนี้
เพียงแต่พวกมนุษย์แบ่งระดับเอาเองตามความสามารถและความอันตรายของพวกมัน”
“ที่เหลือก็คือแวมไพร์ระดับชาวบ้านทั่วไป
แวมไพร์ระดับอัศวิน แวมไพร์ระดับขุนนาง แวมไพร์ระดับขุนนางตระกูลใหญ่ และราชวงศ์
ในความเป็นจริง
ข้ากล้าพูดเลยว่าแวมไพร์ส่วนใหญ่ค่อนข้างเกลียดความวุ่นวายและการสร้างปัญหา
พวกเขาจึงไม่ค่อยไปยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์มากนัก เจ้าอาจจะไม่ชอบใจ แต่เหตุผลของพวกเขาคือพวกเขามองว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำศักดิ์กว่าตัวเอง”
“ก็คือไม่อยากลดตัวไปยุ่ง
งี้เหรอ” นิโคลัสดูไม่ชอบใจนัก ถึงแม้เขาจะพยายามปกปิดมันแต่เธอก้รู้สึกได้
“ใช่
ส่วนแวมไพร์ระดับ A หรือ S ที่พวกฮันเตอร์เช่นเจ้ากลัวนักหนา ที่จริงแล้วมันก็เป็นเพียงแวมไพร์ระดับอัศวินหรือขุนนางเท่านั้น
ก็มีบ้างที่พวกเขาอาจสร้างปัญหาจึงโดนไล่ล่า
แต่ด้วยลักษณะนิสัยของเผ่าพันธุ์พวกเรา
ข้าคิดว่าพวกเขาคงได้รับภารกิจจึงต้องเข้าไปในดินแดนมนุษย์และบังเอิญถูกล่ามากกว่า”
“แวมไพร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รักสงบกว่าที่เจ้าคิด นิโคลัส แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกผ่าเหล่าผ่ากอจะไม่มี”
ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววต่อต้าน ก็ไม่แปลกที่จะเป็นเช่นนั้น เขาถูกปลูกฝังมาโดยตลอดว่าแวมไพร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตราย เมื่อเจอก็ต้องกำจัด พวกมันเป็นสัตว์ป่ากระหายเลือดนู่นนี่นั่น มันคงไม่ใช่สิ่งที่ยอมรับได้หากมีใครซักคนมาบอกว่าสิ่งที่เขาคิดและเชื่อมาตลอดนั้นผิด
“เดี๋ยวนะ”
นิโคลัสขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะพึ่งเอะใจกับสรรพนามการแทนตัวของเธอ
“นี่เธออายุเท่าไหร่”
หญิงสาวผุดรอยยิ้มประหลาด
“ตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่
องค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์ของเจ้ายังไม่ถูกก่อตั้งขึ้นมาด้วยซ้ำ
แบบนี้เจ้าคิดว่าไงล่ะ”
กลางดึกคืนหนึ่ง
เธอลุกขึ้นมาจากที่นอนอย่างยากลำบาก ดวงตาสีแดงก่ำราวกับสีของโลหิตหรี่ลง
ปกติเวลานอนของแวมไพร์ย่อมเป็นเวลากลางวัน แต่เพราะเธออาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์
จึงต้องนอนกลางคืนตื่นกลางวันเช่นมนุษย์ปกติ ควีเนตต้าเดินออกจากห้องนอนของตัวเอง
ครู่หนึ่งเธอเหลือบมองประตูห้องนอนอีกห้องที่ปิดสนิท
เสียงลมหายใจที่ดังอย่างสม่ำเสมอทำให้เธอไม่รีรอที่จะลงไปยังห้องน้ำที่อยู่ขั้นล่าง
เธอล้วงคอตัวเอง
อาเจียนเอาทุกสิ่งที่กินในช่วงกลางวันออกมาจากกระเพาะลงสู่โถส้วม
มันยังคงเป็นเนื้อชิ้นๆที่แสดงให้เห็นว่าการอยู่ในกระเพาะเธอเกือบครึ่งวันไม่ได้ทำให้มันย่อยแต่อย่างใด
หญิงสาวหอบหายใจจนตัวโยน
มือที่ใช้ค้ำยันตัวเองสั่นจนร่างของเธอแทบจะกองไปอยู่บนพื้น เธอทรมาน
รู้สึกได้ว่าร่างกายของเธอยังคงร้อนรุ่มราวกับถูกแผดเผาเพราะความกระหาย
เขี้ยวสีขาวมุกงอกยาวจากปาก
ม่านตาขยายกว้างราวกับดวงตาของสัตว์ที่กำลังออกล่าเหยื่อ
มือที่มีเล็บงอกยาวจิกลงบนแขนของตัวเองจนเลือดซิบ
หวังให้ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นช่วยดึงสติอันน้อยนิดของเธอให้คงอยู่
ของทุกอย่างภายในครัวถูกกวาดลงพื้นอย่างไร้สติ
เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ร่างกายอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงจนน่าขำขัน
แวมไพร์ไม่สามารถทานอาหารของมนุษย์ได้
แต่เธอก็ทานมัน..ควีเนตต้าได้แต่ภาวนาในใจไม่ให้สติของเธอหลุดลอยไปเสียก่อน
ไม่เช่นนั้นชายหนุ่มอีกคนในบ้านหลังนี้คงได้ถูกกินเลือดจนหมดตัวก็คราวนี้
ในตอนนั้นเองที่เธอได้ยินเสียงฝีเท้า
แต่มันไม่ใช่เสียงฝีเท้าของนิโคลัส เธอมองปลายเท้าที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้า
ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน
ดวงตาสีแดงฉานสะท้อนภาพของชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของกลุ่มผมสีน้ำตาลทองและดวงตาสีเหลืองอำพันไร้ประกาย
ใบหน้าเรียวคมดูหล่อเหลาราวรูปสลัก ออร่าภายนอกดูเป็นผู้ใหญ่และมากด้วยประสบการณ์
หากเทียบกับมนุษย์— อีกฝ่ายน่าจะอายุ 30 ปลายๆ คงไม่มากกว่านั้น
แต่อีกฝ่ายไม่ใช่
สัญชาตญาณของเธอที่กำลังกู่ร้องอยู่ภายในใจบอกเธอว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนเธอ
สิ่งมีชีวิตกระหายเลือด
สิ่งมีชีวิตผู้อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร
“แวมไพร์..”
เสียงของเธอแหบพร่า มันไม่ใช่เสียงหวานกังวานเหมือนทุกที ชายแปลกหน้าย่อตัวลง
นิ้วกร้านเชยคางเธอขึ้นจนดวงตาคมคู่นั้นสอดประสานกับดวงตาของเธอ
ควีเนตต้าไม่ได้หลบตา เธอจ้องตาเขากลับ
ดวงตาสีแดงก่ำฉายแววกระหายเลือดผสมปนเปกับความระแวง
“อย่ามาแตะตัวข้า”
เธอแยกเขี้ยวขู่ ชายตรงหน้าดึงนิ้วกลับคืน
ทว่ากลับไม่ได้ผละออกจากตัวเธอแต่อย่างใด
เสียงทุ้มต่ำค่อยๆเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“การที่ท่านต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เป็นสิ่งที่น่าเวทนานัก”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“องค์หญิง
การอาศัยอยู่กับมนุษย์มีแต่จะทำให้ท่านอ่อนแอลง พวกมนุษย์นั้นไว้ใจไม่ได้
พวกเขาจะหักหลังท่าน จะฆ่าท่าน จะทำให้ท่านต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น”
ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงนิโคลัส
ชายแปลกหน้าหยัดตัวลุกขึ้น
ใช้เพียงแค่มือข้างเดียวเขาก็สามารถฉุดเธอให้ลุกขึ้นแล้วตกอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างง่ายดาย
เขาวางเธอลงบนเคาน์เตอร์บาร์ภายในห้องครัว ใช้กายที่สูงใหญ่กว่าคร่อมร่างของเธอเอาไว้ให้อยู่ระหว่างแขนทั้งสองข้าง
“สายเลือดเอลิเซียมเป็นเช่นไร
ข้าคิดว่าท่านคงรู้ดีที่สุด พวกเขากระหายอำนาจมากกว่าใคร สูงส่งมากกว่าใคร
และหยิ่งยโสยิ่งกว่าใคร”
มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
“ตัวตนของท่านทนต่อการอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ไม่นานหรอกองค์หญิง
ความเป็นเอลิเซียมจะกัดกินท่าน ท่านจะสูญเสียสติสัมปชัญญะ
และท่านก็จะฆ่าเขา..มนุษย์ผู้นั้น” เสียงทุ้มนุ่มของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดี
ในทางกลับกัน เนื้อหาของถ้อยคำนั้นทำให้ร่างกายของเธอชาวาบราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็น
“เพราะท่านคือผู้ล่า
และผู้ล่า— ไม่อาจอยู่อาศัยร่วมกับเหยื่อ
ทุกครั้งที่ท่านใกล้ชิดเขากลิ่นเลือดของเขาก็จะยิ่งหอมหวาน
ทุกครั้งที่ท่านสนิทสนมชิดเชื้อกับเขา
ใจหนึ่งท่านก็จะยิ่งอยากกลืนกินเลือดของเขามากเท่านั้น”
เขาสบตาเธอนิ่ง ก่อนจะยอมถอยออกไปในที่สุด
“เป็นเวลากว่าหมื่นปีแล้วที่ท่านหายตัวไป
แต่บัลลังก์แห่งนั้นก็ยังคงรอท่าน—
พวกเราเผ่าพันธุ์แวมไพร์ที่เปลี่ยนรุ่นเปลี่ยนสมัยมาครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่สุดท้ายก็ยังรอว่าซักวันสายเลือดเอลิเซียมจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง”
ชายแปลกหน้าเหลือบมองตรงประตูชั่วครู่หนึ่ง
นิโคลัสอยู่ตรงนั้น เขาคงได้ยินทุกสิ่ง
แต่ควีเนตต้าไม่เห็นเขาและยังไม่อาจจับสัมผัสของเขาได้
นั่นเพราะดวงตาของเธอยังคงจับจ้องที่ชายตรงหน้า และสติของเธอก็ไม่ได้เต็มร้อยนัก
ความกระหายภายในร่างยังคงพยายามกัดกินเธอราวกับเนื้อร้าย แค่เธอยังสามารถตั้งสติฟังเขาพูดได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว
“ท่านพร้อมจะกลับรึยัง องค์หญิง”
น้องควีนเป็นคนขี้เกียจค่ะ ขี้เกียจแบบขี้เกียจจริงๆ ไม่ชอบเรื่องวุ่นวายอะไรทั้งนั้น แต่ยอมช่วยนิโคลัส.. เอ๋ ?
ดีใจที่ทุกคนชอบน้องนะคะ ฝากน้องไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยน๊า
และที่โผล่มานั่น เอ่อ พระเอกอีกคนค่ะ (ฮา) จากที่บรรยายลักษณะแล้วถ้าทุกคนไปเปิดในหน้าแนะนำตัวละครจะรู้เลยว่าใคร
ปล. เจอคำผิดก็ทักได้นะคะ ปกติก่อนลงเราตรวจอย่างน้อยสองรอบ แต่บางทีอาจจะเบลอๆตกหล่นไปบ้าง
ความคิดเห็น