ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านชายทั้งหลาย ช่วยเลิกปีนเตียงองค์ราชินีซักทีเถอะ!!

    ลำดับตอนที่ #4 : Turn 02 – องค์หญิง

    • อัปเดตล่าสุด 30 มิ.ย. 63


     


                หญิงสาวดีดตัวลอยขึ้นจากพื้นพสุธาไปยืนอยู่บนหลังคาของอาคารเพียงหลังเดียวที่ยังเป็นรูปเป็นร่างอย่างนวยนาด ดวงตาสีแดงราวกับโลหิตกวาดมองลานกว้างขององค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์ที่บัดนี้เหลือเพียงซากอาคารที่ถล่มลงมาเท่านั้น ท่าทางเชื่องช้าแต่สง่างามของเธอชวนให้นึกถึงสัตว์จำพวกแมวอย่างเสือและสิงโตที่ลืมตาตื่นจากการจำศีล ซากศพของมนุษย์และแวมไพร์กระจัดกระจายเกลื่อนจนนึกอยากจะเบ้หน้า แม้กลิ่นเลือดจะหอมรัญจวน แต่สภาพศพที่ไม่น่ามองนั่นกลับทำให้อาการกระหายของเธอหายไปอย่างรวดเร็ว


                เลือดไม่กี่หยดไม่อาจดับกระหายได้นานนัก


                แต่จะให้ไปดื่มเลือดเอาจากซากศพพวกเจ้าหน้าที่ ก็รู้สึกว่ามันออกจะน่าสะอิดสะเอียนไปเสียหน่อย บางสิ่งแหวกอากาศจนเกิดเสียงต้านลมพุ่งทะลวงมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอมองมันด้วยสายตาที่ค่อนไปทางแข็งกร้าว เพราะบุคคลที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก็คือแวมไพร์สาวน้อยโลลิที่พึ่งถูกเวทย์สะท้อนกระเด็นไปเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อน


                “แวมไพร์..” ควีเนตต้าพึมพำ หลุบตาต่ำมองเด็กสาวที่ตัวเล็กกว่าด้วยสายตาว่างเปล่า


                “เจ้าเป็นใคร” เด็กสาวผู้มีส่วนสูงไม่เกิน 150 เซนติเมตรถามเสียงต่ำ ดวงตากลมโตคู่นั้นมองเธออย่างระมัดระวังยิ่ง


                “ไม่รู้” เธอไม่คิดบอกชื่ออีกฝ่าย อาจจะเพราะสัญชาตญาณหรืออะไรก็ตามแต่


                “ไม่รู้!? นี่เจ้าเห็นข้าเป็นเพื่อนเล่นรึไง!?” เด็กสาวร่างเล็กดูโกรธจัด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่พุ่งมาโจมตีโดยตรง คงเพราะพอรู้ว่าฝีมือของพวกเธอมันต่างชั้นกันขนาดไหน ทันใดนั้นเองที่แวมไพร์หนุ่มก็โผล่มายืนข้างเด็กสาว เขามองเธอด้วยสายตาตำหนิ


                “ช่างเรื่องผู้หญิงคนนี้ก่อน ไลล่า เราต้องตามหาคฑา”


                “เอริก..!!


                “ไลล่า” เด็กสาวโลลิที่ชื่อไลล่าดูไม่ชอบใจนัก แต่สุดท้ายก็ดีดตัวกลางอากาศแล้วหายไปจากตรงหน้าเธอ ทิ้งไว้เพียงชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่เหลือบตามองเธอเพียงเล็กน้อย คอของเขายังมีรอยมือสีแดงเถือกและบาดแผลจากกรงเล็บของเธออยู่ เขาค้อมศีรษะลงพอเป็นมารยาทก่อนจะก้าวขาทะยานออกไป


                คฑางั้นเหรอ..


              “รีบตามหาคฑาของท่านกลอเรีย!


              “ทำลายองค์กรนี่ให้หมด”


                อ้อ


                “พวกมันคงบุกมาที่นี่เพราะคิดว่าที่นี่ซ่อนคฑาอะไรนั่นเอาไว้สินะ” เธอพึมพำก่อนเหินลงมายืนอยู่บนพื้นตามปกติ ฝนหยุดตก เมฆฝนเคลื่อนลอยไปไกล แต่กลิ่นอายของสายฝนยังคงอยู่ เธอเดินไปหยุดอยู่ตรงซากอาคารที่ภายใต้น่าจะมีร่างของนิโคลัสอยู่ แม้จะไม่ค่อยมั่นใจนัก..แต่เธอคิดว่าอีกฝ่ายยังไม่ตาย


                เพียงแค่นึกถึงใบหน้ายียวนนั่น เออ เขาคงไม่ตายง่ายๆหรอก แต่ถ้าอยู่ใต้ซากตึกนานกว่านี้ก็ไม่แน่


                คิดได้ดังนั้นจึงสะบัดมือทีหนึ่งอย่างเชื่องช้า เพียงครู่เดียวซากตึกก็คล้ายถูกลมพัดอย่างแรงจนกระจัดกระจาย เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มที่นอนหายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น ดวงตาสีแดงฉานกวาดมองร่างนั้นอย่างถี่ถ้วน ขาและกระดูกซี่โครงหัก.. เธอเดินเข้าไปใกล้แล้วนั่งยองข้างๆร่างนั้น มือก็ควานหากิ่งไม้ก่อนนำมันมาจิ้มเพื่อดูว่าอีกฝ่ายยังรู้สึกตัวอยู่รึเปล่า


                “ตายยังน่ะ” เธอถาม แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ ทันใดนั้นเองที่เธอได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายและเสียงเอะอะที่ดังขึ้นจากด้านนอก กลิ่นเลือดแบบนี้ พวกแวมไพร์มาเพิ่มกันอีกแล้ว


                เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงพยุงร่างของนิโคลัสขึ้น มือเรียวเกลี่ยเส้นผมสีน้ำเงินเข้มที่คลอเคลียใบหน้าของอีกฝ่าย ที่เธอสู้กับพวกนั้นได้เพราะนิโคลัสพาเธอออกมาจากตู้ปลานั่น ทำให้ร่างกายเธอสามารถปรับสภาพกับโลกภายนอกได้และค่อยๆกลับมามีเรี่ยวแรงในที่สุด


                ไม่อยากคิดเลยว่าหากเขาปล่อยเธอไว้ในหลอดทดลองนั่น แล้วพวกแวมไพร์มาพบเข้า..


                เธอที่ไม่สามารถปรับสภาพตามอากาศภายนอกได้คงตายกลายเป็นซากอยู่ใต้ดิน


                อย่างไรก็ตาม นิโคลัสไม่ใช่คนดี..แม้เธอจะหลับ แต่เธอก็ได้ยินสิ่งที่เขาพูดกับเดวิด— เพื่อนของเขา เขาบอกว่าจะไปช่วย แต่สุดท้ายเขาก็คิดจะหนี ควีเนตต้ามองเขาอย่างชั่งใจ เธอเกลียดความวุ่นวาย แต่เขาก็เป็นผู้มีพระคุณ สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจแบกเขาขึ้นหลัง ใช้ความเร็วที่เหนือกว่าดีดตัวขึ้นฟ้าและเคลื่อนไหวไปตามหลังคาของอาคารบ้านเรือนเพื่อหาที่หลบภัยโดยเร็ว

     



                สถานที่ที่เธอพานิโคลัสมาหลบซ่อนตัวเป็นสถานที่ที่เธอได้กลิ่นนิโคลัสเด่นชัดที่สุด เธอคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นบ้านของเขา มันเป็นอาคารสองชั้นที่เงียบเหงาและว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่นอกจากห้องนอนและห้องต่างๆที่ถูกทิ้งไว้ให้ฝุ่นเกรอะ ดูเหมือนนิโคลัสเองก็ไม่ได้กลับบ้านบ่อยนัก เธอวางอีกฝ่ายลงบนเตียงนอน สวมฮู้ดคุมเส้นผมสีขาวประกายเงินของตัวเองเพื่อไม่ให้มันกลายเป็นจุดเด่น ก่อนจะออกจากบ้านไปเพื่อตามหมอซักคนที่น่าจะสามารถรักษานิโคลัสได้


                และถ้าถามว่าเธอใช้เงินของใคร แน่นอนว่าเป็นเงินที่นิโคลัสเก็บไว้ในบ้านแบบมั่วๆ (นึกสงสัยว่าเขาไม่กลัวโจรเข้ามาบ้านเลยรึไง แต่ก็ช่างเถอะ)


                แพทย์ชายวัยกลางคนมารักษานิโคลัส ใช้เวลาเพียง 3 วันเขาก็ฟื้น แม้ร่างกายจะยังไม่หายดี แต่การที่เขาได้สตินั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆแล้ว


                “เธอช่วยฉัน”


                “อ่าห้ะ ข้าช่วยภาระชิ้นโตอย่างเจ้า” เธอเว้นช่วงครู่หนึ่งคล้ายกำลังคิดคำพูด “ถือซะว่าทดแทนที่เจ้าช่วยข้าออกมาจากที่นั่นแล้วกัน”


                ชายหนุ่มหน้าเหวอไปเล็กน้อย เขาเกือบสะดุ้งขึ้นชี้หน้าเธอหากไม่ใช่เพราะอาการเจ็บปวดรวดร้าวนั่นรั้งร่างกายของเขาให้ติดเตียง “คุณหนูตู้ปลา..เธอพูดได้?


                “ข้าพูดได้ อีกอย่างข้าไม่ใช่คุณหนูตู้ปลา” เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “ควีเนตต้า นั่นชื่อของข้า”


                เธอไม่ได้บอกนามสกุล และก็ไม่มีความคิดที่จะบอก


                “ควีเนตต้า..” เสียงทุ้มต่ำทวนชื่อเธอ ใบหน้าเขามีร่องรอยของความแปลกใจอยู่เจ็ดส่วน คงคาดไม่ถึงว่าเธอจะตัดสินใจช่วยชีวิตของเขา ทั้งที่จริงๆควรจะทิ้งให้เขาตายอยู่ที่นั่นแล้วหนีเอาตัวรอด ก่อนที่เขาจะเบิกตากว้างเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือร่างของควีเนตต้าที่ถูกบีบคอแล้วยกขึ้นสูงจนขาลอยจากพื้นด้วยแรงจากมือเพียงข้างเดียว


                “แล้วพวกมันหายไปไหนแล้ว พวกมันทำร้ายเธอมากรึเปล่า!?” นิโคลัสถามเสียงร้อนรน ดวงตาสีฟ้าก็กวาดมองร่างเธออย่างพินิจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ถ้าทำได้เขาก็คงอยากลุกมาจับเธอหมุนๆเพื่อดูให้ทั่วเสียด้วยซ้ำ


                “นิดหน่อย แต่ก็..” เธอหลุบตามองทั่วตัว “หายแล้ว ดูเหมือนพวกมันจะตามหาอะไรซักอย่างเลยบุกที่นั่น ไม่ได้มีเวลามาสนใจข้ากับเจ้านักหรอก”


                “งั้นก็ดีแล้ว” นิโคลัสงึมงำในลำคอ เขาเหลือบมองหญิงสาวเจ้าของเรือนร่างสะโอดสะองที่นำผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆมาเช็ดตามแขนและไหล่ของเขา ดูเหมือนเธอจะเป็นคนดูแลเขาตลอดระยะเวลาสามวันมานี้ เขาเป็นเด็กกำพร้า แน่นอนว่าต้องไม่เคยได้รับการดูแลอย่างเอาใจใส่จากใครที่ไหน อย่าว่าแต่มาคอยเช็ดตัวยามป่วยไข้ แค่คนคอยเตือนให้หาข้าวทานยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ


                ดวงตาสีม่วงอัญมณีทอแสงอ่อนลง “ขอบคุณ”


                “ว่าอะไรนะ”


                เขาไหวไหล่ก่อนจะตอบปฏิเสธว่าไม่มีอะไร หารู้ไม่ว่าคำขอบคุณของเขาควีเนตต้าได้ยินชัดคล้ายมีคนมาบอกอยู่ที่ข้างหู เธอเพียงถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจเท่านั้น แต่เมื่อเห็นท่าทีไม่ยี่หระและใบหน้ายียวนของอีกฝ่ายก็ทำให้เธอต้องถอนหายใจอีกครั้ง หมอนี่ขอบคุณเธองั้นเหรอ— ทั้งที่เธอเกือบจะทิ้งให้หมอนี่ต้องตายอยู่ที่นั่นแล้วแท้ๆ


                “ไม่เป็นไร”


                หลังจากนั้นเธอและนิโคลัสก็อาศัยอยู่ในบ้านสองชั้นหลังนั้นด้วยกันเพียงลำพัง โชคดีที่มันมีสองห้องนอน เธอเคยถามเหมือนกันว่าทั้งที่เขาก็อยู่ตัวคนเดียวแต่ทำไมถึงซื้อบ้านที่มีสองห้องนอนแบบนี้ แต่เขากลับตอบแค่ว่าห้องนอนอีกห้องมีไว้เผื่อเพื่อนที่ทำภารกิจร่วมกันมาพัก ซึ่งตอนนี้เพื่อนที่ว่านั่นก็ลาโลกนี้ไปหมดแล้ว


                ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้นนิโคลัสก็หายดีและขยับได้ เขาไม่ได้ออกจากบ้านและไม่คิดจะออกไปในเมื่อตอนนี้ทางองค์กรประกาศว่าเขาเป็นผู้ที่สูญหายจากการถล่มของแวมไพร์ในครั้งนั้น ดังนั้นหน้าที่ในการจับจ่ายตลาดจึงเป็นของหญิงสาวที่ไม่ประสีประสาเรื่องอาหารการกินของมนุษย์ วัตถุดิบที่ซื้อมาจึงใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง อาหารที่นิโคลัสกินก็มีรสชาติไม่ซ้ำกันแม้แต่วันเดียว นั่นเพราะควีเนตต้าไม่เคยได้ลองชิมมันก่อนนำไปให้เขา


                แวมไพร์ไม่สามารถทานอาหารของมนุษย์ได้ นอกจากมันจะไม่มีสารอาหารแล้วบางอย่างยังให้โทษกับร่างกายเสียด้วย ดังนั้นควีเนตต้าจึงทำเพียงดูสูตรแล้วลงมือทำตามเท่านั้น ไม่ได้ชิมเข้าไปแต่อย่างใด บางครั้ง(หรือส่วนใหญ่)ที่ขี้เกียจ ก็แค่เทส่วนผสมลงในหม้อมั่วๆ ตั้งไฟ แล้วก็นำใส่จานให้นิโคลัสกิน จนพักหลังๆเมื่อนิโคลัสเริ่มหายดี เขาถึงกับขออัญเชิญเธอออกไปจากห้องครัวและลงมือทำอาหารด้วยตัวเอง


                “ข้าก็ไม่ได้ฝีมือแย่ขนาดนั้น” เธอเถียง แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นสายตาเอือมระอาของชายหนุ่มตัวสูงกว่า “ใช่ เจ้าไม่ได้ฝีมือแย่ แต่เจ้าไม่มีฝีมือเลยต่างหาก”


                “นี่..”


                “ไปรอที่โต๊ะซะ แล้วเดี๋ยวข้าจะเอาอาหารไปให้” เธอสงบปากสงบคำแล้วยอมไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่โต๊ะแต่โดยดี นิโคลัสคงพอเดาได้แต่แรกแล้วว่าเธอเป็นแวมไพร์ เพราะเธอไม่เคยทานอาหารร่วมกับเขา ที่สำคัญหากเธอเป็นเพียงมนุษย์คงไม่มีชีวิตรอดถึงขั้นแบกผู้ชายตัวสูงอย่างเขากลับบ้านมาได้แบบนี้


                แต่เขาก็ไม่ได้รู้ถึงนิสัยการกินของแวมไพร์ ดังนั้นอาหารที่อยู่ตรงหน้าของเธอจึงเป็น— เนื้อต้ม?


                โป๊ก! “เฮ้ย! เขกหัวฉันทำไมเนี่ย”


                “แวมไพร์ที่ไหนกินเนื้อต้ม พวกข้ากินได้แค่เลือด” เธออธิบายเสียงเรียบ นิโคลัสลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำเงินเข้มของตัวเองปอยๆพลางบ่นอุบอิบไม่ได้ศัพท์ เขามองเนื้อต้มที่อุตส่าห์เสียสละเงินอันน้อยนิดไปซื้อที่ตลาดมาอย่างเสียดาย สำหรับนิโคลัส สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออำนาจและเงินตรา ยัยบ้านี่ไม่รู้หรอกว่าการต้องควักเงินตัวเองจ่ายค่าอาหารให้คนอื่นมันยากเย็นแค่ไหน


                ควีเนตต้ามองใบหน้ามุ่ยๆของอีกฝ่ายพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใช้ส้อมในมือจิ้มเนื้อนั่นเข้าปากอย่างเชื่องช้าพลางเคี้ยวกร้วมๆ นิโคลัสที่เห็นเธอทานได้ก็แทบจะหุบยิ้มไว้ไม่อยู่ตักอาหารของตัวเองที่เป็นซุปหน้าตาน่ารับประทานเข้าปากบ้าง


                นิโคลัสเป็นคนที่มีนิสัยค่อนข้างแปลกประหลาด นอกจากที่เขาจะไม่เกรงกลัวทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเธอเป็นแวมไพร์ที่สามารถฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ เขายังยีหัวเธอแถมแซวนู่นนี่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เรียกได้ว่าการอยู่ร่วมกันระหว่างเธอและเขาก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไรนัก


                “นี่ๆ แล้วดินแดนแวมไพร์เป็นแบบไหน เหมือนอาณาจักรมนุษย์ปะ” นิโคลัสถามเธอในวันหนึ่ง เขาเท้าคางมอง ดวงตาฟ้าอ่อนฉายแววฉงนสงสัยอย่างจริงจัง เธอมองท่าทีอยากรู้อยากเห็นอย่างเกียจคร้าน


                มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะสนใจในสิ่งที่ตนไม่เคยล่วงรู้


                สำหรับมนุษย์— สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแวมไพร์นั้นแปลกประหลาดและลึบลับ


                “ก็..” ควีเนตต้าลากเสียง พยายามเค้นความทรงจำทั้งหมดที่หลงเหลืออยู่ออกมาอธิบายเป็นคำพูด “องค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์ของเจ้าจัดระดับความแข็งแกร่งของแวมไพร์ออกเป็นหลายระดับ ระดับต่ำสุดก็คือ F , E , D , C , B , A , และ S ใช่มั้ยล่ะ?


                นิโคลัสพยักหน้ารับ “ใช่ ฉันเดาเลยนะว่าเธอต้อง A ไม่ก็ S อืม คุณหนูตู้ปลาอย่างเธอก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่คิด”


                เธอส่ายหน้าอย่างระอาใจกับสีหน้ายียวนนั่น จิ้มหน้าผากเขาไปสองสามทีก่อนเอ่ยเสียงเฉื่อย “ลืมไอระดับบ้าบอที่มนุษย์นั่นสอนเจ้าซะ ในความเป็นจริงในเผ่าพันธุ์แวมไพร์ไม่ได้มีการจัดระดับแบบนั้นขึ้นเลยซักนิด”


                นิโคลัสขมวดคิ้วเป็นปมทันที ควีเนตต้าทิ้งตัวลงนอนเหยียดขาบนโซฟา พลางอธิบายเสียงยานคางคล้ายคนพึ่งตื่น “แวมไพร์แบ่งได้ออกเป็น 6 ระดับ ที่มีพลังและอำนาจน้อยที่สุดก็คือแวมไพร์ที่ไม่ได้เป็นแวมไพร์แต่กำเนิด อาจจะถูกคำสาป ไปทำพันธสัญญา หรือถูกแวมไพร์ชนชั้นสูงกัดจนมีสภาพเป็นแวมไพร์ อะไรก็ตามแต่ พวกนี้เป็นพวกที่มักเข้าไปยุ่มย่ามกับโลกมนุษย์ และเป็นพวกที่ก่อปัญหามากที่สุด แวมไพร์ระดับ F ถึง D ก็คือแวมไพร์กลุ่มนี้ เพียงแต่พวกมนุษย์แบ่งระดับเอาเองตามความสามารถและความอันตรายของพวกมัน”


                “ที่เหลือก็คือแวมไพร์ระดับชาวบ้านทั่วไป แวมไพร์ระดับอัศวิน แวมไพร์ระดับขุนนาง แวมไพร์ระดับขุนนางตระกูลใหญ่ และราชวงศ์ ในความเป็นจริง ข้ากล้าพูดเลยว่าแวมไพร์ส่วนใหญ่ค่อนข้างเกลียดความวุ่นวายและการสร้างปัญหา พวกเขาจึงไม่ค่อยไปยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์มากนัก เจ้าอาจจะไม่ชอบใจ แต่เหตุผลของพวกเขาคือพวกเขามองว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำศักดิ์กว่าตัวเอง”


                “ก็คือไม่อยากลดตัวไปยุ่ง งี้เหรอ” นิโคลัสดูไม่ชอบใจนัก ถึงแม้เขาจะพยายามปกปิดมันแต่เธอก้รู้สึกได้


                “ใช่ ส่วนแวมไพร์ระดับ A หรือ S ที่พวกฮันเตอร์เช่นเจ้ากลัวนักหนา ที่จริงแล้วมันก็เป็นเพียงแวมไพร์ระดับอัศวินหรือขุนนางเท่านั้น ก็มีบ้างที่พวกเขาอาจสร้างปัญหาจึงโดนไล่ล่า แต่ด้วยลักษณะนิสัยของเผ่าพันธุ์พวกเรา ข้าคิดว่าพวกเขาคงได้รับภารกิจจึงต้องเข้าไปในดินแดนมนุษย์และบังเอิญถูกล่ามากกว่า”


                “แวมไพร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รักสงบกว่าที่เจ้าคิด นิโคลัส แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกผ่าเหล่าผ่ากอจะไม่มี”


                ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววต่อต้าน ก็ไม่แปลกที่จะเป็นเช่นนั้น เขาถูกปลูกฝังมาโดยตลอดว่าแวมไพร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตราย เมื่อเจอก็ต้องกำจัด พวกมันเป็นสัตว์ป่ากระหายเลือดนู่นนี่นั่น มันคงไม่ใช่สิ่งที่ยอมรับได้หากมีใครซักคนมาบอกว่าสิ่งที่เขาคิดและเชื่อมาตลอดนั้นผิด


                “เดี๋ยวนะ” นิโคลัสขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะพึ่งเอะใจกับสรรพนามการแทนตัวของเธอ “นี่เธออายุเท่าไหร่”


                หญิงสาวผุดรอยยิ้มประหลาด


              “ตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ องค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์ของเจ้ายังไม่ถูกก่อตั้งขึ้นมาด้วยซ้ำ แบบนี้เจ้าคิดว่าไงล่ะ”

     



                กลางดึกคืนหนึ่ง เธอลุกขึ้นมาจากที่นอนอย่างยากลำบาก ดวงตาสีแดงก่ำราวกับสีของโลหิตหรี่ลง ปกติเวลานอนของแวมไพร์ย่อมเป็นเวลากลางวัน แต่เพราะเธออาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ จึงต้องนอนกลางคืนตื่นกลางวันเช่นมนุษย์ปกติ ควีเนตต้าเดินออกจากห้องนอนของตัวเอง ครู่หนึ่งเธอเหลือบมองประตูห้องนอนอีกห้องที่ปิดสนิท เสียงลมหายใจที่ดังอย่างสม่ำเสมอทำให้เธอไม่รีรอที่จะลงไปยังห้องน้ำที่อยู่ขั้นล่าง


                เธอล้วงคอตัวเอง อาเจียนเอาทุกสิ่งที่กินในช่วงกลางวันออกมาจากกระเพาะลงสู่โถส้วม มันยังคงเป็นเนื้อชิ้นๆที่แสดงให้เห็นว่าการอยู่ในกระเพาะเธอเกือบครึ่งวันไม่ได้ทำให้มันย่อยแต่อย่างใด


                หญิงสาวหอบหายใจจนตัวโยน มือที่ใช้ค้ำยันตัวเองสั่นจนร่างของเธอแทบจะกองไปอยู่บนพื้น เธอทรมาน รู้สึกได้ว่าร่างกายของเธอยังคงร้อนรุ่มราวกับถูกแผดเผาเพราะความกระหาย เขี้ยวสีขาวมุกงอกยาวจากปาก ม่านตาขยายกว้างราวกับดวงตาของสัตว์ที่กำลังออกล่าเหยื่อ มือที่มีเล็บงอกยาวจิกลงบนแขนของตัวเองจนเลือดซิบ หวังให้ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นช่วยดึงสติอันน้อยนิดของเธอให้คงอยู่


                ของทุกอย่างภายในครัวถูกกวาดลงพื้นอย่างไร้สติ เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ร่างกายอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงจนน่าขำขัน แวมไพร์ไม่สามารถทานอาหารของมนุษย์ได้ แต่เธอก็ทานมัน..ควีเนตต้าได้แต่ภาวนาในใจไม่ให้สติของเธอหลุดลอยไปเสียก่อน ไม่เช่นนั้นชายหนุ่มอีกคนในบ้านหลังนี้คงได้ถูกกินเลือดจนหมดตัวก็คราวนี้


                ในตอนนั้นเองที่เธอได้ยินเสียงฝีเท้า แต่มันไม่ใช่เสียงฝีเท้าของนิโคลัส เธอมองปลายเท้าที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้า ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน ดวงตาสีแดงฉานสะท้อนภาพของชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของกลุ่มผมสีน้ำตาลทองและดวงตาสีเหลืองอำพันไร้ประกาย ใบหน้าเรียวคมดูหล่อเหลาราวรูปสลัก ออร่าภายนอกดูเป็นผู้ใหญ่และมากด้วยประสบการณ์ หากเทียบกับมนุษย์— อีกฝ่ายน่าจะอายุ 30 ปลายๆ คงไม่มากกว่านั้น


                แต่อีกฝ่ายไม่ใช่


                สัญชาตญาณของเธอที่กำลังกู่ร้องอยู่ภายในใจบอกเธอว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนเธอ


                สิ่งมีชีวิตกระหายเลือด สิ่งมีชีวิตผู้อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร


                “แวมไพร์..” เสียงของเธอแหบพร่า มันไม่ใช่เสียงหวานกังวานเหมือนทุกที ชายแปลกหน้าย่อตัวลง นิ้วกร้านเชยคางเธอขึ้นจนดวงตาคมคู่นั้นสอดประสานกับดวงตาของเธอ ควีเนตต้าไม่ได้หลบตา เธอจ้องตาเขากลับ ดวงตาสีแดงก่ำฉายแววกระหายเลือดผสมปนเปกับความระแวง


                “อย่ามาแตะตัวข้า” เธอแยกเขี้ยวขู่ ชายตรงหน้าดึงนิ้วกลับคืน ทว่ากลับไม่ได้ผละออกจากตัวเธอแต่อย่างใด เสียงทุ้มต่ำค่อยๆเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา “การที่ท่านต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เป็นสิ่งที่น่าเวทนานัก”


                “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”


                “องค์หญิง การอาศัยอยู่กับมนุษย์มีแต่จะทำให้ท่านอ่อนแอลง พวกมนุษย์นั้นไว้ใจไม่ได้ พวกเขาจะหักหลังท่าน จะฆ่าท่าน จะทำให้ท่านต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น”


                ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงนิโคลัส


    ชายแปลกหน้าหยัดตัวลุกขึ้น ใช้เพียงแค่มือข้างเดียวเขาก็สามารถฉุดเธอให้ลุกขึ้นแล้วตกอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างง่ายดาย เขาวางเธอลงบนเคาน์เตอร์บาร์ภายในห้องครัว ใช้กายที่สูงใหญ่กว่าคร่อมร่างของเธอเอาไว้ให้อยู่ระหว่างแขนทั้งสองข้าง 


                “สายเลือดเอลิเซียมเป็นเช่นไร ข้าคิดว่าท่านคงรู้ดีที่สุด พวกเขากระหายอำนาจมากกว่าใคร สูงส่งมากกว่าใคร และหยิ่งยโสยิ่งกว่าใคร”


                มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้


                “ตัวตนของท่านทนต่อการอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ไม่นานหรอกองค์หญิง ความเป็นเอลิเซียมจะกัดกินท่าน ท่านจะสูญเสียสติสัมปชัญญะ และท่านก็จะฆ่าเขา..มนุษย์ผู้นั้น” เสียงทุ้มนุ่มของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดี ในทางกลับกัน เนื้อหาของถ้อยคำนั้นทำให้ร่างกายของเธอชาวาบราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็น


                “เพราะท่านคือผู้ล่า และผู้ล่า— ไม่อาจอยู่อาศัยร่วมกับเหยื่อ ทุกครั้งที่ท่านใกล้ชิดเขากลิ่นเลือดของเขาก็จะยิ่งหอมหวาน ทุกครั้งที่ท่านสนิทสนมชิดเชื้อกับเขา ใจหนึ่งท่านก็จะยิ่งอยากกลืนกินเลือดของเขามากเท่านั้น”


                เขาสบตาเธอนิ่ง ก่อนจะยอมถอยออกไปในที่สุด


                “เป็นเวลากว่าหมื่นปีแล้วที่ท่านหายตัวไป แต่บัลลังก์แห่งนั้นก็ยังคงรอท่าน— พวกเราเผ่าพันธุ์แวมไพร์ที่เปลี่ยนรุ่นเปลี่ยนสมัยมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายก็ยังรอว่าซักวันสายเลือดเอลิเซียมจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง”


                ชายแปลกหน้าเหลือบมองตรงประตูชั่วครู่หนึ่ง นิโคลัสอยู่ตรงนั้น เขาคงได้ยินทุกสิ่ง แต่ควีเนตต้าไม่เห็นเขาและยังไม่อาจจับสัมผัสของเขาได้ นั่นเพราะดวงตาของเธอยังคงจับจ้องที่ชายตรงหน้า และสติของเธอก็ไม่ได้เต็มร้อยนัก ความกระหายภายในร่างยังคงพยายามกัดกินเธอราวกับเนื้อร้าย แค่เธอยังสามารถตั้งสติฟังเขาพูดได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว


                “ท่านพร้อมจะกลับรึยัง องค์หญิง”


    น้องควีนเป็นคนขี้เกียจค่ะ ขี้เกียจแบบขี้เกียจจริงๆ ไม่ชอบเรื่องวุ่นวายอะไรทั้งนั้น แต่ยอมช่วยนิโคลัส.. เอ๋ ?

    ดีใจที่ทุกคนชอบน้องนะคะ ฝากน้องไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยน๊า

    และที่โผล่มานั่น เอ่อ พระเอกอีกคนค่ะ (ฮา) จากที่บรรยายลักษณะแล้วถ้าทุกคนไปเปิดในหน้าแนะนำตัวละครจะรู้เลยว่าใคร 

    ปล. เจอคำผิดก็ทักได้นะคะ ปกติก่อนลงเราตรวจอย่างน้อยสองรอบ แต่บางทีอาจจะเบลอๆตกหล่นไปบ้าง 



     

    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×