คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Turn 01 – ควีเนตต้า เอลิเซียม
แพขนตาหนากะพริบถี่เพื่อปรับสายตา
ดวงเนตรสีแดงฉานราวกับสีของเลือดหลุบต่ำมองขาที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวนที่แสนหนักอึ้ง
แขนที่เรียวบางของเธอมีสายระโยงระยางที่เชื่อมกับคอมพิวเตอร์และหลอดใสเล็กๆด้านนอกนั่น
มันเป็นอีกวันที่เธอตื่นขึ้นมาในหลอดทดลองที่มีลักษณะคล้ายกับตู้ปลา
ภายในเป็นของเหลวสีฟ้าใสที่เธอไม่รู้จัก
แต่มั่นใจว่ามันไม่ได้ทำอันตรายอะไรต่อร่างกายของเธอ
อึดอัด
เธอคิดในใจ
ร่างกายเธอไม่ได้เปลือยเปล่า— ต้องขอบคุณมนุษย์ด้านนอกนั่นที่ยังใจดีหาชุดกระโปรงสีขาวมาให้เธอใส่
แต่ถามว่ามันช่วยอะไรได้มั้ย ก็ไม่..มันเปียกจนแทบจะเห็นร่างกายของเธอไปทุกสัดส่วน
(พวกคนเฮงซวย) เธอกลอกตา
ลอบมองห้องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เธอไม่รู้จักด้วยสายตาว่างเปล่า
พวกมนุษย์นั่นคงออกไปข้างนอกอีกตามเคย ดีแล้ว เธอเหนื่อยที่ต้องแกล้งหลับจะแย่
เธอชื่อ ควีเนตต้า
เอลิเซียม..
เป็น ‘แวมไพร์’
“ตื่นแล้วเหรอคุณหนู”
เธอมองบุคคลที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวด้วยสายตาอ่านยาก
เขาเป็นบุรุษในชุดเครื่องแบบผู้มีผมสีน้ำเงินเข้มและเรือนร่างสูงโปร่งที่มีกล้ามเนื้อไม่มากไม่น้อยจนเกินพอดี
หูของเขาประดับด้วยจิวมากมายจนบางครั้งที่เห็นเธอก็อดที่จะนึกถึงตอนเขาเจาะแล้วรู้สึกเจ็บแทนไม่ได้
ดวงตาสีฟ้าอ่อนที่ทอประกายยียวนดูกวนประสาทอยู่เสมอสะท้อนภาพของเธออยู่ในนั้น
เขาเฝ้าอยู่ในห้องนี้ตลอด และนั่นคือเหตุผลที่เธอไม่สามารถปิดบังเขา
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมา
เธอก็พบว่าตัวเองถูกกักขังไว้ในนี้— ในตู้กระจกที่ดูคล้ายกับตู้ปลา เรี่ยวแรงหดหาย
ไม่สามารถแม้แต่จะขยับเขยื้อนปลายนิ้วได้ด้วยซ้ำ
และแน่นอน
ด้วยน้ำที่เต็มตู้นี่..เธอพูดไม่ได้
เขาบอกเธอว่าเขาชื่อ
นิโคลัส โฮลเกอร์ เป็นสมาชิกขององค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์ที่จับเธอมาขังไว้เป็นหนูทดลองแบบนี้
และเป็นเพื่อนคุย(ที่เธอไม่เคยตอบ)เพียงคนเดียว
“ครั้งนี้เธอหลับไป
3 วันเต็มๆ ปล่อยฉันเหงาอยู่คนเดียวเลยนะ” เขาว่าด้วยสีหน้าไม่ยี่หระ
เธอได้ยินทุกคำพูด
และอยากอ้าปากตอบไปว่าตัวเองก็ไม่ได้ต้องการหลับนานขนาดนั้นเสียหน่อย แต่เธอกลับไม่มีแรงแม้แต่จะทำแบบนั้น
น่าบัดซบจริงๆ
“น่าเบื่อจริง
พูดก็ไม่ได้ ขยับก็ไม่ได้” นิโคลัสไล้นิ้วไปตามโครงหน้าของเธอผ่านกระจกบานใส
“เธอทำอะไรได้บ้างเนี่ย โคตรไร้ประโยชน์เลยรู้เปล่า”
ก็ไม่ต้องมาพูดด้วยสิ
“ฮั่นแน่
ถ้าเธอขยับได้คงขมวดคิ้วแยกเขี้ยวใส่ฉันสินะ เสียใจ ฉันไม่กลัวเธอหรอก”
งั้นข้าจะฆ่าเจ้าหมกป่า
“มันโคตรน่าเบื่อเลยรู้มั้ยที่ต้องมามัวเฝ้าเธอเนี่ย
เงินเดือนก็ถูกลด แถมยังไม่ได้ออกกำลังอีก” เขาบ่น
และนั่นไม่ต่างจากสิ่งที่เขาเคยบ่นออกมาเมื่อสัปดาห์ก่อนเลยแม้แต่น้อย
ก็ไม่ต้องมาเฝ้าข้า
ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบหน้าเขาซักเท่าไหร่
แน่นอน นั่นเพราะนิสัยยียวนกวนส้นเท้าแม้แต่กับคนที่กึ่งพิการอย่างเธอ
แต่เธอก็ต้องขอบคุณเขาไม่น้อย..
ตั้งแต่เธอลืมตาตื่นขึ้นมาครั้งแรกเมื่อราวๆ
1 เดือนก่อน ความทรงจำของเธอก็ขาดๆหายๆและไม่ครบถ้วนนัก
ที่พอจะจำได้เห็นจะมีเพียงชื่อ นามสกุล เรื่องราวก่อนหลับไปเพียงบางส่วน และปราสาทหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางป่าทึบเท่านั้น
สิ่งแรกที่เห็นคือความมืด
คนแรกที่เห็นก็คือเขา
เขาเป็นคนเล่าเรื่องราวภายนอกที่ตนเคยพบเจอให้เธอฟัง
(เอาเถอะ ตอนแรกเธอไม่คิดว่านิโคลัสจะเป็นคนพูดมากแบบนั้น
แต่หลังจากนั้นเธอก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่)
เขาคล้ายกับไม่รู้จะพูดอะไรเลยเล่าไปเรื่อยๆ พูดไปเรื่อยๆ
อย่างน้อยมันก็แก้เหงาและทำให้เธอได้รู้อะไรหลายๆอย่างมากขึ้น
กลายเป็นความผูกพันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นตลอด 1 เดือน
เขาบอกว่าโลกใบนี้ถูกปกครองโดยแวมไพร์
มีเพียงไม่กี่ดินแดนเท่านั้นที่ถูกปกครองโดยมนุษย์
โมลันเทียเป็นหนึ่งในไม่กี่ดินแดนนั้น
แวมไพร์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังที่สุด
แข็งแกร่งที่สุด น่ากลัวที่สุด และมีอำนาจมากที่สุด มนุษย์ไม่เคยต่อกรกับพวกมันได้
ไม่เคยกวาดล้างพวกมันได้ แม้แต่องค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์เอง—
ก็ทำได้เพียงตามล่าพวกแวมไพร์ที่เข้ามาก่อปัญหาในดินแดนมนุษย์เท่านั้น
นิโคลัสยังเคยพูดอีกว่าเธอไม่ใช่มนุษย์
หากไม่เป็นมนุษย์ทดลองที่พวกนักวิทยาศาสตร์นั่นสร้างขึ้น
ก็คงเป็นแวมไพร์ที่ถูกจับมาทดลอง
แน่นอน
มันไม่ใช่อย่างแรกแต่เป็นอย่างหลัง
เธอไม่เคยตอบเขา
ปล่อยให้ความสัมพันธ์ที่ไร้ชื่อเรียกนี้ดำเนินต่อไปโดยไม่คิดขัดขืน
แม้เพียงเล็กน้อย
แต่ทั้งคำพูดและเรื่องราวของเขาได้ซึมซับลงในใจของเธอไปทีละน้อยจนในที่สุดมันก็แทบจะล้นปรี่
สายสัมพันธ์ที่ถูกถักทอขึ้นโดยวิธีแปลกประหลาดและไร้ชื่อกลายเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันและผูกพวกเธอไว้ด้วยกันราวโซ่ตรวน
และน่าแปลก
ที่ทั้งเธอและเขาก็ไม่เคยคิดที่จะตัดมัน
“เฝ้าไว้ให้ดีๆล่ะ” นิโคลัสแคะขี้หูฟังสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์นั่นย้ำรอบที่ล้านด้วยสายตาเบื่อหน่าย นี่ก็สามเดือนมาแล้วนับตั้งแต่ที่เขาได้รับมอบหมายให้มาเฝ้าที่นี่ เขาขานรับในลำคอ แทบจะโบกมือไล่ให้พวกน่ารำคาญรีบออกไปจากที่นี่ซักที
ให้ตายสิ
คุณหนูในตู้ปลา(?)นั่นก็เอาแต่หลับอยู่ได้
นี่ก็เกิน 1 สัปดาห์มาแล้ว ทำไมยังไม่ตื่นขึ้นมาอีก
“เฮ้
คุณหนู หรือว่าเธอตายไปแล้ว?” เขาเคาะตู้กระจกเบาๆ แต่ก็ยังไร้ซึ่งการตอบกลับ
ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมาคุณหนูในตู้ปลานั่นไม่เคยหลับไปเกินสัปดาห์เลยซักครั้ง หรือเธอจะตายไปแล้วจริงๆ?
ดวงตาสีฟ้าไร้ประกายมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของหญิงสาวอย่างครุ่นคิด
ในตอนนั้นเองที่เขาสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนจากด้านบน
ได้ยินเสียงเอะอะและเสียงกรีดร้อง
ได้ยินเสียงฝีเท้าจากพวกเพื่อนยามหน้าประตูที่กำลังวิ่งห่างออกไป
มีบางอย่างผิดปกติ
“โฮลเกอร์!!” เพื่อนชายที่อยู่ด้านนอกเปิดประตูเข้ามาอย่างแรง
สีหน้าของอีกฝ่ายดูตื่นตะหนก นิโคลัสขมวดคิ้วเป็นปม “เกิดอะไรขึ้น”
“พวกมันบุกมาที่นี่!!”
ไม่จริงน่า
พวกมันจะบุกมาที่นี่ทำไม!? เขาเม้มริมฝีปาก
พยายามข่มความตื่นตะหนกเอาไว้
“คลาสล่ะ
พวกที่บุกเข้ามา..คลาสอะไร” เพื่อนชายร่างกำยำดูลำบากใจที่จะพูดอย่างเห็นได้ชัด
อีกฝ่ายหลุบตาต่ำลง ก่อนเอ่ยเสียงเบาคล้ายเสียงกระซิบ
“C ไปจนถึง A”
ไม่มีแล้ว
ไม่มีโอกาสรอดแล้ว
แม้แต่เขาที่ถือเป็นนักล่าตัวท็อปของสาขาโมลันเทียแห่งนี้
แค่จะฆ่าแวมไพร์คลาส A ซักคนก็แทบหืดขึ้นคอ
ที่นี่ไม่ได้มีสมาชิกระดับท็อปและหัวกะทิมากมายเท่าสาขาหลัก
และกว่าสมาชิกสาขาหลักจะมาช่วยทัน ที่นี่ก็คงถูกถล่มเป็นหน้ากลองไปแล้ว
“พวกนักวิทยาศาสตร์ที่ออกไปจากที่นี่เมื่อชั่วโมงก่อนถูกฆ่าเรียบแล้ว
ฉันคิดว่า..อีกไม่นานพวกมันจะมาที่นี่”
หนีไป
หรือ ยอมตายอยู่ที่นี่
นิโคลัสก้มหน้าลงต่ำปกปิดดวงตาที่ฉายแววสับสน
เขากำมือแน่น แต่เดิมทีตนก็ไม่ได้รู้สึกผูกพันอะไรกับที่นี่
ไม่ใช่พวกจงรักภักดีถึงขั้นยอมเสียสละชีวิตเพื่อองค์กรเสียด้วย
ไม่มีครอบครัวที่ต้องพะวงว่าจะมาด่าหรือตำหนิเขาหรือเปล่าที่ไม่ช่วยเหลือองค์กร
เมื่อตัดสินใจได้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองสหายที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ปากหยักเค้นรอยยิ้มเคร่งเครียด
“นายไปก่อนเลยเดวิด
ฉันจะล็อคและหาทางซ่อนห้องนี้เอาไว้ แล้วเดี๋ยวฉันจะตามไปช่วย”
“เข้าใจแล้ว”
สหายร่างกำยำวิ่งจากไปในทันที ดวงตาคู่นั้นฉายแววเชื่อใจนิโคลัสอย่างเต็มเปี่ยม
หารู้ไม่— ว่านิโคลัสไม่คิดจะไปช่วยพวกเขาแต่แรกแล้ว
“เอาล่ะ”
ชายหนุ่มที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในห้องบิดกายไปมา คว้าปืนมาเหน็บไว้ที่ข้างเอว
ในขณะที่สายตาก็สอดส่องไปทั่วห้องแล็ปราวกับกำลังประเมินว่าสิ่งใดสามารถช่วยให้เขารอดชีวิตออกไปจากที่นี่ได้บ้าง
หลังจากที่กอบโกยทุกสิ่งที่คิดว่าน่าจะใช้ได้ไปแล้ว
สายตาของเขาก็สะดุดกับร่างของหญิงสาวที่ยังคงหลับใหลอยู่ในตู้ปลานั่น
“อย่าโทษฉันเลยนะคุณหนู
ชีวิตใครชีวิตมันน่ะ” เขาว่าเสียงเรียบ
พยายามก้าวขาออกจากห้องโดยทิ้งจิตใจที่หนักอึ้งอย่างไร้ที่มาไว้ด้านหลัง ทว่า..
เดินหน้าหนึ่งก้าว
ถอยหลังสามก้าว
เขาทำแบบนี้มาได้พักหนึ่งแล้ว
“โถ่เว้ย!” นิโคลัสสบถ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร..เขาถึงไม่สามารถก้าวขาออกจากห้องแล็ปนี้ไปได้แม้แต่ก้าวเดียว ชายหนุ่มวางของทั้งหมดไว้บนพื้น
รีบรุดไปกระชากสายไฟที่ส่งผ่านพลังงานให้ตู้กระจกที่กักขังร่างของหญิงสาวอยู่ออกอย่างแรง
เมื่อถูกตัดพลังงาน คอมพิวเตอร์ทั้งหมดภายในห้องแล็ปก็ดับลง
เช่นเดียวกับระบบความปลอดภัยของตู้ทดลองที่ถูกปิดลง
ยามเมื่อมันถูกปิด
ตู้ทดลองแห่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับตู้กระจกธรรมดา
นิโคลัสคว้าสิ่งที่ใกล้มือที่สุดมาทุบตู้ทดลองอย่างแรง
เพียงห้าหกครั้งมันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ของเหลวสีฟ้าภายในไหลออกมาจนท่วมถึงตาตุ่ม
เขาใช้กุญแจที่ซ่อนอยู่ในลิ้นชักภายในห้องนั้นปลดโซ่ตรวนตรงข้อเท้าของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว
ดึงสายห้อยระโยงรยางค์นั่นออก ก่อนอุ้มอีกฝ่ายแนบอก
เธอตัวเบามาก
เบาเหมือนปุยนุ่นไม่มีผิด
“เอาล่ะคุณหนู
ในเมื่อเธอไม่ยอมตื่น
ก็อย่าโทษฉันแล้วกันที่เธอจะต้องพลาดฉากต่อสู้ดุเดือดเด็ดๆไป”
ทำไมถึงตัดสินใจแบกภาระชิ้นโตนี่ไปด้วย
นิโคลัสไม่รู้หรอก
เขารู้แต่เพียงว่า
หากเขาทิ้งเธอไว้ที่นี่..
นั่นจะกลายเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาแน่ๆ
“ทำลายองค์กรนี่ให้หมด”
“อ๊ากกกกกกกก”
“กรรรซ์!!!”
“ปกป้องที่นี่!!!”
หญิงสาวค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น
เธอได้ยินเสียงกรีดร้อง
ได้ยินเสียงคำรามกึกก้องคล้ายกับเสียงของสัตว์ป่ายามบาดเจ็บ
ภาพตรงหน้าก็ไม่ใช่อะไรที่น่ามองนัก โดยเฉพาะศพมากมายที่กระจัดกระจายจนเกลื่อนพื้น
บางศพแขนขาด บางศพขาขาด และบางศพก็ไร้หัว— เช่นศพที่อยู่ไม่ห่างจากเธอนักตรงนี้
“อา..”
เธอพยายามเปล่งเสียง ทว่าสิ่งที่ออกมากลับมีเพียงเสียงอ้าอึงเท่านั้น
คงเพราะไม่ได้พูดนานเกินไปเสียงของเธอจึงหายไปจนเกือบหมด เธอพยายามกระดิกนิ้วอย่างยากลำบาก
มองชายหนุ่มที่อุ้มเธอวิ่งด้วยมือเดียว ส่วนมืออีกข้างก็ถือปืนปลิดชีพศัตรูไม่หยุด
พวกมันมีผิวขาวซีดราวกับคนตาย มีเขี้ยวสีขาวมุกที่โผล่พ้นออกมาจากปาก
และเล็บแหลมคมที่คาดว่าสามารถทำลายหินใหญ่ซักก่อนได้โดยการตวัดเพียงครั้งเดียว
ดวงตาสีแดงฉานกวาดมองไปรอบๆ
บรรยากาศหนักอึ้งและกลิ่นคาวเลือดที่อบอวลไปทั่วทำให้เธอรู้สึกร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็น
“ตื่นแล้วเหรอ
คุณหนู”
นิโคลัสที่เดินมาหลบอยู่หลังเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ก้มหน้าถามหญิงสาวในอ้อมแขน ควีเนตต้าเผยอปากคล้ายกำลังจะตอบ
แต่สุดท้ายปากเล็กนั่นก็หุบลงแทนที่ด้วยการพยักหน้ารับแทน
ชายหนุ่มคล้ายเข้าใจว่าเธอยังพูดไม่ได้ในตอนนี้
เขายิ้มแฉ่ง มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เธอรู้สึกเท้ากระตุก
“ฉันอุตส่าห์ช่วยภาระชิ้นโตอย่างเธอ
ถ้ารอดจากที่นี่ไปได้ก็อย่าลืมตอบแทนซะด้วยล่ะ”
ผู้ชายคนนี้นี่มัน..
เธอถอนหายใจ
มองเขาที่กำลังบรรจุกระสุนเงินลงในปืนโดยไม่พูดอะไรอีก ดวงตาสีแซฟไฟร์คู่นั้นสาดส่องโดยรอบอย่างประเมินสถานการณ์
ท่าทีจริงจังนั่นทำให้เธอต้องสะกดกลั้นความร้อนรุ่มในใจไว้ลึกสุดของก้นบึ้ง
เธอเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง คล้ายร่างกายกำลังถูกแผดเผา เธอกระหาย..กระหายมาก
เหมือนมีบางอย่างพยายามควบคุมร่างกายของเธออยู่ตลอดเวลา
โครม!!
เสาหินที่เธอและนิโคลัสหลบอยู่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆด้วยฝีมือการเตะอย่างแรงของพวกมันตนหนึ่ง
โชคดีที่ชายหนุ่มคว้าเธอหลบออกมาได้ทัน
ไม่เช่นนั้นเธอคงเหลือเพียงซากเละๆภายใต้ซากหักปรักพังของเสานี่แน่ๆ
นิโคลัสสบถหยาบ
มองศัตรูที่เป็นเด็กสาวโลลิพลังช้างด้วยแววตาที่เริ่มดำมืดลงเรื่อยๆ
“แวมไพร์ระดับ A..” เขาพึมพำ
ดวงตาหลุบต่ำลงมองคนในอ้อมกอด
จิตใจสองส่วนทะเลาะกันอย่างรุนแรง
เขาควรทิ้งตัวเกะกะนี่ไป— หรือช่วยเหลือเธอจนถึงที่สุด
มันยากที่จะรับมือกับแวมไพร์ระดับสูงโดยที่มีภาระติดตัวอยู่แบบนี้
เขามีเพียงชีวิตเดียว..ควรที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องเด็กสาวที่พึ่งรู้จักกันสามเดือนเศษจริงๆน่ะเหรอ?
แต่..ลางสังหรณ์ของเขากลับกู่ร้องก้องตะโกนว่าเขาไม่ควรทิ้งเธอ
นิโคลัสเท่มาก
แม้ออกจะกระดากไปซักหน่อยที่จะคิดแบบนี้ แต่เขาเท่จริงๆ
โดยเฉพาะตอนที่มือข้างหนึ่งอุ้มเธอเอาไว้ มืออีกข้างค่อยลั่นไกปืน
ส่วนขาก็ดีดตัวหลบการโจมตีของเด็กสาวตัวเล็กนั่นไปเรื่อยๆ
เพราะเห็นท่าทางตั้งอกตั้งใจปกป้องเธอ
เธอจึงไม่อยากบอกเขาเรื่องอาการผิดปกติที่รุมเร้าร่างเธอในตอนนี้ เธอไม่อยากให้เขาเสียสมาธิในการต่อสู้
แต่ว่า..
การโจมตีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของแวมไพร์อีกตนที่พุ่งเข้ามาทำให้นิโคลัสที่ตั้งตัวไม่ทันเผลอปล่อยเธอลงพื้นอย่างแรง
มันเจ็บจริงๆนะ เธอรู้สึกระบมไปทั่วทั้งร่าง คิดเอาไว้เลยว่ามันต้องมีแผลแน่ๆ
เธอพยายามหยัดตัวลุกขึ้นเพื่อตรวจร่างกายของตัวเอง มันไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
แต่ก็เพราะแรงกระแทกนั่นอีกเช่นกัน
ที่ทำให้ผ้าคลุมสีทึบที่ปกปิดศีรษะและใบหน้าของเธอหลุดออก
เผยให้เห็นผมสีขาวโพลนประกายเงินที่แผ่สยายยาวจนถึงสะโพก
“นั่นมัน...”
แวมไพร์ทั้งสองตนที่สู้กับชายหนุ่มเบิกตากว้าง ทั้งคู่สบตากันคล้ายกำลังปรึกษา
ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายจากนิโคลัสแล้วพุ่งมาทางเธออย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย!!!” นิโคลัสอุทานลั่น
หมับ!
มือแกร่งเหนือมนุษย์ของแวมไพร์หนุ่มที่ตามมาทีหลังคว้าหมับเข้าที่ลำคอระหงของเธออย่างแรง
ดวงตาสีส้มทอแสงเรืองรองคล้ายดวงตาของสัตว์ป่า ใบหน้าของเขาดูวาวโรจน์
เขายกเธอจนตัวลอยขึ้นเหนือพื้น หญิงสาวดีดดิ้น รู้สึกทรมานเพราะหายใจไม่ออก
“เจ้าเป็นใคร”
“ป
ปล่อย!” เธอพยายามเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก
ความรู้สึกประหลาดภายในกายพลุ่งพล่าน
“ยัยคุณหนูตู้ปลา!!” นิโคลัสตะโกนลั่น เขาเหนี่ยวไกยิงกระสุนเงินเข้าหาชายคนนั้นแต่ก็ไม่เป็นผล
คล้ายมีพายุพัดแรงจนกระสุนนั่นเปลี่ยนทิศทางไปทางอื่น เขาพยายามจะมาช่วย
แต่ก็ถูกแวมไพร์สาวโลลินั่นขัดขวางด้วยการเตะลอยไปกระแทกกับกำแพงจนกำแพงนั่นถล่มลงมา
ไอพวกเฮงซวยนี่..
“ข้าจะถามอีกครั้ง”
มันกดเสียงต่ำอย่างข่มขู่ “เจ้าเป็นใคร”
“ปล่อย..”
“ตอบมา!! เจ้าเป็นใคร!!”
เธอไม่มีแรงเลย
เธอกระหาย เธอหิว— เธออยากจะฆ่าเจ้าบ้าที่กล้ามาบีบคอเธอเหลือเกิน
แต่ร่างกายของเธอกลับไม่ขยับ มันอาจจะเป็นเพราะไม่มีอะไรตกท้องเธอมาหลายเดือน
ไม่สิ อาจจะหลายปี เพราะแบบนั้นเธอจึงหูอื้ออึง ได้ยินเสียงใครซักคนกระซิบที่ข้างหูอยู่ตลอดเวลา
กินมันสิ
กินพวกมันเลย กินพวกมัน กินพวกมัน
เมฆใหญ่เคลื่อนมาบดบังแสงอาทิตย์จนท้องฟ้าดูหมองมัว
สายฝนที่ไม่น่าจะตกในยามนี้กลับตกกระหน่ำ ม่านตาขยายกว้าง ดวงตาสีแดงดั่งเลือดส่องประกายเรืองรองท่ามกลางสายฝนและความมืดที่โรยตัว
มือที่คิดว่าไร้เรี่ยวแรงไปแล้วกลับพุ่งมาบีบคอชายตรงหน้าคืนอย่างแรงจนมันทำสีหน้าเหยเกอย่างเจ็บปวด
แวมไพร์สาวโลลิที่พุ่งเข้ามาหวังจะช่วยสหายกลับถูกพลังเวทย์ไม่ทราบที่มาโจมตีจนกระเด็นไปอีกฝั่ง
“จ
เจ้า..” แวมไพร์หนุ่มเอ่ยเสียงสั่น มือที่กุมคอของหญิงสาวอยู่ค่อยๆคลายออก
แล้วเปลี่ยนมาแกะมือของหญิงสาวออกจากลำคอของตัวเองแทน ทว่าแม้จะพยายามแค่ไหน
เขาก็ไม่สามารถแกะมือของอีกฝ่ายออกไปได้ มือเล็กนั่นค่อยๆเพิ่มแรงบีบมากขึ้น
เล็บที่งอกยาวออกมาจิกลงตรงลำคอจนกลิ่นเลือดหอมหวานลอยครุ้งไปทั่ว
ก่อนที่เธอจะขว้างชายคนนั้นอย่างแรงจนแผ่นหลังของมันกระแทกกับกำแพงเหล็กกล้าขององค์กรจนเกิดรอยยุบ
สายฝนที่สาดเทลงมาทำให้ร่างกายของเธอเปียกชุ่ม
ทั้งแบบนั้นมันกลับไม่สามารถชำระล้างความหิวกระหายและจิตใจที่ร้อนรุ่มของเธอได้
เธอยกมือขึ้นมาแนบริมฝีปาก
ลิ้นเล็กบรรจงเลียเลือดที่ติดอยู่ตามง่ามนิ้วราวกับกำลังละเมียดละไมอาหารรสเลิศ ดวงตาสีแดงฉานที่ฉายแววเฉื่อยชาหรี่ลง
และริมฝีปากที่เหยียดเป็นเส้นตรงมาตลอดก็คลี่ยิ้มออก
“รสชาติไม่เลวเลย”
ส่วนฉายาคุณหนูตู้ปลา.. เอ่อ อ่า เป็นฉายาที่น่ารัก(?)จังเลยนะคะคุณนิโคลัส บ่งบอกความเอ็นดู(?)ได้ระดับนึงเลย
ไม่รู้ว่าชอบกันรึเปล่า สำนวนการบรรยายเราแปลกๆไปบ้างมั้ย เพราะเอาจริงๆก็ไม่ได้เขียนนิยายแนวอื่นที่ไม่ใช่แฟนฟิคนานมาแล้ว ยิ่งแฟนตาซีเนื้อหาหนักๆนี่ไม่ต้องพูดถึง เรื่องนี้ที่คลอดมาได้ก็เพราะแรงบันดาลจากเรื่อง Owari no Seraph ทั้งนั้นเลยค่ะ แต่วางพล็อตไปวางพล็อตมา ออกมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ (ฮา)
หากมีอะไรอยากติชมก็สามารถคอมเม้นบอกได้เลยนะคะ หากเจอคำผิดก็ทักได้ เราเปิดกว้างพร้อมรับความคิดเห็นคับ! (แต่ใช้คำน่ารักๆหน่อยนะคะ บอกกันดีๆ ใจเราก็มีแค่นิดเดียว รับความรุนแรงไม่ไหว แง T^T )
P.S. สามารถให้กำลังใจได้ด้วยกันเม้นหรือกดรูปหัวใจด้านล่างค่ะ! หรือหากมีทวิตก็สามารถไปหวีดกันได้ที่แฮชแท็กด้านล่างนะคะ ขอบคุณค่า
#ใครปีนเตียงราชินี
ความคิดเห็น