ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านชายทั้งหลาย ช่วยเลิกปีนเตียงองค์ราชินีซักทีเถอะ!!

    ลำดับตอนที่ #3 : Turn 01 – ควีเนตต้า เอลิเซียม

    • อัปเดตล่าสุด 29 มิ.ย. 63


     

    แพขนตาหนากะพริบถี่เพื่อปรับสายตา ดวงเนตรสีแดงฉานราวกับสีของเลือดหลุบต่ำมองขาที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวนที่แสนหนักอึ้ง แขนที่เรียวบางของเธอมีสายระโยงระยางที่เชื่อมกับคอมพิวเตอร์และหลอดใสเล็กๆด้านนอกนั่น มันเป็นอีกวันที่เธอตื่นขึ้นมาในหลอดทดลองที่มีลักษณะคล้ายกับตู้ปลา ภายในเป็นของเหลวสีฟ้าใสที่เธอไม่รู้จัก แต่มั่นใจว่ามันไม่ได้ทำอันตรายอะไรต่อร่างกายของเธอ


    อึดอัด


    เธอคิดในใจ ร่างกายเธอไม่ได้เปลือยเปล่า— ต้องขอบคุณมนุษย์ด้านนอกนั่นที่ยังใจดีหาชุดกระโปรงสีขาวมาให้เธอใส่ แต่ถามว่ามันช่วยอะไรได้มั้ย ก็ไม่..มันเปียกจนแทบจะเห็นร่างกายของเธอไปทุกสัดส่วน (พวกคนเฮงซวย) เธอกลอกตา ลอบมองห้องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เธอไม่รู้จักด้วยสายตาว่างเปล่า


    พวกมนุษย์นั่นคงออกไปข้างนอกอีกตามเคย ดีแล้ว เธอเหนื่อยที่ต้องแกล้งหลับจะแย่


    เธอชื่อ ควีเนตต้า เอลิเซียม..


    เป็น แวมไพร์


    “ตื่นแล้วเหรอคุณหนู”


    เธอมองบุคคลที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวด้วยสายตาอ่านยาก เขาเป็นบุรุษในชุดเครื่องแบบผู้มีผมสีน้ำเงินเข้มและเรือนร่างสูงโปร่งที่มีกล้ามเนื้อไม่มากไม่น้อยจนเกินพอดี หูของเขาประดับด้วยจิวมากมายจนบางครั้งที่เห็นเธอก็อดที่จะนึกถึงตอนเขาเจาะแล้วรู้สึกเจ็บแทนไม่ได้ ดวงตาสีฟ้าอ่อนที่ทอประกายยียวนดูกวนประสาทอยู่เสมอสะท้อนภาพของเธออยู่ในนั้น เขาเฝ้าอยู่ในห้องนี้ตลอด และนั่นคือเหตุผลที่เธอไม่สามารถปิดบังเขา


    ตั้งแต่ครั้งแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมา เธอก็พบว่าตัวเองถูกกักขังไว้ในนี้— ในตู้กระจกที่ดูคล้ายกับตู้ปลา เรี่ยวแรงหดหาย ไม่สามารถแม้แต่จะขยับเขยื้อนปลายนิ้วได้ด้วยซ้ำ


    และแน่นอน ด้วยน้ำที่เต็มตู้นี่..เธอพูดไม่ได้


    เขาบอกเธอว่าเขาชื่อ นิโคลัส โฮลเกอร์ เป็นสมาชิกขององค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์ที่จับเธอมาขังไว้เป็นหนูทดลองแบบนี้ และเป็นเพื่อนคุย(ที่เธอไม่เคยตอบ)เพียงคนเดียว


    “ครั้งนี้เธอหลับไป 3 วันเต็มๆ ปล่อยฉันเหงาอยู่คนเดียวเลยนะ” เขาว่าด้วยสีหน้าไม่ยี่หระ เธอได้ยินทุกคำพูด และอยากอ้าปากตอบไปว่าตัวเองก็ไม่ได้ต้องการหลับนานขนาดนั้นเสียหน่อย แต่เธอกลับไม่มีแรงแม้แต่จะทำแบบนั้น


    น่าบัดซบจริงๆ


    “น่าเบื่อจริง พูดก็ไม่ได้ ขยับก็ไม่ได้” นิโคลัสไล้นิ้วไปตามโครงหน้าของเธอผ่านกระจกบานใส “เธอทำอะไรได้บ้างเนี่ย โคตรไร้ประโยชน์เลยรู้เปล่า”


    ก็ไม่ต้องมาพูดด้วยสิ


    “ฮั่นแน่ ถ้าเธอขยับได้คงขมวดคิ้วแยกเขี้ยวใส่ฉันสินะ เสียใจ ฉันไม่กลัวเธอหรอก”


    งั้นข้าจะฆ่าเจ้าหมกป่า


    “มันโคตรน่าเบื่อเลยรู้มั้ยที่ต้องมามัวเฝ้าเธอเนี่ย เงินเดือนก็ถูกลด แถมยังไม่ได้ออกกำลังอีก” เขาบ่น และนั่นไม่ต่างจากสิ่งที่เขาเคยบ่นออกมาเมื่อสัปดาห์ก่อนเลยแม้แต่น้อย


    ก็ไม่ต้องมาเฝ้าข้า


    ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบหน้าเขาซักเท่าไหร่ แน่นอน นั่นเพราะนิสัยยียวนกวนส้นเท้าแม้แต่กับคนที่กึ่งพิการอย่างเธอ แต่เธอก็ต้องขอบคุณเขาไม่น้อย..


    ตั้งแต่เธอลืมตาตื่นขึ้นมาครั้งแรกเมื่อราวๆ 1 เดือนก่อน ความทรงจำของเธอก็ขาดๆหายๆและไม่ครบถ้วนนัก ที่พอจะจำได้เห็นจะมีเพียงชื่อ นามสกุล เรื่องราวก่อนหลับไปเพียงบางส่วน และปราสาทหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางป่าทึบเท่านั้น


    สิ่งแรกที่เห็นคือความมืด คนแรกที่เห็นก็คือเขา


    เขาเป็นคนเล่าเรื่องราวภายนอกที่ตนเคยพบเจอให้เธอฟัง (เอาเถอะ ตอนแรกเธอไม่คิดว่านิโคลัสจะเป็นคนพูดมากแบบนั้น แต่หลังจากนั้นเธอก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่) เขาคล้ายกับไม่รู้จะพูดอะไรเลยเล่าไปเรื่อยๆ พูดไปเรื่อยๆ อย่างน้อยมันก็แก้เหงาและทำให้เธอได้รู้อะไรหลายๆอย่างมากขึ้น กลายเป็นความผูกพันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นตลอด 1 เดือน


    เขาบอกว่าโลกใบนี้ถูกปกครองโดยแวมไพร์ มีเพียงไม่กี่ดินแดนเท่านั้นที่ถูกปกครองโดยมนุษย์


    โมลันเทียเป็นหนึ่งในไม่กี่ดินแดนนั้น


    แวมไพร์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังที่สุด แข็งแกร่งที่สุด น่ากลัวที่สุด และมีอำนาจมากที่สุด มนุษย์ไม่เคยต่อกรกับพวกมันได้ ไม่เคยกวาดล้างพวกมันได้ แม้แต่องค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์เอง— ก็ทำได้เพียงตามล่าพวกแวมไพร์ที่เข้ามาก่อปัญหาในดินแดนมนุษย์เท่านั้น


    นิโคลัสยังเคยพูดอีกว่าเธอไม่ใช่มนุษย์


    หากไม่เป็นมนุษย์ทดลองที่พวกนักวิทยาศาสตร์นั่นสร้างขึ้น ก็คงเป็นแวมไพร์ที่ถูกจับมาทดลอง


                แน่นอน มันไม่ใช่อย่างแรกแต่เป็นอย่างหลัง


                เธอไม่เคยตอบเขา ปล่อยให้ความสัมพันธ์ที่ไร้ชื่อเรียกนี้ดำเนินต่อไปโดยไม่คิดขัดขืน


                แม้เพียงเล็กน้อย แต่ทั้งคำพูดและเรื่องราวของเขาได้ซึมซับลงในใจของเธอไปทีละน้อยจนในที่สุดมันก็แทบจะล้นปรี่ สายสัมพันธ์ที่ถูกถักทอขึ้นโดยวิธีแปลกประหลาดและไร้ชื่อกลายเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันและผูกพวกเธอไว้ด้วยกันราวโซ่ตรวน


                และน่าแปลก ที่ทั้งเธอและเขาก็ไม่เคยคิดที่จะตัดมัน

     



                “เฝ้าไว้ให้ดีๆล่ะ” นิโคลัสแคะขี้หูฟังสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์นั่นย้ำรอบที่ล้านด้วยสายตาเบื่อหน่าย นี่ก็สามเดือนมาแล้วนับตั้งแต่ที่เขาได้รับมอบหมายให้มาเฝ้าที่นี่ เขาขานรับในลำคอ แทบจะโบกมือไล่ให้พวกน่ารำคาญรีบออกไปจากที่นี่ซักที


                ให้ตายสิ คุณหนูในตู้ปลา(?)นั่นก็เอาแต่หลับอยู่ได้ นี่ก็เกิน 1 สัปดาห์มาแล้ว ทำไมยังไม่ตื่นขึ้นมาอีก


                “เฮ้ คุณหนู หรือว่าเธอตายไปแล้ว?” เขาเคาะตู้กระจกเบาๆ แต่ก็ยังไร้ซึ่งการตอบกลับ ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมาคุณหนูในตู้ปลานั่นไม่เคยหลับไปเกินสัปดาห์เลยซักครั้ง หรือเธอจะตายไปแล้วจริงๆ?


                ดวงตาสีฟ้าไร้ประกายมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของหญิงสาวอย่างครุ่นคิด


                ในตอนนั้นเองที่เขาสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนจากด้านบน ได้ยินเสียงเอะอะและเสียงกรีดร้อง ได้ยินเสียงฝีเท้าจากพวกเพื่อนยามหน้าประตูที่กำลังวิ่งห่างออกไป


              มีบางอย่างผิดปกติ


                “โฮลเกอร์!!” เพื่อนชายที่อยู่ด้านนอกเปิดประตูเข้ามาอย่างแรง สีหน้าของอีกฝ่ายดูตื่นตะหนก นิโคลัสขมวดคิ้วเป็นปม “เกิดอะไรขึ้น”


                “พวกมันบุกมาที่นี่!!


              ไม่จริงน่า พวกมันจะบุกมาที่นี่ทำไม!? เขาเม้มริมฝีปาก พยายามข่มความตื่นตะหนกเอาไว้


                “คลาสล่ะ พวกที่บุกเข้ามา..คลาสอะไร” เพื่อนชายร่างกำยำดูลำบากใจที่จะพูดอย่างเห็นได้ชัด อีกฝ่ายหลุบตาต่ำลง ก่อนเอ่ยเสียงเบาคล้ายเสียงกระซิบ


                C ไปจนถึง A


              ไม่มีแล้ว ไม่มีโอกาสรอดแล้ว


                แม้แต่เขาที่ถือเป็นนักล่าตัวท็อปของสาขาโมลันเทียแห่งนี้ แค่จะฆ่าแวมไพร์คลาส A ซักคนก็แทบหืดขึ้นคอ ที่นี่ไม่ได้มีสมาชิกระดับท็อปและหัวกะทิมากมายเท่าสาขาหลัก และกว่าสมาชิกสาขาหลักจะมาช่วยทัน ที่นี่ก็คงถูกถล่มเป็นหน้ากลองไปแล้ว


                “พวกนักวิทยาศาสตร์ที่ออกไปจากที่นี่เมื่อชั่วโมงก่อนถูกฆ่าเรียบแล้ว ฉันคิดว่า..อีกไม่นานพวกมันจะมาที่นี่”


              หนีไป หรือ ยอมตายอยู่ที่นี่


                นิโคลัสก้มหน้าลงต่ำปกปิดดวงตาที่ฉายแววสับสน เขากำมือแน่น แต่เดิมทีตนก็ไม่ได้รู้สึกผูกพันอะไรกับที่นี่ ไม่ใช่พวกจงรักภักดีถึงขั้นยอมเสียสละชีวิตเพื่อองค์กรเสียด้วย ไม่มีครอบครัวที่ต้องพะวงว่าจะมาด่าหรือตำหนิเขาหรือเปล่าที่ไม่ช่วยเหลือองค์กร เมื่อตัดสินใจได้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองสหายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ปากหยักเค้นรอยยิ้มเคร่งเครียด


                “นายไปก่อนเลยเดวิด ฉันจะล็อคและหาทางซ่อนห้องนี้เอาไว้ แล้วเดี๋ยวฉันจะตามไปช่วย”


                “เข้าใจแล้ว” สหายร่างกำยำวิ่งจากไปในทันที ดวงตาคู่นั้นฉายแววเชื่อใจนิโคลัสอย่างเต็มเปี่ยม หารู้ไม่— ว่านิโคลัสไม่คิดจะไปช่วยพวกเขาแต่แรกแล้ว


                “เอาล่ะ” ชายหนุ่มที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในห้องบิดกายไปมา คว้าปืนมาเหน็บไว้ที่ข้างเอว ในขณะที่สายตาก็สอดส่องไปทั่วห้องแล็ปราวกับกำลังประเมินว่าสิ่งใดสามารถช่วยให้เขารอดชีวิตออกไปจากที่นี่ได้บ้าง หลังจากที่กอบโกยทุกสิ่งที่คิดว่าน่าจะใช้ได้ไปแล้ว สายตาของเขาก็สะดุดกับร่างของหญิงสาวที่ยังคงหลับใหลอยู่ในตู้ปลานั่น


                “อย่าโทษฉันเลยนะคุณหนู ชีวิตใครชีวิตมันน่ะ” เขาว่าเสียงเรียบ พยายามก้าวขาออกจากห้องโดยทิ้งจิตใจที่หนักอึ้งอย่างไร้ที่มาไว้ด้านหลัง ทว่า..


                เดินหน้าหนึ่งก้าว ถอยหลังสามก้าว


                เขาทำแบบนี้มาได้พักหนึ่งแล้ว


                “โถ่เว้ย!” นิโคลัสสบถ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร..เขาถึงไม่สามารถก้าวขาออกจากห้องแล็ปนี้ไปได้แม้แต่ก้าวเดียว ชายหนุ่มวางของทั้งหมดไว้บนพื้น รีบรุดไปกระชากสายไฟที่ส่งผ่านพลังงานให้ตู้กระจกที่กักขังร่างของหญิงสาวอยู่ออกอย่างแรง เมื่อถูกตัดพลังงาน คอมพิวเตอร์ทั้งหมดภายในห้องแล็ปก็ดับลง เช่นเดียวกับระบบความปลอดภัยของตู้ทดลองที่ถูกปิดลง


                ยามเมื่อมันถูกปิด ตู้ทดลองแห่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับตู้กระจกธรรมดา


                นิโคลัสคว้าสิ่งที่ใกล้มือที่สุดมาทุบตู้ทดลองอย่างแรง เพียงห้าหกครั้งมันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ของเหลวสีฟ้าภายในไหลออกมาจนท่วมถึงตาตุ่ม เขาใช้กุญแจที่ซ่อนอยู่ในลิ้นชักภายในห้องนั้นปลดโซ่ตรวนตรงข้อเท้าของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว ดึงสายห้อยระโยงรยางค์นั่นออก ก่อนอุ้มอีกฝ่ายแนบอก


                เธอตัวเบามาก เบาเหมือนปุยนุ่นไม่มีผิด


                “เอาล่ะคุณหนู ในเมื่อเธอไม่ยอมตื่น ก็อย่าโทษฉันแล้วกันที่เธอจะต้องพลาดฉากต่อสู้ดุเดือดเด็ดๆไป”


                ทำไมถึงตัดสินใจแบกภาระชิ้นโตนี่ไปด้วย นิโคลัสไม่รู้หรอก


                เขารู้แต่เพียงว่า หากเขาทิ้งเธอไว้ที่นี่..


    นั่นจะกลายเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาแน่ๆ

     



                “รีบตามหาคฑาของท่านกลอเรีย!


                “ทำลายองค์กรนี่ให้หมด”


                “อ๊ากกกกกกกก”


                “กรรรซ์!!!


                “ปกป้องที่นี่!!!


                หญิงสาวค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น เธอได้ยินเสียงกรีดร้อง ได้ยินเสียงคำรามกึกก้องคล้ายกับเสียงของสัตว์ป่ายามบาดเจ็บ ภาพตรงหน้าก็ไม่ใช่อะไรที่น่ามองนัก โดยเฉพาะศพมากมายที่กระจัดกระจายจนเกลื่อนพื้น บางศพแขนขาด บางศพขาขาด และบางศพก็ไร้หัว— เช่นศพที่อยู่ไม่ห่างจากเธอนักตรงนี้


                “อา..” เธอพยายามเปล่งเสียง ทว่าสิ่งที่ออกมากลับมีเพียงเสียงอ้าอึงเท่านั้น คงเพราะไม่ได้พูดนานเกินไปเสียงของเธอจึงหายไปจนเกือบหมด เธอพยายามกระดิกนิ้วอย่างยากลำบาก มองชายหนุ่มที่อุ้มเธอวิ่งด้วยมือเดียว ส่วนมืออีกข้างก็ถือปืนปลิดชีพศัตรูไม่หยุด พวกมันมีผิวขาวซีดราวกับคนตาย มีเขี้ยวสีขาวมุกที่โผล่พ้นออกมาจากปาก และเล็บแหลมคมที่คาดว่าสามารถทำลายหินใหญ่ซักก่อนได้โดยการตวัดเพียงครั้งเดียว


    ดวงตาสีแดงฉานกวาดมองไปรอบๆ บรรยากาศหนักอึ้งและกลิ่นคาวเลือดที่อบอวลไปทั่วทำให้เธอรู้สึกร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็น


                “ตื่นแล้วเหรอ คุณหนู” นิโคลัสที่เดินมาหลบอยู่หลังเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ก้มหน้าถามหญิงสาวในอ้อมแขน ควีเนตต้าเผยอปากคล้ายกำลังจะตอบ แต่สุดท้ายปากเล็กนั่นก็หุบลงแทนที่ด้วยการพยักหน้ารับแทน


                ชายหนุ่มคล้ายเข้าใจว่าเธอยังพูดไม่ได้ในตอนนี้ เขายิ้มแฉ่ง มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เธอรู้สึกเท้ากระตุก


                “ฉันอุตส่าห์ช่วยภาระชิ้นโตอย่างเธอ ถ้ารอดจากที่นี่ไปได้ก็อย่าลืมตอบแทนซะด้วยล่ะ”


              ผู้ชายคนนี้นี่มัน..


                เธอถอนหายใจ มองเขาที่กำลังบรรจุกระสุนเงินลงในปืนโดยไม่พูดอะไรอีก ดวงตาสีแซฟไฟร์คู่นั้นสาดส่องโดยรอบอย่างประเมินสถานการณ์ ท่าทีจริงจังนั่นทำให้เธอต้องสะกดกลั้นความร้อนรุ่มในใจไว้ลึกสุดของก้นบึ้ง เธอเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง คล้ายร่างกายกำลังถูกแผดเผา เธอกระหาย..กระหายมาก


                เหมือนมีบางอย่างพยายามควบคุมร่างกายของเธออยู่ตลอดเวลา


                โครม!! เสาหินที่เธอและนิโคลัสหลบอยู่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆด้วยฝีมือการเตะอย่างแรงของพวกมันตนหนึ่ง โชคดีที่ชายหนุ่มคว้าเธอหลบออกมาได้ทัน ไม่เช่นนั้นเธอคงเหลือเพียงซากเละๆภายใต้ซากหักปรักพังของเสานี่แน่ๆ นิโคลัสสบถหยาบ มองศัตรูที่เป็นเด็กสาวโลลิพลังช้างด้วยแววตาที่เริ่มดำมืดลงเรื่อยๆ


                “แวมไพร์ระดับ A..” เขาพึมพำ ดวงตาหลุบต่ำลงมองคนในอ้อมกอด


                จิตใจสองส่วนทะเลาะกันอย่างรุนแรง เขาควรทิ้งตัวเกะกะนี่ไป— หรือช่วยเหลือเธอจนถึงที่สุด


                มันยากที่จะรับมือกับแวมไพร์ระดับสูงโดยที่มีภาระติดตัวอยู่แบบนี้ เขามีเพียงชีวิตเดียว..ควรที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องเด็กสาวที่พึ่งรู้จักกันสามเดือนเศษจริงๆน่ะเหรอ?


                แต่..ลางสังหรณ์ของเขากลับกู่ร้องก้องตะโกนว่าเขาไม่ควรทิ้งเธอ


                นิโคลัสเท่มาก แม้ออกจะกระดากไปซักหน่อยที่จะคิดแบบนี้ แต่เขาเท่จริงๆ โดยเฉพาะตอนที่มือข้างหนึ่งอุ้มเธอเอาไว้ มืออีกข้างค่อยลั่นไกปืน ส่วนขาก็ดีดตัวหลบการโจมตีของเด็กสาวตัวเล็กนั่นไปเรื่อยๆ เพราะเห็นท่าทางตั้งอกตั้งใจปกป้องเธอ เธอจึงไม่อยากบอกเขาเรื่องอาการผิดปกติที่รุมเร้าร่างเธอในตอนนี้ เธอไม่อยากให้เขาเสียสมาธิในการต่อสู้ แต่ว่า..


                การโจมตีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของแวมไพร์อีกตนที่พุ่งเข้ามาทำให้นิโคลัสที่ตั้งตัวไม่ทันเผลอปล่อยเธอลงพื้นอย่างแรง มันเจ็บจริงๆนะ เธอรู้สึกระบมไปทั่วทั้งร่าง คิดเอาไว้เลยว่ามันต้องมีแผลแน่ๆ เธอพยายามหยัดตัวลุกขึ้นเพื่อตรวจร่างกายของตัวเอง มันไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน


                แต่ก็เพราะแรงกระแทกนั่นอีกเช่นกัน ที่ทำให้ผ้าคลุมสีทึบที่ปกปิดศีรษะและใบหน้าของเธอหลุดออก เผยให้เห็นผมสีขาวโพลนประกายเงินที่แผ่สยายยาวจนถึงสะโพก


                “นั่นมัน...” แวมไพร์ทั้งสองตนที่สู้กับชายหนุ่มเบิกตากว้าง ทั้งคู่สบตากันคล้ายกำลังปรึกษา ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายจากนิโคลัสแล้วพุ่งมาทางเธออย่างรวดเร็ว


                “เฮ้ย!!!” นิโคลัสอุทานลั่น


              หมับ!


                มือแกร่งเหนือมนุษย์ของแวมไพร์หนุ่มที่ตามมาทีหลังคว้าหมับเข้าที่ลำคอระหงของเธออย่างแรง ดวงตาสีส้มทอแสงเรืองรองคล้ายดวงตาของสัตว์ป่า ใบหน้าของเขาดูวาวโรจน์ เขายกเธอจนตัวลอยขึ้นเหนือพื้น หญิงสาวดีดดิ้น รู้สึกทรมานเพราะหายใจไม่ออก


                “เจ้าเป็นใคร”


                “ป ปล่อย!” เธอพยายามเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ความรู้สึกประหลาดภายในกายพลุ่งพล่าน


                “ยัยคุณหนูตู้ปลา!!” นิโคลัสตะโกนลั่น เขาเหนี่ยวไกยิงกระสุนเงินเข้าหาชายคนนั้นแต่ก็ไม่เป็นผล คล้ายมีพายุพัดแรงจนกระสุนนั่นเปลี่ยนทิศทางไปทางอื่น เขาพยายามจะมาช่วย แต่ก็ถูกแวมไพร์สาวโลลินั่นขัดขวางด้วยการเตะลอยไปกระแทกกับกำแพงจนกำแพงนั่นถล่มลงมา


              ไอพวกเฮงซวยนี่..


                “ข้าจะถามอีกครั้ง” มันกดเสียงต่ำอย่างข่มขู่ “เจ้าเป็นใคร”


                “ปล่อย..”


                “ตอบมา!! เจ้าเป็นใคร!!


                เธอไม่มีแรงเลย เธอกระหาย เธอหิว— เธออยากจะฆ่าเจ้าบ้าที่กล้ามาบีบคอเธอเหลือเกิน แต่ร่างกายของเธอกลับไม่ขยับ มันอาจจะเป็นเพราะไม่มีอะไรตกท้องเธอมาหลายเดือน ไม่สิ อาจจะหลายปี เพราะแบบนั้นเธอจึงหูอื้ออึง ได้ยินเสียงใครซักคนกระซิบที่ข้างหูอยู่ตลอดเวลา


              กินมันสิ กินพวกมันเลย กินพวกมัน กินพวกมัน


                เมฆใหญ่เคลื่อนมาบดบังแสงอาทิตย์จนท้องฟ้าดูหมองมัว สายฝนที่ไม่น่าจะตกในยามนี้กลับตกกระหน่ำ ม่านตาขยายกว้าง ดวงตาสีแดงดั่งเลือดส่องประกายเรืองรองท่ามกลางสายฝนและความมืดที่โรยตัว มือที่คิดว่าไร้เรี่ยวแรงไปแล้วกลับพุ่งมาบีบคอชายตรงหน้าคืนอย่างแรงจนมันทำสีหน้าเหยเกอย่างเจ็บปวด แวมไพร์สาวโลลิที่พุ่งเข้ามาหวังจะช่วยสหายกลับถูกพลังเวทย์ไม่ทราบที่มาโจมตีจนกระเด็นไปอีกฝั่ง


                “จ เจ้า..” แวมไพร์หนุ่มเอ่ยเสียงสั่น มือที่กุมคอของหญิงสาวอยู่ค่อยๆคลายออก แล้วเปลี่ยนมาแกะมือของหญิงสาวออกจากลำคอของตัวเองแทน ทว่าแม้จะพยายามแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถแกะมือของอีกฝ่ายออกไปได้ มือเล็กนั่นค่อยๆเพิ่มแรงบีบมากขึ้น เล็บที่งอกยาวออกมาจิกลงตรงลำคอจนกลิ่นเลือดหอมหวานลอยครุ้งไปทั่ว ก่อนที่เธอจะขว้างชายคนนั้นอย่างแรงจนแผ่นหลังของมันกระแทกกับกำแพงเหล็กกล้าขององค์กรจนเกิดรอยยุบ


                สายฝนที่สาดเทลงมาทำให้ร่างกายของเธอเปียกชุ่ม ทั้งแบบนั้นมันกลับไม่สามารถชำระล้างความหิวกระหายและจิตใจที่ร้อนรุ่มของเธอได้


                เธอยกมือขึ้นมาแนบริมฝีปาก ลิ้นเล็กบรรจงเลียเลือดที่ติดอยู่ตามง่ามนิ้วราวกับกำลังละเมียดละไมอาหารรสเลิศ ดวงตาสีแดงฉานที่ฉายแววเฉื่อยชาหรี่ลง และริมฝีปากที่เหยียดเป็นเส้นตรงมาตลอดก็คลี่ยิ้มออก


                “รสชาติไม่เลวเลย”



     น้องควีนเป็นนางเอกที่มีความแมรี่ซูในตัวเองสูงค่ะ (ฮา) แต่เก่งยังไงก็มีพลาดกันบ้าง แต่อาจจะไม่ใช่ตอนนี้ ? 

    น้องเก่งนะคะ ไม่ได้ใสซื่ออะไรเลย ไม่ถึงขั้นลืมทุกเรื่อง แค่ความจำบางส่วน(ส่วนใหญ่)หายไปก็เท่านั้น 

    ส่วนฉายาคุณหนูตู้ปลา.. เอ่อ อ่า เป็นฉายาที่น่ารัก(?)จังเลยนะคะคุณนิโคลัส บ่งบอกความเอ็นดู(?)ได้ระดับนึงเลย

    ไม่รู้ว่าชอบกันรึเปล่า สำนวนการบรรยายเราแปลกๆไปบ้างมั้ย เพราะเอาจริงๆก็ไม่ได้เขียนนิยายแนวอื่นที่ไม่ใช่แฟนฟิคนานมาแล้ว ยิ่งแฟนตาซีเนื้อหาหนักๆนี่ไม่ต้องพูดถึง เรื่องนี้ที่คลอดมาได้ก็เพราะแรงบันดาลจากเรื่อง Owari no Seraph ทั้งนั้นเลยค่ะ แต่วางพล็อตไปวางพล็อตมา ออกมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ (ฮา)

    หากมีอะไรอยากติชมก็สามารถคอมเม้นบอกได้เลยนะคะ หากเจอคำผิดก็ทักได้ เราเปิดกว้างพร้อมรับความคิดเห็นคับ! (แต่ใช้คำน่ารักๆหน่อยนะคะ บอกกันดีๆ ใจเราก็มีแค่นิดเดียว รับความรุนแรงไม่ไหว แง T^T ) 

    P.S. สามารถให้กำลังใจได้ด้วยกันเม้นหรือกดรูปหัวใจด้านล่างค่ะ! หรือหากมีทวิตก็สามารถไปหวีดกันได้ที่แฮชแท็กด้านล่างนะคะ ขอบคุณค่า

    #ใครปีนเตียงราชินี




    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×