คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 02 | Burn robe.
หลังจากที่ยังงงกับสถานการณ์ก่อนหน้า
พอรู้ตัวอีกทีก็กลับมาที่คฤหาสน์มัลฟอยกับเดรกแล้ว ซินเซียไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมคุณพ่อลูซถึงต้องโกรธคุณเกรฟส์อะไรขนาดนั้น เธอนึกย้อนถึงสายตาของพ่อ มันเป็นสายตาของความกลัว เพอร์ซิวาล เกรฟส์—เขาเป็นใครกันแน่ ที่สำคัญลูกชายของเขา
โทมัส เกรฟส์ มันมีบรรยากาศหนักอึ้งบางอย่างที่เจ้าตัวปกปิดไว้อยู่
ต้องระวังสองคนนี้ให้มากกว่านี้ซะแล้ว
“คิดอะไรของเธออยู่กัน” เดรโกยื่นหน้าหาแฝดน้อง “ทำหน้าย่นเหมือนตัวเมิร์ตแรปเลย
“นายอยากโดนสาปเป็นตัวมิงค์ไหมเดรก?” เธอขู่และกำลังเดินกลับห้อง
แต่เดรโกคว้าแขนซินเซียไว้ “เดี๋ยวสิ” แล้วชูห่อผ้าส่งมอบให้เธอ “รับไป แล้วเปิดดู”
ซินเซียรับมา
แล้วเปิดห่อผ้าตามที่แฝดพี่บอก “ให้ฉันเหรอเดรก!” เธอร้องด้วยความดีใจ เมื่อเห็นเจ้าสิ่งที่อยู่ด้านใน มันเป็นอีกาตัวใหญ่ ที่มีขนสีดำทมิฬเงางามแซมสีน้ำเงินที่ปลายปีกสองด้าน
เดรโกยกยิ้มอย่างพอใจ “ใช่......สุขสันต์วันที่เธอกลับมาแข็งแรงนะ” ของขวัญชิ้นนี้เขาซื้อด้วยเงินเก็บของตนเอง ซินเสียนกฮูกตัวแรกไปตั้งแต่ปีหนึ่งและไม่เลี้ยงสัตว์ตัวไหนอีกเลย เห็นเธอบอกไม่อยากได้นกฮูก แล้วเธอก็ไม่ชอบคางคกและแพ้ขนแมว เขาเลยเลือกเจ้าตัวนี้จากร้านขายสัตว์วิเศษมา
มันเป็นอีกาผสมกับตัวจอบเบอร์นอลล์ เขาคิดว่าคงถูกใจเธอเพราะซินเซียชอบสีดำกับสีน้ำเงิน
“ชอบรึเปล่า?” เขาถามด้วยความหวัง
“ชอบสิ
ชอบมาก” ซินเซียวางกรงนกลง
แล้วกระโดดกอดแฝดพี่แน่น “ขอบใจเดรก
รักนายที่สุดเลย”
“ห้ามรักฉันมากกว่าใครล่ะ” เดรกโกกอดตอบ พร้อมกระเซ้าแหย่ “ไปเถอะ
ฉันคิดว่าเราควรแยกย้ายเข้าห้อง เธอจะได้พักด้วย”
“อื้ม” เธอพยักหน้ารับ ต่างคนต่างแยกย้ายกันเข้าห้อง เมื่อซินเซียกลับมาที่ห้องนอนของตนเองพร้อมเจ้าอีกาที่เธอขอตั้งชื่อให้มันว่าฮิวโก้ เธอวางกรงสีเงินไว้ที่โต๊ะข้างเตียง แล้วกำลังถอดเสื้อโค้ทกันหนาวออก “อะไรเนี่ย?” แต่เธอดันพบของบางอย่างใส่เข้ามาในกระเป๋าเสื้อ เด็กสาวลองล้วงออกมา จึงพบว่าเป็นนาฬิกาพกโบราณที่เข็มไม่เดินแล้ว
“มาได้ไง” ซินเซียพึมพำ แต่พอนึกย้อนดีๆ มันอาจมาจากตอนนั้น ตอนที่โทมัสชนเธอ เพื่ออะไร? เขาจะเอาของเสียๆพรรค์นี้มาให้เธอทำไมกัน ต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่องซะแล้ว—แต่ตอนไหนล่ะ
ในเมื่อไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบโทมัสอีกเมื่อไหร่ แค่เริ่มชีวิตที่สองไม่ทันไร
ก็สัมผัสได้ว่าต้องมีเรื่องวุ่นวายตามมาอย่างแน่นอน
ในที่วันที่หนึ่งกันยายนก็มาถึง เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เป็นวันที่เหล่าพ่อมดและแม่มดน้อยพากันเปิดภาคเรียนและมุ่งไปที่ชานชาลาเก้าเศษสามส่วนสี่เพื่อเดินทางไปศึกษาที่ฮอกวอตส์ ซินเซียยังคงตื่นตาตื่นใจไม่หาย ยิ่งเปิดภาคเรียนเธอยิ่งตื่นเต้น เธอกับเดรกเข็นสัมภาระไปเก็บเรียบร้อย แล้วที่เหลือคือการกอดสั่งลาและรับคำอวยพรจากคนเป็นพ่อเป็นแม่
“แม่ต้องรักษาสุขภาพนะคะ” ซินเซียกล่าว ยืนนิ่งให้คุณหญิงมัลฟอยลูบหัวเธอด้วยความเอ็นดู และเธอก็วกสายตาหาลูเซียสที่ยืนนิ่งอยู่ใกล้กัน
เธอเขย่งตัวสุดฤทธิ์ โอบรอบคอ โน้มหน้าหอมแก้มคุณพ่อ “พ่อด้วย
หนูไม่อยู่ อย่าทำอะไรเกินตัวนะคะ”
ลูเซียสเบิกตาโพลง
แทบจับไม้เท้าบนมือไม่อยู่ ร่างกายสั่นเทิ้ม แต่เขาจำต้องเก็บอาการ
สวมใส่หน้ากากน้ำแข็ง เนื่องจากที่นี่มีผู้วิเศษอยู่มากมาย
จะเสียอาการไม่ได้เด็ดขาด ทำไมกัน—ทำไมการส่งลูกสาวไปเรียนครั้งนี้
ถึงได้ทำใจยากนัก เขาอยากจะกอดเจ้าซาเล็มน้อยไม่ให้ไปไหน อยากจะเก็บไว้ในคฤหาสน์ให้พ้นสายตาจากหนอนแมลงทั้งหลาย
ให้ตายสิเมอร์ลิน!! เขาอยากจะตามเจ้าซาเล็มไปที่ฮอกวอตส์
นาร์ซิสซามองขบวนรถไฟแล่นออกจากชานชาลา วกสายตากลับมาหาสามีตนที่แสร้งตีหน้านิ่งแล้วอดขำไม่ได้ “ไม่บอกลาลูกหน่อยเหรอคะที่รัก”
“ก็อยากพูดอยู่ แต่ผมก็เขินเป็นนะที่รัก” น้อยครั้งมากที่ลูกสาวจะมาออดอ้อนหรือหอมแก้ม อย่าว่าแต่ทำอะไรพวกนั้นเลย แค่จะเข้าหาเขายังน้อยด้วยซ้ำ แต่เขาดีใจ—ที่เจ้าซาเล็มน้อยทำตัวน่ารักขึ้น
น่ารักเสียจนอดคิดไม่ได้ว่าหากมีหนุ่มหน้าไหนมาจีบเขาจะทนได้อย่างไร แน่นอนเขาทนไม่ได้ พอคิดแบบนั้น
เขาอยากจะหักไม้เท้าบนมือทิ้งเพื่อระบายอารมณ์เสีย
นี่สินะอาการพ่อหวงลูกสาว แต่ช่างเถอะ—เขาคงไม่ห่วงอะไรแล้ว
เพราะเขาได้ฝากฝังการดูแลเจ้าซาเล็มน้อยกับลูกชายคนโตเรียบร้อย เขาสอนเดรโกไปทั้งหมด ถึงกลวิธีการกำจัดหนอนแมลงที่เขาเขียนเองกับมือ
พ่อฝากน้องด้วยเดรโก
ลูกคือความหวังของพ่อ!
ตัดไปบนรถไฟที่แน่นขนัดด้วยผู้คน ภายในนั้นวุ่นวาย
เนื่องจากเด็กหลายคนยังไม่ได้เก็บสัมภาระหรือเลือกที่นั่งของตนเอง ซินเซียต้องฝ่าความแออัด แต่ดีที่ได้เดรกคอยจูงมือนำทางและเป็นโชคของพวกเราที่ไม่ต้องหาตู้นั่งเอง
เพราะสหายในบ้านสลิธีรินจองตู้นั่งให้แล้ว
“ดูเธอสิซิน
เธอหายดีแล้วจริงๆ” เสียงใสเอ่ยทักทาย ซินเซียรู้ได้ทันทีว่าเด็กผู้หญิงผมบ๊อบสั้นสีดำคนนี้ต้องเป็นแพนซี่ ว้าว—แต่มันน่าแปลกตรงที่แพนซี่คนนี้หน้าตาน่ารักกว่าที่ในหนังสือบรรยายไว้ลิบลับ ไม่มีเค้าความเป็นหมาแมนจูเหมือนที่ป้าเจเคบอกเลย
ปึก!
“นายมองอะไรของนายเบลส!” เดรโกใช้ศอกกระทุ้งเพื่อนผิวสี เนื่องจากเบลสจ้องแฝดน้องของเขาตาเป็นมันตั้งแต่ที่ซินก้าวเข้ามาในตู้
“ก็แค่มองไม่ได้หรือไง” เบลสบ่น ก็แค่มองเพื่อนสาวที่ดูดีขึ้นจดผิดหูผิดตาแค่นั้นเอง
“ไม่ได้!!” เดรโกสวนทันควัน
บทสนทนากับเสียงหัวเราะของเด็กบ้านสลิธีรินได้ผ่านพ้นไป ขบวนรถไฟแล่นมาถึงสะพานได้สักพักก็หยุดกระทันหัน จนเด็กที่ไม่ทันได้ตั้งตัวต่างระเนระนาดไปกองกับพื้น “บ้าอะไรกันเนี่ย?” เบลสโพล่งขึ้น รีบตั้งตัวเพื่อโผล่หน้าออกไปนอกตู้และพยายามมองออกไปนอกหน้าต่างอันรางเลือน เด็กหนุ่มผิวสีมองอะไรแทบไม่เห็นเนื่องจากมีเม็ดฝนกับฝ้าเกาะเต็มกระจกและไฟด้านในก็ดับหมด
“มีบางอย่างอยู่ด้านนอก” ทีโอดอร์สหายบ้านสลิธีรินอีกคนพูดขึ้น เขาเห็นก้อนสีดำๆบางอย่างบินร่อนอยู่ด้านนอก
“อาจจะเป็นผู้คุมวิญญาณ” ซินเซียเสริม ถ้านับช่วงเวลาแล้ว
ตอนนี้เป็นช่วงที่พวกผู้คุมวิญญาณกำลังตามหาซีเรียส
แบล็คที่คาดว่าอาจจะมาหลบหนีอยู่บนขบวนรถไฟแห่งนี้ เธอคิดและก็นั่งด้วยท่าทีสบายๆ
กำลังกอดไล่ความหนาว อยู่เฉยๆปล่อยให้แพนซี่กอดเธอโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไม่ได้มีความกลัว ไม่กลัวเลย......ไม่กลัวจริงๆ ไม่กลัวก็บ้าแล้ว!!
ตอนนี้กลัวจนไม่รู้จะสวดมนต์บทไหนก่อนดี ตั้งนะโมสามจบก็สวดผิดๆถูกๆ แกร๊ก เสียงกลอนประตูถูกสะเดาะออก ทุกคนในตู้ชะงักกึก นั่งตัวแข็งทื่อไม่กล้าแม้แต่หายใจแรง แพนซี่กอดเธอแน่นกว่าเดิม ทีโอดอร์เอาเสื้อคลุมมาปิดหน้า เบลสก็แทบจะสิงเบาะนั่ง
ส่วนเดรโกจ้องเศษผ้าเก่าปลิวไสวรางเลือนผ่านกระจกด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง มือหุ้มกระดูกแห้งกร้านค่อยๆเลื่อนเปิดประตู
จนเผยให้เห็นร่างของมันเต็มตัว
นี่คือผู้คุมวิญญาณ มันสอดส่องรอบตู้นั่ง ไล่สายตาผ่านเด็กทุกคน แต่—มันมาหยุดอยู่ที่เด็กคนนึง ผู้คุมวิญญาณค่อยๆลอยมาหาซินเซีย มันใช้มือแห้งเหี่ยวชี้มาที่เธอ ซินเซียแทบอยากหวีดร้องสุดเสียง เมื่อมันล้วงมือเหี่ยวๆเข้ามาในคอเสื้อ แล้วดึงนาฬิกาพกโบราณที่เธอดันเอาพกติดตัวไว้มาพินิจ
เมอร์ลินเว้ย! เธอโอดครวญ แทบจะหยุดหายใจตอนที่มันเอามือล้วง
ผิวของมันเย็นเยียบยิ่งกว่าเดินบนหิมะด้วยเท้าเปล่า ซินเซียไม่มั่นใจว่ามันทำอะไร แต่ผู้คุมวิญญาณไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีเมตตานัก ยามที่เธอแหงนหน้ามองหัวโล้นๆใต้ผ้าคลุม เสี้ยววินาทีพลันหนาววาบมากกว่าเก่า มันอ้าปากกว้างจนดูสยดสยองและเธอก็รู้สึกเหมือนถูกดูดบางอย่างออกไป
“เอกซ์เปกโต
พาโตรนุม!”
เสียงร่ายคาถาปริศนาดังขึ้น
พร้อมๆกับร่างของซินเซียที่ล้มกองกับพื้น “ซิน ซิน” เธอได้ยินเพียงเสียงเรียกชื่อจากแฝดพี่และสติของเธอก็ดับวูบในที่สุด
“คุณมัลฟอย
ฉันต้องขอให้คุณใจเย็นๆ”
“แต่เธอหมดสติเกือบวันแล้วนะครับ”
ขณะที่ตกอยู่ในภวังค์ เธอได้ยินเสียงแฝดพี่กำลังสติแตกคุยกับใครบางคน ซินเซียลืมตาขึ้นจนเผยให้เห็นนัยน์ตาสีเทา สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานโค้งสูง ศีรษะทุยเริ่มเอนเอียงมองหาเดรโก “เดรก” เอื้อนเอ่ยชื่อเขา เด็กสาวยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง
มือกุมหัวที่ชาหนึบ
“ซิน
น้องเป็นไงบ้าง” เดรโกรีบถลาเข้าหาทันที
เมื่อเห็นแฝดน้องฟื้น
“ปวดหัวโคตรๆและก็รู้สึกสมองมันว่างเปล่า” เธอบ่น เจอแบบนี้เข้าไปก็พอจะเข้าใจความรู้สึกแฮร์รี่ที่โดนสูบความสุขออกไปแล้ว แต่—ทำไมผู้คุมวิญญาณถึงมาสูบความสุขเธอล่ะ? ในเมื่อชีวิตนี้หรือชีวิตก่อน
เธอไม่เคยเจอเหตุการณ์ทุกข์ระทมอะไรและไม่น่ามีอะไรดึงดูดให้มันโจมตีเธอ
เออ—แต่ถ้ามันหิวหรือคนมันจะซวยก็ไม่แน่
“มิสมัลฟอยรับนี่ไปดื่มสิ” มาดามพอมฟรีย์เข้ามาแทรกกลางระหว่างสองแฝด หญิงวัยกลางคนส่งยื่นแก้วช็อกโกแลตร้อนให้ “ดื่มนี่ให้หมด แล้วคุณจะดีขึ้น”
ซินเซียรับแก้วมาดื่ม
โอเค—ถ้าจำไม่ผิดช็อกโกแลตช่วยบรรเทาอาการปวดหัวจากการโดนผู้คุมวิญญาณสูบความสุข พอเธอดื่มหมดแก้ว
มาดามพอมฟรีย์ก็สั่งให้เธอพักผ่อนที่ห้องพยาบาลพร้อมเอ่ยปากไล่เดรกกลับไปที่หอนอนก่อนจะถึงเวลาที่ห้ามให้นักเรียนออกจากห้อง แฝดพี่ของเธอแอบชักสีหน้าไม่พอใจเพราะอยากอยู่กับเธอต่อ
แต่สุดท้ายเขาก็ยอมกลับไปในที่สุด
เช้ารุ่งขึ้น
ยามเมื่อแสงตะวันทักทายช่วงบ่ายอันเป็นคาบเรียนที่สองของวัน
ซินเซียอยู่ในสภาพอิดโรย ขอบตาดำปี๋ เหมือนผีดิบไร้เรี่ยวแรง
เดินรั้งท้ายขบวนเข้าป่าพร้อมแบกหนังสือเล่มหนาที่ดุกว่าพิทบูลเพื่อเรียนวิชาดูแลสัตว์วิเศษ
เมื่อคืนเธอตื่นเต้นเกินไปหน่อยจนนอนไม่หลับและกว่าจะหลับได้ก็เกือบรุ่งสาง ซินเซียยกกระจกพกขึ้นมาส่อง อา—หน้าโทรมจริงๆ เหมือนผีจูออนเลย
หน้าสวยๆของเธอพังหมดแล้ว
ถ้าไม่สวยจะขายออกไหมเนี่ย? อยากจะหามาส์กมาแปะหน้าจัง!!
“ไหวไหมซิน?” เดรโกค่อยๆเขยิบเข้าด้านหลังแฝดน้อง จับบ่าถามด้วยความเป็นห่วง
“โอเคอยู่......ยังไม่ตายแต่ง่วงนอนมาก” เธอตอบและซบหน้าลงกับไหล่กว้างของเดรโก
“อะแฮ่ม......แทด
แท แด แด๊!” สักพักแฮกริดพูดขึ้นและเริ่มการสอน “ขอแนะนำให้รู้จักบัคบีค” เขาแนะนำบัคบีคให้รู้จัก เมื่อเด็กสองบ้านเห็นมันต่างก็พากันร่นถอยหนีด้วยความกลัว
เว้นเสียแต่เด็กสาวตระกูลมัลฟอย ตอนนี้ซินเซียทำตาลุกวาว
ดีใจจนเนื้อเต้น
ดีดตัวจากบ่าแล้วรีบวิ่งแจ้นไปหน้าสุดโดยละทิ้งซึ่งอาการง่วงทั้งปวง ซ้ำยังโยนหนังสือปีศาจให้แฝดพี่ถืออีก ฉากนี้เป็นฉากที่ชอบที่สุดและบัคบีคน่ารักน่าฟัดจัง
อยากลองขี่เหมือนแฮร์รี่จริงๆ
“นั่นตัวอะไรน่ะแฮกริด” เด็กหนุ่มผมแดงจอมปากเสีย กลัวจนหน้าเบะเหมือนคนโดนยาขม ถามศาสตราจารย์ร่างใหญ่สลับมองเจ้าตัวที่คิดว่าอันตราย
“ฮิปโปกริฟฟ์ไงรอน” ซินเซียหันไปตอบ “มันเป็นสัตว์ที่เย่อหยิ่งกับขี้โมโหสุดๆแต่ว่ามันงดงามมากเลยแฮกริด”
“โอ้ว—ขอบคุณมิสมัลฟอย
ฉันดีใจที่มีคนเข้าใจความงามของมัน”
“เอาล่ะ.....มีใครอยากลองขี่ดูบ้าง”
ทุกคนได้ยินแบบนั้นยิ่งถอยหนีหนักกว่าเดิม พอแฮกริดหันมาเห็นเพียงนักเรียนสองคนอาสา
หนึ่งคือเด็กชายผู้รอดชีวิตผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับเด็กสาวที่อยากลองขี่อยู่แล้ว
“แฮร์รี่.....มิสมัลฟอย ขอบใจสำหรับอาสานะ เอ้า—ออกมาสิทั้งสองคน”
แฮร์รี่ยึกยักกำลังตัดสินใจอยู่ว่าควรออกไปดีไหม ซินเซียพอเห็นแฮร์รี่ทำเช่นนั้นแล้วจึงจับมือเด็กหนุ่มลากเขาออกไปด้านหน้าด้วยกัน
แฮกริดคอยแนะนำอยู่ด้านข้างเรื่องการเข้าหาฮิปโปกริฟฟ์ “เอาล่ะ—พวกเธอต้องปล่อยให้มันขยับตัวก่อน มันเป็นมารยาทที่ดี
ฉันแนะนำให้เธอค่อยๆก้าว
ทีนี้พวกเธอก็ก้มหัวลงแล้วดูว่ามันจะก้มตามรึเปล่าและถ้ามันทำพวกเธอก็จับมันได้”
“แต่ถ้าไม่......เราค่อยว่ากันอีกที” แฮกริดกล่าวและเป็นคำพูดที่ทำให้แฮร์รี่ไม่มั่นใจมากว่าเก่า
แฮร์รี่และซินเซียค่อยๆก้าวเข้าหาบัคบีคช้าๆ
เธอแอบกระซิบบอกเด็กหนุ่มเบาๆ ถึงอีกข้อแนะนำในการเข้าหามัน “แฮร์รี่.....เราต้องคอยสบตามันไว้ด้วย พยายามอย่ากะพริบตาถี่มากไป
มิฉะนั้นมันจะไม่ไว้ใจเรา”
“นั่นแหละทั้งสองคน” แฮกริดพูดขึ้น “น่าน....อย่างนั้น.....ทีนี้ก็ก้มหัวลง”
เขากับซินเซียก้มหัวตามที่แฮกริดบอกและเงยหน้าขึ้น
ส่วนตัวแฮร์รี่คิดว่าไม่อยากอวดต้นคอให้บัคบีคเห็นมากนัก
ขืนมันโมโหงาบคอเขาขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่อง
บัคบีคยืนนิ่งไม่ไหวติง
ดวงตาเฉี่ยวสีส้มจ้องเด็กทั้งสอง สงวนท่าทีถือตัวตามกิตติศัพท์ของมัน
มันมองอยู่สักพัก
จู่ๆบัคบีคก็งอเข่าคู่หน้าที่มีลักษณะเป็นแผ่นเกล็ดลงทำท่าทีราวกับโค้งคำนับ
“ดีมากทั้งสองคน!” นํ้าเสียงดีใจกับเสียงตบมือดังปับๆของชายร่างใหญ่ พร้อมกับเสียงตบมือจากเพื่อนในชั้นอีกหลายคู่ดังรอบอาณาบริเวณ “ทีนี้ก็จับมันได้แล้ว ลูบที่จะงอยปากมันเอาไว้นะ”
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าการถอยหนีไปอยู่กับเพื่อนๆเป็นรางวัลที่ดีมากกว่าการได้จับฮิปโปกริฟฟ์ แต่พอเห็นเด็กสาวข้างกายเอื้อมแขนหาบัคบีคช้าๆแบบมิเกรงกลัวแล้ว
เขาก็จับมันแบบที่ซินเซียทำอย่างไม่มีอิดออด แฮร์รี่ตบจะงอยปากบัคบีคเบาๆและลูบวนไปมา มันหลับตาลงคลอเคลียขนสีเทาอย่างอารมณ์ดี ดูท่าทางมันจะถูกใจเขาหรือซินเซียน่าดู
“เอาล่ะแฮร์รี่
มิสมัลฟอย” แฮกริดพูดต่อ “ฉันคิดว่ามันยอมให้พวกเธอขี่มันได้แล้วล่ะ”
“ว่าไงนะ!” แฮรี่ร้องเสียงหลง “เฮ้ๆ แฮกริด!!” เขาทักท้วงแต่มันก็สายเกินไปเพราะแฮกริดจัดแจงอุ้มเขาขึ้นบนหลังฮิปโปกริฟฟ์เรียบร้อยแล้ว
“อ่า—ขออนุญาตนะมิสมัลฟอย” ตามด้วยเด็กสาวผมสีซีดอีกคน
“บอกไว้ก่อนล่ะอย่าเผลอไปดึงขนมันเชียว
เพราะมันจะไม่ชอบใจแน่นอน” แฮกริดเตือนทั้งสองคน
พอพูดจบชายร่างใหญ่ตบที่บั้นท้ายของบัคบีค
มันพยศขึ้น วิ่งด้วยความเร็วพุ่งไปด้านหน้าพร้อมกางปีกแสนงาม ทะยานขึ้นฟ้า แฮร์รี่ทันโอบรอบคอของมัน เขาไม่กล้าจับแรงนักเพราะกลัวขนมันหลุด ส่วนซินเซียรีบกำเสื้อของเด็กหนุ่มไว้อย่างเหนียวแน่น
สองเด็กต่างบ้านต่างมองบัคบีคบินโฉบลัดเลาะผ่านยอดหลังคาของฮอกวอตส์ มันบินเหนือทะเลสาบที่ระยิบระยับ
ทัศนียภาพของป่าสนช่างงดงามเป็นที่น่าจดจำ
เด็กหนุ่มลอบมองเด็กสาวที่อ้าแขนรับสายลมเอื่อย
เธอยิ้มตอบเขาและเขาก็กางแขนตาม นี่มันมหัศจรรย์ที่สุดเลย นั่นคือสิ่งที่แฮร์รี่คิด ความรู้สึกช่างแตกต่างกับตอนที่ขี่ไม้กวาด
“สุดยอดไปเลยบัคบีค” ซินเซียหัวเราะร่าพลางลูบขนบัคบีคเบาๆ สักพักมันก็ร้องเสียงดัง
เบี่ยงตัวออกข้างร่อนลงสู่ลานกว้างก่อนหน้าและวิ่งไปหาแฮกริด
แฮกริดอุ้มแฮร์รี่และซินเซียลง
พลางเอ่ยปากชมไม่หยุดหย่อน “ดีมาก—ดีมากเลยทั้งสองคน. ชายร่างยักษ์ก้มถามเด็กทั้งสองถึงวันแรกในการสอนของเขา “วันแรกของฉันเป็นยังไง”
“ยอดเยี่ยมศาสตราจารย์” แฮร์รี่พูดขึ้น
“มันวิเศษมากค่ะศาสตราจารย์” ซินเซียพูดต่อ
การถึงพื้นอย่างปลอดภัยของเด็กต่างบ้าน
มาพร้อมกับเสียงตบมือและเสียงเชียร์อันดังกระหึ่มจากทุกคนในชั้นเรียนและแน่นอนมันต้องสร้างความไม่พอใจให้กับแฝดพี่ของเธอ
“หลบไป!” เดรโกผลักเด็กสองคนที่ขวางทางเดินกระเด็น “ใช่—แกมันก็ไม่แน่หรอกพอตเตอร์”
ความเย่อหยิ่งของเดรโกนั้นเทียบเท่าได้กับฮิปโปกริฟฟ์ เขาไม่พอใจ—แบบไม่พอใจสุดๆที่เจ้าพอตเตอร์นั่นไปพร้อมกับแฝดน้องของเขาโดยมีเจ้ายักษ์ส่งเสริม
เดรโกตรงเข้าหาแฮร์รี่ด้วยท่าทางเหยียดหยาม
ซินเซียได้ยินเสียงบัคบีคร้องและเริ่มแสดงอาการไม่พอใจ มันเริ่มพยศและมุ่งตรงหาแฝดพี่ “เดรกระวัง!” เธอกระโดดกอดเขาจนเซถลาล้มไปกับพื้นทั้งคู่
เธอจะไม่ยอมให้เดรกเจ็บตัวและไม่ยอมให้บัคบีคผู้น่ารักต้องขึ้นศาลยุติธรรมด้วย
“โอ๊ย!!” ซินเซียร้องอย่างเจ็บปวด
ดูเหมือนเจ้าสัตว์วิเศษตัวนี้เกรี้ยวกราดเกินกว่าจะชั่งใจหยุดการกระทำ ขาหน้าอันแหลมคมของบัคบีคข่วนแผ่นหลังของเด็กสาวจนขาดวิ่น เด็กหนุ่มผมสีซีดเขย่าตัวแฝดน้อง ด่าสาดใส่บัคบีคและแฮกริดที่หน้าซีดเยี่ยงไก่ต้มทำอะไรไม่ถูก
“แกไอสัตว์หน้าขน
บังอาจทำร้ายน้องสาวฉัน แกด้วยเจ้ายักษ์สมองทึบพ่อฉันต้องรู้เรื่องนี้แน่!!”
“อย่าเดรก!”
เธอดึงชายเสื้อรั้งเขาไว้ เอ่ยขอร้องไม่ให้บอกเรื่องนี้กับพ่อ “ห้ามบอกพ่อเด็ดขาด อึก!” ยิ่งเธอขยับตัวบาดแผลยิ่งทวีคูณสร้างความเจ็บแสบมากขึ้น
“แฮกริดเราควรพาเธอไปที่ห้องพยาบาลด่วยเลยนะ” เด็กหญิงผมฟูบ้านกริฟฟินดอร์ตะโกนบอกแฮกริดที่ไม่มีสติ เฮอร์ไมโอนี่คิดว่าตอนนี้ควรพาซินเซียไปให้มาดามพอมฟรีย์ดูอาการให้เร็วที่สุด
“อ่า—ใช่ๆ
ก็ฉันเป็นศาสตราจารย์นี่นา” ชายร่างยักษ์เลิ่กลั่ก อุ้มร่างเด็กสาวผมซีดขึ้นด้วยมือสั่นๆ พยายามประคองไม่ให้กระทบถึงบาดแผล
“ฉันจะเอาเรื่องเจ้ายักษ์นั่นให้ตายคอยดู” เดรโกกัดฟันกรอด แล้ววิ่งตามไล่หลังแฮกริดไป
เดรโกกำลังรออยู่หน้าห้องพยาบาล
เนื่องจากถูกมาดามพอมฟรีย์ไล่ออกมาด้านนอกเพราะต้องจัดแจงถอดเสื้อรักษาบาดแผลที่หลังแฝดน้อง
เขาที่เป็นผู้ชายจำต้องออกไปอย่างช่วยไม่ได้แม้จะห่วงยัยแสบในห้องแค่ไหนก็ตาม ตอนนี้เขากำลังตัดสินใจอยู่ว่าควรจะบอกหรือไม่บอกพ่อดี
ใจหนึ่งอยากบอกใจจะขาดเพราะอยากให้พ่อเอาเรื่องเจ้านกนั่นให้ถึงที่สุดที่บังอาจทำร้ายน้องสาวสุดที่รักและพ่อต้องโมโหมากแน่ แต่อีกใจก็ไม่อยากบอกเพราะซินเซียขอไว้ ถ้าเขาบอกพ่อ
ยัยแฝดน้องต้องโมโหไม่คุยกับเขาแน่นอน
“เดรโก—เธอต้องบอกคุณอาเรื่องนี้นะ” แพนซี่เกาะแขนเด็กหนุ่ม
เธอไม่ยอมให้เรื่องเจ็บตัวของเพื่อนสาวไม่รู้ถึงหูคุณอาและเธอเชื่อว่าเดรโกต้องเอาเรื่องนี้ไปฟ้องคุณอาชัวร์
“แพนซี่ฉันคิดว่าจะไม่บอกพ่อเรื่องนี้” เขาลองไตร่ตรองดูดีๆแล้ว คิดว่าไม่บอกตามที่ซินเซียขอดีที่สุด
“แต่ซินเซียเจ็บตัวนะเดรก!” แพนซี่โวยวาย
เดรโกสะบัดแขนแพนซี่ออก “ช่างฉันสิ เธอกลับไปเรียนได้แล้ว” รีบเดินออกห่างจากเจ้าหล่อนก่อนเขาจะวีนจนสติแตกเสียมาดตระกูลมัลฟอยดังที่เคยถูกอบรมมา
“แล้วนั่นนายจะไปไหน?” แพนซี่ถาม
“ไปหาพ่อทูนหัวของฉัน” เดรโกรั้งเท้าตอบ แต่ก็ไม่ยอมหันมามองแพนซี่และเดินจากไป
หลังจากที่มาดามพรอมพรีย์ทำแผลที่หลังให้เธอเรียบร้อยแล้ว ซึ่งพอเธอกระเดือกยารสชาติแย่เข้าไปอาการปวดแสบปวดร้อนหายเป็นปลิดทิ้ง ถ้าจะเหลือคงเป็นอาการไข้ขึ้นสูงที่พ่วงติดมากับบาดแผลด้วย บัคบีคเอ๋ยบัคบีคดีนะที่เธอเป็นแม่พระไม่งั้นเจ้าฮิปโปกริฟฟ์ตัวนั้น ได้กลายเป็นไก่ทอดเคเอฟซีลงท้องเธอแน่ ส่วนหนึ่งต้องโทษเดรกด้วย เอ—หรือต้องโทษความบ้าดีเดือดของเธอกันนะ คงต้องโทษตัวเองด้วยแหละ แต่ตอนนี้เธอห่วงเรื่องบัคบีคมากกว่า กลัวเหลือเกินว่าเดรกจะไปฟ้องพ่อ
“ฟังอยู่รึเปล่าซินเซีย”
เด็กสาวสะดุ้งเฮือก
เมื่อเสียงอันเย็นเยียบของศาสตราจารย์ปรุงยาพูดข้างหู ดวงตาสีเทาของซินเซียกลอกมองพ่อทูนหัวที่กำลังบ่นเธอไม่เลิก
เนื่องจากมีเจ้ามิงก์เผือกคาบข่าวไปบอกเรื่องที่เธอบาดเจ็บ
“ค่ะ......ศาสตราจารย์” เธอตอบเสียงอ่อยนึกคาดโทษแฝดพี่ในใจ เดรก.....เธอจะสาปเขาเป็นมิงก์จริงๆก็คราวนี้แหละ
สาปเสร็จแล้วโยนให้ฮิวโก้จิก มันคงสามสมใจน่าดู
“คุณช่างเป็นเด็กโง่เง่า
บ้าดีเดือด ทำตัวไม่เหมือนพี่ชายหรือพ่อของเธอ รู้ตัวมั้ยว่าคุณอาจเจ็บปางตายได้
นี่ดีแค่ไหนที่แผลไม่ได้ร้ายแรงอะไรมาก” สเนปตวาด
“คุณไม่น่าเป็นเด็กสลิธีรินด้วยซํ้าและการที่คุณบาดเจ็บแบบนี้มันพลอยให้ฉันลำบากปรุงยารักษาแผลด้วย
ทั้งๆที่งานของฉันก็เยอะจะตายอยู่แล้ว” และเริ่มเทศนาเด็กสาว
อ่า—เมื่อไหร่เขาจะเลิกบ่นสักที ซินเซียรู้สึกหูชา ซํ้าเหงื่อยังชุ่มตัว
ร่างกายก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆเพราะพิษไข้
นอนปกติก็นอนไม่ได้เพราะมาดามพอมฟรีย์สั่งให้นอนคว่ำจนกว่าบาดแผลจะสมาน
ศาสตราจารย์อยากบ่นอะไรบ่นหนูไปเถอะ
หนู......ทนไม่ไหวแล้ว แพขนตาสีอ่อนขยับขึ้นลงจนบดบังดวงเนตรสีเทาสวย
ลมหายใจอุ่นเข้าออกอย่างสมํ่าเสมอ
ตอนนี้เด็กสาวเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยความเหนื่อยอ่อน
ขาเรียวยาว
พร้อมผ้าคลุมสีดำสะบัดพลันหยุดนิ่ง
สเนปก้าวขาช้าๆเมื่อหูได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออก ลอบมองดวงหน้าคมสวยหลับสนิท คิ้วเรียวดกดำกระตุกกึกกึกกับการตอบสนองของเด็กสาวอันไร้มารยาท
ปากบ่นพึมพำต่อ “นี่ฉันกำลังเทศนา
คุณยังหลับได้อีกเหรอ!!!?” ซินเซีย เวโร มัลฟอย นี่เธอทำกิริยาไร้มารยาทใส่ฉันเป็นรอบที่สองของเดือนอีกแล้วนะ ผู้ใหญ่กำลังสอนบังอาจหลับใส่ได้ยังไง!
“เฮ้อ.......” สเนปถอนหายใจ ยกนิ้วเรียวขึ้นนวดขมับเบาๆอย่างเหนื่อยหน่าย
บรรจงถอดผ้าคลุมประจำตัวออก ห่มให้เด็กสาวที่หลับปุ๋ยไม่ได้สติ เขาจะยุติการสั่งสอนเพียงเท่านี้เพราะบ่นไปเด็กสาวคงไม่ได้ยินอยู่ดี สเนปก้าวด้วยฝีเท้าแผ่วเบา นั่งลงข้างโซฟา
มือหนายกขึ้นปัดไรผมที่ปรกหน้าและปาดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากเด็กสาวออกแล้วอมยิ้ม “จะเป็นเด็กไม่รู้จักโตให้ตามประคบประหงมถึงไหนกัน”
ปัง! จู่ๆประตูห้องเปิดออกพร้อมร่างของชายวัยกลางคน แต่งตัวแลดูมอซอ
ผมเผ้ายุ่งเหยิงไร้ซึ่งความเรียบร้อยเข้ามาในห้อง สเนปเห็นผู้มาเยือนแล้วขมวดคิ้ว
ใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้มบางเบาแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง นํ้าเสียงที่เอ่ยถามติดเย็นชาดังเช่นคนที่ไม่อยากต้อนรับแขกที่แสนเกลียดชัง
“ต้องการอะไรรีมัส” ศาสตราจารย์วิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดเดินโซเซมาหาเขาด้วยร่างกายเหม็นสาบชุ่มด้วยหยาดเหงื่อ
เขายกมือขึ้นโอบบ่าของสเนปไว้ เอ่ยพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“เซเวอร์รัส.....ช่วยฉันที” รีมัสเอ่ย
สเนปถอยออก
รู้สึกไม่อยากให้ลูปินจับตัวเขา ชายหนุ่มแสร้งเดินไปมารอบห้อง
จัดขวดยาที่เรียบร้อยอยู่แล้วให้เข้าที่ “เรื่องอะไรฉันต้องช่วย”
ลูปินหอบหายใจ
แสดงสีหน้าทรมาน “ได้โปรด.....ก่อนจะถึงคืนพระจันทร์เต็มดวง
ช่วยปรุงนํ้ายาวูฟส์เบนให้ฉันที”
“ก็อย่างที่บอก......เรื่องอะไรฉันต้องช่วย” สเนปพูดอย่างแล้งน้ำใจ
ลูปินมองอดีตเพื่อนร่วมโรงเรียนเดินไปมา
เขาเริ่มกวาดสายตามองรอบห้องเพื่อหาทางต่างๆ นานาให้สเนปช่วยเขาและสายตาของเขาก็หยุดลงที่โซฟา จดจ้องร่างเล็กที่หลับไม่รู้เรื่องและเขาก็คิดหาทางรอดได้ “นั่นใครเหรอเซเวอร์รัส—เพิ่งรู้ว่านายมีนักเรียนพิเศษด้วย” ลูปินเดินหาเด็กสาวช้าๆ นั่งลงข้างเธอ ลอบมองดวงหน้าจิ้มลิ้มหลับฝันหวาน “เด็กนายน่ารักดีนี่” ยื่นมือหาเธอหมายจะจับตัว
สเนปรีบเข้ามาขวางทันที
เงื้อไม้กายสิทธิ์จ่อหน้าผากของลูปินพร้อมแผดเสียงขู่ชวนสันหลังวาบ “อย่าบังอาจแตะต้องลูกทูนหัวฉันรีมัส”
“โว้วๆ
ใจเย็นเซเวอร์รัส ขอจับนิดจับหน่อยไม่ได้หรือไง” ลูปินยกมือห้ามปราม
แต่รอยยิ้มกับสายตานั้นกลับยิ้มหยันราวกับนึกสนุก เขากะแล้วเชียวว่าหากดึงเด็กคนนั้นมา
สเนปต้องเดือดพล่านแน่
“แก—มันสุนัขเจ้าเล่ห์” สเนปสบถใส่หน้าลูปิน
ลดไม้กายสิทธิ์ลงแล้วเดินไปหยิบขวดแก้วใสสอมสามขวดจากชั้นมา “นํ้ายาวูฟส์เบนสำหรับสามอาทิตย์”
“ทำไมงวดนี้เยอะจังเซเวอร์รัส” ลูปินก้มมองยาที่มีหลายขวด
“เพราะฉันไม่อยากเห็นขี้หน้าแก—รับไปแล้วก็ช่วยไสหัวเร็วๆด้วยรีมัส
ฉันเหม็นกลิ่นสาบสุนัขจากตัวนาย”
“จ้าๆ
พ่อคนน่ากลัว” ลูปินออกจากห้องอย่างว่าง่ายเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ ก่อนจากไปชายหนุ่มแอบชะโงกหัว มองเด็กสาวพลางขยับปากบอกฝันดี “ฝันดี ยัยหนู”
“รีมัส!” นั่นทำให้สเนปแทบอยากเสกคาถาไล่เจ้ามนุษย์หมาป่านี่ไปไกลๆ เขามองประตูปิดลงช้าๆแล้วรู้สึกโล่งอกหันมองร่างเล็กที่หลับสบายใจไม่รับรู้เรื่องราว “นี่เธอก็หลับได้หลับดี ไม่รู้เรื่องกับเขาเลย”
วันใหม่เริ่มขึ้น
บัดนี้ซินเซียกำลังอยู่ในอาการหน้าซีดเหงื่อตก
มือไม้สั่นมองพื้นหินอ่อนเสียจนแทบพรุน มันก็ไม่มีอะไรมากหรอกนอกเสียจากพ่อเธอมา!!
“ถ้าเกิดลูกเป็นอะไรมากกว่านี้ก็ไม่คิดจะบอกพ่อเลยใช่ไหม!” เสียงตวาดของลูเซียสยิ่งทำให้เด็กสาวหัวหด เขาโมโห
โมโหมากๆที่เจ้านกนั่นบังอาจทำให้ซาเล็มน้อยมีบาดแผล เขาเฝ้าทะนุถนอมดุจเพชรลํ้าค่าตลอด ฉะนั้นพ่อจะไม่ยอม!!
ซินเซียรีบโผกอดพ่อทันที
พยายามกอดรั้งเมื่อเห็นเขาเตรียมหันหลัง “พ่อคะ!” เรียกได้ว่างานนี้มีสกิลอะไรเธอต้องงัดออกมาใช้ให้หมดหากอยากรักษาชีวิตบัคบีค
เธอโอครวญอย่างหงุดหงิด คอยดูเถอะ อย่าให้รู้นะว่าใครเป็นคนบอกพ่อ
“พ่อลูซคะได้โปรดอย่าแจ้งกระทรวงเลยนะคะ”
“แต่มันทำลูกเจ็บตัวจะให้พ่อทนได้ไง”
“หนูขอโทษค่ะพ่อ
หนูรู้ว่าพ่อรักและห่วงหนูขนาดไหน ฮึก—หนูขอร้องเถอะค่ะ
หนูไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่หรือวุ่นวาย ฮือออออ” ซินเซียเริ่มสะอื้น
งานนี้เรียกได้ว่าต้องงัดสกิลเจ้านํ้าตามา ใช้อย่างช่วยไม่ได้
ความตอ—อุ้ย ต้องบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีใครสู้เธอได้ “และหนูอยากให้พ่อพักผ่อน ฮึกๆ ไม่อยากให้พ่อเสียเวลางานกับเรื่องแค่นี้”
ลูเซียสเห็นดวงหน้าหวานเปรอะเลอะด้วยนํ้าตาแล้วพลันใจอ่อนยวบ
ยกมือขึ้นปาดนํ้าใสปริ่มเบาๆ ปลอบปโลมลูกสาวตัวน้อยให้หยุดร้องก่อนที่หัวใจเขาจะสลาย “ชู่ว์....ลูกรัก พ่อไม่แจ้งกระทรวงแล้วก็ได้ แต่ได้โปรดหยุดร้องเถอะ”
“ค่ะพ่อ.....ขอบคุณนะคะ”
เธอแสร้งสะอื้น
ซุกกอดพ่อผู้น่ารักแต่หางตากลับตวัดหาอีกสองหนุ่มที่ยืนเงียบแทบกลายเป็นอากาศธาตุ สายตาของซินเซียคมกริบราวกับใบมีด ส่งสัญญาณเป็นเชิงถามว่า ใครที่คาบข่าวไปฟ้องพ่อกัน
เดรโกกลืนนํ้าลายลงคออย่างฝืดเคือง
ชี้นิ้วหาคนร้ายข้างตัวที่ก่อคดีในครั้งนี้รวดเร็ว ชายหนุ่มผมดำถลึงตาใส่ลูกทูนหัวแสนน่ารัก ใช่—คนที่บอกคือเขา
ศาสตราจารย์วิชาปรุงยาพ่อทูนหัวของสองแฝดนี่ไงล่ะ
คิ้วเล็กๆของซินเซียขมวดเป็นปมก่นด่าสเนปในใจดังลั่น คนทรยศ! คอยดูเถอะเดี๋ยวรอพ่อกลับไปก่อนเถอะ เธอจะเอาคืน
คืนนั้นเอง—ขณะที่สเนปต้องเดินตรวจตราบริเวณทางเดิน
เขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนลอบเข้าไปในห้องของเขา มีแสงไฟที่ปลายไม้ให้แสงนำทาง
ริมฝีปากอวบอิ่มหยักขึ้นและหัวเราะอย่างชอบใจ
สองมือเอื้อมเปิดบานประตูตู้เสื้อผ้าไม้
“อินเซนดิโอ” เอ่ยคาถาและตวัดไม้กายสิทธิ์อย่างชำนาญ ไฟสีแดงพุ่งออกจากปลายไม้
ตรงไปยังตู้เสื้อผ้า เสื้อคลุมสีดำที่แขวนอยู่ในตู้ติดไฟได้อย่างง่ายดาย
ดวงตาสีเทามองผ้าในตู้ถูกเผาไหม้จนพอใจ “อากัวเมนตี” ก่อนจะเสกคาถาน้ำดับไฟก่อนที่มันจะลามเผาห้องนี้ไหม้หมด
ไม่มีใครจับคนร้ายได้และเหตุการณ์เผาผ้าคลุมในครั้งนี้ ทำให้สเนปหัวร้อนชนิดที่ลั่นวาจาว่าจะเสกคาถาพิฆาตใส่
*แก้ไขคำผิด
ความคิดเห็น