ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    การมาถึงของตัวร้ายบนโลกแฟนตาซี

    ลำดับตอนที่ #8 : ภัยที่มีแต่ผู้กล้ายังไม่สามารถจัดการได้

    • อัปเดตล่าสุด 18 มี.ค. 66


    รุ่งเช้าผมได้ยินข่าวลือมากมาย แต่ผมสามารถเข้าพบพระราชาได้และช่วงเที่ยงยานอวกาศ 2 ก็เดินทางมาถึง ความจริงแล้วพวกมันสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วมากกว่า 8 แสนกม./ชม

    ในดาวนี้มันทำความเร็วได้ประมาณ 1 หมื่นแต่เพื่อไม่ให้คนที่นี้รู้ความสามารถของยานบนดาวนี้มันจึงทำความเร็วแค่ 120 กม./ชม ขนาดมันจอดอยู่นอกเมืองยังทำให้คนรู้สึกตกใจมากกับขนาดที่ใหญ่กว่ารถม้าและที่สำคัญคือมันลอยได้ ที่ใต้ท้องก็มีการหย่อนธงของสมาพันธรัฐโลกไว้ 

    “นั้นคือสิ่งที่พวกท่านใช้เดินทาสินะ”

    เมื่อเห็นยานสองลำนี้มาร์ควิสไครีย์ถึงกับให้ความเคารพผมมากขึ้น 

    “มันเป็นหนึ่งในยานสำรวจไม่ใช่ยานรบถ้าคุณได้เห็นกองยานของเราต้องประทับใจมากกว่านี้แน่นอน”

    “ชักอยากเห็นโลกที่พวกท่านจากมาแล้ว”

    “ครั้งหน้าคุณสามารถไปเยี่ยมชมได้ข้าจะให้การต้อนรับเป็นอย่างดี”

    ในขณะที่ผมกำลังคุยกับไครีย์ ทหารบนยานก็ขนทองลงมา ซึ่งมันทำให้คนที่ได้เห็นกับตาลุกวาวแม้แต่วิด้าก็ยังตกใจกับความร่ำรวย ที่ทองคำเหล่านี้มีราคาสูงเกือบ 10% ของรายได้ของอาณาจักรแห่งนี้

    “เอาตัวเธอไปได้”

    “ของให้พระองค์ปลอดภัยผมจะรีบจัดการภารกิจให้เร็วที่สุด”

    นายพลคาร์ลทำความเคารพผมก่อนจะเอาตัวของทาสเผ่าปีศาจเดินทางกลับ นี้ทำให้ผมเหลือคนอยู่ 7 และยาน 1 ลำ แม้ทุกคนจะเก่งแต่ก็ไม่พอที่จะยึดโลกนี้ได้

    ผมมองดูยานที่บินขึ้นไปโดยครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ระเบิด เพราะแสงเมื่อคืนได้ทำลายควันสีดำไปจนหมดแล้ว ผมดีใจที่ดาวเทียมจะใช้ได้ แต่แม้จะไม่มีควันดาวเทียมก็ไม่สามารถจับภาพพื้นดินได้พวกมันถูกบดบังด้วยพลังงานอะไรสักอย่าง

    “แล้วเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น”

    หลังมองดูยานบินออกไปผมก็หันไปถามวิด้า แต่อีกฝ่ายก็ไม่รู้เช่นกันเพราะต้องค่อยมาจับตาดูผม ไครีย์เองก็สงสัยเช่นกัน

    แต่ในขณะที่พวกผมกำลังคุยกันก็มีเสียงระฆังดังขึ้น ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่วิด้ากับไครีย์บอกว่ามันเป็นการเรียกรวมตัวที่วิหารศักดิ์สิทธิ์กลางเมือง 

    พอไปถึงก็พบว่ามันเป็นวิหารที่ใหญ่มาก สูงเกือบ 200 เมตรมีประชาชนมารวมกันเยอะมากแต่ที่เด่นก็คือหน้าวิหารมีเหล่าราชวงศ์อยู่ด้วย แถมยังมีคนที่ผมไม่เคยเห็นหลายคน บางคนดูแล้วไม่น่าใช่เผ่ามนุษย์ด้วย

    “นี้มันเกิดอะไรขึ้นท่านพ่อ”

    วิด้าเดินไปถามพร้อมกับมองหาน้องสาวของเขาที่หายไปและยังไม่ทันที่ราชาจะพูดอะไร เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น พอผมหันไปมองก็พบว่าเป็นผู้หญิงที่อายุประมาณ 50 เธอสวมชุดจอมเวทย์ผมจึงคิดว่าน่าจะเป็นราชินีและมันก็จริง

    เธอเล่าเรื่องต่างๆให้คนที่ยังไม่รู้ฟังถึงการเสด็จมาของพระผู้เป็นเจ้า ผมและผู้ติดตามถึงกับทำตัวไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่านี้มันคืออะไร

    “ท่านราชินีแน่ใจว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้าจริงๆก่อนหน้านี้ผู้กล้าก็พึ่งกำเนินขึ้นมาแล้ว ทำไมพระผู้เป็นเจ้าถึงจะตามมา”

    มาร์ควิสไครีย์ตะโกนขึ้นขุนนางคนอื่นๆก็ไม่เชื่อเช่นกัน ผมจึงเข้าไปกระชิบกับไครีย์

    “พระผู้เป็นเจ้าคืิออะไรและเกี่ยวอะไรกับผู้กล้า”

    “ตามที่ตำนานของเราว่าไว้คนที่เกิดมาพร้อมกับคุณสมบัติของผู้กล้าจะมีแค่ 1 คนเท่านั้นและการกำเนิดของผู้กล้าก็เพื่อมาช่วยโลกจากภัยอันตราย”

    “แล้วพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวอะไร”

    “มีผู้กล้าแล้วทำไมพระผู้เป็นเจ้าต้องลงมาโลกของเราสงบสุขไม่มีเหตุอะไรที่พระองค์ต้องลงมา”

    คำพูดของขุนนางคนนี้ทำให้ผู้คนเริ่มสงสัยเช่นกันว่าใช้พระผู้เป็นเจ้าจริงๆไหม ราชินีจึงมองมาที่ผมและผู้ติดตามนี้ทำให้คนทั้งลานมองมาด้วย

    “ภัยนั้นอาจใหญ่จนผู้กล้าไม่สามารถจัดการได้พระองค์จึงต้องเสด็จลงมาด้วยตัวเอง”

    “ทำไมต้องผมมาที่พวกเราด้วย”

    ผมพูดขึ้นแต่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบอะไร ราชาเฟริซิกที่เห็นบรรยากาศเริ่มไม่ดีจึงเข้าไปตัดบทและมันเป็นเวลาเดียวกับที่เจ้าหญิงไวโอเล็ตเดินออกมจากวิหารพร้อมกับสันตะปาปา

    “พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาและพระองค์ได้สถิตที่องค์หญิงไวโอเล็ต”

    สันตะปาปาเริ่มประกาศการมาถึง เป็นการบอกนัยๆว่าเจ้าหญิงไวโอเล็ตกำลังท้องและลูกก็เป็นพระเจ้าที่ลงมาจุติ  นี้ทำให้ผมเต็มไปด้วยความมึนงง 

    ส่วนคนในลานก็ก้มลงพื้นเพื่อทำความเคารพเมื่อสันตะปาปาบอกแบบนี้ขนาดไครีย์ยังไม่กล้าเถียง แต่ขุนนางคนนี้ก็ยังตั้งคำถามอยู่ดี

     “การที่พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเจ้าหญิงนี้หมายความว่าพระองค์จะแต่งงานไม่ได้แล้วตามกฏของเราฝ่าบาทต้องเลือกคนสืบทอดบัลลังก์ใหม่”

    “อะไรนะทำไมไม่ได้”

    ผู้กล้าจูเลียถามขึ้นเพราะเขาเป็นคนรักของไวโอเล็ตเมื่อรู้ว่าแต่งงานกันไม่ได้เขาก็ตกใจมาก

    “การที่องค์หญิงได้เป็นผู้ให้กำเนิดหมายความว่าเป็นผู้มีบุญกว่าหญิงใดๆเธอจึงไม่สามารถแต่งงานกับชายใดได้”

    ครั้งนี้ไม่ใช่แค่จูเลียที่ตกใจไวโอเล็ตเองก็ไม่คิดเช่นกันว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ ขนาดสันตะปาปาเป็นคนพูดทั้งสองคนยังพยายามหาทางออกเพื่อให้ได้แต่งงานกัน

    “หยุดพวกเจ้าเป็นใครคิดถึงตำแหน่งของตัวเองด้วย”

    ราชาเฟริซิกต้องตะโกนห้ามเนื่องจากเขามองเห็นว่าเรื่องนี้เริ่มบานปลายจึงจะจบการประกาศแล้วไปคุยกันภายในเอา เพราะตอนนี้พวกเขาอยู่หน้าประชาชนมากมาย

    “งั้นจากนี้ไปลูกช…”

    แต่ในขณะที่เขากำลังจะประกาศให้วิด้าเป็นคนสืบทอด ราชินีก็ยกมือห้ามและชี้ไปที่่ลูกชายคนรองอย่างโรแกนแทน

    “ทำไมถึงเป็นข้าหรอท่านแม่”

    “เจ้าเหมาะสมที่จะเป็นราชาส่วนวิด้าเจ้าจะเป็นแม่ทัพต่อไป ไว้กลับไปแม่จะอธิบายให้ฟัง”

    “ครับท่านแม่”

    หลังจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จทุกคนก็แยกย้านกลับ ตัวผมได้ไปที่ยานเพื่อจะติดต่อกลับไปหาที่โลกเพราะโลกนี้กำลังยุ่งยากขึ้นแล้ว บนยานมีการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนาผมจึงสามารถติดต่อกลับไปได้

    คราวนี้ที่ห้องทำงานไม่ได้มีแค่จักรพรรดิไกเซอร์วิลเลียมนั่งอยู่ แต่ยังมีชายสวมชุดทหารเต็มยศนั่งไขว้ขาอยู่ด้วย โดยมีส่วนสูงมากถึง 274 ซม.ไว้เคราและหนวดยาวหน้า เมื่อนั่งกับจักรพรรดิวิลเลียมที่สูงแค่ 183 ก็เหมือนเด็กกับผู้ใหญ่เลย

    ชื่อของชายที่นั่งอยู่คือ ราม เตจา รองประธานของสมาพันธรัฐโลก ก่อนจะรวมกันเป็นสมาพันธรัฐโลกนี้คือนายกอินเดีย เป็นผู้วิวัฒนาการระดับ 226 มีโคฟลำดับที่ 1 ความแข็งแกร่งนั้นสูงจนแม้แต่ผมก็ไม่รู้ว่าชายคนนี้เก่งแค่ไหน แต่เมื่อ 20 ก่อนมีการต่อสู้ซึ่งชายคนนี้ก็ทำลายเมืองได้ด้วยการโจมตีไม่กี่ครั้งเท่านั้น

    “มีอะไรถึงได้ติดต่อมา”

    “ยินดีที่ได้พบคุณรามและฝ่าบาทตอนนี้ที่ดาวเรอากำลังมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น”

    ผมเริ่มเล่าเรื่องที่รู้ให้ฟังเพื่อขอการสนับสนุนเพิ่มเติม ตอนนี้ลำพังแค่ผมกับคนที่เหลือไม่มีทางตอกรกับคนพวกนี้ได้แน่นอน

    “เรื่องเพ้อเจ้ออาจมีคนย่องขึ้นไปห้องเธอก็ได้พระเจ้าอะไรไร้สาระ”

     แต่วิลเลียมกลับหัวเราะออกมาเหมือนกับกำลังฟังเรื่องไร้สาระอยู่ แม้ว่าผมจะพูดยังไงอีกฝ่ายก็ไม่ฟังและบอกว่าไม่มีกำลังเสริม

    “คุณแน่ใจว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ”

    “ตามข้อมูลทุกอย่างจะยากขึ้นถ้าเราไม่รีบทำอะไร”

    “งั้นผมจะไปหาคุณเองหลังจัดการดาวนั้นเสร็จ”

    “ขอบใจมากคุณรามผมจะรอการมาของคุณ”

    แม้รามจะตบปากรับคำผมมาก็คงอีก 2 ปีถึงจะมาได้ แต่เพื่อให้คนที่โลกตระหนักถึงความแข็งแกร่งของดาวนี่ผมจะไปท้าประลองดูและนำวีดีโอไปให้คนที่โลกดู

    “เอาละบลูถึงเวลาเอาจริงแล้วสินะ”

    ผมจับไปที่ดาบทั้งสองเล่ม แม้ว่าจะไม่เก่งการต่อสู้ผมก็มีโคฟลำดับที่ 1 และคนที่นี้มีมานาผมก็มีพลังงานฮาสน่าเช่นกัน แม้มันจะไม่ได้อลังการเหมือนเวทย์มนต์แต่ก็เป็นพลังแห่งวิทยาศาสตร์

    (สเตตัสพระเอก)

    ชื่อ: เออร์เนต แบงค์เกิร์ท

    ระดับ: 167 

    พลังงานที่มี: 100% (พลังงานฮาสน่า)

    โคฟ: บลูลำดับที่ 1 

    ส่วนสูง: 191 ซม น้ำหนัก: 81 กก. อายุ: 54 ปีกับอีก 163 วัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×