ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    การมาถึงของตัวร้ายบนโลกแฟนตาซี

    ลำดับตอนที่ #3 : เอลฟ์

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.พ. 66


    หูที่แหลมยาวและรูปร่างที่ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ดูเบาะบาง ผิวขาวราวกับหิมะใช้ธนูเป็นอาวุธ สิ่งที่ผมกำลังเห็นก็คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเอลฟ์ 

    สิ่งมีชีวิตที่มีแค่ในตำนานเท่านั้น แต่ตอนนี้ผมได้เห็นมันด้วยตาตัวเองและเอลฟ์ พวกนี้ก็กำลังล้อมยานของพวกผมเอาไว้ 

    “เจ้าชายเอายังไงครับ”

    “ลองติดต่อกับพวกเขาก่อนอย่าพึ่งทำอะไร”

    พลเอกคาร์ลทำตามคำสั่งของผมด้วยการพูดเป็นภาษของเอลฟ์ ซึ่งมันง่ายมากเพราะโคฟสามารถวิเคราะห์และแปลให้พวกผมแล้ว

    “มนุษย์!?”

    ในหมู่เอลฟที่ล้อมพวกผมอยู่มี 3 คนเดินออกมาหนึ่งในนั้นเป็นเอลฟ์หญิงที่มีหน้าตาสวยงามมาก แต่เธอไม่ได้อ่อนแอเลย เครื่องแต่งกายที่ลึกลับและธนูที่ทำให้ผมรู้สึกถึงอันตรายได้

    ทางผมก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน แม้จะใส่ผ้าคลุมที่ปิดบังร่างกายจนเกือบหมด แต่ดวงตาที่ดูแต่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปก็ทำให้เหล่าเอลฟ์ระมัดระวังเป็นอย่างมาก

    “พวกเราพึ่งเดินทางมาจากสมาพันธรัฐโลกและนี้คือเจ้าชาย เออร์เนต แบงค์เกิร์ท พวกเราไม่ได้มีเจตนาที่จะรุกล้ำดินแดนของพวกท่าน”

    “มันคือที่ไหนกันทำไมพวกเราไม่เคยรู้จักเลย”

    “นี้เป็นครั้งแรกที่พวกเราเดินทางมาเยือนดวงดาวแห่งนี้คุณคงจะไม่รู้จัก พวกเราไม่ได้เป็นอันตรายหรือเป็นศัตรูกับคุณ”

    นายพลคาร์ลคุยเจรจาจนได้รู้ว่าคนที่มาคือราชินีโอลีเวียของเผ่าเอลฟ์ ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันเจ้าบลูก็ทำการวิเคราะห์ข้อมูลของคนพวกนี้ได้เกือบหมดแล้ว ผมจึงคุยกับผ่านกระแสจิตและได้รู้ว่านอกจากราชินีโอลีเวียและเอลฟ์อีก 7 คน

    เอลฟ์คนอื่นๆก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคาม สถานการณ์ตอนนี้จึงเป็นฝ่ายผมที่ได้เปรียบเพราะพวกเรามีกัน 21 เป็นระดับหัวกะทิหมด นี้อาจเป็นส่วนหนึ่งที่เอลฟ์เหล่านี้ยังไม่กล้าแสดงความเย่อหยิ่งออกมา 

    “ผมหวังว่าองค์ราชินีจะให้เจ้าชายของพวกเราเดินทางไปยังเมืองของพวกท่านด้วย”

    แต่ในขณะที่นายพลคาร์ลกำลังขอให้คนพวกนี้พาผมไปยังเมืองเพื่อรับรองให้สมฐานะ เหล่าเอลฟ์ก็เริ่มกระซิบคุยกันมันเป็นการนินทาพวกผม

    “ดูตานั้นสิพวกมันเป็นเผ่าปีศาจหรือเปล่า”

    “ตัวของพวกมันเต็มไปด้วยสีดำแบบนี้จะให้ไปที่หมู่บ้านไม่ได้”

    “พวกเราเป็นถึงเอลฟ์เผ่าพันธุ์ที่สูงส่งนะ”

    ราชินีโอลีเวียรีบหันไปสั่งให้ทุกคนหยุดทันทีเพราะสีหน้าของฝั่งพวกผมเริ่มไม่ดีแล้ว นายพลคาร์ลถึงกับยกดาบขึ้นมาชี้ไปที่พวกเอลฟ์ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความโกรธ

    “นี้คือเจ้าชายแห่งสมาพันธรัฐโลกพวกเราครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล แค่ดาวบ้านนอกแบบนี้กล้าไม่ให้เกียรติพระองค์ได้ยังไง”

    “พวกแกเป็นต้นเหตุที่ทำให้ท้องฟ้าแปรปรวนออกไปจากดินแดนของพวกเรา”

    เอลฟ์ผู้ชายที่อยู่ข้างๆกับราชินีก็ไม่พอใจเช่นกันจากการเจรจาการเป็นการตะโกนด่าทอกัน เพราะไม่ใช่แค่เอลฟ์ที่เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรี 

    ฝ่ายของผมก็เช่นกันพวกเราพิชิตดินแดนต่างๆมากมายไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมายอมให้เผ่าพันธุ์ที่ล้าหลังแบบนี้ดูถูก ผมต้องเดินไปข้างหน้าเพื่อคุยแทนก่อนที่จะเกิดการต่อสู้ขึ้น

    “หยุดก่อนนายพลคาร์ลพวกเรามาอย่างสันติ”

     แม้จะชนะแต่มันก็คงไม่ดีที่จะเปิดฉากต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมบนดาว ทางด้านเอลฟ์ก็ได้ราชินีเป็นคนหยุด

    “ต้องขออภัยกับคนของผมด้วย”

    “คนของข้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่เจ้าต้องเข้าใจว่าพวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่พิเศษเลยเป็นแบบนี้”

    “ผมเข้าใจแต่พวกเราก็ครอบครองดวงดาวมากมายและพวกเขาก็เป็นนายทหารที่มีกองทัพนับล้านภายใต้คำสั่งหวังว่าท่านจะเข้าใจด้วย”

    เมื่อราชินีอวดอ้างเผ่าพันธุ์ของตัวเองผมก็ยกความยิ่งใหญ่ของสมาพันธรัฐโลกขึ้นมาเช่นกัน นอกจากนี้ผมยังยืนมือออกไปด้วย

    “พวกเราเป็นมิตรกันได้และพวกท่านจะไม่เสียใจที่ได้รู้จักพวกเรา”

    ผมและโอลีเวียจ้องกันอยู่สักพักก่อนที่อีกฝ่ายจะเอามือมาจับด้วย แม้ว่ามันจะไม่ใช่คำทักทายของเอลฟ์แต่ฝ่ายของผมก็ยิ่งใหญ่พอดูได้จากคนที่เดินทางมาก็มีแต่ระดับสุดยอดทั้งนั้น

    แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาป่าวประกาศแสนยานุภาพ ผมต้องรวบรวมข้อมูลของโลกนี้ก่อน การพูดคุยกับโอลีเวียจึงเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้มากกว่า

    “ดาวของพวกเจ้าเป็นยังไงและที่ว่าเป็นเจ้าชายที่นั้นมีกษัตริย์งั้นหรอ”

    “ถูกต้องแล้วครับพวกเรามีจักรพรรดิ 2 คนและอีก 1 คนไม่ใช่จักรพรรดิแต่มีอำนาจเท่ากัน”

    “ทำไมพวกเขาไม่ได้เดินทางมา”

    ราชินีโอลีเวียดูเหมือนจะรู้สึกสนใจโลกของพวกผม

    “สมาพันธรัฐโลกของพวกเรามีดินแดนกว้างใหญ่ครอบครองทั้งจักรวาลและกำลังขยายอาณาเขตไปเรื่อยๆ”

    “หมายความว่ายังไง”

    เมื่อได้ยินแบบนี้ราชินีโอลีเวียก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ผมจึงต้องอธิบายว่าไม่ได้มีจุดหมายในการรุกรานดาวดวงนี้ แต่ในระหว่างที่เราคุยกันไปได้สักพักก็มีชายสองคนโผล่มา

    มันทำให้ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อย คนสองคนนี้ดูแข็งแกร่งมากและมาถึงราชินีโอลีเวียก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา เพราะนี้คือเจ้าชายโรแกนและวิด้า การมาของพวกเขาทำให้มีระดับแพลทินัมเพิ่มเป็น 3 คน

    ซึ่งคนระดับนี้ต้องใช้ผู้วิวัฒนาการะดับ 160 และมีโคฟลำดับ 2 เป็นอย่างน้อย ในนี้ก็มีแค่ผลและนายพลคาร์ลที่พอไหว

    “พวกเราจะรับรองเจ้าที่อาณาจักรเมเบลเอง”

    ชายที่สวมชุดเกราะเดินมาหาผมพร้อมกับจับมือด้วย

    “มันอยู่ที่ไหน”

    “ห่างจากนี้ไป 400 ไมล์พวกเราสามารถใช้วาร์ปไปได้ แต่เจ้าต้องนำคนไปแค่ 2 คนเท่านั้นเพราะวาร์ปของเราใช้งานครบจำนวนแล้วคนอื่นๆต้องเดินทางอื่นเอา”

    “ขอบคุณมากแต่ขอเวลาคุยกันก่อน”

    แม้อีกฝ่ายจะดูใจดีแต่ผมก็หันไปคุยกับนายพลคาร์ลก่อน เพราะการไปแค่ 3 คนดูจะไม่ปลอดภัยและระยะ 400 ไมล์ผมสามารถใช่ยานเดินทางไปได้ 

    แต่ยังไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ข้อมูลมากเกินไปผมจึงเลือกพลเอกคาร์ลและพลโทแอ็นสไปด้วย ผมได้เข้าไปในหมู่บ้านเอลฟ์ที่ดูสวยงามและเก่าแก่มาก บ้านของพวกนี้อยู่บนต้นไม้สูงและที่กลางเมืองก็มีประตูวาร์ปอยู่

    เพื่อเตรียมเข้าพบกษัตริย์แห่งเมเบล ตอนนี้ผมจึงเปลี่ยนชุดเป็นเครื่องแบบขุนนางบนโลก มันเป็นชุดสีขาวมีผ้าคลุมไหล่ดูสวยงามมาก ส่วนนายทหารทั้งสองก็สวมชุดเครื่องแบบเต็มยศ

    “มันจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

    “ตอนนั้นอาจรู้สึกเหมือนอยู่ในความว่างเปล่าแต่มันปลอดภัยแค่ 1 นาทีเราก็จะไปถึงที่หมาย ”

    เจ้าชายโรแกนแนะนำเครื่องวาร์ปนี้ให้ผมรู้จัก ผมยังไม่เข้าไปเพราะกำลังรอให้บลูวิเคราะห์มันดู สิ่งที่ดูต่างจากทุกสิ่งที่โลกของผมมี

    แต่ประตูที่ดูลึกลับนี้ทำให้นายพลคาร์ลรู้สึกกังวลกับความปลอดภัย เขาถามย้ำแล้วย้ำอีกเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรเกินขึ้น

    “นี้คือเจ้าชายของสมาพันธรัฐโลกถ้าท่านเป็นอะไรขึ้นมากองยานรบของพวกเราจะเดินทางมาพวกท่านคงไม่อยากให้เกิดสงครามขึ้นใช่ไหม”

    พอได้ฟังคำพูดนี้เจ้าชายทั้งสองก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เพราะแม้พวกเขาทั้งสองจะไม่รู้ว่าสมาพันธรัฐโลกคืออะไรแต่ก็น่าจะเป็นอันตรายต่อพวกเขาพอสมควร

    “เราจะไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัยก่อนหน้านี้สงครามกับจอมมารทำให้พวกเราสูญเสียหนักมากไม่มีใครต้องการสงครามหรอก”

    “มันต้องปลอดภัยไม่งั้นเราจะได้ทำสงครามกันแน่นอน”

    “หยุดได้แล้วท่านนายพลพวกเรามาอย่างสันติอย่างพูดเรื่องสงครามได้ไหม”

    ผมได้แต่ตะโกนด่าไอ้แก่คาร์ลที่ห้ามยังไงก็ไม่ฟัง ตอนนี้เจ้าเด็กสองคนนี้คงรู้แล้วว่าผมค่อนข้างเป็นพวกหัวรุนแรง แบบนี้ใครเขาจะไว้ใจพวกผม

    “นายท่านนายพลคาร์ลเป็นทหารเขาไม่ใช่นักการทูตนะ”

    “ฉันรู้แล้วแต่ไม่เห็นต้องพูดเรื่องพวกนี้ตลอดเลย”

    “โอ้!….”

    ขณะที่กำลังคุยกันเจ้าบลูก็เงียบไปสักพักก่อนจะบอกว่าวิเคราะห์ประตูวาร์ปเสร็จแล้ว ผมจึงเดินเข้าไปเพื่อเดินทางสู่มหานครที่ใหญ่ที่สุดของโลกนี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×