คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เข้าพบพระราชา
เมื่อเดินเข้าไปผมก็รู้สึกมึนงงไปสักพัก การมองเห็นมืดไปหมดเหมือนผมหลุดไปอยู่อีกที่หนึ่งยังดีที่สามารถติดต่อกับบลูได้
“สิ่งนี้คืออะไร”
“หนึ่งในพลังเวทมนต์ที่กำเนิดจากมานาครับนายท่าน”
“ฉันจะสามารถเรียนรู้มันได้ไหม”
ผมถามออกไปเพราะคงไม่มีใครไม่อยากใช่เวทมนต์ได้และนี้เป็นหนึ่งในความฝันของคนที่มาต่างโลกด้วย
“นายท่านไม่มีตัวรับมานาและเหมือนโลกนี้จะไม่ต้อนรับเราสักเท่าไหร่”
“ทำไมถึงไม่ต้อนรับ”
“จากการวิเคราะห์มานามาแล้วมันมีสองแบบคือในร่างกายและในอากาศ ทุกครั้งที่พวกเราเดินไปมานาจะย้ายไปที่อื่น”
“ยากจังนะ”
เมื่อเป็นแบบนี้ผมก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ถ้าสามารถใช้เวทมนต์ได้ก็จะสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของชาวโลกได้ แต่จากข้อมูลเหมือนว่าพวกผมจะใช่มันไม่ได้
“ถึงแล้วหรอ”
ผมพูดขึ้นเมื่อกลับมามองเห็นอีกครั้ง แต่มันต่างออกไปตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านเอลฟ์แล้ว แต่อยู่ในอาคารที่ดูลึกลับมากและเขาก็เห็นนายทหารที่รออยู่แล้ว
“เป็นอะไรไหมครับเจ้าชาย”
“ไม่เป็นอะไรแต่เรามาถึงแล้วสินะ”
ผมถามไปที่เจ้าชายทั้งสองที่พามา พวกนั้นก็แนะนำสถานที่ทำให้ผมได้รู้ว่าทุกเมืองบนโลกนี้จะมีประตูวาร์ปตั้งอยู่ แต่การจะใช้มันก็ต้องเป็นคนสำคัญหรือมีความจำเป็นเท่านั้น
ทั้งสองคนพาพวกผมเดินออกไปด้านนอก นี้ทำให้ผมได้พบเมืองยุคกลางที่ยิ่งใหญ่อลังการมาก ผู้คนเดินกันอย่างคับคั่งมีการตบแต่งเมืองด้วยดอกไม้และป้ายต่างๆ
“มีงานเทศกาลที่นี้หรอ”
“มันเป็นงานแต่งงานของน้องสาวข้าเองและเป็นงานครองราชของกษัตริย์คนใหม่”
เจ้าชายวิด้าพูดด้วยความภาคภูมิใจนี้ทำให้พวกผมรู้สึกเหมือนถูกโชค เพราะเมืองนี้กำลังจะเปลี่ยนผู้นำและผมก็มาถูกวันนี้จะทำให้การสายสัมพันธ์ทำได้ง่ายขึ้น
แต่ในขณะที่เดินไปโรแกนก็บอกว่างานน่าจะถูกยกเลิกเพราะพวกผมเป็นต้นเหตุ ผมได้แต่ทำหน้าเหวอเพราะจากจะสายสัมพันธ์กลายเป็นทำลายซะงั้น แต่ในขณะที่เดินไปในเมืองผมก็ได้พบว่าที่นี้เหมือนจะสงบสุขมาก
เผ่าพันธุ์ต่างๆอยู่ร่วมกันแม้แต่ปีศาจก็มีให้เห็น นี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดีทำให้ผู้คนค่อนข้างออกมาเดินตามท้องถนนเยอะ
แน่นอนว่าพวกผมโดนมองมาเยอะมาก จากที่ผมสังเกตุก็ได้รู้ว่าวิด้าอัศวินร่างใหญ่คนนี้ได้รับความนิยมมาก มีผู้คนมาทักทายและพูดคุยกับเขาตลาดทาง ส่วนใหญ่ก็ถามถึงเหตุการณ์ในวันนี้
“วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นครับ”
“ไม่ต้องห่วงมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันจะปกป้องพวกนายเอง”
เจ้าชายวิด้ากล่าวกับประชาชนของเขา ทำให้ทุกคนผ่อนคลายลง แต่ชาวบ้านก็ชี้มาที่พวกผมและถามว่ามาจากไหน เพราะดวงตาที่โดดเด่นทำให้คนทั่วไปกลัว
“พวกเขาเป็นทูตของเราตอนนี้ฉันต้องพาพวกเขาไปแล้ว”
เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายวิด้าก็เลือกพาพวกผมเดินตรงไปที่ปราสาทขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ พวกเราเดินด้วยความเร็วปกติผมก็ไม่มีปัญหาอะไร
จนเมื่อไปถึงปราสาทก็มีขุนนางมาพูดคุยและบอกว่าในวังมีแขกจากหลายชาติอยู่ แต่ที่เป็นปัญหาก็คือกฏที่พวกผมต้องทำตาม
“อาวุธห้ามเข้าไปและพวกท่านต้องทำความเครพกษัตริย์ของเรา”
เหล่าขุนนางชี้ไปที่พวกผมเพื่อให้ทำตามกฏ แต่มีหรือที่นายพลคาร์ลจะไปก้มหัวให้คนอื่น
“แม้แต่จักรพรรดิของเราก็ไม่มีการก้มกราบที่นี้ยิ่งใหญ่ยังไงถึงได้ให้เราทำแบบนี้”
เจ้าชายวิด้าต้องเป็นคนมาต่อรองให้และลดลงเหลือการคุกเข่าเท่านั้น แต่การฝากอาวุธผมก็ต้องเอาดาบสองเล่มฝากไว้ โดยมันเป็นดาบยุโรปกับดาบคาตานะสร้างด้วยแบบเดียวกันกับที่ทำยานรบ
แต่มีหนึ่งอย่างที่ไม่ได้ฝากไว้คืออะไรบางอย่างที่พลโทแอ็นสถือไว้ โดยมันถูกคลุมด้วยผ้ายาวประมาณ 120 ซม. ผมบอกว่ามันคือของขวัญทำให้เอาเข้าไปได้ เมื่อปลดอาวุธแล้วเจ้าชายทั้งสองก็แยกไปเพื่อแจ้งกษัตริย์และคนในวังสาวพวกผมก็มีคนนำทาง
ตามทางที่ผมเดินไปใหญ่โตมากยิ่งตอนเข้าไปในปราสาทก็รับรู้ว่ามันใหญ่กว่าที่คิด ของตกแต่งและวัสดุทุกอย่างดูเก่าแก่และโบราณ คนพวกนี้พาผมเดินไปดูตามจุดต่างๆเพื่อรอสัญญาณจากวัง
เป็นการถ่วงเวลาเพื่อให้กษัตริย์ได้รู้ข้อมูลของพวกผม จนหลังผ่านไปเกือบ 1 ชม ผมก็ได้ไปที่ท้องพระโรง ซึ่งมีประตูบานใหญ่ตั้งอยู่ ผมมองดูเสื้อผ้าและหันไปหานายทหารสองคนก่อนจะพยักหน้าให้เปิดประตู
“นายท่านในนั้นมี 6 คนที่แข็งแกร่งมาก สองคนก่อนหน้านี้ก็รวมอยู่ด้วยถ้าเกิดอะไรขึ้นเราตายแน่นอน”
“นายรู้ได้ยังไง”
“ผมวัดจากระดับมานาและคลื่นที่ปล่อยออกมา”
ในขณะที่ผมกำลังคุยกับบลูประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นท้องพระโรงที่ใหญ่มาก ผู้คนหลายร้อยคนกำลังยืนตั้งแถวเป็นระเบียบ
ที่ผมสนใจคือมีคนที่นั่งอยู่ระดับเดียวกับกษัตริย์ด้วย คนแรกเป็นหญิงสาวผมสีดำหน้าตาดูงดงาม แต่ที่หัวของเธอมีเขาอยู่ด้วย ส่วนอีกด้านเป็นชายแก่ที่มองก็รู็ว่าเป็นพระสันตะปาปา
ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าโลกมันจะเป็นแบบนี้ ถ้าเดาไม่ผิดผู้หญิงคนนั้นคือจอมมารนี้หมายความว่าโลกนี้สงบมากๆจนปีศาจกับบาดหลวงอยู่ด้วยกันได้ การที่โลกมันสงบสุขและสามัคคีกันแบบนี้ก็กลายเป็นฝันร้ายของคนที่ต้องการบุกรุกเลย
คนพวกนี้มองตัวผมเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามา แต่ผมก็ไม่ได้กลัวเพราะจากข้อมูลที่มีกำลังรบของดาวดวงนี้น้อยกว่าสมาพันธรัฐโลก ผมและนายพลทั้งสองเดินอย่างมั่นคงและเมื่อไปถึงกลางทางนายพลแอ็นสก็ถอดผ้าคลุมที่ปิดวัตถุปริศนาไว้
“หยุด!”
อัศวินองครักษ์กำลังจะชักดาบออกมาแต่ก็โดนกษัตริย์ห้ามเอาไว้ ทำให้นายพลแอ็นสปลดผ้าออกเผยให้เห็นแท่นเหล็ก ซึ่งเมื่อยืดออกก็ทำให้ทุกคนในห้องรู้ว่ามันคือธง
นายพลแอ็นสคลี่มันออกเผยให้เห็นธงขนาดใหญ่สีฟ้าภายในมีสัญลักษณ์บางอย่างสีขาว ซึ่งมันคือธงของสมาพันธรัฐโลก
แม้จะไม่ม่ลมนายพลแอ็นสก็ถือมันด้วยความภาคภูมิใจ ผู้คนในห้องมองธงหน้าตาประหลาดนี้ด้วยความสงสัย แต่ก็มีบางคนไม่พอใจที่เอาธงมากลางในห้องแบบนี้ แต่ไม่ใช่แค่นายพลแอ็นสเท่านั้นนายพลคาร์ลก็เปิดใช้เทคโนโลยีนาโน สร้างมงกุฎอันหนึ่งขึ้นมา
“พวกเรามาในนามของสมาพันธรัฐโลกยินดีมากที่ได้เข้าพบกษัตริย์เฟริซิกแห่งราชอาณาจักรเมเบล”
ผมเอามือไขว้หลังและยืนตรงอย่างสง่างาม ไม่มีทางทีว่าจะก้มทำความเครพเลย
“พวกเจ้าทำไมไม่ทำความเครพฝ่าบาท”
“คุกเข่าสิพวกเราบอกแล้วไม่ใช่หรอ”
เหล่าขุนนางเริ่มไม่พอใจ ผมจึงมองไปที่กษัตริย์เฟริซิกและคนบนบัลลังก์จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความมั่นใจ
“นั้นคือธงของสมาพันธรัฐโลกถือเป็นตัวแทนของคนทั้งโลก ส่วนมงกุฎที่ท่านเห็นก็เป็นตัวแทนของจักรพรรดิของโลก ตัวข้าก็เป็นเจ้าชายแห่งสมาพันธรัฐโลกพวกเราจึงไม่สามารถคุกเข่าให้ใครได้”
ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เหล่าขุนนางที่ไม่พอใจอัศวินก็เริ่มไม่พอใจเช่นกัน เพราะนี้เป็นการไม่ให้เกียรติประเทศของพวกเขา แต่ผมก็ยืนมองไปที่กษัตริย์เฟริซิที่กำลังมีสีหน้ากังวลและไม่นานอีกฝ่ายก็ถามออกมา
“พวกเจ้ามาจากที่ไหนกัน”
“เรามาจากดาวที่ไกลออกไปใช่เวลาเดินทางราว 2 เดือน วันนี้ข้าได้มาที่ดาวของท่านเพื่อเปิดสัมพันธไมตรี”
“นี้เหมือนเป็นการท้าทายมากกว่านะ”
หญิงสาวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม ผมไม่ตอบแต่ยิ้มให้เพราะการมาต่างถิ่นแบบนี้ถ้าออกตัวแรกก็ไม่ดีแต่ถ้าทำตัวอ่อนแอก็จะอยู่ยากนี้จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุดแล้วไม่ได้แรงหรือเบาไป
ความคิดเห็น