ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    การมาถึงของตัวร้ายบนโลกแฟนตาซี

    ลำดับตอนที่ #11 : สมาพันธรัฐโลก

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.พ. 66


    2 เดือนต่อมา

    ในที่สุดหลังการเดินทางอันยาวนานบนห้วงอวกาศผมก็มาถึงดาวแห่งหนึ่ง ซึ่งมันคือศูนย์กลางของสมาพันธรัฐหรือก็คือโลกนั้นเอง

    “นี้คือยานไนเมเกนขอขออนุญาติลงจอดที่โลก”

    “รับทราบเข้ามาที่เส้นทาง 23 ได้”

    เสียงการสื่อสารของยานกับศูนย์ควบคุมการบินของโลก โดยมันเป็นสถานีอวกาศขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ทำหน้าที่สื่อสารให้ยานต่างๆบินในจุดของตัวเองไม่ชนกับลำอื่น เมืองที่ยานของผมลงจอดคือมหานครอัมสเตอร์ดัมหนึ่งในศูนย์กลางของโลก 

    ก่อนหน้านี้โลกมันเป็นเหมือนโลกที่พวกคุณอยู่แต่เรื่องมันเริ่มเมื่อปี 1893 ตอนนั้นมีผู้เดินทางมาที่โลกใบนี้และชายคนนั้นเกิดในดัตช์หรือเนเธอร์แลนด์

    ด้วยความรู้ที่มีมากกว่าคนในยุคเดิมชายคนนั้นก็เปลี่ยนเนเธอร์แลนด์จากชาติเล็กๆให้กลายเป็นมหาอํานาจของโลก จนสามารถพิชิตสหรัฐและสร้างโลกใหม่ที่ไม่เหมือนโลกเดิม

    ผมเองก็เป็นคนที่มาจากโลกก่อนแต่เกิดในปี 1945 หรือก็คือ 52 หลังจากชายคนนั้นเดินทางมา ซึ่งมันเป็นเวลาที่โลกได้เปลี่ยนไปจนไม่เหลืออะไรแล้ว 

    ขั้วอำนาจของโลกประกอบด้วย 3 ชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

     1.เบเนลักซ์ อดีตเป็นเนเเธอร์แลนด์แต่ได้รวมอาณานิคมต่างๆเข้าเป็นจักรวรรดิ หนึ่งในนั้นคืออินโดนิเซียกำลังหลักที่ทำให้เนเเธอร์แลนด์ล้มชาติอื่นๆได้

    2.โรมัน อดีตเป็นอิตาลีแต่ภายใต้การนำของจักรพรรดิวิตโตรีโอ ชาตินี้ก็สามารถรวบรวมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้และเป็นผู้ริเริ่มการก้าวข้ามความเป็นมนุษย์

    3.เยอรมันไรซ์ ประเทศคงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงของตาหนวดจิ๋มและเป็นหนึ่งในชาติที่มีผู้เดินทางมาจากโลกอนาคต

    นี้คือ 3 ชาติที่เป็นแกนนำในการทำสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรสงครามเริ่มปี 1937และจบลงในปี 1938 เป็นการรบที่รวดเร็วมาก

    เบเนลักซ์ที่มีผู้เดินทางมาจากอนาคตเต็มไปด้วยเครื่องจักรสงครามที่ทันสมัย จนสุดท้ายสงครามมันจบลงเมื่อเบเนลักซ์ใช้ระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ถล่มกรุงวอชิงตันจนราบเป็นหน้ากลอง

     นั้นคือจุดสิ้นสุดของประชาธิปไตยบนโลกนี้มีแต่ลัทธิเผด็จการที่ปกคลุมไปที่โลกผู้คนเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง มันเลวร้ายมาก เยอรมันมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ส่วนโรมันก็มีการจับผู้คนมาเป็นทาส ของพวกนี้กลายเป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้ไปเลย

    สมาพันธรัฐโลกที่ฟังดูสวยหรูก็มีแค่ไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่ได้รับเกียรติเป็นประชากรของมัน คนที่อ่อนแอจะถูกกำจัดดูได้จากการจัดตั้งเขตสงวนขึ้นทั่วโลก

    โดยมันเป็นชื่อเรียกประเทศที่ถูกยุบไปเช่นในทวีปแอฟริกา ไม่มีประเทศอะไรเหลืออยู่เลยเพราะมันถูกเรียกว่าเขตสงวน

    ยกตัวอย่างถ้าประเทศไหนโดนยุบก็จะถูกกองทัพของสมาพันธรัฐโลกเข้าไปจัดการ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือตำราเรียนถูกเผา คนมีความรู้จะถูกฆ่าทิ้งเพื่อไม่ให้ชาตินี้พัฒนาได้

    โรงงานไฟฟ้าหรือเขื่อนถูกทำลายทิ้งเป็นการปล่อยให้คนพวกนี้อยู่กับสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย ห้ามเข้าถึงเทคโนโลยีหรือความรู้ทั้งโลกตอนนี้เหลือประเทศไม่ถึง 50 ด้วยซ้ำ

    แต่ตรงกันข้ามกับประเทศที่โดนยุบชาติที่เหลืออยู่แข็งแกร่งขึ้นทุกวันและอยู่สุขสบายมาก เทคโนโลยีต่างๆพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว แต่โลกก็ไม่ได้เสื่อมโทรมเพราะพวงเรามีพลังงานใหม่อย่างฮาสน่า

    สิ่งที่ถูกค้นพบบนดาวดาวเคราะห์แห่งหนึ่ง ซึ่งมันสามารถใช่เป็นพลังงานทดแทนน้ำมันหรือก๊าซไปจนถึงเป็นพลังงานในการต่อสู้ ขนาดยานของผมที่เดินทางหลายล้านๆไมล์ยังใช้ฮาสน่าแข็งขนาดเท่าลูกบอลแค่ 20 ก้อนเท่านั้น มันไม่มีผลกระทบและปริมาณของฮาสน่าก็มีไม่จำกัดแค่พวกเราต้องนำยานไปขนส่งมันมาเท่านั้น 

    “ยินดีต้อนรับกลับครับเจ้าชายที่ดาวนั้นเป็นยังไงบ้าง”

    “ขอบคุณสำหรับการต้อนรับแต่ท่านนายกดาวนั้นไม่น่าประทับใจเลย”

    เมื่อลงจากยานก็มีชายคนหนึ่งรอต้อนรับผมอยู่ ซึ่งเขาคือนายกรัฐมนตรีของที่นี้ผมส่งแฟ้มสรุปข้อมูลให้ก่อนจะขึ้นรถไฟฟ้าความเร็วสูงไปที่หนึ่ง

    สภาพของเมืองในยุโรปต้องบอกเลยว่าใหญ่โตมาก มองไปทางไหนก็เห็นแต่ตึกสูงหลายร้อยเมตรตั้งเรียงรายกันอยู่ ประชากรที่สมาพันธรัฐโลกยอมรับมีทั้งหมดประมาณ 12,000 ล้านคน

    จำนวนเมืองจึงใหญ่มากแต่อากาศก็ไม่ได้เป็นมลภาวะ ไม่มีการใช้น้ำมันหรือเชื้อเพลิงที่สร้างแก๊สเรือนกระจกโลกของเราเข้มงวดเรื่องพวกนี้มากและด้วยความที่มันปกครองด้วยระบอบเผด็จการ

    ถ้าใครฝ่าฝืนก็จะโดนประหารอย่างเดียว แต่ด้วยพลังงานฮาสน่าก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้พลังงานแบบเดิมแล้ว ตามท้องถนนก็มีรถที่ดูแปลกตามาก บางคันก็ลอยได้บางคนก็แล่นตามท้องถนน แต่รถพวกนี้ก็ใช้พลังงานฮาสน่าเหมือนกันหมด

    รถไฟฟ้าก็เหมือนกันมันวิ่งด้วยความเร็วสูงถึง 21,300 กม./ซม. แค่ไม่กี่วินาทีผมก็มาถึงจุดหมายแล้ว มันคือหนึ่งในศูนย์กลางของโลกเช่นกัน

    ธงสวัสดิกะถูกชักขึ้นทั่วตึก ถ้าเป็นในโลกเดิมใครชักธงนี้ขึ้นคงโดนจับหรือโดนประณามไปแล้ว แต่ที่มันคือการบอกว่าดินแดนนี้เป็นอาณาเขตของเยอรมัน 

    มันคือกรุงเบอร์ลินเมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรมาถึง 26 ล้านคน ผมเดินทางไปอาคารรัฐสภาไรซ์โดยมีคนนำทางเป็นชาวเยอรมัน ซึ่งพอผมเข้าไปในห้องหนึ่งก็ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนอนดูซีรี่ย์อยู่ เธอคนนี้คือคลาราลูกสาวของตาหนวดจิ๋ม

    แต่หลังตาหนวดตายเธอก็ขึ้นเป็นผู้นำของเยอรมันและเธอเป็นหนึ่งในประธานของสมาพันธรัฐโลกที่มีแค่ 3 คน แต่ที่สำคัญกว่านั้นเธอเป็นผู้เดินทางมาจากโลกเดิมเหมือนผม

    “ตาแก่การเดินทางเป็นยังไงบ้าง”

    “ฉันว่าฉันยังไม่แก่นะคุณยาย”

    ผมนั่งลงข้างๆเธอ ซึ่งแม้ว่าคลาราจะมีหน้าตาเหมือนเด็กสาววัยรุ่น อายุจริงๆของเธอจะ 60 แล้ว แต่สำหรับผู้วิวัฒนาการมันถือว่าน้อยมากเพราะเราไม่แก่หรือไม่ตายจากอายุขัย

    “ฉันต้องการให้เธอช่วย”

    “ที่ดาวนั้นงั้นหรอมันมีอะไร”

    “คนที่นั้นแข็งแกร่งมากฉันอยากให้เธอส่งมันชไตน์ไปกับฉัน”

    “หึ!..”

    เธอหันมามองผมเหมือนกำลังตกใจว่าที่นั้นหนักขนาดนั้น ผมจึงต้องเล่าเรื่องที่เจอมาให้ฟัง นี้ทำให้คลาราถึงกับกลั้นขำไม่อยู่เธอหัวเราะออกมาเมื่อรู้ว่าผมถูกเตะจนสลบ

    นี้ทำให้ผมรู้สึกอายเล็กน้อย แต่ความช่วยเหลือจากเธอถือว่าสำคัญมาก เมื่อโลกนั้นมีคนที่เก่งผมก็ต้องนำชายที่แข็งแกร่งที่สุดในสมาพันธรัฐโลกไปด้วย

    “ฉันให้เขาไปได้แต่นายต้องให้ 20% ของดาวกับเรา”

    “10% ฉันให้ได้แค่นี้ถ้าเธอไม่รับอีก 2 ปีรามก็จะเดินทางไปฉันแค่อยากจัดการให้เร็วๆเท่านั้น” 

    “นายแน่ใจว่ารอได้”

    ผมไม่ชอบผู้หญิงคนนี้เลยเธอเหมือนมองความคิดของผมได้ ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อก่อนเธอก็เอาความสามารถอ่านใจมาเล่นงานผม ตอนนี้ผมมีเจ้าบลูแล้วเธอไม่น่าจะอ่านใจได้แค่อีกฝ่ายก็ยังรับมือยากอยู่ดี

    “ก็ได้ฉันรบข้อเสนอเธอ”

    “ทุกอย่างมีราคาต้องจ่ายนายฉลาดเหมือนเดิม”

    “แล้วลูกชายเราล่ะ”

    “เขาอยู่ที่ดาว U-6 อีก 3 ปีถึงจะกลับมา”

    ผมรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้เจอหน้าลูกชาย ซึ่งคลาราเป็นหนึ่งในภรรยาของผมคืนนี้ผมจึงนอนอนพักอยู่นี้ก่อนที่จะออกเดินทางไปดูการทดลองทาสเผ่าปีศาจที่จับมาได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×