ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 คิดถึง?
  วันนี้เป็นวันอาทิตย์ วิลตื่นขึ้นมาเพราะนาฬิกาปลุกตัวเดิมตอนแปดโมง แต่เขาปิดมันแล้วนอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มต่อ เมื่อคืนหลังจากเขาหลับไปนานแล้วฝนก็ตก อากาศยามเช้าจึงเย็นสบายทำให้เขาไม่อยากลุกขึ้นจากที่นอน เขาจึงนอนต่อไปจนถึงเวลาเก้าโมงกว่าๆจึงตื่นขึ้นไปอาบน้ำ
  “อืม”เขาครางพลางบิดขี้เกียจตรงหน้าอ่างล้างหน้า แล้วจึงเริ่มต้นแปรงฟันและล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นเพื่อนต้อนรับเช้าวันใหม่
วันอาทิตย์เป็นวันที่วิลว่างมากที่สุด เพราะเขาจะว่างในวันนี้ทั้งวัน ผิดกับวันอื่นที่จะมีเรียนจนแทบไม่ได้เป็นอันทำอะไรทั้งสิ้น หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จตอนเกือบสิบโมง วิลมักจะไปที่คอมพิวเตอร์เพื่อนเล่นอินเตอร์เน็ต แล้วก็จะนั่งทำอะไรต่อมิอะไรอยู่แถวๆคอมพิวเตอร์เกือบทั้งวัน จะออกไปก็ตอนที่ต้องกินข้าวหรือซื้อของมาทำงานที่โรงเรียน แต่เมื่อโรงเรียนหยุดเขาจึงไม่ได้มีรายการออกไปซื้อของ ตอนนี้เขาจึงยังคงนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ต่อไป
  “สวัสดีจ๊ะ”นั่นคือการทักทายจากเชอร์รี่ เด็กสาวจอมขี้เล่นที่เข้ามาคุยกับเขาเมื่อวาน
  “สวัสดีครับ”วิลตอบกลับ
  “ทำอะไรอยู่หรอ”
  “ก็ คุยเอมเอสเอ็นไปเรื่อยนะครับ บางทีก็เข้าไปดูนิยายบ้าง”
  “แล้ววันนี้ได้ไปไหนไหม”
  “วันนี้วิลอยู่บ้านทั้งวันครับ เดี๋ยวก็ต้องจัดของไปเข้าค่ายพรุ่งนี้ด้วย”
  “ไปเข้าค่ายอะไรหรอจ๊ะ”
  “ค่ายภาษาอังกฤษครับ”
  “ไปกี่วันเอ่ย”
  “ไปห้าวันครับ กลับวันศุกร์ตอนบ่ายๆครับ”
  แค่นั้นแหละ วิลก็ต้องตอบคำถามที่ทั้งเยอะทั้งเร็วของเด็กสาวจนหัวปั่น ทั้งถามเรื่องเพื่อนที่จะไปด้วย เรื่องกิจกรรมค่าย และเรื่องอื่นๆอีกเพียบ เวลาตอนบ่ายของเค้าจึงหายไปกับการตอบคำถามให้เธอ และบางทีอาจจะมีเรื่องเล็กๆน้อยๆเข้ามาอีก
  วิลนึกไม่ออกแล้วว่าจะมีใครที่ชวนเขาคุยได้มากขนาดนี้นอกจากเชอร์รี่ เพราะปรกติเขานั่นแหละที่พูดมากที่สุดเวลาคุย และการสนทนาในวันนี้ได้ยืนยันให้เขาแน่ใจแล้วว่าเธอชวนเขาคุยได้เพลินจริงๆ เพลินจนพอเขาหันมาดูนาฬิกาอีกทีมันก็เกือบห้าโมงแล้ว และตอนนี้เขาก็ต้องไปกินข้าวเสียที
  “เชอร์รี่เดี๋ยววิลต้องไปกินข้าวแล้วนะ วันนี้อาจจะไม่ได้มาคุยอีกนะครับ”
  “ทำไมหละ”
  “เพราะวิลยังไม่ได้จัดกระเป๋าเลย ของมีตั้งเยอะอาจจะจัดจนดึก”
  “อืม หรอ”
  “ครับ”
  “อย่าลืมคิดถึงเชอร์รี่บ้างนะ”
  “ได้ครับ”
  ตอนนี้เขาเริ่มชินกับคำถามแบบนี้แล้ว ถึงจะยังเอ๋อๆเวลาโดนเข้าแบบนี้นิดหน่อยก็ตามที อีกอย่างเขาก็คิดจะทำเรื่องที่บ้าที่สุดที่เขาจะเคยทำออกมาแล้วด้วย นั้นคือสิ่งที่เทพอัจฉริยะอย่างเขาเคยบอกไว้ว่าไร้ความหมายนั่นเอง
  วิลไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงคิดจะจีบเชอร์รี่ได้ เขาเดาเอาว่าคงเป็นเพราะความที่เธอเป็นคนกล้าพูดกล้าคุย และเธอก็ทำได้ดีมากเสียด้วย ถ้าที่โรงเรียนมีการสอบคุยให้เธอแล้วหละก็ เขาคิดว่าเธอคงจะทำคะแนนได้เต็มทุกครั้งเป็นแน่
  “บ้ายบายจ๊ะ”
  “บายครับ”
  เป็นอย่างที่วิลคิดไว้ เขาไม่มีเวลากลับมานั่งคุยกับเชอร์รี่จริงๆ ของที่จะต้องเอาไปนั้นเยอะมากจนเขาต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงหามายัดใส่กระเป๋าเขา(ขอย้ำว่ายัด) กว่าจะเสร็จก็ปาไปสองทุ่มกว่าๆ เมื่อเขากลับมาดูโปรแกรมสนทนาเชอร์รี่ก็ออกจากระบบไปแล้ว เขาจึงมานั่งคุยกับรอยส์ตามประสาเพื่อนสนิทจนถึงเวลานอน
  เช้าวันจันทร์มาถึงในที่สุด วันนี้เขาต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษเพื่อจะไปขึ้นรถที่โรงเรียนให้ทัน แต่พอไปถึงวิลก็นึกขึ้นได้ว่าลืมรองเท้าแตะ จึงต้องรับกลับไปเอาที่บ้าน โชคดีที่บ้านของวิลอยู่ใกล้กับโรงเรียน วิ่งไปกลับใช้เวลาแค่สิบนาทีนิดๆ กลับมาอีกทีก็ถึงเวลาขึ้นรถพอดี
  รอยส์ไม่ได้ไปเข้าค่ายกับวิล เขาบอกวิลว่าขี้เกียจไป ซึ่งมันก็เป็นคำตอบที่เขาได้เป็นประจำเวลาถามว่าจะทำอะไรไหม รอยส์มักจะตอบเขาว่าขี้เกียจถ้ามันไม่จำเป็น
  วิลรู้ว่าค่ายนี้มีแต่พวกนักเรียนที่เกือบนักเลงเพียบ แต่ละคนแค่เห็นหน้าเขาก็ไม่อยากเข้าใกล้แล้ว ใจหนึ่งของวิลจึงคิดว่า
  “ซวยจริงๆ ไม่น่าลงชื่อไปค่ายนี้เลย”
  แต่ก็เท่านั้น เพราะจะมาเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ยังดีที่เพื่อนในกลุ่มของเขามาด้วย ไม่อย่างนั้นค่ายนี้ก็ไม่ต่างจากค่ายนรกเลย
  ตลอดทางที่เขานั่งรถวิลจึงนั่งอยู่แต่ในกลุ่ม อ่านหนังสือจิตวิทยาไปเล่นกับเพื่อนไป บางทีวิลก็จะเอากีตาร์ที่ยืมลูกพี่ลูกน้อยเขามาเล่น มันเป็นกีตาร์ที่เก่า เสียงก็เพี้ยนไปบ้างเลยต้องมาเสียเวลาแก้เสียงอยู่นานพอสมควร แต่มันก็คุ้มค่าอยู่เพราะมันเป็นกีตาร์ที่เสียงดีเอามากๆ ก็จะไม่ให้ดีได้ไงในเมื่อลูกพี่ลูกน้องของเขาซื้อมาตั้งสามหมื่นบาท ซึ่งความแพงของมันก็ไม่ได้มีประโยชน์แค่ทำให้เสียงดีขึ้น แต่ก็ใช้เป็นข้ออ้างที่เยี่ยมยอดเมื่อรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้างหลังขอยืมมัน เพราะแค่ฟังราคา รุ่นพี่คนนั้นก็เลิกคิดจะยืมกีตาร์ของเขาไปเลย
  สถานที่ที่จัดค่ายคือโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี มันถือเป็นค่ายที่หรูที่สุดเท่าที่เขาเคยไป และเป็นค่ายที่เลวร้ายที่สุดด้วย ก็แค่พวกนักเรียนนักเลงที่ตั้งใจมาค่ายเพื่อนเล่นบ้าๆบอๆกันอย่างเดียวก็ปาเข้าไปเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นอย่างต่ำแล้ว นี่ยังไม่รวมถึงพวกขี้เก๊กที่เอาแต่เก๊กกันจนไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะมีอะไรที่พวกนั้นจะมีปัญญาคิดมากไปกว่าการเก๊กและเดินโชว์ตัวไปรอบๆค่ายอีกจำนวนหนึ่ง
  ถึงค่ายนี้มันจะเลวร้ายแค่ไหน วิลก็ไม่ใส่ใจอีกแล้ว ค่ายแค่ห้าวันมีรึจะทำให้เทพผู้นี้ลำบาก ไม่มีทางแน่นอน ตัววิลเองก็มีอาวุธที่เขาภาคภูมิที่สุดอยู่ในมือตลอดเวลาอยู่แล้ว และให้ตายชาตินี้ก็ไม่มีใครปลดมันออกได้นอกจากตัวเขาเอง
  จิตวิทยาเป็นเรื่องที่วิลสนใจมาตั้งแต่เด็ก เขาศึกษามันมาบ้างตอนที่ยังเรียนประถม พอขึ้นชั้นมัธยม วิลได้เริ่มเอาจริงเอาจังกับมันมากขึ้น เขามีหนังสือจิตวิทยาสองเล่มและนั่นก็คืออาวุธที่ทำให้เขารู้สึกถึงพลังอำนาจแห่งการเข้าถึงจิตใจคน เขารู้ถึงวิธีกำจัดปัญหาปัญญาอ่อนที่มักจะเจอจากพวกไร้สมองร้อยแปดวิธี ดังนั้นค่ายที่ดูจะเต็มไปด้วยปัญหาอย่างค่ายนี้จึงเป็นแค่แบบฝึกหัดเด็กอนุบาลให้เขาลองแก้ไขเท่านั้นเอง
  ในที่สุดค่ายก็จบลง ไม่มีอะไรที่เป็นอุปสรรคสำหรับเขา วิลเบื่อนิดหน่อยเท่านั้น ก็ค่ายนี้มันแทบไม่มีอะไรทำให้เขาสนใจมากนัก ที่น่าแปลกก็คือเขารู้สึกเหงาแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกเหมือนมีบางอย่างมันติดๆอยู่ในอก วิลพยายามบอกตัวเองว่าคงไม่ใช่อย่างที่เขาคิดหรอก มันคงไม่ใช่เพราะเขาคิดถึงเชอร์รี่...
  “อืม”เขาครางพลางบิดขี้เกียจตรงหน้าอ่างล้างหน้า แล้วจึงเริ่มต้นแปรงฟันและล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นเพื่อนต้อนรับเช้าวันใหม่
วันอาทิตย์เป็นวันที่วิลว่างมากที่สุด เพราะเขาจะว่างในวันนี้ทั้งวัน ผิดกับวันอื่นที่จะมีเรียนจนแทบไม่ได้เป็นอันทำอะไรทั้งสิ้น หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จตอนเกือบสิบโมง วิลมักจะไปที่คอมพิวเตอร์เพื่อนเล่นอินเตอร์เน็ต แล้วก็จะนั่งทำอะไรต่อมิอะไรอยู่แถวๆคอมพิวเตอร์เกือบทั้งวัน จะออกไปก็ตอนที่ต้องกินข้าวหรือซื้อของมาทำงานที่โรงเรียน แต่เมื่อโรงเรียนหยุดเขาจึงไม่ได้มีรายการออกไปซื้อของ ตอนนี้เขาจึงยังคงนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ต่อไป
  “สวัสดีจ๊ะ”นั่นคือการทักทายจากเชอร์รี่ เด็กสาวจอมขี้เล่นที่เข้ามาคุยกับเขาเมื่อวาน
  “สวัสดีครับ”วิลตอบกลับ
  “ทำอะไรอยู่หรอ”
  “ก็ คุยเอมเอสเอ็นไปเรื่อยนะครับ บางทีก็เข้าไปดูนิยายบ้าง”
  “แล้ววันนี้ได้ไปไหนไหม”
  “วันนี้วิลอยู่บ้านทั้งวันครับ เดี๋ยวก็ต้องจัดของไปเข้าค่ายพรุ่งนี้ด้วย”
  “ไปเข้าค่ายอะไรหรอจ๊ะ”
  “ค่ายภาษาอังกฤษครับ”
  “ไปกี่วันเอ่ย”
  “ไปห้าวันครับ กลับวันศุกร์ตอนบ่ายๆครับ”
  แค่นั้นแหละ วิลก็ต้องตอบคำถามที่ทั้งเยอะทั้งเร็วของเด็กสาวจนหัวปั่น ทั้งถามเรื่องเพื่อนที่จะไปด้วย เรื่องกิจกรรมค่าย และเรื่องอื่นๆอีกเพียบ เวลาตอนบ่ายของเค้าจึงหายไปกับการตอบคำถามให้เธอ และบางทีอาจจะมีเรื่องเล็กๆน้อยๆเข้ามาอีก
  วิลนึกไม่ออกแล้วว่าจะมีใครที่ชวนเขาคุยได้มากขนาดนี้นอกจากเชอร์รี่ เพราะปรกติเขานั่นแหละที่พูดมากที่สุดเวลาคุย และการสนทนาในวันนี้ได้ยืนยันให้เขาแน่ใจแล้วว่าเธอชวนเขาคุยได้เพลินจริงๆ เพลินจนพอเขาหันมาดูนาฬิกาอีกทีมันก็เกือบห้าโมงแล้ว และตอนนี้เขาก็ต้องไปกินข้าวเสียที
  “เชอร์รี่เดี๋ยววิลต้องไปกินข้าวแล้วนะ วันนี้อาจจะไม่ได้มาคุยอีกนะครับ”
  “ทำไมหละ”
  “เพราะวิลยังไม่ได้จัดกระเป๋าเลย ของมีตั้งเยอะอาจจะจัดจนดึก”
  “อืม หรอ”
  “ครับ”
  “อย่าลืมคิดถึงเชอร์รี่บ้างนะ”
  “ได้ครับ”
  ตอนนี้เขาเริ่มชินกับคำถามแบบนี้แล้ว ถึงจะยังเอ๋อๆเวลาโดนเข้าแบบนี้นิดหน่อยก็ตามที อีกอย่างเขาก็คิดจะทำเรื่องที่บ้าที่สุดที่เขาจะเคยทำออกมาแล้วด้วย นั้นคือสิ่งที่เทพอัจฉริยะอย่างเขาเคยบอกไว้ว่าไร้ความหมายนั่นเอง
  วิลไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงคิดจะจีบเชอร์รี่ได้ เขาเดาเอาว่าคงเป็นเพราะความที่เธอเป็นคนกล้าพูดกล้าคุย และเธอก็ทำได้ดีมากเสียด้วย ถ้าที่โรงเรียนมีการสอบคุยให้เธอแล้วหละก็ เขาคิดว่าเธอคงจะทำคะแนนได้เต็มทุกครั้งเป็นแน่
  “บ้ายบายจ๊ะ”
  “บายครับ”
  เป็นอย่างที่วิลคิดไว้ เขาไม่มีเวลากลับมานั่งคุยกับเชอร์รี่จริงๆ ของที่จะต้องเอาไปนั้นเยอะมากจนเขาต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงหามายัดใส่กระเป๋าเขา(ขอย้ำว่ายัด) กว่าจะเสร็จก็ปาไปสองทุ่มกว่าๆ เมื่อเขากลับมาดูโปรแกรมสนทนาเชอร์รี่ก็ออกจากระบบไปแล้ว เขาจึงมานั่งคุยกับรอยส์ตามประสาเพื่อนสนิทจนถึงเวลานอน
  เช้าวันจันทร์มาถึงในที่สุด วันนี้เขาต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษเพื่อจะไปขึ้นรถที่โรงเรียนให้ทัน แต่พอไปถึงวิลก็นึกขึ้นได้ว่าลืมรองเท้าแตะ จึงต้องรับกลับไปเอาที่บ้าน โชคดีที่บ้านของวิลอยู่ใกล้กับโรงเรียน วิ่งไปกลับใช้เวลาแค่สิบนาทีนิดๆ กลับมาอีกทีก็ถึงเวลาขึ้นรถพอดี
  รอยส์ไม่ได้ไปเข้าค่ายกับวิล เขาบอกวิลว่าขี้เกียจไป ซึ่งมันก็เป็นคำตอบที่เขาได้เป็นประจำเวลาถามว่าจะทำอะไรไหม รอยส์มักจะตอบเขาว่าขี้เกียจถ้ามันไม่จำเป็น
  วิลรู้ว่าค่ายนี้มีแต่พวกนักเรียนที่เกือบนักเลงเพียบ แต่ละคนแค่เห็นหน้าเขาก็ไม่อยากเข้าใกล้แล้ว ใจหนึ่งของวิลจึงคิดว่า
  “ซวยจริงๆ ไม่น่าลงชื่อไปค่ายนี้เลย”
  แต่ก็เท่านั้น เพราะจะมาเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ยังดีที่เพื่อนในกลุ่มของเขามาด้วย ไม่อย่างนั้นค่ายนี้ก็ไม่ต่างจากค่ายนรกเลย
  ตลอดทางที่เขานั่งรถวิลจึงนั่งอยู่แต่ในกลุ่ม อ่านหนังสือจิตวิทยาไปเล่นกับเพื่อนไป บางทีวิลก็จะเอากีตาร์ที่ยืมลูกพี่ลูกน้อยเขามาเล่น มันเป็นกีตาร์ที่เก่า เสียงก็เพี้ยนไปบ้างเลยต้องมาเสียเวลาแก้เสียงอยู่นานพอสมควร แต่มันก็คุ้มค่าอยู่เพราะมันเป็นกีตาร์ที่เสียงดีเอามากๆ ก็จะไม่ให้ดีได้ไงในเมื่อลูกพี่ลูกน้องของเขาซื้อมาตั้งสามหมื่นบาท ซึ่งความแพงของมันก็ไม่ได้มีประโยชน์แค่ทำให้เสียงดีขึ้น แต่ก็ใช้เป็นข้ออ้างที่เยี่ยมยอดเมื่อรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้างหลังขอยืมมัน เพราะแค่ฟังราคา รุ่นพี่คนนั้นก็เลิกคิดจะยืมกีตาร์ของเขาไปเลย
  สถานที่ที่จัดค่ายคือโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี มันถือเป็นค่ายที่หรูที่สุดเท่าที่เขาเคยไป และเป็นค่ายที่เลวร้ายที่สุดด้วย ก็แค่พวกนักเรียนนักเลงที่ตั้งใจมาค่ายเพื่อนเล่นบ้าๆบอๆกันอย่างเดียวก็ปาเข้าไปเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นอย่างต่ำแล้ว นี่ยังไม่รวมถึงพวกขี้เก๊กที่เอาแต่เก๊กกันจนไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะมีอะไรที่พวกนั้นจะมีปัญญาคิดมากไปกว่าการเก๊กและเดินโชว์ตัวไปรอบๆค่ายอีกจำนวนหนึ่ง
  ถึงค่ายนี้มันจะเลวร้ายแค่ไหน วิลก็ไม่ใส่ใจอีกแล้ว ค่ายแค่ห้าวันมีรึจะทำให้เทพผู้นี้ลำบาก ไม่มีทางแน่นอน ตัววิลเองก็มีอาวุธที่เขาภาคภูมิที่สุดอยู่ในมือตลอดเวลาอยู่แล้ว และให้ตายชาตินี้ก็ไม่มีใครปลดมันออกได้นอกจากตัวเขาเอง
  จิตวิทยาเป็นเรื่องที่วิลสนใจมาตั้งแต่เด็ก เขาศึกษามันมาบ้างตอนที่ยังเรียนประถม พอขึ้นชั้นมัธยม วิลได้เริ่มเอาจริงเอาจังกับมันมากขึ้น เขามีหนังสือจิตวิทยาสองเล่มและนั่นก็คืออาวุธที่ทำให้เขารู้สึกถึงพลังอำนาจแห่งการเข้าถึงจิตใจคน เขารู้ถึงวิธีกำจัดปัญหาปัญญาอ่อนที่มักจะเจอจากพวกไร้สมองร้อยแปดวิธี ดังนั้นค่ายที่ดูจะเต็มไปด้วยปัญหาอย่างค่ายนี้จึงเป็นแค่แบบฝึกหัดเด็กอนุบาลให้เขาลองแก้ไขเท่านั้นเอง
  ในที่สุดค่ายก็จบลง ไม่มีอะไรที่เป็นอุปสรรคสำหรับเขา วิลเบื่อนิดหน่อยเท่านั้น ก็ค่ายนี้มันแทบไม่มีอะไรทำให้เขาสนใจมากนัก ที่น่าแปลกก็คือเขารู้สึกเหงาแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกเหมือนมีบางอย่างมันติดๆอยู่ในอก วิลพยายามบอกตัวเองว่าคงไม่ใช่อย่างที่เขาคิดหรอก มันคงไม่ใช่เพราะเขาคิดถึงเชอร์รี่...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น