ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Even the world is crumbling / ต่อให้โลกย่อยยับ

    ลำดับตอนที่ #64 : The Renaissance และ บรรณารักษ์ผู้เศร้าโศก 4 จบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.52K
      312
      14 ก.ค. 60

    ผมยังคงอยู่ที่นั่นอีกสองสามวัน คำพูดของตาแม้จะเดาไม่ออกว่าแกพยายามจะบอกอะไร แต่มันก็ยังทำให้ผมต้องใช้เวลาคิดถึงสิ่งที่แกพูด สำหรับสองสาวพวกเธอเลิกทะเลาะกันด้วยปากหลังจากที่เหยียนอวี้พบกับโน๊ตเพลงเก่าๆเล่มหนึ่งในห้องสมุด สาวๆเปลี่ยนจากการพูดคุย เป็นภาษาดนตรีแทน

     

    พวกเธอเอากีต้าร์ตัวเก่าและซอโทรมๆออกมาเล่น โดยที่ผมไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน

     

    เมื่อเสียงแรกเริ่มต้น บรรยากาศที่เคยขุ่นมัวมันถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง พวกเธอทำเอาทั้งผมและคุณตาลืมทุกสิ่งที่ทำอยู่ หันกลับมานั่งฟังเพลงที่พวกเธอบรรเลง มันฟังดูติดๆขัดอยู่บ้างในช่วงแรก  แต่ครู่เดียวเท่านั้น บ้านหลังใหญ่ที่เคยเยือกเย็นกลับมีชีวิตขึ้นมาแทบจะในทันที  สำหรับผม ดนตรีของพวกเธออาจเป็นสิ่งเดียวในตลอดหลายๆวัน ที่ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้มันก็ไม่ได้แย่อะไรนัก อยากจะพูดเหลือเกินว่า มันหนึ่งในสิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกเก่า ที่ทำให้เรายังจำได้ว่าตัวเราเป็นมนุษย์ไม่ใช้เพียงสัตว์ที่ต้องเอาชีวิตรอดไปวันๆ

     

    เสียงเพลงของสาวๆเรียกน้ำตาจากตาเฒ่าอีกรอบ ไม่รู้นะ บางทีของพวกนี้มันอาจเป็นของที่คุณยายเคยใช้มาก่อน ถึงทำให้คุณตาเกิดความรู้สึกร่วมที่มากจนผิดปกติ พอสาวๆเริ่มเล่น คุณตาแกไถขาติดล้อของแกเข้าไปใกล้ๆ ราวกับถูกเสียงดนตรีที่ได้ยินสะกดจิตเอา เสียงซอของเหยียนอวี้ทำหน้าที่แทนเสียงร้องในขณะที่เสียงกีต้าร์ของมิเรียมเป็นตัวกำหนดจังหวะ

     

    มันหวานเกินกว่าคำพูดใดๆที่ผมเคยได้ยิน

     

    ผมเข้าใจความรู้สึกของตาปาล์มได้ไม่ยากนักเพราะวินาทีนั้นเอง ตัวผมก็พบว่าความสวยงามจากอดีตอันไกลโพ้นได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงหน้า 



     แต่ช่วงเวลาๆดีๆมันไม่เคยอยู่กับเราได้นานนักหรอก เมื่อในวันที่สามพายุได้หายไป


    ทุกคนก็ทราบว่ามันถึงเวลาอีกครั้งที่เราต้องออกเดินทาง

     

    แสงแดดของเช้าวันสุดท้ายเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่เรือซ่อมเสร็จก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง ผมไมรู้ว่าตาทำอะไรกับมันบ้างแต่หน้าตาของเรือเร็วเปลี่ยนไปมาก เห็นแวบๆว่าระบบเครื่องยนต์ของเรือ ถูกจัดการเสียใหม่จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ตาติดตั้งระบบนำทางให้ สำหรับอาหารและน้ำ ไม่จำเป็นอะไรอีก เพราะตายืนยันว่าในอีกแค่ไม่ถึง 4 ชั่วโมงเราจะไปถึงท่าเรือของเมืองหลักได้อย่างปลอดภัย

     

    สาวๆขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของตาปาล์มและสัญญาว่าวันหนึ่งพวกเธอจะกลับมาที่นี่เพื่อตอบแทน แต่ตาก็ไม่รับความหวังดีนั้น ตาบอกกับพวกเธอว่า ดนตรืที่พวกเธอเล่นให้ฟังมันเพียงพอแล้วสำหรับสิ่งที่แกได้รับ


    ในส่วนความกังวลใจของผม ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากเข้าเมือง .....แม่วางแผนให้เสร็จ  เธอตั้งใจส่งผมไปอยู่กับเพื่อนอีกคนที่รู้จัก เพื่อให้ผมหลบหนีความยุ่งยากที่ตามหลังมา เพราะข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ออกไป

     

    เพียงแต่เพื่อนของแม่อยู่ไกลออกไปจากที่นี่มาก และตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ที่นั่นไปนานแค่ไหน

     

    เราใช้เวลาไม่นานล่ำลาชายชราผู้อยู่อย่างสันโดษ

     

     ก่อนที่เรือ จะมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ระหว่างการเดินทาง สองสาวทิ้งตัวลงนอนและหลับสนิททั้งๆที่พวกเธอก็หลับไปอย่างเต็มที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า เช้านี้ลมสงบมองเห็นฝูงโลมาที่ว่ายตีคู่ไปกับลำเรือ ผมซึมซับสายลมที่พัดผ่าน ปล่อยให้เส้นผมปลิวไปตามแรงลมอย่างมีความสุข โดยไม่คิดจะปลุกสองสาวให้มาร่วมรับรู้กับความเพลิดเพลินของการควบทะยานเรือเร็วที่วิ่งแฉลบผิวน้ำ

     

    ไม่นานหลังจากที่เรือเทียบท่า...... สองสาวก็ตื่นขึ้น


    มิเรียมเลือกจะเดินทางต่อไปยังสถานทูตของออชิเดนที่เป็นสาขาประจำเมืองหลวง เธอปล่อยเหยียนอวี้เป็นอิสระโดยไม่มีความคิดที่จะจับตัวเป็นเชลยเหมือนวันแรกในการเดินทาง พวกเธอทำตัวคล้ายกันกับว่าเป็นเพื่อนสนิทกันมานานแสนนานทั้งๆที่ผมเองจำได้เพียงว่าในอาทิตย์แล้วพวกเอ็งยังทะเลาะกันเรื่องของกินอยู่เลย

     

     ก่อนเหยียนอวี้จะจากไป เธอทิ้งกระดาษแผนเล็กๆให้เราคนละแผ่น มันเขียนตัวเลข 18 หลักที่เธอบอกกับเราว่า เป็นรหัสที่ใช้ติดต่อกับเธอโดยตรง เมื่อพิมพ์ตัวเลขนี้เข้าสู่เน็ตเวิร์ค พวกเราสามารถติดต่อกับเธอได้ และในกรณีที่เกิดเรื่องเดือดร้อนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเธอจะมาหาเราได้ในระยะเวลาไม่เกิน 3 วัน สาวหมวย ลูบหัวผมอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินลับตาไปท่ามกลางฝูงชนจำนวนมาก

     

    มิเรียมอ่านกระดาษแผ่นนั้นก่อนเผามันทิ้ง เธอรู้ในสิ่งที่ผมคิด และตอบกับผมว่า


    “ ไม่ต้องเป็นห่วงแทนเหยียนอวี้หรอก ฉันแค่จำรหัสพวกนี้ได้แล้ว ”

    ....เออ มันเปลืองพื้นที่สมองไปปะว่ะ ผมคิดอยู่ในใจ

     

    แต่เอาเหอะมันไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปคิดแทน

     

    มิเรียมหยิบเช็คใบหนึ่งออกมายื่นให้กับผม มันกรอกตัวเลขสูงกว่าที่ตกลงกันไว้ตอนแรก ผมพยายามจะไม่รับแต่เธอก็พูดแค่เพียงว่า มันเป็นจำนวนที่ผมควรจะได้ เธอยืนข้อเสนอให้ผมออกเดินทางไปยังออชิเดนกับเธอ ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ และปฏิเสธไปโดยไม่ลังเล ถ้าเมื่อไหร่นางรู้ว่าข้อมูลที่นางถืออยู่ตอนนี้มัน ไม่ใช่ความลับอีกแล้ว นึกไม่ออกเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผมบ้าง ยิ่งถ้าไปทำงานอยู่กะนางด้วยนะ หาเรื่องตายชัดๆ เธอทำในสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงอีกครั้ง มิเรียมดึงผมไปกอด โดยมีสายตานับสิบคู่ยืนมอง นางกอดผมแน่นและตบหลังผมเบาๆไม่หยุด ผมเพิ่งรู้สึกว่าสาวๆพวกนี้มองผมเป็นเพียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม คือแม่งไม่ได้รู้สึกเลยซักนิดว่าผมเป็นตัวผู้หื่นกาม


    เฟลๆหน่อยเพราะเหมือนโดนหยามทางอ้อม แต่ก็ปล่อยให้เธอทำอย่างที่เธออยากทำ


    พวกเราเดินเล่นด้วยกันอีกพักหนึ่ง ก่อนได้เวลาที่แต่ละคนต้องแยกย้าย เธอยิ้มและโบกมือให้ผมเป็นครั้งสุดท้าย และเดินจากไปเงียบๆ ถึงตรงนี้ผมรีบจัดการธุระในเมืองอีกพักหนึ่ง และรอคอยที่จะเดินทางไปอยู่กับเพื่อนแม่ตามแผนที่วางเอาไว้ทั้งๆที่ไม่รู้สึกซักนิดว่ามันจำเป็น


    แต่ก็ทำตามนั้น เพื่อความสบายใจของแม่

     

    สามีภรรยาที่ผมจะไปอาศัยอยู่ด้วย เป็นพวกบรรณารักษ์ ที่อาศัยอยู่ในทวีปยูโรปา จริงๆไอ้ทวีปนั้นละผมไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่นักหรอก เพราะที่ที่ผมต้องไปอยู่ได้ยินมาว่าอากาศมันหนาวมาก แถมพวกกินคนก็ออกเพ่นพ่านอยู่ แทบจะตลอดเวลา คงเพราะแสงแดดที่นั่นไม่ได้แรงเท่ากับบ้านเรา

     

    โดยปกติการเดินทางข้ามทวีปมันเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เนื่องจากคนส่วนใหญ่มองว่า ดินแดนยูโรปา เป็นทวีปที่มีระบบการดูแลรักษาความปลอดภัยที่ดีที่สุดในโลก ดังนั้นจึงมีหลายๆครอบครัวจากที่ต่างๆพยายามจะหนีพวกกินคนไปยังทวีปยูโรปา พอคนเริ่มไปอยู่มากๆพวกนั้นก้ต้องกีดกันไม่ให้คนจากดินแดนอื่นๆพยายามจะเข้าไปใช้ชีวิตในทวีปของเขา

     

    แต่สำหรับผมดูเหมือนปัญหาเรื่องการกีดกัดที่พูดถึงไม่มีผลเท่าไหร่นัก เนื่องจากมีคำรับรองของเหล่าบรรณารักษ์ ว่าตัวผมไม่ได้เป็นคนอันตราย และการไปของผมเป็นไปเพื่อการศึกษาต่อ....อันนี้ท่าทางแม่จะโกหกให้เพราะผมเลิกไปโรงเรียนมาตั้งนานแล้ว

     

    หลังจากนั้น 3-4 วันทุกอย่างก็พร้อม

     

    ผมรู้สึกกลัวๆหน่อยเพราะเอาจริงๆนี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เดินทางด้วยเครื่องบิน แถมตอนไปรอขึ้นเครื่องที่ท่าอากาศยานก็ยังทำตัว งงๆ ให้โดนเจ้าหน้าที่ในท่าอากาศยานด่าเอาอีก


    อยากจะบอกแม่งเหลือเกินว่ากูไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อนว้อยยยยย

     

    แต่หลังจากนั้น 10 ชั่วโมงโดยประมาณ ผมก็มายืนบื้ออยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ในแผ่นดินที่ไม่เคยรู้จัก

     

    เมืองขนาดใหญ่ที่มีกำแพงสูงกว่าภูเขา และยาวสุดสายตา กลางเมืองมีอาคารขนาดมหึมาที่สูงทะลุฟ้าจนมองไม่เห็นยอด  คนแถวๆนั้นเรียกมันว่า บาเบลทู ครอบครัวที่อยู่ที่นี่บอกว่าจะมารับ แต่เพราะสนามบินมันใหญ่โคตร ผมก็เลยหาที่นัดไม่เจอ

     

    อารมณ์ตอนนี้ขาดความมั่นใจมากๆ ที่ร้ายที่สุดหนาวระยำ ...เสื้อผ้าที่ใส่มาโดนกำชับอย่างดีว่าต้องใส่หนาๆ แต่ก็ไม่หนาพอ อยู่ที่เมืองหลวงของเราโคตรร้อนแต่มาถึงที่นี่มันกลายเป็นอีกเรื่อง ระหว่างที่นั่งรอผมก็สอดสายสาตามองไปเรื่อย ที่นี่มีคนหลายเชื้อชาติอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งตอนที่นั่งมองคนโน้นทีคนนี้ทีอยู่ ผมก็ถูกนักเลงเจ้าถิ่นล้อมเอา ผู้ชายตัวโตสามสี่คนทั้งผิวดำผิวขาวเดินตรงเข้ามารุมผมที่นั่งบื้ออยู่บนเก้าอี้ยาว

     

    “ มึงมองหน้ากูทำไมวะ” ชายผิวดำร่างใหญ่ ก้มหน้าลงมาพูดกับผม

     

    ไม่ได้ตกใจนะแต่ไม่อยากมีปัญหาตั้งแต่เหยียบแผนดินอื่น ก็เลยพยายามจะเดินหนี ไอ้พวกนั้นเดินตามผมแบบมีจุดประสงค์ ตะโกนเสียงดังลั่นแปลออกมั่งไม่ออกมั่งไปตามเรื่อง.....แต่ในที่สุดพอเห็นว่ามันคงไม่เลิก ผมเลยหยุดและหันกลับไปคุย

     

    “ ผมเพิ่งเคยมาที่นี่ ถ้าทำอะไรผิดผมขอโทษแล้วกันนะพี่ชาย”

    “ ใครพี่มึงวะ“ มันตอบกลับมาด้วยท่าทางจะเอาเรื่อง

     

    จู่ๆเสียงไซเรนของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ดังขึ้นทำให้ไอ้พวกนั้นเดินเลี่ยงไปอีกทางโดยที่ผมยังไม่ต้องทำอะไร แต่กลายเป็นว่าเจ้าหน้าที่พวกนั้นมาจับผมแทน  พวกเขาเอาตัวผมไปไว้ในที่ที่เหมือนกับห้องสอบสวนและถามโน่นถามนี่สารพัด



    คนที่นี่แม่งโคตรเป็นมิตรเลยให้ตาย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×