ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Even the world is crumbling / ต่อให้โลกย่อยยับ

    ลำดับตอนที่ #61 : The Renaissance และ บรรณารักษ์ผู้เศร้าโศก 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.83K
      388
      30 มิ.ย. 60

    ประตูรั้วอัตโนมัติเลื่อนเปิด เชิญพวกเราให้เดินเข้าไป แม้ยังไม่เห็นเงาจากเจ้าของพื้นที่  แต่ความหนาวจากสายฝนและความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเดินเข้าสู่สถานที่ที่ไม่รู้จัก โดยไม่เหลือความระมัดระวัง น้ำหนักของผู้หญิงทั้งคู่ที่ผมต้องแบกอยู่นาน ตอนนี้หายไปแล้ว พวกเธอลงมานั่งกับพื้นและมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง ส่วนผมถึงกับนอนแผ่ลงตรงนั้นพร้อมอาการล้าจนแขนขาสั่น

     

    ไอ้หนาวก็หนาวแหละแต่ที่สั่นเพราะแบกต้องยัยสองคนนี้มาตลอดทาง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหนาว ถ้าที่นี่ปลอดภัย ผมคิดว่าพรุ่งนี้ ผมเองไม่น่าจะทำอะไรไหว คงเมื่อยไปทั้งตัว ในระหว่างที่นอนหอบจนซี่โครงบาน นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เสื้อแจคเก็ตที่ใส่อยู่มันเปียกไปเรียบร้อยแล้ว ผมต้องรีบเอาข้อมูลของ ด็อคเตอร์วิลเลี่ยมออกมาจากเสื้อ และวางเอาไว้ในที่แห้ง ถ้าโชคดีข้อมูลพวกนั้นคงไม่เสียหาย


    แต่สิ่งที่ผมทำ ก็อยู่ในสายตาของทั้งมิเรียมและเหยียนอวี้  

     

    แน่นอนว่าพวกเธอสงสัยทันที  แวบหนึ่ง ที่ผมรู้สึกว่าพวกเธอกลับมามองผมด้วยสายตาแบบที่เคยเจอในช่วงแรกๆที่พวกเราพบกัน

     

    แต่ก่อนที่จะมีใครเอ่ยปากถาม เจ้าของบ้านก็พูดกับเราผ่านเครื่องขยายเสียง

    “ มีเสื้อผ้าใหม่กับผ้าเช็ดตัว อยู่ในห้องที่สองทางซ้ายมือ เดินเลยไปหน่อยเป็นห้องน้ำ ”

     ถึงจะได้ยิน ก็ยังไม่มีใครกล้าลุกไปตามคำบอก เพราะอย่างแรกเราไม่รู้จักผู้ชายเจ้าของเสียง ไม่เห็นตัวและยังคงมีความกังวล

    “ รีบไปเถอะ ถ้าจะทำอะไรพวกคุณ ผมปล่อยให้ตายอยู่กลางทะเลโน่น ไม่ได้มาถึงที่นี่หรอก ” เจ้าของบ้านพูดอีกครั้ง

      มิเรียมเป็นคนแรกที่พยายามยืนขึ้น เธอมองหน้าเหยียนอวี้ก่อนทั้งคู่ จะลุกเดินไปตามคำบอก ส่วนผมยังนอนแผ่อยุ่หน้าประตูทางเข้า

    “ อ้าวไอ้ทิดแล้วไปตามแฟนเอ็งไปรึไง ” เจ้าของเสียงถามอย่างเป็นกันเองจนผมแปลกใจ

    “ ยัง! ยังไม่ได้กัน พวกนั้นจ้างผมนำทางเฉยๆ ”

    “ อะไรกันวะ.... เอ็งชอบผู้ชายรึไงเนี้ย ”

    “ ....ก็เลือกนิดนึ่งอ่ะ ถ้าดำๆล่ำๆ ก็พอได้อยู่....” ผมตอบไปแบบไม่รู้จะพูดอะไร

    “ เอ็งคงไม่ได้ชอบผู้ชายแก่ๆด้วยใช่ไหมทิด”

    “ ไม่แน่...ถ้าเมาๆคงพอได้...ถุ้ย! ผมประชดโว้ยยย!


    เจ้าของบ้านหัวเราะเสียงดังลั่น แข่งกับเสียงฝนตกที่ดังอยู่ภายนอก ดูเหมือนแกไม่ได้ขำมานาน แกหัวเราะจนหอบก็ยังไม่หยุด ท้ายสุดไม่ได้ยินเสียหัวเราะแต่ได้ยินเสียแกหายใจแรงๆแทน


    “ จะขำอะไรขนาดนั้น ” ผมถาม


    บรรยากาศผ่อนคลายลง อย่างน้อยเจ้าของบ้านก็ดูฮาๆ มากกว่าที่คิดเอาไว้ เราคุยกันอีกครู่ใหญ่ก่อนที่ผมจะต้องอาบน้ำ บ้านหลังใหญ่แห่งนี้ออกจะเป็นสถานที่ที่เหลือเชื่อ ผมได้ยินเสียสาวๆฮัมเพลงเบาๆ พวกเธอดูจะมีความสุขหลังจากที่ต้องอยู่กลางทะเลมานานหลายวัน แต่ผมก็ยังไม่รู้ ว่าอะไรที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ถึงทำให้สาวๆสบายอกสบายใจจนผิดปกติ กระทั่งผมมาเจอเข้ากับห้องน้ำขนาดใหญ่ ที่มีอ่างอาบน้ำขนาดคนสามสี่คนลงมาแช่ก็ยังไม่รู้สึกอึดอัด แล้วที่มันเจ๋งสุดๆคือ น้ำที่ใช้อาบก็ยังเป็นน้ำอุ่นอีกด้วย

     

    ออกจะเหลือเชื่อเกินไปซักหน่อย ที่มาพบอะไรแบบนี้อยู่บนเกาะกลางทะเล....พูดก็พูด บ้านคนรวยๆในป้อมปราการใหญ่ๆยังไม่รู้เลยว่าจะมีกี่หลังที่สบายได้ขนาดนี้ ขอบอกเลยการแช่น้ำร้อนหลังจากเจอเรื่องหนักๆ มันอะไรที่สบายสุดๆ อยากแช่อยู่แบบนี้ไม่อยากลุกไปไหนอีกเลยให้ตาย 

     

    สบายซะจนผมเคลิ้มจะหลับเสียให้ได้


    เสียงทุบประตูปลุกเรียกดังๆ ของเหยียนอวี้เตือนว่าผมอยู่ในห้องน้ำนานเกินไปแล้ว ผมถึงตัดใจลุกออกมาจากอ่างขนาดใหญ่ เพื่อไปพบกับเจ้าของบ้าน

         

    เสื้อผ้าที่ผมได้ มันคับไปนิด ผมคิดว่าสิ่งที่ผมกำลังสวมอยู่ในตอนนี้คงเป็นชุดที่เจ้าของบ้านเคยใช้มาก่อน ผ้าเนื้อดีโปร่งสบาย และถูกซักรีดอย่างประณีต จะไม่แปลกเลยถ้าที่นี่มีคนอยู่มากกว่า 10 คนเพราะความสะอาดของบ้านหลังนี้  และอะไรหลายๆอย่าง ที่ทำให้ผมรู้สึกทึ่ง การอยู่คนเดียวในพื้นที่ใหญ่ๆแบบนี้มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่สำหรับการดูแลสิ่งต่างๆให้ดีได้อย่างที่ผมกำลังเห็นอยู่ เอาแค่เรื่องการทำความสะอาดบ้านอย่างเดียวต่อให้ใช้คนถึง 4 คนก็ไม่น่าจะทำได้เสร็จภายในวันเดียว

     

    ....เพียงแต่ แม้กระทั่งตอนนี้ผมยังไม่เจอใครที่อยู่ในบ้าน นอกจากเสียงที่ได้ยินก่อนหน้านี้

     

    ผมเสียเวลาไปกับการแต่งตัวไม่นานนัก จากนั้นจึงออกไปพบกับมิเรียมและเหยียนอวี้ที่กำลังรออยู่ กลิ่นสบู่อ่อนๆและน้ำหอมจากผมที่เพิ่งสระและหวีอย่างเรียบร้อย ทำให้เธอดูแปลกไปจากทุกที มิน่าแม่สาวพวกนี้ถึงได้อารมณ์ดีเป็นพิเศษ เจ้าของเสียงบอกให้เราเดินออกมาจากห้องเดินผ่านชั้นหนังสือขนาดใหญ่ มันเป็นห้องสมุดที่ใหญ่โตอย่างไม่เคยพบเคยเห็น เพียงแต่ สัญลักษณ์ที่ติดอยู่ตรงกำแพงและหนังสือจำนวนมากแบบนี้ผมรู้สึกคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี รูปนั้น มันเป็นรูปที่ลอกแบบมาจากรูปสลักของชายในตำนานที่ชื่อดาวิด และถูกทำขึ้นโดยช่างฝีมือในโลกยุคเก่าที่มีชื่อว่า มิเคลันเจโล ซึ่งบางคนก็เรียกว่า ไมเคิลแองเจลโล

     

     ที่จำได้ เพราะแม่ของผมมีอะไรคล้ายๆอย่างนี้อยู่ในบ้านเหมือนกัน บางทีอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้จะรู้จักแม่ของผม

     

    สองสาวดูไม่เหมือนกับพวกที่เพิ่งผ่านความตายมาไม่นาน มิเรียมที่เจ็บข้อเท้าและเหยียนอวี้ที่ช่วบพยุงเธอเดิน เดินนำห่างผมไปหลายช่วงตัว ถึงตรงนี้ผมนึกขึ้นได้ว่าผมลืม ข้อมูลของ ดร.วิลเลี่ยมไว้ที่ประตูทางเข้า  ผมพยายามจะวิ่งไปหา ตัวเก็บข้อมูลอันนั้นแต่ปรากฏว่า


    มันไม่อยู่เสียแล้ว


    “ มากินอะไรก่อนไอ้ที่หาอยู่ไม่หายไปไหนหรอก ” เจ้าของบ้านพูด


    นั่นทำให้ผมล้มเลิกที่จะใช้เวลาค้นหาสิ่งที่ผมวางลืม บางทีในบ้านหลังนี้อาจไม่มีตรงไหนเลยที่จะไม่ถูกมองเห็นโดยเจ้าของ....แม้กระทั้งในห้องน้ำ

     

    ผมเดินไปตามทางที่สาวๆเดินลับหายไป ปรากฏว่ามันเป็นครัว ที่มีอาหารวางเอาไว้ให้ ทุกอย่างยังมีควันจางๆลอยขึ้นจากจาน ทำให้รู้ว่ามันเพิ่งถูกปรุงในเวลาไม่นานมานี้


    “ ทานกันตามสบายนะเดี๋ยวจะไปหา ” เสียงนั้นพูด

     

    ถึงตรงนี้ทุกคนไม่ได้กังวลว่าอาหารจะมีพิษ พวกเราเริ่มต้นอย่างช้าๆ แต่เพียงคำแรกที่กัดก็พบว่า อาหารของที่นี้ มีเครื่องปรุงที่หาได้ยาก เพียงคำแรกก็ลืมทุกสิ่งแม้กระทั้งมารยาทบนโต๊ะอาหาร สิ่งที่ผมหามาให้พวกเธอกินและการทำอาหารของผมมันก็ไม่ได้แย่นะ เพียงแต่เมื่อเจอไอ้พวกที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ ของกินที่ผมหาได้มันแทบจะกลายเป็นอาหารขยะ


    อาหารทะเลในจานมันกลายเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆเมื่อเจอเข้ากับน้ำจิ้มซีฟู้ด...และต้มยำกุ้งน้ำใสที่มีรสจัดจ้าน

     


    มีกันสามคนที่นั่งอยู่ แต่เหมือนกับว่าเราลืมกันไปเลย ไม่มีคำพูดไม่มีการเงยหน้าขึ้นมอง ทุกคนกิน กินกินและกิน ที่มันสุดๆจริงๆคือที่นี้มีข้าว ผมเคยได้ยินว่าเมื่อก่อนคนแถวนี้กินข้าวเป็นจานหลัก แต่เพราะเราไม่สามารถเพาะปลูกข้าวได้เหมือนเดิม เหตุผลก็อันตรายจากพวกกินคนนั่นแหละ ดังนั้นข้าวที่ปลูกได้ จะถูกเอาไปทำเป็นเส้นและขนมปังเป็นส่วนใหญ่ พวกที่มีโอกาสกินข้าวจะเป็นคนชั้นสูง แต่ถึงอย่างนั้น คนรวยๆที่มีโอกาสได้กินข้าว ก็แค่เพียงไม่กี่ครั้งในหนึ่งปี

     

    แต่วันนี้ผมได้กินข้าว....มันเป็นอะไรไฮโซมาก

     

    หลังมื้ออาหารจบลง เราก็ได้พบกับเจ้าของบ้านเป็นครั้งแรก ผู้ชายคนนี้ทำเอาพวกเราทุกคนอึ้งจนพูดไม่ออกเขาเป็นชายร่างเล็กสวมหน้ากากที่แกะจากไม้ และนั่งอยู่บนรถเข็นไฟฟ้า ผมสังเกตเห็นแขนข้างหนึ่งมีร่องรอยของการถูกของการเผาด้วยไฟ นั่นคงเป็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องสวมหน้ากากเอาไว้และนั่งอยู่บนรถเข็น

     

    “ ขอโทษที่ต้องให้พบในสภาพนี้ เพียงแต่คุณอาจกินอะไรไม่ลงเลย ถ้าเห็นหน้าจริงๆของผม”

    “ มันควรเป็นพวกเราที่ต้องขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ และขออภัยที่บุกรุกเข้ามาเสียมากกว่า” เหยียนอวี้บอก

    มิเรียมเดินเข้าไปหาชายผู้เป็นเจ้าของบ้านเธอกุมมือของเขาไว้และแนบมันเข้ากับแก้มของเธอเอง

    “ ขอบคุณสำหรับความเอื้อเฟื้อที่คุณมอบให้ สำหรับฉันคุณไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คุณคิด” มิเรียมพูดจบพร้อมจูบเบาๆตรงฝ่ามือของชายเจ้าของบ้าน

    “ ถ้าหนุ่มกว่านี้อีกซัก 20 ปีและไม่ได้มีสารรูปแบบนี้ ผมคิดว่าผมควรแย่งพวกคุณมากไอ้หนุ่มนั่นให้ได้ ” เขาตอบกลับมิเรียม

    คำพูดนั้นทำให้ผมยิ้มออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ พริบตานั้นผมพบว่ามีหุ่นกลสามถึงสี่ตัวเดินออกมาจากอีกฝั่งของห้อง พวกมันเก็บจานและเดินออกไปจากครัวด้วยความเงียบและรวดเร็ว

     

    “ ผมชื่อ ปาล์ม เป็นอดีตวิศวกรเครื่องกล ตอนนี้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กับภรรยาของผม ” เขาแนะนำตัว

    พวกเรายิ้มและฟังชายผู้เป็นเจ้าของบ้านพูด

    “ ความจริงผมอยากให้พวกคุณได้พักผ่อน ผมคิดว่าวันนี้พวกคุณคงเหนื่อยกันมากแล้ว เพียงแต่...ผมคงต้องถามอะไรพวกคุณซักหน่อย”

    “ ฉันยินดีจะตอบในทุกสิ่งที่คุณถาม” มิเรียมพูด

    เหยียนอวี้ใช้การยิ้มและโค้งศีรษะ แทนคำตอบรับ

    “ ทำไมเจ้าหน้าที่พิเศษฝ่ายพลเรือนของออชิเดน และ อดีตหัวหน้าหน่วยจู่โจมพิเศษที่กลายเป็นจารชนจากทวีปหลัก อย่างพวกคุณทั้งคู่ถึงเดินทางด้วยกันได้ แล้วเพราะอะไรพวกคุณถึงมาอยู่ที่นี่ ”

    เหมือนคำถามนี้จะแรงพอดู  เล่นเอาแม่สาวทั้งคู่หน้าถอดสีไปพักหนึ่ง เหมือนกับผู้ชายคนนี้จะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับสาวๆประมาณนึ่งเลยทีเดียว

    “ ฉันได้รับภารกิจให้มาช่วยเหลือนักวิจัยของออชิเดนคนหนึ่ง ที่มาทำงานอยู่ที่นี่” มิเรียมตอบ

    “ ฉันได้รับมอบหมายให้มาค้นหาความลับบางอย่างจากชาวออชิเดนที่ทำการทดลองคนนั้น เนื่องจากหน่วยข่าวกรองรายงานว่า สิ่งที่เขาทำ อาจเป็นภัยต่อแผ่นดินของฉัน ” เหยียนอวี้พูดต่อ

    “....นั่นหมายความว่าโดยหน้าที่ พวกคุณทั้งคู่มาตามหาคน คนเดียวกัน และเป็นศัตรูกันอีกด้วย ”

    “ ถ้ายึดตามภารกิจ...คุณเข้าใจถูกแล้ว” เหยียนอวี้มองหน้ามิเรียมขณะพูด

    “ ใช่ ” มิเรียมตอบ

    “ แปลกนะผมไม่รู้สึกเลยว่าพวกคุณเป็นศัตรูกัน ” ปาล์ม เจ้าของบ้านถามต่อ

    “ ในฐานะมนุษย์...ฉันไม่คิดว่าเธอจะเลวร้ายอะไร ” มิเรียมพูด

    “ ฉันคิดว่าหลายๆวันมานี่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานเกินไป ” เหยียนอวี้บอก


    ตอนแรกก็ตีๆกันอยู่แหละ  ผมนี่โคตรรำคาญ ก็เลยขู่ไปว่าจะปล้ำทั้งคู่ ผมคิดจริงๆนะ ” ผมตะโกนออกไปแม้ไม่มีใครถาม

     

    ทุกคนตรงนั้นหันมามองหน้าผมแล้วก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

    “ คืนนี้พวกคุณไปพักเถอะ ผมดึงคุณไว้นานแล้ว  ” เจ้าของบ้านพูดในขณะที่ยังหัวเราะผมอยู่

    “ ขอบคุณ คุณปาล์มอีกครั้งสำหรับคืนนี้ ” มิเรียมบอก

    “ วันหนึ่งฉันจะตอบแทนคุณ “ เหยียนอวี้พูด


    พวกเธอมองหน้าผมแล้วเดินยิ้มหายกลับไปทางห้องที่เธอเปลี่ยนชุด เมื่อพวกเธอก็ลับตาไป ที่ยังเหลืออยู่คือชายเจ้าของบ้านและผมที่นั่งมองหน้ากันอยู่ โดยยังไม่ลุกไปไหน


    “ แก้หนาวซักแก้วไหม ” ปาล์มถามขึ้นหลังจากที่หุ่นตัวหนึ่งเอาน้ำสีที่มีดีกรี มายื่นให้ตรงหน้า

     “ ขอบคุณครับน้า “ ผมรับสิ่งที่อยู่ในแก้วมาจิบเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจเจ้าของบ้าน เหล้ากลั่นที่มีฤทธิ์แรง ไหลผ่านจากปากลงคอของผมลงสู่กระเพาะ พร้อมกับความร้อนที่รู้สึกได้ตั้งแต่ลำคอจนถึงช่องท้อง

    “รังเกียจไหม ถ้าจะถอดหน้ากากอออก ”  แกพูด

    “ ไม่ครับ ”

     

    ใบหน้าของแกซีกหนึ่ง ถูกความร้อนจนผิวหนังกลายเป็นพังผืดหนาๆที่น่ากลัว ผมพบว่าตาของแกบอดในข้างที่ถูกไฟคลอกและหูของแกหายไป แต่สำหรับอีกด้านที่ยังเป็นใบหน้าของมนุษย์สมบูรณ์ มีเค้ารอยของชายหนุ่มรูปงามที่ตอนนี้มีอายุมาก แกยิ้มให้ผม รอยยิ้มของแกแม้มันจะดูประหลาดและออกจะสยองขวัญไปบ้าง แต่ผมรู้สึกได้ว่าชายคนนี้เป็นคนใจดี แกหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มันเป็นตัวเก็บข้อมูลที่ผมซ่อนเอาไว้



    “ เอ็งรู้ตัวรึเปล่าว่าไอ้ที่เอามาด้วย มันสำคัญขนาดไหน ” แกถามผม

    “ นิดหน่อยน้า แต่ผมอ่านมันไม่ออก ”

    “ แล้วเอ็งจะทำยังไงกับมัน “

    “ ....ผมยังไม่รู้ รู้แค่ว่าสาวๆสองคนนั่นอยากได้ไอ้นี่ และพวกเราต้องเจอกับเรื่องสารพัดก็เพราะไอ้นี่เหมือนกัน”

    “ แล้วเอ็งพอจะนึกออกไหมว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่าหนึ่งในสองคนนั้นได้ไอ้นี่ไป“

    “ ....จะมีอีกหลายคนเดือดร้อน และอีกหลายคนต้องตาย ” ผมตอบอย่างไม่ลังเล

    “แล้วทำไมเอ็งไมทำลายมันทิ้ง”

    “ สัญชาติญาณมั้งครับน้า... ผมรู้สึกว่า ถ้าคนดีๆใช้มัน  ก็อาจจะช่วยชีวิต หรือมีประโยชน์กับคนอื่นอีกมาก”    


    เจ้าของบ้าน เขายิ้มออกมาอีกครั้ง


    “เอ็งไม่คิดจะใช้ประโยชน์จากของที่เอ็งมีบ้างรึไง ”

    “ ก็คิดน้า คิดอยู่ทุกวันแหละ แต่ผมไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน ก็เลยต้องรอบคอบหน่อย “

    “ น่าดีใจแทนพ่อแม่เอ็งนะ สอนลูกมาดีเลยทีเดียว ”

    ผมยิ้มแทนคำขอบคุณเพราะไม่รู้จะตอบกลับแบบไหน

    “ แต่ผมก็ยังไม่คิดจะเอาไอ้นั่นให้น้าหรอกนะ เราเพิ่งเจอกันครั้งแรก จะให้ผมไว้ใจน้าเลยมันก็ใช่ที่”

    “ ฮ่าๆ เออ อันนั้นจริง ไอ้ทิด แต่ข้ารู้จักเรื่องของพวกเอ็งมากกว่าที่พวกเอ็งคิด”

    “ ยังไงน้า ” ผมถามแกกลับเนื่องจากแปลกใจ ที่แกไปรู้ข้อมูลส่วนตัวของแม่สาวสองคนนั่น

     

    แต่ชายเจ้าของบ้านไม่ได้ตอบคำถามนั้นกับผม


    “ มันเกี่ยวอะไรกันไหมกับรูปดาวิด ที่อยู่ในห้องหนังสือ ” ผมถาม

    เจ้าของบ้านคู่สนทนาเอามือถูกคางตัวเองไปมา ก่อนจะถามกลับ

    “ เอ็งเคยเห็นรูปนั้นมาก่อนรึไง ”

    “ ใช่ที่บ้านก็มี ” ผมตอบคำถาม

    แกยิ้มออกมาอย่างเปิดเผยหน้าตาแกตลกๆนิดหน่อยเพราะส่วนที่โดนไฟคลอกมันดูขัดแย้งกับหน้าตาด้านปกติ

    “ มันเป็นโลโก้ของพวกเรา เราเรียกตัวเองว่า บรรณารักษ์ ส่วนใหญ่ทุกคนจะเป็นพวกคนที่ชำนาญในเรื่องต่างๆที่หันหลังให้โลก เพราะเราเบื่อสงครามและการปกครอง เพียงแต่พวกเรายังติดต่อกันเองภายในกลุ่มผ่านเครือข่ายที่เรียกกันว่า เดอะ เรเนอร์ซอง ส่วนใหญ่ก็เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์กับโลกและรักษา วิชาหลายๆแขนงไม่ให้สูญหายไป ”

     

    “ ทำตัวเป็นพวก ฤาษีที่ใช้ อินเตอร์เน็ตว่างั้น ”

    “ ฮ่าๆ เออ ....มาซิจะให้ดูอะไรนี่ ” เขาบอก

     

    รถเข็นไฟฟ้าของเขาเคลื่อนตัวออกจากห้องไปอย่างช้าๆ มันไปในทิศทางตรงข้ามกันกับห้องนอนที่พวกเราได้รับอนุญาตให้ใช้พักผ่อน ผมเดินตามเจ้าของบ้านมาจนถึงประตูกระจกบานใหญ่ เขาเอามือแตะ ที่แผนกระจกนูน ที่ติดอยู่ใกล้ๆทางเข้า ประตูกระจกเปิดออกและดันอากาศเย็นเฉียบจากภายในห้องสู่ด้านนอก..มันเป็นเหมือน ห้องควบคุมขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วย กำแพงฮาร์ดดิสจำนวนมหาศาล โดยมี มอนิเตอร์วอลเป็นจอคอมพิวเตอร์ขนาดต่างๆพ่วงติดกันเป็นจอเดียว

    ไอ้ที่ตกใจมาก คือบนจอมอร์นิเตอร์พวกนั้นเป็นวิดีโอคอลเสียเกือบครึ่ง ผมเห็นแม่ของตัวเองกำลังทำบางอย่างอยู่ในบ้านบนโต๊ะและกำแพงที่ผมคุ้นเคย

     

    “ เฮ้ยแม่...น้ารู้จักกับแม่ผมด้วยหรอ ”

    “ ...คิดเอาไว้แล้ว ใช่จริงๆ แม่เอ็งคนไหน ”

    ผมชี้รูปแม่ตัวเองให้น้าปาล์มดู

    “ เอ็งเรียกข้าว่าน้าไม่ได้แล้วลูกเอ๊ย แม่เอ็งเป็นลูกข้ายังได้เลยนะเนี้ย ” แกตอบ

    “ ...ทำไมผมไม่เคยรู้ว่าแม่มีอะไรแบบนี้อยู่ในบ้านวะ”

    “  ก็ถามแม่เอ็งดูซิ”

    เจ้าของบ้าน ทำบางอย่างเพื่อให้แม่ของผมเห็น

    “ ว่าไงลุงปาล์ม ” แม่ทักผ่านจอ

    “ มีใครอยากให้เจอหน่อยนะอี๊ด” แกบอกพร้อมกับบิดกล้องวิดีโอมาทางผม

    “ แม่! ” ผมเรียก

    “ ไอ้อิน! ไอ้ลูกเลวววว ”

    เสียงตวาดอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ ผมและตาปาล์มหัวเราะลั่น

    “ ใช้แม่ผมจริงๆนั่นแหละ  ตา ฮ่าๆ “

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×