คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #60 : ท่ามกลางความเวิ้งว้าง 3 จบ
คืนนั้นผ่านไปโดยที่ไม่มีใครพูดถึงพวกโจรที่เราพบ มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปถามหรือรื้อฟื้น ถึงตรงนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรอีกว่าตัวผมเองก็เป็นมนุษย์บ้ากาม แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจะไม่ทำเลยแม้แต่คิด คือการเอาอารมณ์ดิบของตัวเองไปทำร้ายคนที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับเราด้วย ครั้งหนึ่งหลายปีมาแล้ว ในช่วงที่ผมเพิ่งออกจากบ้านใหม่ๆและไม่รู้ว่าจะต้องเอาชีวิตให้รอดในเมืองยังไง ผมเคยทำงานอยู่ในร้านอาหารกลางคืนแห่งหนึ่ง ที่ทำให้ผมต้องเจอกับเรื่องระยำแบบเดียวกันกับที่แม่สาวสองคนนั่นอาจเจอเข้าเมื่อวาน
ที่นั่นเต็มไปด้วยคนที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดี มีฐานะดี ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องเจอกับเรื่องลำบาก ตอนนั้นผมต้องทำหน้าที่ดูแลให้การพักผ่อนของพวกเขาเกิดขึ้นอย่างมีความสุขมากที่สุด คืนหนึ่ง มีไอ้บ้าตัวหนึ่งมันเมามากจนกลับไปนอนบ้านไม่ไหว มันบอกกับผู้จัดการว่าขอให้ผมเป็นคนพามันกลับบ้าน ด้วยความเป็นเด็กไม่รู้ห่าอะไรพอได้ยินว่ามีคนมาจ้างให้พากลับบ้านโดยจะมีเงินพิเศษให้
ผมก็เอาดิ...แต่นั่นแหละที่ทำให้ผมเกือบซวย
ผมพามันกลับไปยังที่พัก แต่เรื่องก็ไม่ได้จบอย่างที่ควรเป็น ชายคนนั้นพยายามให้ผมดื่มเป็นเพื่อนเพราะยังไม่อยากนอน
โชคดีที่ว่าในร้านสั่งเด็ดขาด ไม่ให้พนักงานเมา ผมจึงแตะของพวกนั้นไม่ได้ แต่ไอ้เปรตนั่นก็พยายามเหลือเกิน
บอกว่านี่ไม่ใช่เวลางานและถ้าผมไม่ดื่มเป็นเพื่อนมัน ผมจะไม่ได้เงินค่าจ้าง
........ก็โอเคผมยอมทำตาม เจอไปราวๆสามแก้วมั้ง ผมก็เริ่มรู้สึกว่านานกว่านี้คงจะไม่ได้เรื่องอะไร ก็เลยบอกกับมันว่าผมจะกลับแล้วนะ
ไม่ต้องให้เงินผมแล้ว
แต่ปรากฏว่าไอ้เวรนั่นโดดเข้าใส่ผมทันที
มันรวบผมจากทางด้านหลังแล้วดูดซอกคอพร้อมกับลูบตรงโน้นตรงนี้เพื่อให้ผมเกิดอารมณ์ร่วม ชั่วโมงนั้นระยำมาก คือนึกออกไหมว่า ไอ้ตามเนื้อตามตัวของเรา จุดที่มันไวต่อสัมผัส เวลาโดนลูบ ไอ้ความรู้สึกหวิวๆขนลุกขนพองมันก็เกิดขึ้นตามธรรมชาติ คือไม่ว่าใครทำแบบนั้นกับเราอาการพวกนี้มันก็เกิดขึ้นเอง โดยที่เราไปห้ามมันไม่ได้ และเพราะมันเป็นตำแหน่งที่เราไปควบคุมอะไรมันไม่ได้นั่นแหละ ร่างกายมันก็เลยตอบสนองไปตามสัมผัสพวกนั้น ในขณะที่ในใจเรารู้สึกรังเกียจ
ซักพักมันก็ถอดกางเกงคาไว้ครึ่งเข่าโชว์ลำตั้งเด่.....มันคิดว่าผมคงยอมเพราะผมไม่ดิ้น แต่ความจริงที่ผมไม่ขัดขืนเพราะผมสู้แรงมันไม่ไหว
เป็นครั้งแรกที่ผมเจอเข้ากับคนอุบาทว์ๆและเรื่องที่น่าขยะแขยง
เพื่อเอาตัวรอด ผมบอกกับมันว่าพี่ไม่ต้อง เดี๋ยวผมทำให้เอง มันก็เลยขยับเอางวงยาวๆมาประชิดหน้า ผมยิ้มให้ก่อนใช้แรงที่มีทั้งหมดต่อยเสยเข้าที่ถุงอัณฑะ จนมันคว่ำเกือบทับตัวผม ในขณะที่คิดจะหนีมันคว้าข้อเท้าของผมไว้ แล้วกระตุกอย่างแรงจนผมเสียหลัก ที่นี้แหละที่ผมหน้ามืดด้วยความโกรธ ผมคว้าแก้วเหล้าที่อยู่แถวๆนั้นติดมือแล้วทุบลงไปตรงกกหูไอ้นั่นจนดิ้นพราด มันเจ็บแต่ไม่สิ้นฤทธิ์ ยังพยายามพุ่งเข้ามาทำร้ายผมอีกครั้ง แต่เพราะความเมา ก็เลยช้า และเพราะกางเกงที่ถอดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง กลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้เดินไม่สะดวก มันก็เลยล้มลง ผมฉวยโอกาสนั้นทุบมือมันทั้งสองข้างทิ้งด้วยขวดเหล้า แล้วจับแก้วที่แตกยัดใส่ปาก จากนั้นก็เตะอย่างไม่สนใจว่าเศษแก้วจะบาดผมด้วยไหม
ผลคือเลือดอาบทั้งมันทั้งผมเต็มไปหมด หลังจากวินาทีนั้นหนีตายครับ วิ่งไม่สนใจอะไรแล้ว ขอให้ออกไปจากที่นั่นได้เร็วๆ
ผมกลับไปบอกเรื่องนี้กับเจ้าของร้านที่ผมทำงาน แกเข้าใจเหตุผลที่ผมทำ แต่ยังไงเสียผมก็ต้องหนีและทำงานที่นี้ต่อไปไม่ได้อีกความช่วยเหลือสุดท้ายจากเจ้าของร้านคือ การส่งผมไปอยู่กับลุงที่เป็นญาติ ที่นั่นผมเรียนรู้การวิ่งรถระหว่างเมือง สำหรับไอ้คนที่พยายามจะปล้ำผม สุดท้ายไปตายที่โรงพยาบาล นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมทำคนอื่นตาย พ่อของไอ้เกย์มันส่งคนมาล่าตัวผม แต่ก็มารู้ทีหลังว่าเจ้าของร้านกับพ่อไอ้นั่นเป็นผู้มีอิทธิพล ที่พยายามแย่งที่ทำเงินกัน เขาเลยใช้โอกาสนี้ทำสงครามกันเองซึ่งหลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวอะไรอีกรู้แต่เพียงว่าจ้าของร้านที่ช่วยผม เป็นฝ่ายแพ้
ผมเสียขวัญถึงขนาดใครมาโดนตัวเป็นสะดุ้งอยู่หลายปี และพยายามมองหาพวกเบี่ยงเบนเพื่อกระทืบระบายอารมณ์อยู่นาน ดีว่าเจอไอ้แพ๊ตตี้และฝูงเพื่อนมัน แม้จะลบความรังเกียจได้ไม่หมดและแอบกลัวอยู่บ้าง แต่ผมก็เริ่มรู้สึก ว่าไอ้คนพวกนี้จริงๆมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมเจอไปซะทั้งหมด
แต่ถึงตอนนี้ก็ยังคิดนะ..... ว่าที่ผมชอบอยู่ตัวคนเดียวคงเพราะเรื่องที่เจอมาด้วยเหมือนกัน
แต่เอาเถอะ ทั้งหมดทั้งมวลที่เล่ามา มันทำให้ผมรู้สึกว่าการถูกข่มขืน คือเรื่องร้ายแรงในชีวิต...ที่ไม่ควรมีใครต้องเจอ
และสำหรับสองสาวนั่น อะไรที่มันเกิดขึ้น ผมจะไม่ถาม แต่ใช้วิธีปลอบด้วยการทำให้พวกเธอเดินทางต่อไปอย่างและมีความสุขแทน ดังนั้นในเช้าของสามวันถัดมา พวกเธอถูกปลุกให้ตื่นด้วยปูม้าหลายสิบตัว โดยไม่ต้องแย่งกันอีก ตามด้วยจาวมะพร้าวกับน้ำตาลสดที่ตัดจากงวงมะพร้าวและต้นตาล ตกเย็นเจอกุ้งตัวเท่าข้อมือไปอีกหลายตัว
ขอบอกว่าคนหาเหนื่อยมากกว่าเดิมสามเท่า
และดูเหมือนพวกเธอจะรู้สึกว่าผมจะดูแลดีเป็นพิเศษ ไอ้การทะเลาะกันเองก็เริ่มไม่มีให้เห็น
พวกเธอมีความสุขขึ้นมาบ้าง
แต่ไอ้ที่ทำๆอยู่ ก็เล่นเอาผมโทรมไปเลยเหมือนกัน
ผ่านไปอีกหลายวัน ผมรู้สึกว่าเรากำลังจะถึงที่หมายของเราอีกไม่นาน แต่จู่ๆเหยียนอวี้ก็เดินเข้ามาล็อคคอผมจากด้านหลังในขณะที่มิเรียมเอามือขยี้หัวผมอย่างอารมณ์ดี
“ พวกเราขอบคุณมากที่คุณเป็นห่วง วันนั้นพวกมันไม่ได้ทำอะไรเรา คุณมาช่วยเราไว้ทันนะ”มิเรียมบอกกับผมเหมือนกับเธอจะรู้ในสิ่งที่ผมคิด
“ ว่าไงนะ”
“ใช่ฉันกำลังจะเล่นงานมัน แต่คุณจัดการไปก่อนอิน ” เหยียนอวี้ บอก
“ แล้วพวกคุณตีหน้าเศร้ากันทำแมวอะไรให้ผมต้องลำบากอยู่ตั้งหลายวันวะ ”
“ ฉันจะบอกทำไม บอกไปจะได้กินปูไม๊ “
“ นั่นซิแล้วเวลานอนจะมีคนมาพัด คลายร้อนให้เหมือนหลายๆคืนที่ผ่านมาหรอ ”
ยัยสองคนนี้แสบ....
“สบายใจได้แล้วนะ อะไรที่ทำอยู่ ก็ทำต่อไปละ”
“ กลางคืนที่นี่มันเมื่อยนะ จะดีมากถ้ามีคนช่วยนวดหลังให้บ้าง “
“ นั่นซินะ ฉันเองได้ยินว่าคนที่นี่นวดเก่ง”
“ เธอไม่ควรแย่งในสิ่งที่ฉันอยากได้นะมิเรียม”
“ ฉันไม่คิดว่าเธอควรเก็บความสบายแบบนั้นเอาไว้คนเดียวนะเหยียนอวี้”
สองสาวทำท่าจะทะเลาะกันเอง
“ พอๆ มาทางไหนไปทางนั้น ไปนั่งนิ่งๆ กำลังขับเรืออย่ามาทะเลาะกันแถวนี้ ” ผมสั่ง
...คือสรุปอะไรที่ผมคิด ผมคิดมากไปเอง ตอนนี้เลยต้องเหนื่อยหนักเป็นสองเท่าซินะ ผมถอนหายใจด้วยความเซ็งก่อนจะทำหน้าที่ของผมต่อไป เอาไงกับชีวิตดีละทีนี้ หาเรื่องลำบากใส่ตัวอีกแล้ว...
ทุกอย่างกลับเข้ารูปเข้ารอยแต่ก็เพียงไม่นาน....กลางทะเลสิ่งหนึ่งที่เราคาดเดาไม่ได้คือความปรวนแปรของลมและคลื่น คืนหนึ่งหลังจากนั้น เราพบเข้ากับพายุฝน มิเรียมเมาเรือจนอ้วก ในขณะที่ผมพยายามจะออกเรือให้พ้นชายฝั่ง ในคืนแบบนี้เราควรหาที่หลบ แต่ริมฝั่งที่ผมเดินทางมาถึง เต็มไปด้วยหินโสโครก มันอาจทำให้เรือเล็กของเราอับปาง สิ่งที่ผมเลือกคือ การวิ่งเรือท่ามกลางพายุ ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่อันตรายพอกัน ขนาดคลื่นที่สูงกว่าปกติทำให้เรือของเราอยู่ในสภาพเจียนอยู่เจียดไปตลอดเวลา
แม้พยายามเปิดไฟบนเรือให้สว่าง เพื่อมองให้เห็นว่าข้างหน้ามีอะไรอยู่บ้างแต่ก็ไม่เป็นผล
ผมสั่งให้ เหยียนอวี้และมิเรียมสวมชูชีพบอกพวกเธอให้เกาะเรือเอาไว้แน่นๆ
ในขณะที่พายุโหมจนการบังคับเรือเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
ผมมองเห็นแสงไฟเล็กๆ ที่ส่องมาจากทิศตรงกันข้ามแผ่นดินใหญ่ มันเป็นไปได้มากว่าถ้ามีแสงไฟ ที่นั่นอาจจะมีคนอาศัยอยู่ ...
นั่นคือทางรอดที่ผมเลือก
เรือลำเล็กของผมฝ่าลมและคลื่นที่บ้าคลั่ง ในสภาพที่พร้อมจะคว่ำได้ตลอดเวลา เครื่องยนต์เครื่องหนึ่งดับลงจากการเร่งโดยไม่ได้พักตลอดสามถึงสี่ชั่วโมง หัวเรือด้านหนึ่งถูกซัดเข้ากับหินโสโครกที่มองไม่เห็น ผมทำทุกสิ่งเท่าที่สามารถทำได้เพื่อพาตัวเองและคนอื่นไปให้ถึงเกาะนั้น
ผมทำสำเร็จแต่เสียเรือที่ใช้เดินทางไป
กระแสน้ำพัดเอาเรือเกยตื้นบนเกาะ
พวกเราทุกคนลงจากเรือโดยมีเพียงสิ่งของเล็กน้อยที่สามารถนำติดตัวไปด้วย
ท่ามกลางพายุฝน เรามีแสงไฟจากอีกฝากหนึ่งของเกาะเป็นจุดหมาย พวกเราเกาะกลุ่มกันเพื่อเดินทางไปที่นั้นในทันที
ไม่มีใครพกเอาสิ่งที่เป็นโลหะติดมากับตัว เพราะเสียงฟ้าผ่ามันใกล้เสียจน เราอาจพบกับอันตรายที่มากับสายฟ้า
ซึ่งนั่นหมายความว่า อาวุธทุกชิ้นที่เรามีต้องถูกทิ้งเอาไว้บนเรือ
การไม่มีอาวุธติดตัวเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกกังวล
... แต่เพราะความจำเป็น ผมจึงต้องเลือกที่จะเดินทางต่อแม้ไม่มีความอุ่นใจใดๆที่มาพร้อมกับการพกมีดเล่มเก่งติดตัวไปด้วย เราเดินผ่านความมืด สายฝนและเสียงฟ้าคำราม ไปตามแสงไฟที่พวกเรามองเห็น
มิเรียมสะดุดรากไม้หกล้มจนข้อเท้าพลิก ทำให้ผมและเหยียนอวี้ต้องพยุงเธอเดินต่อ
แสงที่เราเห็นอยู่ไกลกว่าที่คิด พวกเราทุกคนเปียกและหนาวจนริมฝีปากเปลี่ยนสี
แต่เราก็ไม่พบที่ให้ใช้หลบฝนแม้เพียงชั่วคราว ระหว่างนั้น สายฟ้าเส้นหนึ่ง ฟาดลงตรงยอดมะพร้าวสูงต้นจนเกิดไฟลุกท่วมและโค่นลงมาในทันที พวกเรารอดตายจากไม้ล้มเพียงแค่ไม่กี่สิบก้าว
เหยียนอวี้ตกใจจนลุกขึ้นยืนไม่ไหว ผมจำเป็นต้องให้เหยียนอวี้ ขี่หลังในขณะที่มิเรียมถูกผมอุ้มขึ้นเพื่อให้สามารถเดินทางต่อ
อีกสองชั่วโมงถัดมา พวกเราก็มายืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่ง ที่มีประภาคารเป็นต้นกำเนิดแสงที่เห็นจากกลางทะเล
ด้านในมีคนอาศัยอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่สิ่งที่ผมไม่สามารถตอบได้คือ พวกเขาจะต้อนรับเราหรือจะเกิดเรื่องร้ายๆขึ้นกับเราหลังจากนี้
ความคิดเห็น