ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Even the world is crumbling / ต่อให้โลกย่อยยับ

    ลำดับตอนที่ #59 : ท่ามกลางความเวิ้งว้าง 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.78K
      355
      23 มิ.ย. 60

    ชีวิตกลางน้ำจะว่าง่ายก็ง่ายจะว่ายากก็ยาก ที่ตรงนี้หมดปัญหาพวกกินคนออกมากวนใจ เราพบพวกมันอยู่บ้าง หลังจากเดินทางมานานสองสามวัน แต่กลับกลายเป็นว่ามีเรื่องอื่นให้ต้องกังวลมากกว่า สองเรื่องที่เล่นเอาผมถึงกับปวดตับ คือเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิงของเรือกับน้ำจืด สำหรับอาหารไม่ต้องกังวลอะไรมาก หิวเมื่อไหร่ก็ทิ้งสมอ โดดตูมลงไปในน้ำแค่ไม่นานก็มีอะไรติดขึ้นมากินได้ไม่ลำบาก สิ่งที่อึดอัดอยู่บ้างก็คือปัญหาเรื่องกลิ่น ทั้งกลิ่นคาวจากอาหารและกลิ่นตัวที่ตีกันยับ ยิ่งคืนที่ไม่มีลมพัดนี้.....ไม่อยากจะพูด ทั้งกลิ่นชีสจากคุณมิเรียม กลิ่นเต้าหู้เหม็นจากคุณเหยียนอวี้ และกลิ่นปลาเค็มของผมเอง คอมโบกับกลิ่นคาวที่ตกค้างอยู่บนเรือ โคตรทำลายโพรงจมูก


    คือแบบ...แม่สาวสองคนนั้นเอาจริงๆน่ารักมากนะ แต่เวลานอนทุกคนพยายามหาอะไรมายัดรูจมูก เนื่องจากทนความเหม็นของกันและกันไม่ไหว แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้แม่สาวสองคน ตกดึกๆจะแอบไปนอนใกล้ๆกันทุกคืน เนื่องจากผมขู่ให้ฟังประจำว่า ถ้าทำตัวเกเรจนผมทนไม่ได้ ระวังจะโดนจับกดทั้งคู่  หลังๆเริ่มออกอาการหลอนๆกลัวว่าผมจะทำจริงๆอย่างที่พูดก็เลยยอมทนเหม็นหนีไปนอนด้วยกัน

     

    ซึ่งสารภาพเลย....ตอนนี้เดินเฉียดกันยังเครียด กลิ่นตัวแต่ละคนมันโคตรทำลายความหื่น

     

    ผมต้องตัดสินใจวิ่งเรือออกนอกเส้นทางชั่วคราวเมื่อพบปากแม่น้ำ เนื่องจากอาการคันเพราะไม่ได้อาบน้ำติดกันหลายวันเริ่มมาเยือน การได้อาบน้ำซักหนมันคงจะดีไม่น้อย  เราล่องไปจนคิดว่าเลยเขตน้ำกร่อยผมจึงทิ้งสมอเรือและบอกกับทุกคนในสิ่งที่ต้องทำ

     

    “ วันนี้เราทุกคนต้องอาบน้ำและทำความสะอาดเรือ”

     

    ทั้งคู่มองหน้าผมอย่างสงสัย

    “ คุณคิดจะดูพวกฉันอาบน้ำ ? ” มิเรียมพูด

    “ นี่คุณคิดว่าพวกฉันจะยอมถูกคุณแอบมองงั้นหรือ ” เหยียนอวี้เสริม

     

    เมื่อก่อนละทะเลาะกันจัง ตอนนี้ละเข้าคู่กันดีเป็นปี่เป็นชลุ่ย

     

    “ เปล่าผมต้องการอากาศบริสุทธิ์และผมคิดว่าพวกเราทุกคนต้องการมัน ” ผมตอบ

    มิเรียมยกวงแขนตัวเองขึ้นมาดมตามสัญชาติญาณเธอทำจมูกย่นและสีหน้าที่บรรยายไม่ถูก

    ในขณะที่เหยียนอวี้หลบสายตาหันไปมองทางอื่นทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

    “ โอเค ฉันเข้าใจแล้ว ” มิเรียมตอบ

    “ ฉันก็ไม่ขัดข้องอะไร ” เหยียนอวี้เสริม

    “ ตอนนี้ที่ผมกังวล คือหลังจากที่พวกเราอาบน้ำ ปลาแถวๆนั้น อาจตายจนหมดเพราะเราทำแม่น้ำทั้งสายเน่า ”

     ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันควรฆ่าคุณ ด้วยวิธี ล็อคหัวคุณเข้าที่ซอกรักแร้ของฉันใช่ไหม ” มิเรียมสวน

    “ อย่า! รอให้ถึงเมืองข้างหน้าก่อนแล้วฉันจะช่วย ” เหยียนอวี้มองหน้าผมด้วยสาตาดุดัน

     ดูรักใคร่กลมเกลียวกันดีนะ ” ผมพูดกับพวกเธอ

     

    มิเรียมและเหยียนอวี้ เดินผ่านผมเพื่อลงจากเรือ เหยียนอวี้หันกลับมามองหน้าผม

    “ ถ้าคุณตามเรามาหรือฉันรู้สึกว่าคุณแอบดู ฉันจะไม่ฆ่าคุณ แต่จะควักลูกตาคุณออกมาข้างนึ่ง!

     รีบไปอาบน้ำไป แล้วกลับมาก็ช่วยกันล้างเรือด้วย ” ผมไล่

     

    เราแยกทางกันตรงนั้น สาวๆตรงไปอาบน้ำ ส่วนผมใช้เวลาที่ยังมีอยู่เดินหาภาชนะสำหรับรองน้ำจืดเพื่อเก็บเอาไว้กิน ผมเดินทวนไปทางต้นน้ำหวังว่าจะเจอเข้ากับชุมชนหรือบ้านร้างที่พอจะหาสิ่งจำเป็นที่ใช้สำหรับการเดินทางได้บ้าง แต่ความตั้งใจที่ผมคิดไว้ก็ทำเอาเหนื่อย เนื่องจากต้องเดินไกลออกไปอีกเกือบๆสองกิโล กว่าที่ผมเจอเข้ากับบ้านเก่าริมน้ำหลายหลัง ที่พบว่ามีข้าวของกระจุยกระจายไปทั่ว ตรงนี้ก็คงจะโดนพวกกินคนเล่นงานเอาเหมือนที่อื่นๆ เพราะจากที่เห็น สภาพแบบนี้ที่ยังรอดก็คงหนีตายไปกันหมด

     

    ผมเลือกเดินเข้าบ้านหลังแรกที่พบ เจอสายยางสูบน้ำที่ยังพอใช้งานได้ กับถังพลาสติกขนาดใหญ่ ผมอยากเอามันกลับไปด้วย แต่คงขนคนเดียวไม่ไหว ก็เลยต้องปล่อยมันเอาไว้แบบนั้นก่อน  ตู้เสื้อผ้าที่อยู่ภายในบ้านมีชุดที่เจ้าของคนเก่าไม่ได้เอาไปด้วย ผมเลือกๆที่น่าจะพอใส่ได้มากองรวมกันไว้ ถึงตรงนี้ผมเจอของใช้เยอะแยะ ที่ใช้ประโยชน์ได้ แต่พอรวมๆแล้วมันเยอะเกินจนไม่รู้จะขนกลับไปยังไง


    ผม...ยังหาสิ่งที่ต้องการที่สุดไม่เจอ   "น้ำมันเสำหรับเรือ"


    พยายามมองหาจากรถที่จอดอยู่ ก็พบว่าแถวๆนั้นส่วนใหญ่จะเป็นรถที่วิ่งด้วยเบนซิน ผมไม่อยากเสี่ยงให้เรือพังเพราะน้ำมันที่หามาเป็นคนละประเภทก็เลยเสียเวลาเดินวนๆอยู่ที่นั่นอีกพักใหญ่


    ซึ่งหลังจากพยายามหาอยู่นานก็ได้ทุกอย่างครบตามที่ต้องการ

     

    แดดเลยหัวไปแล้ว ประมาณหนึ่งถึงสองชั่วโมง ขณะนี้อากาศร้อนจัด เสียงจักจั่นร้องดังระงมไปทั่ว จริงๆถ้าไม่ติดว่ามีพวกกินคน ที่นี่โคตรน่าอยู่  ติดริมน้ำ หาอาหารง่าย ต้นไม้รกครื้ม อากาศกำลังดี อยู่แถวนี้น่าจะมีความสุขไม่หยอก  แต่ก็ได้แค่นั้น...ในที่สุดผมก็รวบรวมทุกอย่างใส่รถเข็นล้อพังๆคันหนึ่งที่หาพบ ไม่รู้มันจะไปได้ไกลขนาดไหน แต่เอาเหอะ  ดีกว่าเดินไปเดินกลับหลายๆรอบ ในขณะที่กำลังขนของ หูก็ได้ยินเข้ากับเสียงบางอย่าง อยู่ในโกดังชั้นเดียวที่ไม่ไกลจากที่ที่ผมยืนอยู่นัก จากเสีงนั้นทำให้ผมต้องรีบออกมาแทบจะในทันที ผมรู้ได้ตามสัญชาติญาณว่ามีพวกกินคนจำนวนหนึ่งหลบอยู่ภายในโกดังแห่งนั้น พวกมันคงอยากออกมาเล่นงานผมอยู่เหมือนกัน  เพียงแต่ขณะนี้ แสงแดดยังเป็นอันตรายกับพวกมันอยู่

     

    ซึ่งคิดว่าอีกไม่นานเท่าไหร่นักหรอก เพราะในที่แบบนี้ แค่อีกสองชั่วโมงแดดก็คงจะหมด มันก็จะมืดเร็วกว่าที่โล่งๆพอสมควร ดังนั้นผมจึงไม่คิดจะเสียเวลาแม้แต่อีกวินาทีเดียว มีแรงเท่าไหร่ก็ไปมันด่วนๆ เพื่อให้ถึงเรือที่ผมจดทิ้งเอาไว้ ถึงตอนนี้กลายเป็นว่าเหลือผมคนเดียวที่ยังทำงานไม่เสร็จและยังไม่ได้อาบน้ำ เพื่อความรวดเร็ว ผมขอให้สาวๆช่วยกันขนทุกอย่างที่ผมหยิบมา  เอาลงเรือ แต่ปรากฏว่า ถังใบโตที่ผมเอามาด้วยมันใหญ่เกินไป


    เมื่อใส่น้ำ มันอาจจะทำให้เรือวิ่งได้ช้าลงและไม่ปลอดภัยในการเดินทาง

     

    ผมเอาเรื่องนี้และสิ่งที่เห็น ปรึกษาสาวๆว่าจะทำยังไงดี มิเรียมบอกให้ผมกลับไปหาถังใส่น้ำที่เหมาะกว่า ซึ่งผมเห็นด้วย แต่มันเสี่ยงเกินไป เหยียนอวี้บอกให้เรากลับออกไปพักที่ปากทางก่อน เพื่อรอรุ่งเช้าค่อยกลับมาที่นี่อีกหนดีกว่า


    การเดินทางหนนี้ยังไง ก็ไม่สามารถรีบร้อนได้อีกแล้ว  พวกเราจึงตัดสินใจทำตามที่เหยียนอวี้เสนอ

     

    กลางดึกคืนนั้นปรากฏว่าแม่สาวหมวยมีอาการป่วย ผมถามว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก็ไม่ตอบ มิเรียมที่อยู่ด้วยกันกระซิบว่าเธอไม่ได้ป่วยหนัก แค่เป็นวันนั้นของเดือน ผู้หญิงต่อให้เก่งมาจากไหน บทรอบเดือนมานี่ปวกเปียกทุกราย ผมเสียเวลาต้มน้ำและปล่อยให้มิเรียมเช็ดตัวเธอ เพื่อลดอาการไข้


    ส่วนตัวไม่รู้ว่ารอบเดือนของผู้หญิงมันรู้สึกยังไง...... แต่เท่าที่เห็น  ดูแล้วน่าจะทรมานมาก

     

    เช้านั้นผมกลับไปทิ้งสมอเรือไว้ที่เดิมและกลับเข้าไปยังเมืองร้างเพื่อหาถังใส่น้ำที่เล็กลง โดยปล่อยสองสาวเอาไว้บนเรือ


    เหยียนอวี้อาการยังไม่ดีขึ้น

     

    ผมใช้เวลานานกว่าจะพบกับของที่อยากได้และเสียเวลาไปอีกช่วงหนึ่งในการเอามันกลับมา ...ถังใบนั้นไม่สามารถเดินทางมาจนถึงเรือ เมื่อผมพบว่า มีเสียงเครื่องยนต์ของเรืออีกลำ ดังอยู่ใกล้ๆเรือที่ผมจอดเอาไว้ นั่นทำให้ผมต้องทิ้งของที่หามาได้ และรีบกลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น


    ชาย 4 คน ยืนอยู่บนเรือที่จอดขนาบเรือของผม คนพวกนั้นมีปืนไรเฟิลแบบที่ใช้ในสงคราม และไม่ใช่พวกที่ตามมาจากในเมือง

     

    สถานการณ์เริ่มไม่น่าไว้ใจ

      

    ยิ่งเข้าไปใกล้ผมได้ยินเสียงหัวเราะผู้ชายคนหนึ่งและเสียงตวาดของมิเรียม ถ้าเป็นตามปกติผมคิดว่าเหยียนอวี้ คงเล่นงานไอ้พวกนี้ไปแล้ว แต่ตอนนี้มันไม่ใช้เวลาที่สาวหมวยจะโชว์ทักษะของเธอออกมาได้ ผมชักมีดพกและเดินลงน้ำช้าๆ  เสียงของมิเรียมที่ผมได้ยินดังอยู่ในเรือของพวกมัน ตัวเรือที่จอดอยู่ไม่ได้ทิ้งสมอหรือดับเครื่องผมรีบว่ายตรงไปยังเรือที่คิดว่ามิเรียมและเหยียนอวี้ถูกขังเอาไว้


    การปีนขึ้นเรือของไอ้พวกนั้นจึงทำได้ยากเพราะขนาดและความชันของตัวเรือ ผมเลยเลือกที่จะว่ายน้ำอ้อมไปยังด้านท้ายของเรือแทนเพราะไม่ลำบากนักในการปีนขึ้นสู่ด้านบน จากเสียงของมิเรียมที่ผมได้ยิน ทำให้ผมไม่คิดว่าไอ้พวกนี้มันมาดี และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในเรือ จะทำแค่หยุดสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครบาดเจ็บเห็นทีจะเป็นไปไม่ได้


    ปืนที่พวกมันถือผมเชื่อว่าไม่ได้มีเอาไว้ขู่ สถานการณ์แบบนี้  ลงมือก่อนได้เปรียบ


    ผมซุ่มอยู่ท้ายเรือหลังจากแน่ใจแล้วว่าพวกมันในตอนนี้มีอยู่แค่ 4 คนที่อยู่ด้านนอก ไอ้ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดนั่งเอาหูแนบผนังเรืออย่างไม่ทันระวังตัว มันจึงเป็นศพแรกที่ถูกผมบาดคอ ไอ้บ้านั่นเลือดกระฉูดยังกะน้ำพุ มีดของผมเฉือนมันลึกจนหลอดลมขาด ก็เลยไม่ทันมีเสียงร้อง ผมเก็บมีดและแย่งปืนของมันมา 


    แต่เพราะมันไม่ตายในทันที การดิ้นของมัน ก็ทำให้คนอื่นบนเรือหันกลับมาตามเสียงที่ได้ยิน

     

    ผมเสี่ยงปีนขึ้นที่สูง และเมื่อเห็นพวกมันอีกสองคนวิ่งมาทางเดียวกัน ก็เลยรัวกระสุนชุดแรกออกไปจากทางด้านบน  พวกมันล้มคว่ำ แต่ไอ้คนสุดท้ายฉลาดมันไม่ได้วิ่งตามมาเพราะเสียงดิ้นของเพื่อนหรือเสียงปืนที่ผมยิงออกไป  ไอ้นั่นปีนขึ้นมาจากอีกฟากของเรือและยิงใส่ผมในทันที  ผมระวังอยู่ กระสุนที่สาดเข้ามาจึงทำได้แค่พุ่งออกไปกลางอากาศ ผมรีบโดดหนีลงน้ำและรีบดำไปหลบที่ใต้ท้องเรือ มีกระสุนอีกห่าใหญ่ที่ยิงตามหลังลงมา


    ผมรอดจากการถูกยิง แต่สิ่งที่ผมไม่แน่ใจก็คือปืนที่ผมแย่งมันมาจะยังสามารถยิงได้อีกรึเปล่าเนื่องจากเปียกน้ำและผมเองไม่มีความชำนาญกับของพวกนี้ ที่จะแยกออกว่าปืนประเภทไหนหลังจากตกน้ำแล้วก็ยังยิงได้หรือยิงไม่ได้

     

    หลังจากหลบมาอยู่ในเรือตัวเอง ผมก็คิดจะปิดเกมเร็ว ผมทิ้งปืนเอาไว้ในเรือของผมหลังขึ้นจากน้ำ และอ้อมเข้าไปหาไอ้คนที่ยังไม่ตายจากอีกด้าน โจรคนนี้เก่งพอตัว เพียงแต่ผมไวกว่า มันหันกลับมายิงผมทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้า แต่กระสุนพวกนั้นก็ถูกปล่อยออกมาอย่างสะเปะสะปะเนื่องจากคนยิงโดนเอามีดแทงเสยเข้าที่ใต้คางเสียก่อน ถึงตอนนี้เสียงมิเรียมเงียบไปแล้ว


    นี่เป็นครั้งแรกที่ผมลงมือกับคนธรรมดาโดยมีความรู้สึกเข้ามาปะปน ความจริงผมถูกสอนเสมอว่าในการลงมือฆ่าอะไรซักอย่างการผูกพยาบาทเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเมื่อมีอารมณ์เข้ามาปะปน ความคิดมันจะไม่แจ่มชัดและอาจเป็นความผิดพลาดที่ส่งผลถึงตาย

     

    ไอ้เวรที่อยู่กับสองสาวถึงตอนนี้มันก็ยังไม่โผล่หัวออกมาจากห้อง ผมเดินตรงไปยังประตูทางเข้าที่มีอยู่ทางเดียวและพบว่ามันถูกล็อคจากด้านใน  ครู่หนึ่งผมจึงพยายามถีบประตูเพื่อพังเข้าไป แต่ถูกยิงสวนออกมา โชคดีว่ามันเป็นการยิงสุ่ม ลูกปืนเลยทำได้แค่ถาก แต่นั่นก็ทำเอาเนื้อที่หัวไหล่หายไปส่วนหนึ่ง ได้แผลใหญ่พอควรแต่ไม่ร้ายแรงอะไรนัก

     

    ดีที่ไม่ตายและนั่นเรียกสติผมกลับมาได้


    ผมกลับไปหยิบปืนจากศพของเหยื่อสองคนที่ถูกผมยิงตายก่อนหน้านี้ และกลับไปที่ประตูอีกครั้ง ผมยิงปืนใส่ประตูด้านหนึ่งโดยเลือกมุมที่คิดว่าจะไม่โดนใครก็ตามที่อยู่ข้างใน การยิงของผมกระตุ้นให้ไอ้ตัวที่อยู่ข้างในกราดกระสุนมั่วๆออกมา

     

    ถึงตรงนี้ผมจับได้ว่าไอ้โจรนั่นก็มีอาการกลัวเกิดขึ้นแล้วเหมือนกัน

     

    พอหัวโล่งจากถูกยิงก็นึกอะไรออก  เลยเดินตรงไปที่ศพสุดท้ายและพยายามลากร่างนั้นไปพิงกับประตู แต่ศพมันยืนไม่ได้ ก็เลยต้องหาเชือกผูกคอและแขวนมันเอาไว้ที่ด้านหน้าทางเข้าก่อนที่จะเสี่ยงเปิดประตูบานนั้นอีกครั้ง  พอประตูเปิดผลคือไอ้ศพนั่นถูกรัวกระสุนใส่จนจำสภาพเดิมไม่ได้ คนข้างในมันคงกลัวเอามาก  มันยิงใส่ศพลูกน้องมันเอง จนกระสุนหมด ผมฉวยโอกาสเดินเข้าห้องในตอนนั้น

     

    “ ลูกปืนหมดแล้วซิ ” ผมพูดในขณะที่ปืนในมือพร้อมยิง

     

    ร่างของผู้หญิงทั้งคู่นอนกองอยู่ที่พื้นโดยไม่ขยับตัว ผมไม่รู้ว่าพวกเธอปลอดภัยหรือเปล่า

    “ มึงออกมานี่เลย ออกมา! ” ผมตวาดเสียงลั่น

    “ ตกลงกันก่อนได้ไหม ”  มันพูดเสียงสั่น

     

    ผมยิงขู่ไปอีกชุดทำให้มันหมอบลงกับพื้น หลังจากนั้นจึงเดินเข้าหาและใช้ปากกระบอกปืนที่ร้อนจัด จี้ลงไปที่กลางหลัง ทำให้มันดิ้นพล่าน


    “ มึงจะเลือกตายตรงนี้หรือให้กูปล่อยมึงไป “

     “ปล่อยผมไปเถอะ ผมผิดไปแล้ว ” มันอ้อนวอน

    “ ได้...แต่มึงช่วยกูหน่อย”

     

    ผมให้มันอุ้มผู้หญิงสองคนกลับไปยังเรือของผม ขนน้ำจืดและน้ำมันที่อยู่บนเรือของมันกลับมาไว้ที่เรือของผม รวมถึงของอื่นๆที่ผมคิดว่าพวกมันไม่ควรเก็บเอาไว้ ถึงตรงนี้ผมไม่รู้สึกว่ามีความจำเป็นอะไรต้องฆ่าคนอีก....แต่ไอ้โจรนั่นมันทำให้ผมรู้ว่าผมคิดผิด เมื่อมันพยายามจะใช้ปืนกระบอกที่ผมวางทิ้งเอาไว้บนเรือกลับมาสู้อีกรอบ

     

    ผมปามีดตัดนิ้วชี้กับนิ้วกลางของมันจนขาด


    สำหรับผม คนมีอยู่สองประเภท อย่างแรกคือคนที่ควรให้อภัยกับสิ่งที่ทำ อย่างที่สองคือคนที่ไม่สมควรปล่อยให้มันมีชีวิตรอด

     

    ซึ่งไอ้หมอนี่เป็นประเภทหลัง ผมเลยเผาเรือมันทิ้ง และปล่อยให้มันอยู่ริมฝั่งพร้อมปืนกระบอกนั้น

     

    ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกว่าถ้าผมฆ่าไอ้ชั่วนั่นให้ตาย มันจะตายสบายเกินไป ผมก็เลยปล่อยให้พวกกินคนที่ผมเจอในหมู่บ้านร้างจัดการแทน

     

    ….ตอนนี้เรือออกมาอยู่กลางทะเล ผู้หญิงสองคนนั้นหลับสนิท ผมไม่รู้ว่าพวกเธอเจอเข้ากับอะไรบ้างแต่รวมๆแล้วปลอดภัยดี


    พูดก็พูดคืนนี้ผมรู้สึกแย่เป็นบ้า ภาพไอ้สี่คนนั่นตายมันติดอยู่ในหัวผมตั้งแต่ออกเรือจนกระทั่งตอนนี้

     

    คิดว่า.....คืนนี้ผมคงนอนไม่หลับทั้งคืน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×