ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Even the world is crumbling / ต่อให้โลกย่อยยับ

    ลำดับตอนที่ #56 : โชคชะตาและคณะเดินทางอันแปลกประหลาด 5

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.71K
      380
      13 มิ.ย. 60

    สิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ตอนนี้ เล่นเอาผมหลอนหน่อยๆ ผมรู้ว่าเธอมีบางอย่างที่พิเศษและแตกต่างไปจากผู้คนทั่วๆไปที่ผมเคยพบ แต่ผมยังคงหาคำตอบชัดๆไม่ได้ว่าอะไรคือความพิเศษที่เธอมี  รู้แค่ว่าการโกหกหรือตบตาเป็นสิ่งที่ใช้กับมิเรียมไม่ได้ แต่จากคำพูดของเธอในตอนนี้ผมเริ่มมั่นใจว่ามิเรียมมีอะไรที่เหนือคนอื่นและสิ่งที่เธอมี มันมากกว่าที่ตัวผมจะคิดถึง

     

    “ พวกพันธุ์พิเศษส่วนใหญ่ มีทักษะบางอย่างที่อยู่เหนือไปจากคนอื่น แต่ยังไม่เคยพบว่า ในคนคนเดียวมีทักษะที่มากกว่าหนึ่ง การเปลี่ยนอุณหภูมิของโลหะคือสิ่งที่พวกพิเศษบางคนสามารถทำได้ แต่ทักษะแปลกๆพวกนี้มีข้อจำกัดในตัวของมันเอง บางคนมีข้อจำกัดเป็นจำนวนครั้ง ที่สามารถเอาทักษะมาใช้ได้ในแต่และวัน  บางคนมีข้อจำกัดเรื่องระยะในการควบคุมทักษะ หรือบางคนการใช้ทักษะจำเป็นต้องเกิดเงื่อนไขบางอย่าง ประเภทถูกสัมผัสหรือมองสบตา ”

     

    “ โอเค แสดงว่าตอนนี้เรารู้ชัดๆแล้วว่าโจรพวกนั้นมีพันธุ์พิเศษอยู่ด้วย ”

    “ ใช่ ” มิเรียมตอบ

    “ แล้วไงล่ะที่นี้ เรารู้แค่ว่ามันสามารถทำให้โลหะร้อนขึ้นกะทันหัน แต่ก็ยังไม่พออยู่ดี”

    “ ฉันว่าแค่นี้เราก็ได้อะไรเยอะนะ” เธอพูด

    “ กำลังฟัง ต่อๆ”

    “ อย่างแรก พันธุ์พิเศษที่เรากำลังจะเจอไม่สามารถทำร้ายพวกเราได้ตรงๆ ถ้าไม่มีโลหะติดอยู่กับตัว หมายความว่าต้องมีคนอื่นช่วย อย่างน้อยคนพวกนั้นต้องรู้เวลาที่รถของเหยื่อเดินทาง ”   

    “ ทำไมถึงไม่คิดว่า พวกนั้นสุ่มเลือก”

    “ ....มีเหตุผลนะ มันอาจเป็นไปได้ เพียงแต่ฉันพบไอ้นี่ในรถทุกคัน ” เธอโยนบางอย่างให้ผมหลังจากที่พูดจบ


    ผมมองสิ่งที่อยู่ในมืออย่างละเอียด จนในที่สุดก็นึกออกว่ามันเป็น ของพวกบริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่ง พวกนี้ทำอาชีพคุ้มกันคนหรือสินค้าในขณะเดินทางข้ามเมือง เจ้าของเป็นพวกที่มีเทือกเถาเหล่ากอมาจากทวีปหลัก ได้ยินว่าสั่งให้ลูกน้องทุกคนพกหินสลักเป็นรูปเต่าหัวมังกร เพราะเชื่อว่าจะทำให้การเดินทางปลอดภัย จริงๆไอ้พวกนี้เป็นกลุ่มนักเลงขาใหญ่ชาวบ้านไม่ค่อยชอบ ก็ไม่น่าแปลกถ้าจะมีใครหมั่นไส้ แต่ถึงงั้น ผมก็นึกไม่ออกว่าใครมันจะกล้าไปหาเรื่อง ทะเลาะกับพวกมันคนหนึ่งก็เท่ากับหาเรื่องพวกมันทั้งกลุ่ม แถมไม่ยอมจบไม่ยอมเลิกอีกต่างหาก

     

    แต่ที่มันพีคคือ ข่าวเรื่องโจรปล้นนี่ลงไม่หมด ในข่าวไม่ยอมบอกว่าพวกที่ถูกปล้นเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัย คงจะปิดเอาไว้เพราะกลัวเสียชื่อ ผมว่าป่านนี้เจ้าของบริษัทคงเต้นผ่างๆออกงิ้วทั้งวัน

    “ ถ้างั้นจะกังวลทำไม ไม่ใช่เรื่องของเราซักหน่อย ” ผมถาม

    “ เพราะมันเป็นเส้นทางเดียวที่จะไปจากเมืองนี้ แล้วอีกอย่าง คุณมั่นใจแค่ไหนว่ามันจะไม่ยุ่งกับเรา ”

    “ ก็จริง แล้วทีนี้คุณจะเอาไงต่อ ”

    “ ....ฉันยังอยากแน่ใจกว่านี้ “

     

    เธอพาผมไปยังด่านตรวจหน้าประตูเมือง ความจริงเมืองนี้มันมีการตรวจตราคนเข้าออก และเช็คสินค้าที่เอาเข้ามาหรือเอาออกจากเมือง หลักๆก็เพื่อเก็บภาษีนิดๆหน่อยๆเพื่อเอาไปทำโน่นทำนี่ให้เกิดประโยชน์ในชุมชน แต่อีกล่ะ เงินบางส่วนพวกคนที่ดูแลเรื่องนี้ก็แอบเอาไปใช้เองบ้าง เพียงแต่ไม่ได้มากเท่ากับเมื่อก่อนเนื่องจากตอนนี้ระบบตรวจสอบของเมืองมันเข้มแข็งพอดู จับได้คือโดนชาวบ้านกระทืบตาย ครอบครัวคนทำก็จะโดนหางเลขไปด้วย ดังนั้นคนพวกนี้ก็เลยใช้ช่วงว่างอื่นหากินเป็นส่วนใหญ่

     

    หนึ่งในนั้นก็มีเรื่องจำพวกของฝากติดสินบนจากชาวบ้าน....มิเรียมเองก็ใช้วิธีนี้ เธอใช้เส้นสายของพวกคนใหญ่คนโตเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่บันทึกการเข้าออกจากเมือง และสิ่งของที่ถูกขนย้ายในแต่ละครั้งของบริษัทรักษาความปลอดภัย ซึ่งปรากฏว่าอะไรที่โดนปล้นไป ไม่มีข้อมูลเข้าออกจากประตูเมืองเลย ถ้าให้เดา ให้ตัวใหญ่ๆในเมืองบางคนคงได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ด้วย ผมรู้สึกได้ทันทีว่าเรื่องนี้เกิดเข้าไปเสือกความยุ่งยากจะมาเยือนโดยไม่รู้ตัว

     


    “ มิเรียม ผมว่าเราหยุดแค่นี้เถอะ ” ผมบอกกับเธอทันทีที่เริ่มรู้สึกตัว

    “ ทำไมล่ะ ”


    ผมหันไปมองเจ้าหน้าที่บางคนที่มองกลับมายังพวกเราด้วยสายตาไม่ค่อยจะเป็นมิตร ดูเหมือนมิเรียมจะอ่านสายตาของผมออก เธอหันกลับไปจ้องเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ผมพยายามจะหลบสายตาเขา


    “ คุณตอบเราหน่อยได้ไหมว่า ทำไมบันทึกที่ควรต้องมีมันถึงได้หายไป” มิเรียมตรงเข้าไปถามเจ้าหน้าที่คนนั้นตรงๆ

    “ ขอโทษด้วย แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคนนอก ผมไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะพูดเรื่องนี้กับคุณได้ ”

    “ ถ้าอย่างนั้นใครที่สามารถตอบเรื่องนี้กับฉันละ”

    “ หัวหน้าแผนกบันทึกข้อมูล ตอนนี้ท่านติดธุระไว้คุณค่อยมาใหม่”

    “ ฉันจะรอ ”

    “ คงไม่ได้หรอก ท่านอาจจะไม่ได้กลับเข้ามาอีกในวันนี้ถ้าคุณไม่ได้นัดเอาไว้ก่อน ”

    “ คุณรู้ไม๊ว่าที่นี้ มีสนธิสัญญาปกป้องผู้คนจากทวีปของฉัน อะไรก็ตามที่อาจทำให้พวกเราได้รับอันตรายคุณต้องแจ้งให้พวกเรารู้ด้วย นั่นคือของตกลงระหว่างทวีป.......หรือคุณอยากให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่”

    “ ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ทำไม่ได้ ถ้าไม่มีหลักฐานรับรองจาก สถานทูต “ ชายคนนั้นเริ่มเสียอ่อน

    “ ฉันรู้ว่าคุณกำลังโกหก.. เสียงหัวใจของคุณเต้นเร็ว เลือดของคุณสูบฉีดเร็ว ตามสภาพความรู้สึกตอนนี้ม่านตาคุณขยาย และฉันมาตามคำรับรองของ ประธานสภาเมืองแห่งนี้ คุณรู้ว่านั่น เพียงพอสำหรับการตอบข้อสงสัยของฉันโดยไม่จำเป็นต้องใช้ เอกสารรับรองจากทวีป”

    “เออ...ผมขอโทษจริงๆคุณผู้หญิง” เขาเริ่มที่จะหลบสายตา

    “ ผมว่าเรามาวันหลังก็ดีนะมิเรียม ” ผมตัดบท อีบ้านี่มันไม่กลัวอะไรเอาเลยนี่ไม่ใช่บ้านมันซักหน่อย

    “ แต่...” เธอยังดื้อ

    “ โอเคๆ ไปดีกว่า ” ผมผลักหลังเพื่อดันเธอออกจากที่นั่น

     


     ผมไม่รู้จะบอกกับเธอยังไงว่าสิ่งที่เธอทำมันจะสร้างปัญหาให้กับตัวเธอเอง บางสิ่งที่ซ่อนเอาไว้เบื้องหลังเรื่องนี้มันอาจทำให้เธอตกอยู่ในอันตรายโดยไม่จำเป็น ทั้งๆที่น่าจะรู้แค่ว่าโจรพวกนั้นไม่ได้มีเป้าที่คนทั่วไปก็น่าจะพอแล้ว  



    “ คุณกำลังพาเรื่องเดือดร้อนมาให้ผมนะ ผมยังต้องอาศัยอยู่ที่นี้ถึงคุณจะกลับไปแล้ว ” ผมตำหนิ

     มันจะเดือดร้อนตรงไหนกัน ในเมื่อความจริงเราแค่ต้องการจะรู้ว่าพวกโจร มันจะมีอันตรายกับเราหรือเปล่า ” เธอถาม

    “ แต่ผมคิดว่าสิ่งที่คุณกำลังจะรู้หลังจากนี้ คือสิ่งที่นายด่านและบริษัทรักษาความปลอดภัยพวกนั้นไม่อยากให้ใครรู้  คุณอาจเป็นอันตรายหากไปรู้ความลับของคนพวกนั้น ดูจากท่าทางพวกในห้อง มีความเป็นไปได้สูงมาก ” ผมบอก

    “ ฉันรู้ว่าพวกเขาปกปิดบางอย่างเอาไว้ พวกเขาตบตาฉันไม่ได้หรอก ”

    “ ผมคิดว่าตอนนี้คุณกำลังหาศัตรูเพิ่ม ไม่ใช่พวกโจรแล้วล่ะที่จะอันตราย สภาเมืองกับพวกจากบริษัทประกันต่างหากที่จะทำอันตรายกับคุณ ตราบใดที่คุณยังไม่ออกไปให้พ้นจากเมืองนี้ผมว่าคุณอยู่ไม่สุขแล้วล่ะ ”

    “ ฉันคิดว่าคุณกังวลมากไปนะ ไม่ต้องห่วงหรอกพวกเราจะปกป้องคุณเอง” เธอบอกผมอย่างกล้าหาญ



    “ ผมละโคตรเกลียด เวลาที่พวกคุณพูดคำนี้ออกมาจริงๆ”

     

    พวกเราแยกย้ายกันในตอนเย็นวันนั้น ผมกลับไปทำธุระส่วนตัวในชีวิตโดยไม่ได้นึกถึงเรื่องที่ผมกับเธอทำร่วมกันเมื่อกลางวัน คือผมแทบจะลืมไปเลยด้วยซ้ำ แต่พอตกดึก ประตูห้องของผมถูกเคาะอย่างแรง พอเปิดประตูออกมาจึงพบว่ามิเรียมอยู่ในสภาพเละเทะ เธอมาพร้อมกับสาวชาวทวีปหลักที่เคยจับเธอมัดเอาไว้ในวันนั้น ทว่าวันนี้กลับกันกลายเป็นสาวจากทวีปหลักโดนมัดเสียเอง

     

    “ เกิดอะไรขึ้น ” ผมถาม

    “ เราต้องออกเดินทางตอนนี้ ฉันถูกใครที่ไหนไม่รู้ บุกเข้ามาทำร้าย ”

    “ ถึงในสถานทูตเลยหรอ” ผมถาม

    “ ไม่ใช่ฉันออกมาข้างนอก แต่ฉันอยู่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ”

    “ ชิบหายแล้วไง แล้วผมจะทำยังไง”

    “ คุณอาจตกที่นั่งลำบากด้วย เราต้องไปกันตอนนี้แหละ”

    “ ......ทำไมคุณชอบหาเรื่องมาให้ผมนักวะ ”

     

    ผมฉวยเอากุญแจรถและพาพวกเธอไปยัง สิบล้อคู่ใจ แต่ก็ไม่ลืมที่จะหยิบเอาแจ็คเกตของผมติดไปด้วย ไม่มีการเตรียมตัวไม่มีลางบอกเหตุไม่มีห่าเหวอะไรทั้งสิ้น ทำไมผมต้องช่วยเธอหนีผมก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ถ้าผมอยู่เฉยๆอาจจะได้นอนในคุกอีกรอบ ไม่นานนักสิบล้อของผมก็วิ่งฝ่าความมืดไปจนถึงประตูเมือง เราพบว่าที่นั่นมีการ์ดเป็นจำนวนมากปิดล้อมเอาไว้


    และเพราะเป็นกลางคืนเราจึงไม่สามารถผ่านประตูใหญ่ที่ป้องกันการบุกรุกเข้ามาของพวกกินคน

     

    “ เราไปทางนี้ไม่ได้แล้วพวกนั้นรออยู่” ผมตอบ

    “ เราควรทำไงดี ” เธอพูดอย่างร้อนรน

    “ เหอะ ก็เตือนแล้วตั้งแต่ทีแรก”

     

    เธอเงียบและเริ่มกัดนิ้ว

     

    “ ผมพอมีทางอื่น คุณว่ายน้ำเป็นไม๊ ” ผมถาม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×