คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #158 : ความสงบเงียบที่ถูกทำลาย
ณ ป่าดิบชื้นเขตท่ามกลางขุนเขาที่เงียบสงบแห่งหนึ่งบนโลก ที่ที่สีเขียวของใบไม้ปกคลุมไปทั่ว
กระทั้งแสงแดดในช่วงเวลาที่ร้อนแรงที่สุด
ก็ยังไม่สามารถสาดส่องลงไปถึงพื้นเบื้องล่าง ภายใต้ความลึกลับและความอุดมสมบูรณ์ของแนวป่า
ก็ยังมีชุมชนเล็กๆที่ตัดขาดจากโลกภายนอกซุกซ่อนอยู่
พวกเขาประกอบอาชีพกสิกรรมและดำรงชีวิตจากสิ่งผืนป่าใหญ่มอบให้ คนเหล่านี้ตัดสินใจออกจากเมืองใหญ่ หลังจากสงครามจากพวกกินคนยุติลงไม่นาน
กลุ่มคนราวสามสิบครัวเรือน ซึ่งอพยพถิ่นฐานออกมาจากแนวป้องกันที่เริ่มกลายเป็นกรงขังที่แสนทุกข์ทรมาน
ลีกเร้นความวุ่นวายและค้นหาดินแดนที่อุดมสมบูรณ์กว่า
เพื่อเอาตัวรอดจากสภาพแวดล้อมที่แออัด ขาดแคลนอาหาร จากในชุมชนขนาดใหญ่
เข้าสู่แดนเถื่อนที่รกร้าง บุกเบิกและพึ่งพิงแม่ธรณีในการยังชีพ
พวกเขาสร้างพื้นที่เล็กๆในป่ารก
ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบจากสิ่งที่พวกเขาหาได้ในแต่ละวัน
โดยไม่ต้องกังวลใจใดๆมาหลายสิบปี แต่แล้วในที่สุด….ความสงบสุขของพวกเขาต้องจบลง
โดยไม่มีแม้ลางบอกเหตุใดๆ จากคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก
เสียงปืนนัดแรกดังขึ้น
เขย่าขวัญฝูงนกที่อาศัยร่มเงาไม้อย่างสงบสุข ให้ออกบินหนีออกจากร่มไม้ ด้วยความตื่นตระหนก อาวุธปลิดชีพยังคงแผดเสียงดังขึ้นอีกหลายครั้ง จากการมาถึงของรถขับเคลื่อนสี่ล้อ
ซึ่งเป็นของคนแปลกหน้ากลุ่มใหญ่ ไม่มีใครทราบถึงเหตุผลของการกระทำดังกล่าว ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าในสิ่งที่เกิดขึ้น คนเหล่านั้นเข้ามา และเริ่มฆ่าทุกคนที่เขาพบเห็น
บ้านหลายหลังถูกรื้อค้นและเผาทำลาย
ปาสและเอมิลิโอ้
เด็กชายสองคนวิ่งหนีออกจากหมู่บ้านด้วยอาการตื่นตระหนก ก่อนหน้านี้ไม่นาน พวกเขาออกไปตกปลาที่ริมน้ำกับผู้ใหญ่ เพียงไม่นานก็วิ่งกลับมายังหมู่บ้านพร้อมคนอื่นๆ
เมื่อเสียงปืนนัดแรกดังขึ้น คือสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจผิดพลาด แต่นั่นก็ทำให้พวกเขาเห็นในสิ่งที่คนแปลกหน้าเหล่านั้นได้ลงมือทำ ศพแรกคือชายผู้เป็นที่เคารพของทุกคนในชุมชน ร่างของหัวหน้าหมู่บ้านที่นอนกองอยู่บนพื้น
ภรรยาของเขาวิ่งเข้ามากอดร่างไร้วิญญาณของสามีอย่างเสียขวัญ ในขณะที่กระสุนอีกชุดลั่นใส่หญิงคนนั้น
อย่างไม่ใยดี
ผู้ใหญ่คนหนึ่งที่กลับมาเมื่อได้ยินเสียงปืน ไล่เด็กทั้งคู่ให้วิ่งไปซ่อนตัวในป่า
ก่อนที่เขาถูกยิงล้มลง จากระยะไกล
เมื่อคนที่ยืนคุยอยู่ใกล้ๆถูกลูกกระสุนเจาะทะลุเบ้าตา เด็กหนุ่มทั้งสองคนจึงเริ่มต้นออกวิ่งด้วยความเร็วเต็มฝีเท้าอย่างตื่นตระหนก
พวกเขาไม่เคยเห็นคนตาย พวกเขาหวาดกลัวและสับสน ในขณะที่มือสังหารกลุ่มนั้นมองเห็นการเคลื่อนไหว
และเริ่มต้นออกไล่ล่าเด็กหนุ่มคู่
ความจริงแล้ว ภูมิประเทศรอบตัว ที่เป็นแนวป่าที่รกทึบ เด็กชายสามารถเอาตัวรอดได้ง่ายๆด้วยการหลบซ่อนและรอคอยเงียบๆ
แต่เพราะความเป็นเด็ก รวมถึงความตื่นตระหนก
ทำให้พวกเขาเลือกที่จะวิ่งหนี มากกว่าการซ่อนตัว พวกเขาออกวิ่งไปตามแนวป่าอย่างรวดเร็วเพื่อเอาตัวรอดจากการไล่ล่า
เขาเริ่มวิ่งไปไกลจากหมู่บ้าน ลึกเข้าไปในป่า
ในพื้นที่ที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก และมีเพียงผู้ใหญ่ในหมู่บ้านบางคนเท่านั้น ที่เคยย่างกรายเข้ามาถึง
แต่เสียงตะโกนไล่หลังจากมือสังหารแปลกหน้า ก็ยังคงเป็นสิ่งที่พวกเขาได้ยิน
พวกมันยังคงตามมาอย่างไม่ลดละ เสียงนั้นทำให้ทราบว่าแม้จะวิ่งออกมาไกลแล้ว พวกมันก็ยังคงไม่เลิกตามหา
ปาสที่ตัวเล็กกว่า สะดุดรากไม้และล้มลง ทำให้เอมิลิโอ้ต้องชะลอฝีเท้าและหันกลับมามองเพื่อน
….ในขณะที่เสียงฝีเท้าของคนพวกนั้น ใกล้เข้ามาทุกที
เอมิลิโอ้กลับมาพยุงปาสและพยายามจะพาเพื่อนที่มาด้วยกัน
วิ่งหนีความตายให้พ้น แต่เพื่อนที่ตัวเล็กกว่า ไม่สามารถออกวิ่งได้อีกแล้ว
ขาของเขาพลิกและเจ็บปวดจนวิ่งต่อไม่ไหว
“ เอมิลิโอ้ ไปเถอะ ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว ” ปาสบอกกับเพื่อน
พุ่มไม้ที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาสั่นไหวใกล้เข้ามาทุกขณะ นั่นหมายความว่าอีกไม่นานพวกเขาจะถูกพบตัว
เอมิลิโอ้ตัดสินใจพาปาสเข้าไปแอบใต้ซากไม้ใหญ่ที่ล้มลง มันมีช่องว่างเล็กๆระหว่างลำต้นกับพื้นดิน
ที่กว้างพอสำหรับคนร่างเล็กอย่างปาส ในการซ่อนตัว
“ เงียบเอาไว้นะ แล้วฉันจะกลับมารับ “ เอมิลิโอ้บอกกับเพื่อน
ปาสพยักหน้าตอบแม้เขาจะรู้สึกกลัว
เด็กหนุ่มคลานเข้าไปอยู่ในช่องว่างระหว่างลำต้นขนาดใหญ่ ที่พื้นดินเปียกแฉะจนมีสภาพกึ่งโคลน
ในขณะที่เอมิลิโอ้
พยายามรวบรวมใบไม้มาปิดทับบริเวณรอบๆเพื่ออำพรางสายตาเพื่อนที่ยังบาดเจ็บไม่ให้คนร้ายเหล่านั้นหาเขาพบ
เอมิลิโอ้จะเริ่มออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เขามั่นใจว่าเพื่อนของเขาจะปลอดภัย
ปาสซ่อนตัวอยู่ตามลำพังมองเพื่อนของเขาวิ่งหายลับเข้าไปในป่า ตัวเขาเองพยายามนอนนิ่งๆเพื่อไม่ให้คนกลุ่มนั้นทราบว่าเขาบาดเจ็บและกำลังซ่อนตัวอยู่
ไม่นาน
กลุ่มฆาตกรก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเด็กหนุ่ม สิ่งที่ปาสเห็นคือรองเท้าของคนจำนวนหนึ่งกำลังเดินผ่านไป
พวกนั้นใส่รองเท้าเหมือนกัน แต่งตัวเหมือนกัน ราวกับเป็นทหาร
นั่นคือสิ่งที่เด็กหนุ่มมองเห็น
“ บอส เราจำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยหรอ
คนพวกนี้ไม่ได้รู้เรื่องอะไรซักหน่อย ” เสียงของหนึ่งในคนพวกนั้นพูด
ประโยคคำถามนั้นทำให้การเดินของคนทั้งกลุ่มหยุดชะงัก
“ พวกเราไม่ได้มีสิทธิคิดว่าอะไรถูกอะไรผิด
หน้าที่ของเราคือทำตามคำสั่ง ”
เสียงของชายคนนั้นแหบทุ้มแต่ราบเรียบ ด้วยน้ำเสียงและวิธีพูด มันอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ปาสหวาดกลัวและจดจำ
“
อันที่จริงชาวบ้านพวกนั้นก็ไม่น่ามีปัญญาขัดขวางอะไรเราไม่ใช่หรือบอส ” ชายคนเดิมยังคงพูดไม่หยุด
“ ปัง! ” เสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้น ร่างของคนถามล้มลงกับพื้น
“ ปัง ปัง ปัง “
กระสุนอีกสามนัดยิงซ้ำในขณะที่เขาล้มลง
“ มีใครเสือก สงสัยอะไรอีกไหม ”
เสียงแหบทุ้มนั้นแผดตะโกนออกมา
……….นั่นทำให้พวกมันที่เหลือตกอยู่ในความเงียบ
“ ถ้าไม่มีใครสงสัยอะไรแล้ว
ก็รีบย้ายตูดเน่าๆของพวกมึงไปตามล่าตัวไอ้พวกที่ยังรอดอยู่ซักทีซิวะ ”
ปาสยังคงซ่อนตัวอยู่ที่นั่นจนพวกมันทั้งหมดเดินจากไป เด็กหนุ่มมองร่างที่เสียชีวิตของชายที่เคยเป็นหนึ่งในพวกของมัน
อย่างหวาดกลัว อีกหลายนาทีต่อมา ปาสกำลังตัดสินใจจะออกจากที่ซ่อน แต่เด็กหนุ่มก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่คิดเอาไว้ได้
เด็กหนุ่มกลับมานอนนิ่งๆอีกครั้งและตัวสั่นด้วยความกลัว
สิ่งที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจ…..มันคือเสียงปืนที่ดังขึ้นอีกหลายครั้ง
……..
ในช่วงใกล้เคียงกัน ณ สถานที่อีกแห่งบนโลก ในคลาสเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
“ พวกคุณทุกคนคงทราบดี
ว่าอารยะธรรมของโลกเรา เปลี่ยนแปลงไปเพราะ ไวรัส และไวรัสพวกนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่เองบนโลก
แต่นั่นไม่ใช่ภัยพิบัติครั้งแรกที่เกิดขึ้นบนดาวดวงนี้ การสิ้นสุดของยุคไดโนเสาร์
หรือ จุดจบของยุคน้ำแข็ง พฤติกรรมมนุษย์และสังคมที่เปลี่ยนแปลง ก็ล้วนมีทฤษฏีของอุกาบาตเข้ามาเกี่ยวข้องแทบทุกครั้ง
และสิ่งที่พวกคุณอาจยังไม่รู้ก็คือ ในทุกๆปี
มีอุกาบาต จำนวนมาก ตกลงมายังโลก นับร้อยนับพันครั้ง …ว่าไงจูล “
บทบรรยายของอาจารย์หยุดลงครู่หนึ่ง เมื่อหญิงสาวยกมือขึ้นถาม
“
อาจารย์หมายความว่าเรื่องร้ายๆมันมีโอกาสเกิดขึ้นกับเราอีกด้วยสาเหตุนี้หรอคะ”
“ ใช่…ทางทฤษฏีนะ แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็เป็นไปได้เช่นกันว่า
อุกาบาต ที่ตกลงมาจะสร้างสิ่งใหม่ๆที่ดีให้เกิดขึ้นกับเรา
อย่างแร่ชนิดใหม่ๆที่เราไม่รู้จัก หรือความรู้ใหม่ๆที่ยังไม่มีใครค้นพบ
ตำนานของชนเผ่าโบราณในหลายๆแห่งบนโลกก็มีเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวของกับก้อนหินบนท้องฟ้า
แต่สิ่งที่คุณถามมันไม่ใช่ประเด็น เพราะสิ่งที่ผมอยากจะบอกกับคุณก็คือ
จักรวาลนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากที่มนุษย์ไม่เคยรู้
แต่พวกคุณไม่จำเป็นต้องกังวลใจกับอุกาบาตที่มาถึงโลกของเราให้มากนัก เพราะความจริงแล้วในกรณีของไวรัสดาวตก
หรือการถูกอุกกบาตขนาดใหญ่พุ่งชนโลก มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อยมากๆ “
เสียงสัญญาณหมดเวลาดังขึ้นในขณะที่อาจารย์ยังคงบรรยาย
“….สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก็แล้วกัน ส่วนรายงาน ผมอยากให้คุณทำให้เสร็จแล้วส่งให้กับผม
ไม่เกินอาทิตย์นี้ ”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อน นักเรียนในคลาสทยอยออกจากห้อง
ในขณะที่เหล่านักศึกษา กำลังทยอยเดินออกไปจากห้อง
กลับปรากฏร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง เดินสวนทางเข้ามา
“ คราวหลังมาให้ไวกว่านี้ ถ้าคุณไม่อยากพลาดเรื่องสนุก ของผม ”
เสียงอาจารย์พูดในขณะที่เขากำลังสาละวนกับการเก็บของ
โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองว่าที่เดินเข้ามานั้นเป็นใคร
“ เคลย์ตั้น คุณไม่ได้ลืมใช่ไหมว่าเรามีนัดกันตอนบ่ายโมง ”
เขาละสายตาจากการเก็บของเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้น
“ ขอโทษที คุณจาง ผมแน่ใจว่าผมเหลือเวลาอีก 15 นาทีก่อนถึงเวลานัด ว่าแต่คุณมิเรียมไม่มาด้วยหรอ ”
“ พอดีฉันใจร้อนนะ ฉันเลยมาตามคุณก่อน ” เหยีนอวี้บอกกับเขา
“ ดูเหมือนพวกคุณจะเจอสิ่งที่ผมตามหาแล้วซิ ”
“ ฉันก็ไม่แน่ใจนัก แต่มิเรียมบอกกับฉันว่าใช่ คุณมาดูเอาเองแล้วกัน ” เหยีนอวี้เดินออกไปจากชั้นเรียน
โดยปล่อยให้ โปรเฟสเซอร์ เคลย์ตั้นจัดการในสิ่งที่เขาทำค้างเอาไว้
….
ในร้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก
ภายในร้านมีผู้คนจำนวนมากกำลังต่อแถว เพื่อสั่งอาหารมันเป็นเวลาพัก ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างคาบเรียน
มีเรียมนั่งอยู่คนเดียวเงียบๆในมุมสงบ ในที่ที่เธอคิดว่าคงไม่มีใครมารบกวน จนกระทั่งบริการหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งนำถาดอาหารมาวางให้เธอ
เขาแอบลอบมองมิเรียมด้วยความสนใจ
แต่มิเรียมกลับไม่ใส่ใจสายตาของชายหนุ่ม ที่จ้องมองเธอแม้แต่น้อย
บนโต๊ะของเธอมีอาหารที่ทานเสร็จแล้ววางทิ้งเอาไว้
สิ่งที่อยู่ในจานไม่ได้ถูกแตะต้องมากเท่าไหร่นัก ดูเหมือนมิเรียมไม่หิว
แต่เธอกลับสั่งอาหารมากถึงสามชุด
“ พายไก่กับกาแฟดำ สปาเกตตี้ทูน่า กับเบียร์ แซนวิชกับชาเย็น รายการอาหารทั้งหมดถูกต้องไหมครับ ”
“ ขอบคุณค่ะ ”
“ คุณเป็นอาจารย์คนใหม่ของที่นี่หรือครับ” บริกรหนุ่มเริ่มชวนคุย
“ เปล่าหรอกคะ ฉันแค่มีธุระกับอาจารย์ที่นี่ ”
“ ไม่ทราบว่าเป็นอาจารย์ท่านไหนหรอครับ
ถ้าไม่รังเกียจให้ผมแจ้งกับอาจารย์ท่านไหมครับ ว่าคุณมารออยู่นานแล้ว ”
มิเรียมอ่านจากสายตาของเขาออก ความหวังดีที่ชายหนุ่มคนนี้
มีความหมายมากไปกว่าน้ำใจตามปกติ มันแทบไม่ต่างกับชายหนุ่มคนอื่นที่พยายามตีสนิท
ส่วนใหญ่เป้าหมายของพวกเขาคือความหวังที่จะมีโอกาสลากเธอขึ้นเตียง มิเรียมทำเพียงเงยหน้ามองเขาและส่งยิ้มหวานให้ตามมารยาท
“ ขอบคุณมากคะ ฉันซาบซึ้งจริงๆ แต่ไม่เป็นไร เพราะโปรเฟสเซอร์เคลย์ตั้น
คงจะมาถึงที่นี้อีกไม่เกิน 5 นาที และถ้าคุณไม่ว่าอะไร ฉันอยากช่วยคุณบ้างซักเล็กน้อย
คุณควรระวังเรื่องกลิ่นน้ำหอมที่คุณใช้ กับกลิ่นน้ำหอมที่ติดอยู่บนเสื้อ เพราะมันจะทำให้ผู้หญิงของคุณ
ทราบว่าตอนนี้คุณไม่ได้คบอยู่แค่กับเธอ ซึ่งถ้าเป็นไปได้ คุณควรหาเสื้ออีกชุดมาสำรองเอาไว้
คราบลิปสติกบนปกเสื้อด้านใน ที่คุณพยายามจะลบมันไม่ใช่รอยที่แค่เช็ดก็ออกจนหมด รอยที่ยังเหลือมันจะทำให้คุณมีปัญหาได้ทีหลัง อย่างสุดท้าย ถ้าคุณสังเกตสายตาคนอื่นๆที่เขากำลังมองคุณอยู่บ้าง
คุณจะรู้ว่าผู้หญิงผมแดง ๆ
ที่คุณคบอยู่เธอเริ่มไม่พอใจที่เห็นคุณมาคุยกับฉันอยู่ตรงนี้นานเกินไป
และฉันคิดว่าเธอเป็นคนละคนกับเจ้าของน้ำหอมหรือรอยลิปสติกที่อยู่บนเสื้อของคุณ”
บริกรหนุ่มรูปหล่อหน้าถอดสีแทบจะในทันที เข้าหันไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ในเคาท์เตอร์สั่งอาหาร
รอยยิ้มของสาวผมแดงหายไป
เธอเหลือบมองเขาด้วยหางตาที่ใครเห็นก็จะทราบได้ทันทีว่าเธอกำลังโกรธจัด
“ ถ้ามีอะไรขาดเหลือ
เรียกใช้ได้เลยนะครับ ”
บริกรหนุ่มบอกกับมิเรียมก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
มิเรียมมองตามหลังชายหนุ่ม เธอลอบถอนหายใจอย่างเอือมระอา นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เหยียนอวี้เปิดประตูเข้ามาพอดี สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่สาวเอเชียร่างเล็กที่มีใบหน้าโฉบเฉี่ยว
ผมสีดำสนิท มิเรียมมองเหยียนอวี้
ที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และเริ่มบรรจงกัดแซนวิชตรงหน้า โดยไม่สนใจว่าจะมีใครบ้างที่แอบมองพวกเธออยู่
“ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องไปตาม เดี๋ยวเขาก็มาเองนั่นแหละ”
“ ลุกเดินบ้าง มันก็ไม่ได้แย่อะไรนี่ ดีกว่านั่งรออยู่ที่นี่เฉยๆ”
“ …หลายเดือนมานี้พอจะได้ยินข่าวหมอจากนั่นบ้างไหม ”
มิเรียมถามเหยียนอวี้ ถึงเพื่อนอีกคนที่หายตัวไป
แต่คำตอบที่มิเรียมได้รับ คือการส่ายหน้า “
เธอเป็นคนเดียวที่ตามตัวหมอนั่นพบ ถ้าเธอเองยังไม่รู้ ก็คงยากที่จะมีใครรู้ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันว่าหมอนั่นมันเอาตัวรอดเก่งจะตาย”
มิเรียมไม่พูดอะไรต่อ
ในขณะที่เหยียนอวี้ ก็หันมาให้ความสนกับสิ่งที่เธอส่งเข้าปาก
“ ให้ตายเหอะ ฉันชอบแซนวิชของที่นี่จัง ” เหยียนอวี้รับพึงกับตัวเอง
“ ฉันว่าเธอหิวมากกว่า ” มิเรียมพูด ทั้งๆที่สายตาของเธอจับจ้องอยู่ที่ประตูหน้าร้าน
“ เขามาแล้ว”
เธอบอกเหยียนอวี้เมื่อเห็น โปรเฟสเซอร์เคลย์ตั้นที่แบกเป้ใบใหญ่ ดูไม่ต่างอะไรกับเด็กนักศึกษา
ยกเว้นผมขาวโพลนและริ้วรอยที่บ่งบอกว่าเขาแก่เกินกว่าจะมาเรียนหนังสือ
เหยี้ยนอวี้วางขนมปังที่เธอเพิ่งเริ่มกัดและหันกลับไปมองคนที่เธอเพิ่งเดินไปหาเมื่อครู่
เขาเดินเข้ามาในร้าน และตรงดิ่งไปยังโต๊ะที่พวกเธอนั่งรออยู่
“ สวัสดีคุณมิเรียม “
เคลย์ตั้นเดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับหญิงสาวทั้งสอง
“ โปรเฟสเซอร์ฉันสั่งของที่คุณชอบ
เอาไว้ให้แล้ว ” มิเรียมดันจานใส่พายและกาแฟดำให้ชายที่สูงวัยกว่า
เขายิ้มเหมือนเด็กๆ “ ยังไม่ใช่ตอนนี้ ผมอยากเห็นสิ่งที่คุณเอามาด้วย
” เคลย์ตั้นเข้าประเด็น
มิเรียมหยิบกระเป๋าเก่าๆที่เธอเอามาด้วยขึ้นมาวางบนโต๊ะและเปิดมันออก
ด้านในมีบางสิ่งที่คล้ายกับซากเครื่องจักรที่มีความซับซ้อน
เพียงแต่มันอยู่ในสภาพที่ชำรุดจนดูคล้ายสิ่งของพังๆ
“ ฉันคิดว่าคุณเป็นคนที่สนใจแค่ก้อนหินซะอีก ”
เหยียนอวี้พูดกับโปรเฟสเซอร์ในขณะที่เขาหยิบของสิ่งนั้นขึ้นมามองดูอย่างละเอียด
“ คุณจางคุณผิดแล้ว ผมสนใจทุกสิ่งที่ตกลงมายังพื้นโลก
ไม่ใช่แค่หินอุกกาบาต “
“ ฉันคิดว่าไอ้นี่เป็นแค่ ซากอะไหล่เครื่องยนต์ซะอีก ” เหยียนอวี้พูดและเริ่มหยิบของกินที่วางในจานส่งเข้าปากอีกครั้ง
“ คุณมองไม่ผิดหรอกคุณจางมันอาเป็นซากเครื่องยนต์หรือกลไกของอะไรบางอย่าง
เพียงแต่มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
สิ่งที่คุณเห็นมันมีอายุมากกว่ามนุษย์คนแรกบนโลกเสียอีก ”
“ แล้วคุณรู้ได้ยังไง ” เหยียนอวี้ถามแม้จะมีอาหารในปาก
“ คุณมิเรียม ไม่เคยบอกคุณหรือคุณจาง ”
เหยียนอวี้มองหน้ามิเรียม “ บางทีนะ แต่ฉันแค่ไม่ได้สนใจ ”
เธอยักไหล่ “ แล้วคุณจะทำยังไงกับมัน ”
เหยียนอวี้ถาม โปรเฟสเซอร์
“ หาคำตอบว่ามันเคยใช้งานยังไง ”
“ ฟังดูน่าสนุกนะ” เหยียนอวี้ยังพูดต่อ
“ สำหรับผมมันดียิ่งกว่าได้ออกไปเที่ยวกับผู้หญิงสวยๆอย่างพวกคุณซะอีก
” โปรเฟสเซอร์ตอบโดยไม่ละสายตาไปจากของสิ่งนั้น
“คุณมิเรียม คุณได้มันมาเมื่อไหร่ ”
เคลย์ตั้นหันไปคุยกับมิเรียม
“ ไม่กี่วันนี่เอง พวกบรรณารักษ์
ขอให้ฉันแกะรอยจากตำแหน่งที่น่าจะเป็นจุดตก ฉันพบว่า มันอยู่ไม่ห่างจากเมืองของ
เอล โรโก้เท่าไหร่นัก “
“ บ้านของพวกมายัน ? ” โปรเฟสเซอร์เปรย “ ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็น่าจะมีอีกหลายชิ้น
”
“ ลองถามเหยียนอวี้ดูซิ เธอเป็นคนที่ไปเอามาให้คุณ”
“ จะให้กลับไปอีกรอบคงไม่ง่ายแล้วล่ะ เราไปที่นั่นโดยที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน
โชคดีที่คนนำทางพาไปยังหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่อาศัยอยู่ไม่ไกลจากจุดตกเดิมที่คุณคำนวณไว้ทีแรก
แต่ฉันคิดว่าตอนนี้ เอล โรโก้ น่าจะรู้แล้วว่าฉันเอาไอ้ของนี่ออกมาด้วย
เพราะไม่กี่วันก่อน คนนำทาง
ขอให้พันธมิตรโลก พาเขาออกมาจากเมืองเมืองนั้น เห็นว่ากังวลเรื่องความปลอดภัย
ถ้าคุณอยากเจอหมอนั่น อีกสองสามวันเราจะพาเขามาพบ ”
“ ต้องรบกวนคุณแล้วละคุณจาง ”
“ ไม่เป็นไรนี่มันงานของฉัน ”
เหยี้ยนอวี้ตอบ
หลังจากการรวมตัวของทวีปหลัก
เหยียนอวี้และมิเรียมถูกกลุ่มพันธมิตรโลกขอตัวจากทวีปต้นสังกัดให้มาช่วยงานเป็นกรณีพิเศษ
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความใกล้ชิดกับอิน และเพราะความสามารถพิเศษของมิเรียม
ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มพันธมิตรโลกค่อนข้างเป็นกังวลว่า ออชิเดนอาจใช้ความสามารถของเธอเข้าแทรกแซงเสถียรภาพของทวีปอื่นๆ
แน่นอนว่าการขอตัวมิเรียมมาทำงาน
เป็นสิ่งที่ออชิเดนไม่ต้องการจะส่งตัวเธอให้ แต่ดูเหมือนในช่วงหลังๆ มิเรียมเองก็ไม่ค่อยชอบใจกับการทำงานให้ทหารเท่าไหร่นัก
การย้ายงานจึงไม่เกิดปัญหา แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น มิเรียมที่เป็นคนของออชิเดน เธอรู้ดีว่าเหยียนอวี้ก็เป็นหนึ่งในตัวแสบของทวีปหลัก
ที่ออชิเดนเองก็ต้องเฝ้าระวัง ดังนั้นเพื่อความเสมอภาคเธอจึงร้องขอให้พันธมิตรโลก
ดึงเหยียนอวี้ จากทวีปหลักมาร่วมทำงานด้วย
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้พวกเธอได้มาทำงานร่วมกัน สำหรับเหยียนอวี้
ในครั้งแรกๆอาจมีปัญหาอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะชื่อของเธอออกเสียงลำบากในภาษาอื่นๆ
ดังนั้นเธอจึงใช้นามสกุลเป็นชื่อต้นเพื่อให้บรรณารักษ์และคนอื่นๆเรียกง่าย
โปรเฟสเซอร์เคลย์ตั้น คือเป็นหนึ่งในกลุ่มบรรณารักษ์ เขาเป็นอาจารย์ที่มีความสนใจเกี่ยวกับดาราศาสตร์และวัตถุจากท้องฟ้าที่ตกลงมายังพื้นโลก ภายหลังสงครามระหว่างพันธมิตรโลกกับอาร์ค
เขาได้เขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับอุกาบาตและผลกระทบ
ซึ่งกลายเป็นหัวข้อที่คนทั่วไปสนใจ
กระทั่งเกิดเป็นหน่วยงานเฝ้าระวังภัยจากท้องฟ้า ที่คอยสังเกตและค้นหาอุกบาต
ทุกชิ้นที่ตกลงมายังพื้นโลก โดยมีจุดประสงค์เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องร้ายแรง
เหมือนที่เคยเกิดขึ้น เช่นเดียวกับเคสของไวรัสดาวตก
……………..
ความคิดเห็น