ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Even the world is crumbling / ต่อให้โลกย่อยยับ

    ลำดับตอนที่ #158 : ความสงบเงียบที่ถูกทำลาย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 342
      51
      1 ส.ค. 63


    ณ ป่าดิบชื้นเขตท่ามกลางขุนเขาที่เงียบสงบแห่งหนึ่งบนโลก  ที่ที่สีเขียวของใบไม้ปกคลุมไปทั่ว กระทั้งแสงแดดในช่วงเวลาที่ร้อนแรงที่สุด ก็ยังไม่สามารถสาดส่องลงไปถึงพื้นเบื้องล่าง  ภายใต้ความลึกลับและความอุดมสมบูรณ์ของแนวป่า ก็ยังมีชุมชนเล็กๆที่ตัดขาดจากโลกภายนอกซุกซ่อนอยู่

     

    พวกเขาประกอบอาชีพกสิกรรมและดำรงชีวิตจากสิ่งผืนป่าใหญ่มอบให้  คนเหล่านี้ตัดสินใจออกจากเมืองใหญ่ หลังจากสงครามจากพวกกินคนยุติลงไม่นาน

     

    กลุ่มคนราวสามสิบครัวเรือน ซึ่งอพยพถิ่นฐานออกมาจากแนวป้องกันที่เริ่มกลายเป็นกรงขังที่แสนทุกข์ทรมาน  ลีกเร้นความวุ่นวายและค้นหาดินแดนที่อุดมสมบูรณ์กว่า เพื่อเอาตัวรอดจากสภาพแวดล้อมที่แออัด ขาดแคลนอาหาร จากในชุมชนขนาดใหญ่ เข้าสู่แดนเถื่อนที่รกร้าง บุกเบิกและพึ่งพิงแม่ธรณีในการยังชีพ

     

     พวกเขาสร้างพื้นที่เล็กๆในป่ารก ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบจากสิ่งที่พวกเขาหาได้ในแต่ละวัน โดยไม่ต้องกังวลใจใดๆมาหลายสิบปี แต่แล้วในที่สุด….ความสงบสุขของพวกเขาต้องจบลง โดยไม่มีแม้ลางบอกเหตุใดๆ  จากคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก

     

    เสียงปืนนัดแรกดังขึ้น  เขย่าขวัญฝูงนกที่อาศัยร่มเงาไม้อย่างสงบสุข ให้ออกบินหนีออกจากร่มไม้ ด้วยความตื่นตระหนก อาวุธปลิดชีพยังคงแผดเสียงดังขึ้นอีกหลายครั้ง จากการมาถึงของรถขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งเป็นของคนแปลกหน้ากลุ่มใหญ่  ไม่มีใครทราบถึงเหตุผลของการกระทำดังกล่าว ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าในสิ่งที่เกิดขึ้น คนเหล่านั้นเข้ามา และเริ่มฆ่าทุกคนที่เขาพบเห็น  บ้านหลายหลังถูกรื้อค้นและเผาทำลาย

     

    ปาสและเอมิลิโอ้ เด็กชายสองคนวิ่งหนีออกจากหมู่บ้านด้วยอาการตื่นตระหนก ก่อนหน้านี้ไม่นาน พวกเขาออกไปตกปลาที่ริมน้ำกับผู้ใหญ่  เพียงไม่นานก็วิ่งกลับมายังหมู่บ้านพร้อมคนอื่นๆ เมื่อเสียงปืนนัดแรกดังขึ้น คือสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจผิดพลาด  แต่นั่นก็ทำให้พวกเขาเห็นในสิ่งที่คนแปลกหน้าเหล่านั้นได้ลงมือทำ  ศพแรกคือชายผู้เป็นที่เคารพของทุกคนในชุมชน ร่างของหัวหน้าหมู่บ้านที่นอนกองอยู่บนพื้น ภรรยาของเขาวิ่งเข้ามากอดร่างไร้วิญญาณของสามีอย่างเสียขวัญ  ในขณะที่กระสุนอีกชุดลั่นใส่หญิงคนนั้น อย่างไม่ใยดี

     

    ผู้ใหญ่คนหนึ่งที่กลับมาเมื่อได้ยินเสียงปืน ไล่เด็กทั้งคู่ให้วิ่งไปซ่อนตัวในป่า ก่อนที่เขาถูกยิงล้มลง จากระยะไกล

     

     

    เมื่อคนที่ยืนคุยอยู่ใกล้ๆถูกลูกกระสุนเจาะทะลุเบ้าตา  เด็กหนุ่มทั้งสองคนจึงเริ่มต้นออกวิ่งด้วยความเร็วเต็มฝีเท้าอย่างตื่นตระหนก พวกเขาไม่เคยเห็นคนตาย พวกเขาหวาดกลัวและสับสน ในขณะที่มือสังหารกลุ่มนั้นมองเห็นการเคลื่อนไหว และเริ่มต้นออกไล่ล่าเด็กหนุ่มคู่

     

    ความจริงแล้ว ภูมิประเทศรอบตัว ที่เป็นแนวป่าที่รกทึบ เด็กชายสามารถเอาตัวรอดได้ง่ายๆด้วยการหลบซ่อนและรอคอยเงียบๆ  แต่เพราะความเป็นเด็ก รวมถึงความตื่นตระหนก ทำให้พวกเขาเลือกที่จะวิ่งหนี มากกว่าการซ่อนตัว พวกเขาออกวิ่งไปตามแนวป่าอย่างรวดเร็วเพื่อเอาตัวรอดจากการไล่ล่า เขาเริ่มวิ่งไปไกลจากหมู่บ้าน ลึกเข้าไปในป่า  ในพื้นที่ที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก และมีเพียงผู้ใหญ่ในหมู่บ้านบางคนเท่านั้น ที่เคยย่างกรายเข้ามาถึง

     

    แต่เสียงตะโกนไล่หลังจากมือสังหารแปลกหน้า ก็ยังคงเป็นสิ่งที่พวกเขาได้ยิน พวกมันยังคงตามมาอย่างไม่ลดละ เสียงนั้นทำให้ทราบว่าแม้จะวิ่งออกมาไกลแล้ว พวกมันก็ยังคงไม่เลิกตามหา    

     

    ปาสที่ตัวเล็กกว่า สะดุดรากไม้และล้มลง ทำให้เอมิลิโอ้ต้องชะลอฝีเท้าและหันกลับมามองเพื่อน

     

    ….ในขณะที่เสียงฝีเท้าของคนพวกนั้น ใกล้เข้ามาทุกที

     

    เอมิลิโอ้กลับมาพยุงปาสและพยายามจะพาเพื่อนที่มาด้วยกัน วิ่งหนีความตายให้พ้น แต่เพื่อนที่ตัวเล็กกว่า ไม่สามารถออกวิ่งได้อีกแล้ว ขาของเขาพลิกและเจ็บปวดจนวิ่งต่อไม่ไหว

     

    “ เอมิลิโอ้ ไปเถอะ ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว ” ปาสบอกกับเพื่อน

     

    พุ่มไม้ที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาสั่นไหวใกล้เข้ามาทุกขณะ  นั่นหมายความว่าอีกไม่นานพวกเขาจะถูกพบตัว

     

    เอมิลิโอ้ตัดสินใจพาปาสเข้าไปแอบใต้ซากไม้ใหญ่ที่ล้มลง มันมีช่องว่างเล็กๆระหว่างลำต้นกับพื้นดิน ที่กว้างพอสำหรับคนร่างเล็กอย่างปาส ในการซ่อนตัว

     

    “ เงียบเอาไว้นะ แล้วฉันจะกลับมารับ “ เอมิลิโอ้บอกกับเพื่อน

     

    ปาสพยักหน้าตอบแม้เขาจะรู้สึกกลัว  เด็กหนุ่มคลานเข้าไปอยู่ในช่องว่างระหว่างลำต้นขนาดใหญ่ ที่พื้นดินเปียกแฉะจนมีสภาพกึ่งโคลน  ในขณะที่เอมิลิโอ้ พยายามรวบรวมใบไม้มาปิดทับบริเวณรอบๆเพื่ออำพรางสายตาเพื่อนที่ยังบาดเจ็บไม่ให้คนร้ายเหล่านั้นหาเขาพบ

     

    เอมิลิโอ้จะเริ่มออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เขามั่นใจว่าเพื่อนของเขาจะปลอดภัย

     

    ปาสซ่อนตัวอยู่ตามลำพังมองเพื่อนของเขาวิ่งหายลับเข้าไปในป่า ตัวเขาเองพยายามนอนนิ่งๆเพื่อไม่ให้คนกลุ่มนั้นทราบว่าเขาบาดเจ็บและกำลังซ่อนตัวอยู่  ไม่นาน  กลุ่มฆาตกรก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเด็กหนุ่ม  สิ่งที่ปาสเห็นคือรองเท้าของคนจำนวนหนึ่งกำลังเดินผ่านไป พวกนั้นใส่รองเท้าเหมือนกัน แต่งตัวเหมือนกัน ราวกับเป็นทหาร นั่นคือสิ่งที่เด็กหนุ่มมองเห็น

     

    “ บอส เราจำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยหรอ คนพวกนี้ไม่ได้รู้เรื่องอะไรซักหน่อย ” เสียงของหนึ่งในคนพวกนั้นพูด

     

    ประโยคคำถามนั้นทำให้การเดินของคนทั้งกลุ่มหยุดชะงัก 

     

    “ พวกเราไม่ได้มีสิทธิคิดว่าอะไรถูกอะไรผิด หน้าที่ของเราคือทำตามคำสั่ง ”

     

    เสียงของชายคนนั้นแหบทุ้มแต่ราบเรียบ  ด้วยน้ำเสียงและวิธีพูด มันอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ปาสหวาดกลัวและจดจำ

     

    “ อันที่จริงชาวบ้านพวกนั้นก็ไม่น่ามีปัญญาขัดขวางอะไรเราไม่ใช่หรือบอส ” ชายคนเดิมยังคงพูดไม่หยุด

     

    “ ปัง! ” เสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้น ร่างของคนถามล้มลงกับพื้น

    “ ปัง ปัง ปัง “  กระสุนอีกสามนัดยิงซ้ำในขณะที่เขาล้มลง

    “ มีใครเสือก สงสัยอะไรอีกไหม ”  เสียงแหบทุ้มนั้นแผดตะโกนออกมา

     

    ……….นั่นทำให้พวกมันที่เหลือตกอยู่ในความเงียบ 

     

    “ ถ้าไม่มีใครสงสัยอะไรแล้ว ก็รีบย้ายตูดเน่าๆของพวกมึงไปตามล่าตัวไอ้พวกที่ยังรอดอยู่ซักทีซิวะ ”

     

    ปาสยังคงซ่อนตัวอยู่ที่นั่นจนพวกมันทั้งหมดเดินจากไป  เด็กหนุ่มมองร่างที่เสียชีวิตของชายที่เคยเป็นหนึ่งในพวกของมัน อย่างหวาดกลัว อีกหลายนาทีต่อมา ปาสกำลังตัดสินใจจะออกจากที่ซ่อน แต่เด็กหนุ่มก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่คิดเอาไว้ได้ เด็กหนุ่มกลับมานอนนิ่งๆอีกครั้งและตัวสั่นด้วยความกลัว

     

     

    สิ่งที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจ…..มันคือเสียงปืนที่ดังขึ้นอีกหลายครั้ง

     

    ……..

     

    ในช่วงใกล้เคียงกัน ณ สถานที่อีกแห่งบนโลก  ในคลาสเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง 

     

      พวกคุณทุกคนคงทราบดี ว่าอารยะธรรมของโลกเรา เปลี่ยนแปลงไปเพราะ ไวรัส และไวรัสพวกนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่เองบนโลก แต่นั่นไม่ใช่ภัยพิบัติครั้งแรกที่เกิดขึ้นบนดาวดวงนี้ การสิ้นสุดของยุคไดโนเสาร์ หรือ จุดจบของยุคน้ำแข็ง พฤติกรรมมนุษย์และสังคมที่เปลี่ยนแปลง ก็ล้วนมีทฤษฏีของอุกาบาตเข้ามาเกี่ยวข้องแทบทุกครั้ง  และสิ่งที่พวกคุณอาจยังไม่รู้ก็คือ ในทุกๆปี มีอุกาบาต จำนวนมาก ตกลงมายังโลก นับร้อยนับพันครั้ง ว่าไงจูล “ บทบรรยายของอาจารย์หยุดลงครู่หนึ่ง เมื่อหญิงสาวยกมือขึ้นถาม  

     

    “ อาจารย์หมายความว่าเรื่องร้ายๆมันมีโอกาสเกิดขึ้นกับเราอีกด้วยสาเหตุนี้หรอคะ”

     

    “ ใช่ทางทฤษฏีนะ  แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็เป็นไปได้เช่นกันว่า อุกาบาต ที่ตกลงมาจะสร้างสิ่งใหม่ๆที่ดีให้เกิดขึ้นกับเรา อย่างแร่ชนิดใหม่ๆที่เราไม่รู้จัก หรือความรู้ใหม่ๆที่ยังไม่มีใครค้นพบ ตำนานของชนเผ่าโบราณในหลายๆแห่งบนโลกก็มีเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวของกับก้อนหินบนท้องฟ้า แต่สิ่งที่คุณถามมันไม่ใช่ประเด็น เพราะสิ่งที่ผมอยากจะบอกกับคุณก็คือ จักรวาลนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากที่มนุษย์ไม่เคยรู้   แต่พวกคุณไม่จำเป็นต้องกังวลใจกับอุกาบาตที่มาถึงโลกของเราให้มากนัก เพราะความจริงแล้วในกรณีของไวรัสดาวตก หรือการถูกอุกกบาตขนาดใหญ่พุ่งชนโลก มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อยมากๆ “      

     

    เสียงสัญญาณหมดเวลาดังขึ้นในขณะที่อาจารย์ยังคงบรรยาย

     

    ….สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก็แล้วกัน ส่วนรายงาน ผมอยากให้คุณทำให้เสร็จแล้วส่งให้กับผม ไม่เกินอาทิตย์นี้   

     

    นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อน นักเรียนในคลาสทยอยออกจากห้อง

     

     

    ในขณะที่เหล่านักศึกษา กำลังทยอยเดินออกไปจากห้อง กลับปรากฏร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง เดินสวนทางเข้ามา

    “ คราวหลังมาให้ไวกว่านี้ ถ้าคุณไม่อยากพลาดเรื่องสนุก ของผม ” เสียงอาจารย์พูดในขณะที่เขากำลังสาละวนกับการเก็บของ โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองว่าที่เดินเข้ามานั้นเป็นใคร

     

    “ เคลย์ตั้น คุณไม่ได้ลืมใช่ไหมว่าเรามีนัดกันตอนบ่ายโมง ”

    เขาละสายตาจากการเก็บของเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้น

    “ ขอโทษที คุณจาง ผมแน่ใจว่าผมเหลือเวลาอีก 15 นาทีก่อนถึงเวลานัด  ว่าแต่คุณมิเรียมไม่มาด้วยหรอ ”

    “ พอดีฉันใจร้อนนะ ฉันเลยมาตามคุณก่อน ” เหยีนอวี้บอกกับเขา

    “ ดูเหมือนพวกคุณจะเจอสิ่งที่ผมตามหาแล้วซิ ”

    “ ฉันก็ไม่แน่ใจนัก แต่มิเรียมบอกกับฉันว่าใช่  คุณมาดูเอาเองแล้วกัน ” เหยีนอวี้เดินออกไปจากชั้นเรียน โดยปล่อยให้     โปรเฟสเซอร์ เคลย์ตั้นจัดการในสิ่งที่เขาทำค้างเอาไว้

     

    ….

     

     

    ในร้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก ภายในร้านมีผู้คนจำนวนมากกำลังต่อแถว เพื่อสั่งอาหารมันเป็นเวลาพัก ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างคาบเรียน มีเรียมนั่งอยู่คนเดียวเงียบๆในมุมสงบ ในที่ที่เธอคิดว่าคงไม่มีใครมารบกวน  จนกระทั่งบริการหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งนำถาดอาหารมาวางให้เธอ เขาแอบลอบมองมิเรียมด้วยความสนใจ

    แต่มิเรียมกลับไม่ใส่ใจสายตาของชายหนุ่ม ที่จ้องมองเธอแม้แต่น้อย บนโต๊ะของเธอมีอาหารที่ทานเสร็จแล้ววางทิ้งเอาไว้  สิ่งที่อยู่ในจานไม่ได้ถูกแตะต้องมากเท่าไหร่นัก ดูเหมือนมิเรียมไม่หิว แต่เธอกลับสั่งอาหารมากถึงสามชุด

     

    “ พายไก่กับกาแฟดำ   สปาเกตตี้ทูน่า กับเบียร์  แซนวิชกับชาเย็น  รายการอาหารทั้งหมดถูกต้องไหมครับ ”

    “ ขอบคุณค่ะ ”

    “ คุณเป็นอาจารย์คนใหม่ของที่นี่หรือครับ” บริกรหนุ่มเริ่มชวนคุย

    “ เปล่าหรอกคะ ฉันแค่มีธุระกับอาจารย์ที่นี่ ”  

    “ ไม่ทราบว่าเป็นอาจารย์ท่านไหนหรอครับ ถ้าไม่รังเกียจให้ผมแจ้งกับอาจารย์ท่านไหมครับ ว่าคุณมารออยู่นานแล้ว ”

     

    มิเรียมอ่านจากสายตาของเขาออก ความหวังดีที่ชายหนุ่มคนนี้ มีความหมายมากไปกว่าน้ำใจตามปกติ มันแทบไม่ต่างกับชายหนุ่มคนอื่นที่พยายามตีสนิท ส่วนใหญ่เป้าหมายของพวกเขาคือความหวังที่จะมีโอกาสลากเธอขึ้นเตียง มิเรียมทำเพียงเงยหน้ามองเขาและส่งยิ้มหวานให้ตามมารยาท

     

    “ ขอบคุณมากคะ ฉันซาบซึ้งจริงๆ  แต่ไม่เป็นไร เพราะโปรเฟสเซอร์เคลย์ตั้น คงจะมาถึงที่นี้อีกไม่เกิน 5 นาที และถ้าคุณไม่ว่าอะไร ฉันอยากช่วยคุณบ้างซักเล็กน้อย คุณควรระวังเรื่องกลิ่นน้ำหอมที่คุณใช้ กับกลิ่นน้ำหอมที่ติดอยู่บนเสื้อ เพราะมันจะทำให้ผู้หญิงของคุณ ทราบว่าตอนนี้คุณไม่ได้คบอยู่แค่กับเธอ ซึ่งถ้าเป็นไปได้ คุณควรหาเสื้ออีกชุดมาสำรองเอาไว้ คราบลิปสติกบนปกเสื้อด้านใน ที่คุณพยายามจะลบมันไม่ใช่รอยที่แค่เช็ดก็ออกจนหมด รอยที่ยังเหลือมันจะทำให้คุณมีปัญหาได้ทีหลัง  อย่างสุดท้าย ถ้าคุณสังเกตสายตาคนอื่นๆที่เขากำลังมองคุณอยู่บ้าง คุณจะรู้ว่าผู้หญิงผมแดง ๆ ที่คุณคบอยู่เธอเริ่มไม่พอใจที่เห็นคุณมาคุยกับฉันอยู่ตรงนี้นานเกินไป และฉันคิดว่าเธอเป็นคนละคนกับเจ้าของน้ำหอมหรือรอยลิปสติกที่อยู่บนเสื้อของคุณ”

     

    บริกรหนุ่มรูปหล่อหน้าถอดสีแทบจะในทันที เข้าหันไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ในเคาท์เตอร์สั่งอาหาร  รอยยิ้มของสาวผมแดงหายไป เธอเหลือบมองเขาด้วยหางตาที่ใครเห็นก็จะทราบได้ทันทีว่าเธอกำลังโกรธจัด

     

     “ ถ้ามีอะไรขาดเหลือ เรียกใช้ได้เลยนะครับ ”

     

    บริกรหนุ่มบอกกับมิเรียมก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

     

    มิเรียมมองตามหลังชายหนุ่ม เธอลอบถอนหายใจอย่างเอือมระอา นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เหยียนอวี้เปิดประตูเข้ามาพอดี   สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่สาวเอเชียร่างเล็กที่มีใบหน้าโฉบเฉี่ยว ผมสีดำสนิท  มิเรียมมองเหยียนอวี้ ที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และเริ่มบรรจงกัดแซนวิชตรงหน้า โดยไม่สนใจว่าจะมีใครบ้างที่แอบมองพวกเธออยู่

     

    “ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องไปตาม เดี๋ยวเขาก็มาเองนั่นแหละ”

    “ ลุกเดินบ้าง มันก็ไม่ได้แย่อะไรนี่ ดีกว่านั่งรออยู่ที่นี่เฉยๆ”

    หลายเดือนมานี้พอจะได้ยินข่าวหมอจากนั่นบ้างไหม ” มิเรียมถามเหยียนอวี้ ถึงเพื่อนอีกคนที่หายตัวไป

    แต่คำตอบที่มิเรียมได้รับ คือการส่ายหน้า “ เธอเป็นคนเดียวที่ตามตัวหมอนั่นพบ ถ้าเธอเองยังไม่รู้ ก็คงยากที่จะมีใครรู้   แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันว่าหมอนั่นมันเอาตัวรอดเก่งจะตาย”

     

      มิเรียมไม่พูดอะไรต่อ ในขณะที่เหยียนอวี้ ก็หันมาให้ความสนกับสิ่งที่เธอส่งเข้าปาก

    “ ให้ตายเหอะ ฉันชอบแซนวิชของที่นี่จัง ” เหยียนอวี้รับพึงกับตัวเอง

    “ ฉันว่าเธอหิวมากกว่า ” มิเรียมพูด ทั้งๆที่สายตาของเธอจับจ้องอยู่ที่ประตูหน้าร้าน “ เขามาแล้ว”

     

    เธอบอกเหยียนอวี้เมื่อเห็น โปรเฟสเซอร์เคลย์ตั้นที่แบกเป้ใบใหญ่ ดูไม่ต่างอะไรกับเด็กนักศึกษา ยกเว้นผมขาวโพลนและริ้วรอยที่บ่งบอกว่าเขาแก่เกินกว่าจะมาเรียนหนังสือ เหยี้ยนอวี้วางขนมปังที่เธอเพิ่งเริ่มกัดและหันกลับไปมองคนที่เธอเพิ่งเดินไปหาเมื่อครู่

     

    เขาเดินเข้ามาในร้าน และตรงดิ่งไปยังโต๊ะที่พวกเธอนั่งรออยู่

     

    “ สวัสดีคุณมิเรียม “

    เคลย์ตั้นเดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับหญิงสาวทั้งสอง

     โปรเฟสเซอร์ฉันสั่งของที่คุณชอบ เอาไว้ให้แล้ว ” มิเรียมดันจานใส่พายและกาแฟดำให้ชายที่สูงวัยกว่า

    เขายิ้มเหมือนเด็กๆ “ ยังไม่ใช่ตอนนี้ ผมอยากเห็นสิ่งที่คุณเอามาด้วย ” เคลย์ตั้นเข้าประเด็น

     

    มิเรียมหยิบกระเป๋าเก่าๆที่เธอเอามาด้วยขึ้นมาวางบนโต๊ะและเปิดมันออก ด้านในมีบางสิ่งที่คล้ายกับซากเครื่องจักรที่มีความซับซ้อน เพียงแต่มันอยู่ในสภาพที่ชำรุดจนดูคล้ายสิ่งของพังๆ

     

    “ ฉันคิดว่าคุณเป็นคนที่สนใจแค่ก้อนหินซะอีก ” เหยียนอวี้พูดกับโปรเฟสเซอร์ในขณะที่เขาหยิบของสิ่งนั้นขึ้นมามองดูอย่างละเอียด

    “ คุณจางคุณผิดแล้ว ผมสนใจทุกสิ่งที่ตกลงมายังพื้นโลก ไม่ใช่แค่หินอุกกาบาต “

    “ ฉันคิดว่าไอ้นี่เป็นแค่ ซากอะไหล่เครื่องยนต์ซะอีก ” เหยียนอวี้พูดและเริ่มหยิบของกินที่วางในจานส่งเข้าปากอีกครั้ง

    “ คุณมองไม่ผิดหรอกคุณจางมันอาเป็นซากเครื่องยนต์หรือกลไกของอะไรบางอย่าง เพียงแต่มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น สิ่งที่คุณเห็นมันมีอายุมากกว่ามนุษย์คนแรกบนโลกเสียอีก ”

    “ แล้วคุณรู้ได้ยังไง ” เหยียนอวี้ถามแม้จะมีอาหารในปาก

    “ คุณมิเรียม ไม่เคยบอกคุณหรือคุณจาง ”

    เหยียนอวี้มองหน้ามิเรียม “ บางทีนะ แต่ฉันแค่ไม่ได้สนใจ ” เธอยักไหล่  “ แล้วคุณจะทำยังไงกับมัน ” เหยียนอวี้ถาม       โปรเฟสเซอร์

    “ หาคำตอบว่ามันเคยใช้งานยังไง ”

    “ ฟังดูน่าสนุกนะ” เหยียนอวี้ยังพูดต่อ

    “ สำหรับผมมันดียิ่งกว่าได้ออกไปเที่ยวกับผู้หญิงสวยๆอย่างพวกคุณซะอีก ”  โปรเฟสเซอร์ตอบโดยไม่ละสายตาไปจากของสิ่งนั้น “คุณมิเรียม คุณได้มันมาเมื่อไหร่ ”  เคลย์ตั้นหันไปคุยกับมิเรียม

    “ ไม่กี่วันนี่เอง พวกบรรณารักษ์ ขอให้ฉันแกะรอยจากตำแหน่งที่น่าจะเป็นจุดตก ฉันพบว่า มันอยู่ไม่ห่างจากเมืองของ เอล โรโก้เท่าไหร่นัก  

    “ บ้านของพวกมายัน ? ” โปรเฟสเซอร์เปรย “ ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็น่าจะมีอีกหลายชิ้น ”

    “ ลองถามเหยียนอวี้ดูซิ เธอเป็นคนที่ไปเอามาให้คุณ”

    “ จะให้กลับไปอีกรอบคงไม่ง่ายแล้วล่ะ เราไปที่นั่นโดยที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน โชคดีที่คนนำทางพาไปยังหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่อาศัยอยู่ไม่ไกลจากจุดตกเดิมที่คุณคำนวณไว้ทีแรก  แต่ฉันคิดว่าตอนนี้ เอล โรโก้ น่าจะรู้แล้วว่าฉันเอาไอ้ของนี่ออกมาด้วย  เพราะไม่กี่วันก่อน คนนำทาง ขอให้พันธมิตรโลก พาเขาออกมาจากเมืองเมืองนั้น เห็นว่ากังวลเรื่องความปลอดภัย ถ้าคุณอยากเจอหมอนั่น อีกสองสามวันเราจะพาเขามาพบ ”

    “ ต้องรบกวนคุณแล้วละคุณจาง ”

     “ ไม่เป็นไรนี่มันงานของฉัน ” เหยี้ยนอวี้ตอบ

     

    หลังจากการรวมตัวของทวีปหลัก เหยียนอวี้และมิเรียมถูกกลุ่มพันธมิตรโลกขอตัวจากทวีปต้นสังกัดให้มาช่วยงานเป็นกรณีพิเศษ  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความใกล้ชิดกับอิน และเพราะความสามารถพิเศษของมิเรียม ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มพันธมิตรโลกค่อนข้างเป็นกังวลว่า ออชิเดนอาจใช้ความสามารถของเธอเข้าแทรกแซงเสถียรภาพของทวีปอื่นๆ

     

    แน่นอนว่าการขอตัวมิเรียมมาทำงาน เป็นสิ่งที่ออชิเดนไม่ต้องการจะส่งตัวเธอให้ แต่ดูเหมือนในช่วงหลังๆ มิเรียมเองก็ไม่ค่อยชอบใจกับการทำงานให้ทหารเท่าไหร่นัก การย้ายงานจึงไม่เกิดปัญหา แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น มิเรียมที่เป็นคนของออชิเดน เธอรู้ดีว่าเหยียนอวี้ก็เป็นหนึ่งในตัวแสบของทวีปหลัก ที่ออชิเดนเองก็ต้องเฝ้าระวัง  ดังนั้นเพื่อความเสมอภาคเธอจึงร้องขอให้พันธมิตรโลก ดึงเหยียนอวี้ จากทวีปหลักมาร่วมทำงานด้วย  

     

     นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้พวกเธอได้มาทำงานร่วมกัน  สำหรับเหยียนอวี้ ในครั้งแรกๆอาจมีปัญหาอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะชื่อของเธอออกเสียงลำบากในภาษาอื่นๆ ดังนั้นเธอจึงใช้นามสกุลเป็นชื่อต้นเพื่อให้บรรณารักษ์และคนอื่นๆเรียกง่าย

     

    โปรเฟสเซอร์เคลย์ตั้น คือเป็นหนึ่งในกลุ่มบรรณารักษ์ เขาเป็นอาจารย์ที่มีความสนใจเกี่ยวกับดาราศาสตร์และวัตถุจากท้องฟ้าที่ตกลงมายังพื้นโลก  ภายหลังสงครามระหว่างพันธมิตรโลกกับอาร์ค เขาได้เขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับอุกาบาตและผลกระทบ ซึ่งกลายเป็นหัวข้อที่คนทั่วไปสนใจ  กระทั่งเกิดเป็นหน่วยงานเฝ้าระวังภัยจากท้องฟ้า ที่คอยสังเกตและค้นหาอุกบาต ทุกชิ้นที่ตกลงมายังพื้นโลก โดยมีจุดประสงค์เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องร้ายแรง เหมือนที่เคยเกิดขึ้น เช่นเดียวกับเคสของไวรัสดาวตก

     

    ……………..

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×