ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Even the world is crumbling / ต่อให้โลกย่อยยับ

    ลำดับตอนที่ #154 : การเดินทางครั้งสุดท้ายอย่างกะทันหัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 707
      98
      31 ม.ค. 63

    การระบาดของไวรัสดาวตกไม่ใช่สิ่งที่เกินความคาดหมาย เราทุกคนต่างรู้ดีว่าวันใดวันหนึ่ง ความตายจากสถานที่อันห่างไกลจะเดินทางมาถึง  และถึงแม้การรักษาที่เหมาะสมจะยังไม่เกิดขึ้น แต่แพ๊ตตี้และสมาชิกในสภาสูงคนอื่นๆก็ได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้ว

     

    นั่นทำให้การสูญเสียถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่แคบๆ

     

    อาจมีการตัดสินใจที่โหดร้ายเกิดขึ้นบ้างแต่ก็เป็นสิ่งที่ทุกๆคนเข้าใจได้  เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อไม่ให้อีกหลายๆชีวิตพบเจอกับสิ่งที่เลวร้าย

     

    โชคดีเล็กน้อยเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อชุดปลอดเชื้อถูกส่งมาจากมิเรียม แม้จุดมุ่งหมายของแรกของเธอจะไม่เกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจของสภาสูงภายในเมืองของผม  ในกล่องที่บรรจุอุปกรณ์ชิ้นนั้นมีจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนข้อความสั้นๆแนบมาด้วย

     

    น่าแปลกที่ในคราวนี้การสื่อสารของเรากระทำผ่านวิธีการที่โบราณที่สุด  ซึ่งผิดไปจากครั้งก่อนๆ ภายในจดหมายเธออยากให้ผมกลับไปที่บาเบลทูซึ่งเป็นแนวปะทะของพวกใต้ดินและกองทัพของพันธมิตรโลก มันไม่ใช่การบีบบังคับเหมือนกับทุกๆครั้ง แต่เป็นการขอร้องให้ผมกลับไป เพราะเธอเชื่อลึกๆว่า สิ่งที่ผมทำจะสามารถยุติเรื่องราวทั้งหมดไม่ให้บานปลายออกไปมากกว่าที่เป็นอยู่ 

     

    แน่นอนว่าผมเองก็ต้องการทำเรื่องนั้น แต่ไม่ใช่เพราะคำขอร้องของมิเรียม แต่เป็นเพราะข้อความลึกลับของดาวินชี่ที่ส่งมากพวกใต้ดิน  อยากไรก็ตามผมไม่เลือกจะกลับไปในตอนนี้ เพราะถึงแก้ปัญหาของที่นั่นได้สำเร็จ เมืองที่ผมอาศัยอยู่อาจเหลือเพียงชื่อเมื่อผมกลับมาที่นี่อีกครั้ง

     

    ผมตัดสินใจนำชุดปลอดเชื้อของมิเรียมส่งต่อให้กับแม่และเหล่าบรรณารักษ์  ผมขอร้องให้พวกเขาออกแบบในสิ่งที่คล้ายกัน โดยใช้ชุดของมิเรียมเป็นต้นแบบ เพื่อส่งต่อชุดปลอดเชื้อที่ได้รับไปยังเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เกิดข้องกับการจัดการโรคระบาด ปัญหาหลังจากนั่นก็เกิดขึ้นซ้ำหลังจากที่ชุดปลอดเชื้อแบบใหม่ของบรรณารักษ์เสร็จสมบูรณ์ พวกเขาเองไม่สามารถผลิตชุดดังกล่าวออกมาได้ทีละมากๆ เพราะต้นทุนของอุปกรณ์ในการผลิตวัตถุดิบมีราคาที่สูง อีกทั้งการตัดเย็บก็เป็นเทคโนโลยีเฉพาะของพวกออชิเดน ที่ยากจะเลียนแบบ

     

    อันที่จริงนี่เป็นปัญหาใหญ่เกินกว่าที่บรรณารักษ์คนไหนจะสามารถแก้ไขมันได้สำเร็จ  แม้ข้อมูลของการผลิตชุดจะถูกนำเสนอผ่านเครือข่ายของบรรณารักษ์และเผยแพร่ออกไปในทุกๆเมืองที่กับลังวิกฤติเพราะการต่อสู้กับไวรัสดาวตกครั้งใหม่

     

    แต่เมื่อเรื่องดังกล่าวถูกส่งต่อไปยังแพ๊ตตี้  สิ่งที่น่าจะเป็นปัญหากลับถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย

     

    สิ่งที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของแพ๊ตตี้ คือการรู้จักคนเก่งๆในหลากหลายวงการ และทันทีที่มันขอร้อง ความร่วมมือจากคนกลุ่มต่างๆก็หลั่งไหลกันมาอย่างไม่ขาดสาย

     

     

    ผมเชื่อมาตลอดว่าการใช้ชีวิตในโลกที่อันตรายมีอยู่รอบตัว คือการพึ่งพาตัวเองอย่างเข้มแข็งเท่านั้นถึงจะทำให้เรารอดตาย  แต่สิ่งที่แพ๊ตตี้ทำให้เห็นมันเป็นเส้นทางที่ต่างออกไป ความเป็นหนึ่งเดียวกันที่แพ๊ตตี้พยายามทำให้เกิดกับคนในสังคมที่เราร่วมกันอาศัย เป็นทางรอดที่ทรงพลังกว่า และมหัศจรรย์ยิ่งกว่า

     

     

    เพียงไม่นานที่ชุดปลอดเชื้อถูกส่งต่อไปยังเขตกักกันโรค……… และทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น

     

     

    ตัวอย่างไวรัสที่เราเคยต้องการจากครุชชอฟในที่สุดก็ส่งถึงมือของเหล่าบรรณารักษ์  ต่อมาไม่นานยารักษาที่เราพยายามที่จะทำก็สำเร็จได้ด้วยดี ในตอนแรกบรรณารักษ์ออกจะลำบากใจที่จะบอกถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำ แนวทางการสร้างยารักษา คือการนำเอาไวรัสฉีดใส่อาสาสมัครซึ่งเป็นพวกชีวิตที่สองโดยตรง และเพิ่มจำนวนเชื้อให้กับเขามากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ร่างกายของพวกชีวิตที่สอง สร้างเซลล์ต้านไวรัสขึ้นในร่างกายตามธรรมชาติ มันเป็นวิธีเดียวกับการสร้างเซรุ่มเพื่อรักษาคนป่วยที่ถูกงูพิษกัด …. เพียงแต่วิธีนี้ ชีวิตของอาสาสมัคร คือความเสี่ยงที่ไม่มีใครสามารถรับผิดชอบ

     

     

        แต่เมื่อแพ๊ตตี้รู้ มันก็เป็นอีกครั้งที่อาสาสมัครจำนวนมากเดินทางมาที่บ้านของแม่

     

     

    ทุกคนสมัครใจมาและพร้อมที่จะเอาชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยง โดยไม่มีใครหวาดกลัวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

     

     

    บทสรุปของความทุ่มเทของคนจำนวนมากทำให้เราเริ่มต้นผลิตยาต้านไวรัสได้อย่างจริงจัง และส่งต่อความรู้ที่เรามีให้กับเมืองอื่นๆที่กำลังเผชิญปัญหาในแบบเดียวกัน  ถึงตรงนี้โชคร้ายกลับเป็นของเมืองอื่นๆ เนื่องจากพวกชีวิตที่สอง คือกลุ่มคนที่ในหลายๆดินแดนเกลียดชัง ก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดของโรค พวกชีวิตที่สองหลายคนต้องพบจุดจบจากการถูกไล่ล่าเพียงเพราะความกลัวและความไม่เข้าใจ

     

    จากเรื่องดังกล่าว ทำให้หลายเมืองไม่สามารถสร้างวัคซีนขึ้นมาได้แม้จะรู้ว่าต้องทำอย่างไร

     

    ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เราต้องส่งยาไปช่วยเหลือในหลายๆพื้นที่ที่ร้องขอ นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆที่คนพวกนั้นต้องพบ อย่างไม่อาหลีกเลี่ยง นับตั้งแต่ยาปลอมไปจนถึงการดักปล้นยาต้านไวรัสเพื่อนำไปขายในตลาดมืด เพราะปริมาณการผลิตที่น้อยและความต้องการที่มีมากกว่า ทำให้ยาที่เราสร้างขึ้นมีราคาที่แพงมหาศาลสำหรับดินแดนที่อยู่ไกลออกไป นั่นเป็นปัญหาที่ไม่มีใครสามารถจัดการได้ เพราะพวกเราเองทำได้ดีที่สุดแค่ในเขตแดนที่เรามีส่วนรับผิดชอบ

     

    ความลุล่วงที่เกิดขึ้นนั้น ต้องยกความดีความชอบให้ไอ้แพ๊ตตี้เต็มๆ เพราะถ้ามันไม่ได้ลดการแบ่งแยกและทำให้ทุกคนอาศัยอยู่ร่วมกันได้ตั้งแต่ทีแรก บางทีหายนะครั้งนี้ อาจไม่มีใครเลยที่สามารถเอาตัวรอดจากเรื่องนี้ไปได้

     

    อย่างไรก็ตามยาที่เราคิดค้นขึ้นมาไม่มีผลกับคนป่วยที่กลายสภาพไปแล้ว เพราะสิ่งที่เขาได้รับเปลี่ยนจากผู้บุกรุก กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายอย่างสมบูรณ์  เราไม่มีทางเลือกนอกจากกำจัดพวกเขาทิ้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดพวกกินคนเพิ่มขึ้นอีก

     

    ชีวิตของผมในขณะนี้ แม้อยู่ท่ามกลางความยุ่งยาก แต่มันกลับเป็นไปอย่างสุขสงบ  ไม่มีเรื่องไหนที่ผมต้องแบกรับไม่มีภารกิจไหนที่ผมต้องทำตามลำพัง เพราะทุกๆคนที่อาศัยอยู่ที่นี้ต่างร่วมกันรับผิดชอบเพื่อที่จะยังคงมีชีวิตรอดและคาดหวังได้ถึงความสงบสุขที่จะกลับมาอีกครั้ง

     

    มีคนเคยพูดเอาไว้ว่า แม้จะเป็นในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด แต่ถ้าหากทุกคนละทิ้งความลำบากส่วนตัวและร่วมกันทำในสิ่งที่เหมาะสม โอกาสและความหวังจะยังมีเสมอ ผมเคยคิดว่าคำพูดนั้นเป็นเพียงคำปลอบใจที่ไร้สาระแต่กลุ่มบรรณารักษ์และไอ้แพ๊ตตี้กลับทำให้มองเห็นว่าสิ่งที่ผมเคยได้ยินไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูดเหลวไหล

     

     

     

    เมื่อทุกอย่างราบรื่น งานของผมคือการเป็นผู้ติดตามคุณเบล ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่อีกสองคนที่ผมเคยพบออกไปทำงานต่างๆให้ไอ้แพ๊ตตี้ ชีวิตในช่วงนี้มีแต่เรื่องตลกๆ เพราะไอ้พี่สองคนที่ทำหน้าที่นี้อยู่ก่อนเป็นพวกที่ชอบเรื่องบ้าๆบอๆไร้สาระไปวันๆ เพราะงานหนักจะเป็นเรื่องของคุณเบล เรามีหน้าที่แค่ตามไปดูแลไม่ให้เกิดปัญหาหรืออันตรายใดๆขึ้นกับเธอแค่นั้น  เวลาว่างที่เราสามคนอยู่กันเองจึงไม่มีอะไรมากไปกว่าการอำกันไปอำกันมาและแหล่หญิงที่เดินผ่าน

     

    ผมเองก็ตัดขาดจากข่าวโลกภายนอกเพราะสิ่งที่ต้องทำไปโดยปริยาย

     

    ซึ่งการไม่ได้ยุ่งเกี่ยวใดๆกับเรื่องปวดหัว มันไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้ ทุกอย่างในชีวิตของผมจะดำเนินไปด้วยความสงบเรียบร้อย มันเป็นเพียงความสงบชั่วครู่ก่อนเรื่องร้ายๆจะตามมา

     

    จนกระทั่งในคืนหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังหลับสนิท ผมถูกปลุกให้ตื่นอย่างเร่งร้อน การต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกกับสิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมไม่สบายใจนัก เพราะเรื่องแบบนี้แบบนี้มักไม่เคยเป็นข่าวดีแม้แต่ครั้งเดียว

     

    เสียงเรียกจากเครื่องมือสื่อสาร เป็นเสียงเรียกที่มาจากคุณเบล เธอมารับตัวผมหลังจากนั้นไม่นาน ชุดของเธอไม่เรียบร้อยเท่าไหร่นัก หน้าตาของเธอก็ผิดไปจากเดิม ความรีบร้อนทำให้เธอไม่ได้แต่งหน้าแต่งตาออกจากบ้านอย่างเช่นทุกครั้ง ซึ่งนั่นทำให้ผมรับรู้ได้ว่ามีเรื่องบางอย่างที่น่ากังวลเกิดขึ้น  ในขณะที่เรากำลังนั่งรถไปหาแพ๊ตตี้ ยังที่ทำงานของมัน ผมพยายามถามกับคุณเบลว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอเองก็ตอบผมกลับมาเพียงสั้นๆว่ายังไม่ทราบ เท่าที่รู้มันไม่น่าจะใช่เรื่องดี

     

    ที่ทำงานของแพ๊ตตี้เองก็ตกอยู่ในความโกลาหล ทุกๆคนที่มีหน้าที่ ถูกเรียกมารวมตัวกันอย่างกะทันหัน ในสภาพที่แต่ละคนยังไม่สร่างจากอาการง่วงนอน เราทุกคนมุ่งตรงไปยังห้องทำงานของแพ๊ตตี้ ที่กำลังนั่งดูรายงานข่าวอย่างจดจ่อ

     

    สิ่งที่ผมเห็นบนจอ มันคือการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ขนาดใหญ่สองครั้งของออชิเดน พวกเขารายงานว่าสิ่งนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วในสมัยโลกเก่า เมื่อโรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์แห่งหนึ่งเกิดระเบิดขึ้น แต่สำหรับการลงมือของออชิเดนในคราวนี้มันรุนแรงกว่ามาก

     

    ซึ่งนั่นหมายความว่า ออชิเดน พยายามอย่างเต็มที่เพื่อกำจัดพวกใต้ดินให้สำเร็จ

                                              

    ควันสีขุ่นรูปดอกเห็ดขนาดใหญ่คือสิ่งที่เราทุกคนมองเห็น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ทำให้หลายๆคนเกิดความวิตกและต้องจับตาดูเป็นพิเศษเพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า จะเกิดผลกระทบอะไรขึ้นมาบ้างหลังปัญหาไวรัสดาวเพิ่งเริ่มคลี่คลายได้ไม่นาน   

     

    ซึ่งแค่เพียงสิ่งที่ผมกำลังฟังอยู่มันก็เป็นเรื่องสยองขวัญที่เกินกว่าจินตนาการของผมจะไปถึง   

     

      80 กิโลเมตรรอบๆรัศมีของการทิ้งระเบิดถูกระบุให้เป็นพื้นที่แห่งความตายในทันที เพราะในบริเวณนั้นจะไม่มีสิ่งมีชีวิตประเภทใดอาศัยอยู่ได้จนกว่าการปนเปื้อนของกัมมันตภาพรังสีจะหมดไป ซึ่งจากในครั้งก่อนๆ การใช้เกิดระเบิดขึ้นหนึ่งครั้งรอบๆรัศมีการทำลายล้าง ณ บริเวณนั้นนอกจากต้นไม้ จะไม่มีสิ่งใดรอดอยู่ได้อีกเลยนานราวสามร้อยปีเป็นอย่างน้อย นอกจากนี้อนุที่ปนเปื้อนที่ลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศ ยังถูกกระแสลมตามธรรมชาติหอบไปไกลหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งจะฆ่าทุกๆชีวิตที่กระแสลม พัดพาฝุ่นแห่งความตายเหล่านั้นไปถึง

                   

    หลังการทิ้งระเบิดพันธมิตรโลกประกาศชัยชนะและถอนกำลังทหารทั้งหมดออกจากพื้นที่ในทันที บาเบลทูเองแม้จะกลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว แต่ผลกระทบจากการโจมตีในครั้งนี้ทำให้ไม่มีทางเลยที่จะฟื้นฟูเมืองกลับมาได้ใหม่ สิ่งที่น่าแปลกที่สุดก็คือไม่มีการรายงานความเสียหายที่เกิดขึ้นจากพวกใต้ดินแม้แต่น้อย มันทำให้ผู้คนเกิดความสงสัยว่าการระเบิดในครั้งนี้พวกใต้ดินถูกทำลายจนสิ้นซากจริงหรือไม่

     

    ความไม่ชัดเจนนั้นสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง แพ๊ตตี้สั่งคนในรวบรวมข้อมูลทั้งหมดและประเภทสิ่งที่จะตามมาในภายหลัง  ความลึกลับของพวกใต้ดินยังคงสร้างความรู้สึกไม่มั่นใจให้เกิดขึ้นแม้กระทั่งในเมืองที่ห่างไกลเช่นที่บ้านของเรา  แม้ออชิเดนจะออกประกาศอย่างเป็นทางการ ว่าสิ่งมีชีวิตที่เราเรียกมันว่าพวกใต้ดินจะไม่มีอยู่แล้วก็ตาม

     

    โลกเริ่มเข้าสู่ภาวะสงบสุขและวิถีชีวิตอย่างที่ควรเป็นของมนุษย์ก็เริ่มดำเนินต่อไป …..อย่างน้อยหลายคนก็เข้าใจว่าอย่างนั้น จนกระทั้งเครือข่ายที่เชื่อมโยงผู้คนทั้งโลกถูกแทรกแซง มันเป็นข้อความจากสถานที่ที่พวกเราหลายคนเชื่อกันว่าได้ถูกทำลายไปแล้วด้วยอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่โลกเคยมี

     

    พวกใต้ดินยังคงอยู่และดูเหมือนอันตรายจากกัมมันตรังสีไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้

     

    มันเป็นข้อความสั้นๆที่บอกกับทุกคนบนโลกว่า การแก้แค้นยังคงไม่จบสิ้น

     

     

    และหลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ผู้นำระดับสูงของเมืองต่างๆ ก็ล้มป่วยลงพร้อมๆกัน อาการที่พวกเขาเป็นมันเป็นแบบเดียวกับผม ที่เคยสูดควันพิษในดินแดนของพวกใต้ดินนั่นเอง 

    สิ่งที่น่ากลัวของเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่คันพิษที่ใช้ลอบสังหาร แต่เป็นวิธีการที่พวกใต้ดินเอามาใช้ เพราะแม้จะมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดีสำหรับการดูแลผู้นำระดับสูง แต่การเตรียมพร้อมเหล่านั้นกลับไม่สามารถปกป้องชีวิตของใครเอาไว้ได้แม้แต่น้อย

     

    ไม่กี่วันหลังจากนั้น แขกจากออชิเดนก็เดินทางมาถึงบ้านของผมอีกครั้ง

       

    เขาเรียกตัวเองว่า เท็ดดี้ เป็นคนที่ผมไม่รู้จัก แต่ไอ้แพ๊ตตี้มันพาเขามาหาผมด้วยตัวเอง เจอกันครั้งแรกเราไม่แฮนเช็คกันเหมือนการทักทายอย่างเป็นทางการของฝรั่ง แต่หมอนั่นโดดเข้ามากอดดื้อๆเล่นเอาผมทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว เท็ดดี้แนะนำตัวเองว่าเป็นคนที่สังกัดอยู่ในหน่วยงานเดียวกันกับมิเรียม แต่การติดต่อผมในครั้งนี้มิเรียมไม่ได้มีส่วนรู้เห็น คนที่สั่งให้เขามาคือเจ้าหน้าที่ในตำแหน่งที่สูงกว่าซึ่งเป็นคนบังคับบัญชามิเรียมโดยตรง นอกจากนี้พี่แกยังเล่าประวัติของผมให้แพ๊ตตี้กับแม่ฟัง และนั่นทำให้พวกเขาตกใจมาก เพราะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้จากปากของผมมาก่อน

     

    มันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะให้เขาพูด ผมไม่ต้องการให้สิ่งที่ผมเคยทำ เพราะมันจะสร้างความกังวลให้กับแม่ ผมจึงหยุดคำพูดของเขาด้วยคำถามสำคัญ

     

    “ คุณมาหาผมทำไม”

     

    มันได้ผล ชายชื่อเท็ดดี้หยุดปากในเรื่องไร้สาระและหันมองผมด้วยสายตาที่จริงจัง

     

    “ พวกเราจัดการกับพวกใต้ดินไม่ได้ ระเบิดที่เราใช้ทั้งสองลูก มันทำงานก่อนถึงพื้นที่สำคัญที่เราต้องการ ดังนั้นพวกใต้ดินจึงยังอยู่ แล้วก็อย่างที่คุณเห็นมันกำลังฆ่าบุคคลสำคัญของทุกๆเมืองบนโลก"

    " แล้วพวกคุณอยากให้ผมทำอะไร ”

     

    เท็ดดี้นิ่งเงียบ

     

    ……เราอยากให้คุณกลับไปที่บาเบลทู ลงไปยังสถานที่ที่พวกมันอาศัยอยู่ หยุดพวกมันถ้าคุณทำได้ ”

    “ ผมจะทำยังไงล่ะ? ก็ในเมื่อ รัศมี 80 กิโลเมตรในบริเวณนั้นเต็มไปด้วยรังสี แค่หายใจเอาพิษพวกนั้นเข้าปอดไม่ถึงนาทีผมก็ต้องตาย คุณหวังอะไรกับเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่หรือเปล่า “

    “ เรารู้คุณอิน แต่คุณเป็นทางเลือกเดียวที่เราเหลืออยู่ในตอนนี้”

    “ ถ้าคุณเป็นผม คุณจะทำในเรื่องที่คุณกำลังขอร้องผมอยู่หรือ  ทั้งๆที่รู้ว่า การไปที่นั่นมันไม่มีทางเลยที่จะรอดกลับมา”

    “ ถ้าผมเป็นคุณผมไม่ลังเลเลยที่จะทำ  พวกเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้างถ้าพวกใต้ดินแข็งแกร่งมากไปกว่านี้”

    “ แล้วถ้างั้นทำไมคุณไม่ไปทำซะเองล่ะ  มาหาผมทำไม”

    “ หลายอาทิตย์มานี่เราได้ลองแล้วทุกอย่าง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่พวกเราจะบุกไปที่นั่นได้ไกลอย่างที่คุณเคยทำ ทั้งหุ่นยนต์และกลุ่มคนที่พร้อมจะเสี่ยง เราทำทุกอย่างแล้ว  ผมถึงถูกส่งมาพบกับคุณที่นี่เพื่อขอร้อง ไม่ใช่แค่กับพวกเราเองแต่เป็นเดิมพันที่จะชี้ชะตาของทุกชีวิตบนโลก ”

    “ คุณมาฝากความหวังอะไรขนาดนั้นกับคนพเนจรอย่างผมกันวะ”

    “ เปล่าพวกเราไม่ได้ฝากความหวังกับคนพเนจร แต่เรากำลังร้องขอโอกาสกับชายที่มีความสามารถในการเอาตัวรอดต่างหาก  ถ้าคุณไม่รับคำขอของเราความหวังของทุกคนก็ยิ่งเหลือน้อย ตอนนี้เรารู้กันดีว่า ผู้นำสูงสุดในแต่ละทวีปกำลังจะตาย มันอาจไม่แย่นัก เพราะการหาผู้นำคนใหม่คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ แต่เราก็ไม่มีทางรู้เลยว่าหายนะที่เคยเกิดขึ้นกับบาเบลทูจะเกิดขึ้นกับพวกเราเมื่อไหร่  คุณอาจจะไม่รู้สึกอะไรถ้าเรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นกับเมืองของผม แต่ถ้าเป็นที่นี่ล่ะ….

     

     

     

    แน่นอนว่าผมลังเล เพราะผมรู้ดีว่า การไปในคราวนี้ โอกาสที่จะรอดตายกลับมา คือสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้น แต่เมื่อหลับตาและถึงภาพของความพังพินาศที่เกิดขึ้นกับบาเบลทูในครั้งก่อน ผมก็ตอบกับตัวเองอย่างไม่ลังเลว่า นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่ต้องการเห็นมันอีก ผมไม่ได้นึกถึงคนอื่นทั้งโลกอย่างที่วีรบุรุษทั่วไปนึกถึง ผมนึกถึงเพียงแค่คนที่อยู่รอบตัวของผมที่นี่โดยเฉพาะ แม่กับพ่อ

     

     

    มันเป็นสิ่งเลวร้ายที่ผมเห็นด้วยตาตัวเอง และไม่ต้องการให้มันเกิดซ้ำ

     

     

    ผมมองหน้าแพ๊ตตี้และแม่ที่เต็มไปด้วยความกังวลก่อนหันกลับไปมองเท็ดดี้ อย่างไม่มีทางเลือกอื่น

     

    “ เราจะไปกันเมื่อไหร่”

     

    เมื่อผมพูดจบแม่ของผมหวีดร้องอย่างไม่เป็นภาษา ทุกคนตรงนั้นตกใจกับสิ่งที่แม่ทำ แต่ครู่เดียวแม่ก็หมดสติไปอย่างรวดเร็ว

     

     

    มันไม่มีการล่ำลา หลังจากรับปากเท็ดดี้ รถของออชิเดนก็วิ่งเข้ามาจอดที่บ้านของผมในทันที ไอ้แพ๊ตตี้ตัวสั่น ผมมองไม่ออกว่ามันรู้สึกแบบไหน ผมเดินตามเท็ดดี้ออกจากบ้านของแม่ทันทีในตอนนั้น มีเสียงตะโกนไล่หลังแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมานานจากเพื่อนของผม

     

    “ ไอ้อินกูรู้ว่ามึงจะรอดกลับมา กูจะทำทุกอย่างให้มึงรอดกลับมามึงได้ยินกูไหม!

     

    ผมได้แต่ยิ้ม อารมณ์ของผมไม่ต่างจากนักโทษที่ถูกลากไปประหาร น่าแปลกที่ผมสงบนิ่งได้อย่างประหลาดทั้งๆที่รู้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้ ผมคงต้องตายเพราะอะไรซักอย่างที่นั่น แต่ผมกลับพร้อมที่จะเจอเรื่องพวกนั้น แม้โอกาสที่จะทำในสิ่งที่ออชิเดนขอร้องให้สำเร็จมันแทบจะเป็นไปไม่ได้

     

     

    คนของออชิเดนที่มารอรับ แสดงความเคารพในแบบที่ทหารทำ หลายคนตัวสั่นผิดวิสัยที่ทหารควรเป็น แต่ผมรับรู้ได้ว่าพวกเขาซาบซึ้งในการตัดสินใจที่ผมเลือก และแสดงวิธีให้เกียรติอย่างสูงสุดในแบบที่พวกเข้ารู้จัก

     

     

    ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งตัวแทบไม่ทัน

     

     

    ผมรู้ตัวอีกครั้งก็นั่งอยู่บนเครื่องบินล่าสุดของออชิเดนเรียบร้อย

     

     

     

    เครื่องบินลำนั้นพาผมกลับมาที่เรือลำยักษ์ซึงเป็นบัญชาการลอยน้ำของออชิเดน ทหารทั้งเรือโห่ร้องอย่างและตบมืออย่างยินดีเมื่อผมเดินลงจากนกเหล็กที่พามาส่ง ถูกสายตาจับจ้องมาที่ผมราวกับเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่พวกเขาให้ความเคารพ แต่สิ่งที่คนพวกนั้นแสดงออกกลับไม่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นแต่อย่างใด เพราะในอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้เราทุกคนรู้ดีว่าอะไรจะเกินขึ้นกับผม

     

    เท็ดดี้พาผมไปหาผู้บัญชาการเรืออย่างเร่งด่วน ตามทางเดินเดิมๆที่ครั้งหนึ่งผมเคยเดินผ่าน

     

    มีเรียมที่ผมไม่เจอเธอมานานยืนขวางทางพวกเราอยู่สีหน้าเธอไม่ดีเอาเลย คราบน้ำตาที่ไม่ได้เช็ดและเบ้าตาที่บวมโตบอกให้รู้ว่าเธอร้องไห้ติดต่อกันอย่างยาวนาน เธอวิ่งเขามากอดผมแน่น ร่างของเธอสั่นสะท้าน เสียงพูดของเธอเต็มไปด้วยอาการสะอื้นและสั่นเครือ

     

    “ ฉันอยากให้คุณมาก่อนหน้านี้ ไม่ใช้ตอนนี้ ” นั่นคือประโยคที่เธอพูดกับผมพร้อมกับน้ำตาจำนวนมากที่ทำให้ไหล่ของผมเปียก ผมลูบหลังและศีรษะของของอย่างปลอบโยน แต่ไม่ได้ช่วยให้เธอเงียบลง  ทหารหลายคนพยายามจะดึงเธอออกจากตัวผม แต่มิเรียมไม่ยอม ผมยกมือขึ้นและขอร้องให้พวกเขาถอยออกไป เพื่อให้มีเรียมได้กอดผมเอาไว้จนกว่าที่เธอจะพอใจ

     

      การแสดงออกของมิเรียม ทำให้ทุกคนตรงนั้นเกิดความรู้สึกร่วม แต่ด้วยชุดที่พวกเขาสวมใส่มันจำเป็นที่จะต้องข่มความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้

     

    นานพอดูสำหรับความเศร้าโศกที่เธอออก แต่ในที่สุดเธอก็ปล่อยผมจากอ้อมกอด

     

    “ คุณใช่มิเรียมจริงๆรึเปล่า ผมไม่เคยรู้จักมิเรียมที่งอแงแบบนี้นะ” ผมปลอบเธอด้วยรอยยิ้ม

     

    เธอยืนอยู่ตรงนั้นและก้มหน้านิ่ง  ผมตบไหล่เธอเบาๆ อีกครั้งเพื่อให้เธอรู้สึกดีขึ้น

     

    “ อย่างน้อยผมก็รู้ว่าคุณจะหาทางให้ผมกลับมาได้  ใช่ไหม ?

    มิเรียมพยักหน้ารับโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองผม “ ฉันจะทำให้คุณรอดกลับมา ” มิเรียมพูดและสบตาผมอีกครั้งก็จะเริ่มร้องไห้อีกหน

     

    เท็ดดี้สะกิดให้ผมเดินต่อ แม้ไม่อยากจะทำ “ ไปเถอะผู้บัญชาการรอเราอยู่”

     

    มิเรียมยังคงร้องไห้อยู่ตรงนั้น ผมจำเป็นต้องทิ้งเธอเอาไว้และเดินออกมา มันรู้สึกดีที่ได้รับรู้ถึงความห่วงใยที่เธอมอบให้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ภารกิจที่ผมต้องทำ ถูกล้มเลิก สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ งานนี้แม้แต่มิเรียมเองก็รู้ ว่าผมไม่มีทางจะรอดตายกลับมา ไม่ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม

     

    โถงทางเดินแคบๆที่น่าอึดอัด มันคือสิ่งที่นำผมไปยังภารกิจที่คล้ายการเดินเข้าสู่ลานประหาร  แต่ในครั้งนี้มันไม่ได้มีความรู้สึกใดๆเข้ามาเจือปน เท้าของผมยังคงออกเดินอย่างสม่ำเสมอและมั่นคง เสียงร้องไห้ของมิเรียมค่อยห่างออกไป สิ่งที่เขามาแทนคือเสียงเครื่องจักรบนเรือที่ดังสนั่นและไร้ซึ่งชีวิตชีวา

     

    ไม่มีใครปริปากพูดอะไรกันอีก

     

     

    ผมมาถึงก้องบัญชาการของเรือแต่กลับพบว่า ผู้บัญชาการสูงสุดไม่ใช่คนเดิมที่ผมเคยพบ เขาเดินเข้ามาเช็คแฮนด์และสวมกอดอย่างเป็นมิตร

     

    “ ดีใจที่คุณยอมกลับมา คุณอิน”

    ผมยิ้มให้ผู้บังคับบัญชาคนใหม่โดยไม่ได้ทักทายตอบ เพราะสิ่งที่ผมคิดอยู่ในตอนนี้มันไม่น่าจะเป็นสิ่งที่พวกเขาอยากฟัง แต่อย่างไรก็ตาม ผมต้องทำงานให้กับพวกเขาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ดังนั้นการไม่ทำให้เกิดความรู้สึกขุ่นเคืองระหว่างเรา น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า

     

     “ อย่าเสียเวลาอยู่เลยท่านนายพล  ผมอยากรู้ว่าท่านมีแผนจะให้ผมทำอะไร เล่าแผนของท่านมาเถอะ”

     

    เขานิ่งเงียบและมีสีหน้าที่อึดอัด ราวกับต้องการหาคำพูดที่ดีที่สุดเพื่อที่จะบอกกับผม มันเป็นสิ่งที่มากเกินความจำเป็น แต่ผมไม่ได้คาดคั้นอะไรจากชายคนนั้น ผมยอมให้เขาคิดคำพูดและพยายามผ่อนคลายท่าที แม้จะรู้ว่าหลังจากนี้อีกไม่นาน สิ่งที่ผมต้องทำ มันคือความตายที่ไม่อาจหลบหนี


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×