คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #152 : "บ้าน" สวรรค์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ
ในที่สุดผมกลับถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย...
การเดินทางจากท่าเรือกลับถึงบ้านใช้เวลาราวๆ สองคืนกับระยะทางพันกว่ากิโลเมตร
มันไม่มีเรื่องราวอะไรตื่นเต้นเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนความน่ากลัวของพวกกินคนจะจบลงเมื่อคิวบ์ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในดินแดนแถบนี้
ถ้าจะมีอะไรทำให้ผมประหลาดใจได้มาก
เห็นจะเป็นเรื่องระบบการจัดการและการเปลี่ยนแปลงของเมืองที่โตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผมพบว่าที่บ้านของเรา
พวกชีวิตที่สอง สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้อย่างไม่ผิดปกติ
นั่นรวมถึงพวกเหนือมนุษย์ สิ่งที่ทำให้พวกเขาแปลกแยกออกไปจากคนธรรมดาคือ กำไลคอ
หรือแหวน
ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คนเหล่านั้นสามารถใช้ชีวิตได้ถึงแม้คิวบ์จะถูกเปิดใช้งานตลอดเวลา
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดี
ที่มีไมได้เห็นจากเมืองไหนๆมาก่อน
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น
ไอ้นิสัยแย่ๆของคนบ้านเรา ที่ไม่ชอบทำอะไรตามกฎระเบียบของสังคมก็ยังมีให้เห็นเป็นเรื่องปกติ
ผมยังได้ยินเสียงคนด่าทอกันอย่างดุเดือดเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มกับสิ่งที่เห็น
นั่นเพราะมันหมายความว่าผมได้กลับมาถึงบ้านแล้วจริงๆ หลังจากที่ต้องห่างไปนาน
เรื่องประหลาดใจยังมีเข้ามาไม่จบ
แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกังวล
เพราะเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงพวกนั้นส่วนใหญ่มีแต่เรื่องดีๆ อาจมีบ้าง ที่เป็นเรื่องเศร้า
แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราต้องพบ ในกรณีที่จากบ้านไปไกลเป็นเวลานาน
เรื่องเศร้าเรื่องเดียวที่ผมได้ยินเมื่อกลับมาถึงก็คือ การจากไปของตาปาล์ม
แม่บอกกับผมว่าสัญญาณชีพของแกหายไปเมื่อหลายเดือนก่อน
และหลังจากวันที่นั้นแม่ก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆจากตาปาล์มอีกเลย
เพราะการที่แกอาศัยอยู่ตามลำพังบนเกาะ
ความช่วยเหลือจากแม่หรือคนอื่นๆจึงเข้าไปไม่ถึง
นอกจากเรื่องนี้แล้วเรื่องอื่นๆล้วนเป็นข่าวดี
บ้านของแม่
อยู่ไกลจากชุมชนเพราะพ่อของผมเป็นพวกชีวิตที่สอง
เดิมมันเป็นอาคารร้าง ที่มีคนอาศัยอยู่รวมกันสามครอบครัว
ตอนนี้กลายเป็นชุมชนขนาดหลายร้อยหลังคาเรือน
มันทำให้ผมกลายเป็นคนแปลกหน้าในพื้นที่ที่ผมอยู่มาตั้งแต่เด็กๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
เพราะพวกเขาไม่ได้มองคนต่างถิ่นในแง่ลบ หรือแสดงความก้าวร้าวใดๆออกมา
ปัญหาเกิดขึ้นเล็กน้อยเมื่อผมไม่สามารถเข้าบ้านได้
ดูเหมือนว่าที่ที่แม่ของผมอาศัยอยู่จะกลายเป็นที่พักของบุคคลสำคัญของชุมชนไปแล้ว ผมพยายามจะขอเข้าไปด้านในแต่พวกเขาปฏิเสธ
มันเป็นความขึงขังครั้งแรกที่ดูไม่ปกติ ผมพยายามถามว่าคนที่อยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกพวกเขาย้ายไปอยู่กันที่ไหน
แต่คำตอบคือ พวกเขายังอยู่ที่นี่
ดังนั้นผมจึงขอให้พวกเขาตามแม่ของผมมา
แต่คนพวกนั้นไม่ยอม หนึ่งในคนที่ขวางทางผมเอาไว้ ถามว่าผมเป็นอะไรกับแม่
พอผมตอบว่าเป็นลูกชาย พวกเขาไม่ยอมเชื่อ โชคดีที่แม่ของผมเดินผ่านมาพบ
คนกลุ่มนั้นจึงได้ยอมหลีกทางให้
สิ่งที่เกิดขึ้น
เป็นเพราะคำสั่งของพันธมิตรโลก
หลังจากที่บรรณารักษ์บางคนขโมยหุ่นยนต์รบลงไปยังฐานของพวกใต้ดิน
ความจริงแล้วแม่ต้องโดนจับ แต่เพราะบรรณารักษ์อย่างแม่ใช้ความรู้ที่มี
ช่วยเหลือคนอื่นๆ ดังนั้น คนในพื้นที่จึงไม่มีใครต้องการให้แม่โดนจับ นอกจากนี้กลุ่มผู้ปกครองเอง
ก็ไม่มีใครอยากทำตามคำสั่งของคณะพันธมิตรโลก
แต่เพราะไม่ต้องการเป็นศัตรูหรือเกิดปัญหากับคนส่วนใหญ่โดยตรง
ดังนั้นทางออกจึงเป็นการขอร้องให้แม่อยู่แต่ภายในพื้นที่และมีผู้ดูแลความปลอดภัยคุ้มครองตลอดเวลา
นี่คือเรื่องตื่นเต้นเรื่องแรก
...... แม่ของผมเป็นคนที่มีความสำคัญต่อชุมชนนี้ไปแล้ว
แต่ที่สุดของเรื่องประหลาด
ที่ผมไม่คิดไม่ฝันว่ามันจะเกิดขึ้น มันไม่จบแค่นั้น
....ผมได้รู้จากปากของแม่ว่าการที่เมืองของเราโตขึ้นและการใช้ชีวิตร่วมกันได้
ทั้งกับพวกเหนือมนุษย์และพวกชีวิตที่สอง นั้นส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากฝีมือ ไอ้พี
หรือคุณแพ๊ตตี้ เพื่อนที่ครั้งหนึ่งเคยแปลงโฉมให้ผมกลายเป็นสาว
ที่ตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลของเมืองแถมยังมีตำแหน่งสูงที่ไม่มีใครกล้าไปซ่าด้วย
เพ๊ตตี้กลายร่างเป็นตุ๊ดผู้ทรงอิทธิฤทธิ์....การที่ชุมชนแห่งนี้ สามารถเอาความรู้ของ
เหล่าบรรณารักษ์ มาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นั่นก็เพราะทุนและความช่วยเหลือของมันเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
ผมถามแม่ว่าทำไมชีวิตไอ้คุณแพ๊ตตี้มันถึงไปได้ไกลขนาดนั้น
ทั้งๆที่ตัวมันเอง นอกจากรักสวยรักงามแล้ว ก็ไม่เห็นจะเคยให้ความสนใจกับเรื่องอะไรอย่างอื่น
แม่บอกว่าแพ๊ตตี้เองมันก็ไม่ได้คิดว่าตัวมันจะได้ไปยืนในที่ตรงนั้นด้วยซ้ำ
มันเริ่มตรงที่เป็นช่างแต่งหน้าให้เจ้าสาวในงานแต่งงานงานหนึ่ง
เจ้าสาวที่มันแต่งหน้าให้ชอบในฝีมือ
แล้วก็มีการบอกกันต่อไปเรื่อยๆในหมู่สาวๆจนในที่สุดมันก็มีลูกค้าประจำที่ติดใจหลายคน
หนึ่งในนั้นมีเมียน้อยของผู้ปกครองเมืองคนเก่ารวมอยู่ด้วย นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ธุรกิจของมันโตขึ้นรวมถึงการมีคอนเน็คชั่นกับคนระดับสูง
และเพียงไม่นานหลังจากนั้น
แพ๊ตตี้ก็ได้รับการสนับสนุนให้เป็นหนึ่งในสมาชิกของสภาเมือง ซึ่งไฮไลน์ของเรื่องที่มันทำ
คือการทำให้คนธรรมดายอมรับพวกชีวิตที่สองและกลุ่มคนเหนือมนุษย์และสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่รู้สึกแตกต่างหรือแปลกแยก
เนื่องจากไอ้แพ๊ตตี้เป็นตุ๊ดที่อ่อนโยน
ดังนั้นมันจึงไม่เห็นด้วยกับการขับไสไล่ส่ง มนุษย์ที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆในสังคม
ผมคิดว่าบางทีสิ่งที่มันเป็น
ทำให้เข้าใจถึงความรู้สึกของมนุษย์ที่แปลกออกไปจากคนอื่น
บางทีคนที่มีประสบการณ์และเข้าใจการถูกเหยียดโดยสังคมมากที่สุดก็คงเป็นตัวมันนั่นแหละ
ไอ้แพ๊ตตี้กลายเป็นกระเทยที่โคตรเท่
เพราะมันสามารถเอาสิ่งที่เคยเป็นปัญหาในชีวิตของมัน มาช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตให้กับคนอีกจำนวนมาก ผมคิดว่าตัวไอ้คุณแพ๊ตตี้เอง มันเองก็คงไม่รู้
ว่าแต่ในขณะนี้มันได้ทำเรื่องบางอย่างที่ยิ่งใหญ่มากกว่าที่ตัวมันเองจะคิดถึงไปเรียบร้อยแล้ว
การโน้มน้าวให้ใครคนหนึ่งเปลี่ยนความคิดเดิมๆมันไม่เคยเป็นเรื่องง่าย
แต่ถ้ามีใครซักคนที่สามารถชักจูงคนจำนวนมากให้เชื่อและมองไปในทิศทางเดียวกัน
สำหรับผมมันคือ เรื่องมหัศจรรย์ และนั่นคือสิ่งที่แพ๊ตตี้ทำ
วูบหนึ่ง
ผมรู้สึกเหมือนชีวิตที่ผ่านมาเป็นเรื่องไร้สาระเมื่อเทียบกับการเติบโตของเพื่อนในวัยเด็ก
แต่เมื่อรู้สึกตัว ผมก็สลัดความรู้สึกนั้นออกไปจากความคิดอย่างรวดเร็ว
เพราะรู้ดีว่า ทางเดินในชีวิตของแต่ละคนล้วนมีจังหวะและวิถีทางในตัวมันเอง
ไม่มีใครดีหรือแย่กว่า และหากจะต้องคิดอะไรให้ปวดหัว
สิ่งที่ควรต้องคิดคือจะทำอย่างไร เพื่อให้ชีวิตของตัวเราเองดีขึ้น ด้วยสติ และความรอบคอบ
.....
สามเดือนต่อมา ผมหวนกลับไปทำอาชีพเดิม
เนื่องจากทนทานต่อความรักที่ไม่อ่อนโยนของแม่ไม่ไหว
แม้ผมพยายามจะทำนิ่งและหาอะไรทำเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ๆแม่ให้สมกับที่ไม่ได้เจอกันนาน
แต่ผ่านไปไม่กี่อาทิตย์ ก็กลายเป็นว่าแม่รู้สึกรำคาญที่มีผมอยู่ในบ้าน
ผมอดรนทนไม่ไหวถึงกับต้องถามเอากับพ่อว่า พ่อทนฟังแม่บ่นอยู่ได้ยังไงเป็นสิบปี
พ่อได้แต่หัวเราะและบอกกับผมว่า การที่แม่ยังอาละวาดได้แสดงว่าแม่ยังแข็งแรงดี
การทนฟังแม่บ่นมันคือความสุขของพ่ออย่างหนึ่ง
เพราะถ้าแม่ยังบ่นได้นั่นแสดงว่าแม่จะยังอยู่กับพ่อไปได้อีกนาน
ผมได้แต่อึ้ง
ความรักของพ่อมันเป็นความโรแมนติคที่ฟังดูโรคจิตไม่น้อยเลยทีเดียว
ซึ่งนั่นเป็นอีกครั้งที่ผมต้องออกจากบ้าน
ซึ่งในคราวนี้มันเป็นไปเพื่อการใช้ชีวิต
และคิดว่าผมคงไม่ต้องพบกับเรื่องยุ่งยากใดๆอีก แต่ความจริงก็ไม่ใช่อย่างนั้น
การขับรถขนส่งสินค้าไปมาระหว่างเมืองไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสี่ยงอันตรายอีกต่อไป ในระหว่างที่ผมไม่อยู่
เริ่มมีกลุ่มคนหน้าใหม่จัดตั้งรูปแบบการทำงานในระบบเครือข่ายและจนกลายเป็นองค์กรที่มั่นคง พวกคนที่เคยทำอาชีพเช่นเดียวกับผม เจอกับปัญหาการถูกแย่งงาน ตัดราคา
ไม่มีใครสามารถสร้างรายได้จากการเป็นคนส่งของได้มากเท่าเดิม ผมยังทนทำงานที่คุ้นเคยอยู่อีกพักหนึ่ง
โดยการไปขอสมัครเป็นคนขับรถ แต่จบสุดท้ายมาได้งานในบริษัทที่จ่ายค่าแรงต่ำ
เพราะบริษัทดีๆ รู้สึกไม่ปลอดภัยกับประวัติชีวิตของผม
ความจริงข้อหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ
ไม่ว่าเราจะอยู่ในสังคมแบบไหนมันก็ยังมีความลำบาก
เพียงแต่มันจะอยู่ในรูปแบบที่ต่างกันออกไป
ผมแค่ต้องพยายามปรับตัวเพื่อมีชีวิตให้รอดเหมือนกับทุกๆครั้ง
สำหรับสงครามระหว่างพันธมิตรโลกและพวกใต้ดินเริ่มอยู่ในสถานการณ์ที่ทรงตัว
แต่ก็เป็นอย่างที่คิด เพราะกลุ่มพันธมิตรเองที่กลายเป็นฝ่ายมีปัญหา
เพราะในเมืองใหญ่ๆ เริ่มมีการสู้รบกันเองจากปัญหาความอดอยาก
สำหรับที่บ้านของเราปัญหาของสงครามมาในรูปแบบของผู้ลี้ภัย
พวกคนมาอยู่ใหม่รวมกลุ่มกันและสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในท้องถิ่น
แม้ที่นี่จะยังไม่รุนแรง แต่ไม่ใช้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย
เค้าลางของปัญหายังปรากฏให้เห็นแม้ตอนนี้จะยังไม่ใช่สิ่งที่น่าวิตกกังวล
แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรละเลยหรือมองข้าม
อย่างไรก็ตาม
ปัญหาเหล่านั้นผมไม่คิดว่าต้องเองจะต้องเข้าไปยุ่ง
เรื่องทั้งหมดมีคนดูแลเพื่อแก้ปัญหาอยู่แล้ว
สิ่งที่ผมต้องทำคือการดูแลตัวเองให้มีชีวิตอยู่ต่อไป
จนกระทั่งหลายอาทิตย์ต่อมา
คลื่นมนุษย์ที่อพยพหนีตายมาจากทวีปหลักมีจำนวนที่มากขึ้นอย่างน่าตกใจ
มีเสียงลือกันว่า การระบาดครั้งที่สองกลับมาอีกครั้ง ในบริเวณรอยต่อระหว่างยูโรปา
ลามเข้ามายังกลางทวีปอย่างรวดเร็ว หลายๆเมืองใหญ่ในทวีปต่างๆเริ่มถอนกำลังกลับไป
ในขณะที่ทวีปออชิเดนยังคงไม่ยอมถอยหลัง
สำหรับเมืองของผม
กลุ่มผู้อพยพหนีตายกันมาจากบ้านของตัวเอง
เดินฝ่าความมืดโดยไม่มีคิวบ์เป็นระยะทางไกล
เมื่อมาถึงที่นี่ผู้อพยพจะถูกกักตัวเอาไว้ในศูนย์กักกัน
โดยไม่สามารถเข้ามาปะปนกับคนอื่นๆในเมืองได้ ใครที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคระบาด
ผู้ดูแลเมืองจำเป็นต้องฆ่าทิ้งและเผาร่างของพวกเขา
เพื่อไม่ให้การติดเชื้อลุกลามเข้ามาถึงตัวเมืองชั้นใน
สิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตทั้งหมดมีไม่เพียงพอ สุขอนามัยเริ่มมีปัญหา จนกระทั่งผู้อพยพเริ่มประท้วง เสียงปืนก็เริ่มดังขึ้น เริ่มมีการผลักดันคนพวกนั้นกลับไปตายยังพื้นที่ของตัวเอง เราทุกคนทราบดีถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็รู้เช่นกันว่าเพราะอะไรเรื่องราวสะเทือนใจเหล่านี้ถึงมีให้เห็น
ในที่สุดค่ายกักกันผู้อพยพก็เปลี่ยนเป็นกำแพงสูง
บนกำแพงมีปืนกลนับสิบกระบอกติดตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ
และมีข้อความขนาดใหญ่เขียนเอาไว้ว่า “ เราขอโทษที่ช่วยเหลือพวกคุณไม่ได้ ”
กลางดึกในคืนหนึ่ง ผมกำลังเดินทางกลับที่พัก
หลังจากงานประจำเสร็จสิ้นไปไม่กี่นาทีก่อน
แต่ผมกลับพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ตามลำพังบนถนนสายเปลี่ยวที่มืดมิด
ใครบางคนขับรถด้วยความเร็วสูงไล่ตามผมมาติดๆ ผมกระพริบไฟรถเพื่อให้เขาแซงผ่านไป
แต่สิ่งที่เขาทำคือขับตีคู่ขนานและบอกให้ผมจอดรถที่ข้างทาง
รถคันนั้นเป็นรถส่วนตัวของคนมีฐานะดี
ชายสองคนที่ลงมาจากรถก็เป็นเจ้าหน้าที่ของเมือง
แต่สิ่งที่แปลกสำหรับผมคือผู้หญิงที่มาด้วย ดูเธอเป็นคนสวยแต่งตัวแพง
ซึ่งมันค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลที่จะมาโบกให้ผมจอดรถในที่มืดๆเปลี่ยวๆแบบนี้
“ คุณอินใช่ไหมค่ะ”
เธอถามผมอย่างสุภาพ แต่สีหน้าของเธอนั้นผมรู้สึกได้ว่าเธอฝืนทำ
“ ใช่ครับผม
มีอะไรให้ผมช่วยเหลือรึเปล่าครับ ” ผมพยักหน้าตอบกลับ
“ เปล่า
พอดีว่ามีใครบางคนต้องการให้คุณไปพบ คุณจะไปกับเราได้ไหมค่ะ ”
“
ไม่ดีกว่าครับ ตอนนี้ผมไม่สะดวก มีหลายอย่างที่ต้องทำครับ ”
“
เอาแบบนี้ดีไหมค่ะ เดียว เบล จะให้พี่ๆเขาจัดการเรื่องที่คุณต้องทำให้
เพราะเรื่องทางนี้สำคัญมากจริงๆ “
“.....ใครอยากเจอผมครับ
แล้วสรุปว่าเรื่องสำคัญของคุณมันคืออะไร ” ผมถามผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าเบล
เมื่อเจอคำถามนี่เธอกลับอึกอัก
“ การพูดถึงเธอในตอนนี้มันจะเป็นปัญหากับตัวเธอทีหลังค่ะ
เบลอยากให้คุณอินไปพบเธอก่อน รับรองว่าจะเป็นเรื่องดีๆระหว่างคุณและเธอค่ะ”
“
ผมไม่เคยรู้จักผู้หญิงใหญ่โตที่ไหนนะครับ....ว่าแต่ เธอเป็นคนในเมืองนี้รึเปล่า ”
“ ใช่ค่ะ”
“
บอกไม่ได้เลยหรอว่าเธอเป็นใคร ”
“ เอาไว้คุยกันในรถดีกว่านะค่ะ
” หญิงสาวตัดบทก่อนเชิญผมให้ขึ้นไปบนรถ
“
เดี๋ยวแล้วรถผมล่ะ ”
“
ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวจะมีคนเอาไปส่งให้ถึงที่ แล้วก็ไม่ต้องกังวล
มันจะไม่มีผลกับงานของคุณอินแน่นอนค่ะ ”
ผมเดินตามเธอเข้าไปในรถ
ในขณะที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเสียเวลาชั่วครู่เพื่อติดกับใครซักคน
ก่อนจะวิ่งตามมาทีหลัง เมื่อรถขับไปครู่หนึ่ง
แอร์รถก็ถูกปิดและกระจกรถก็ถูกเปิดออกทุกบาน
“
คุณเบลครับผมบอกคุณแล้วนะว่าวันนี้ผมไม่สะดวก ” ผมมองพวกเขาอย่างรู้สึกผิด
“
คุณอินค่ะถ้าคุณอินไม่ว่าอะไร เดี๋ยวเบลจะพาคุณอินไปอาบน้ำแล้วก็หาเสื้อผ้าใหม่ๆให้คุณอินเปลี่ยนก่อนดีกว่าค่ะ
”
“ ขอโทษสำหรับ
มลภาวะทางลมหายใจครับ เนี้ยตั้งแต่เริ่มทำงานจนเสร็จงาน
ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลยสามสี่วันเข้าไปแล้ว ”
“
เข้าใจค่ะแต่เบลว่าคุณอินไปพบเธอสภาพนี้ คงไม่ดีแน่ๆ ”
“
จัดการไปตามเหมาะสมแล้วกันคุณ ” ผมบอกกับเธอ
พริบตานั้น
รถที่วิ่งด้วยความเร็วสูง กลับเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นได้อีก
ผมพยายามเข้าข้างตัวเองว่าคนที่รอผมอยู่คงมีเรื่องอะไรที่สำคัญมาก
......ทั้งๆที่จริงแล้ว พวกเขาอาจแค่ทนกับกลิ่นตัวของผมไม่ไหว
รถคันนั้นพาผมแล่นฝ่าความมืดอย่างเร่งด่วน
เพียงครู่หนึ่งพวกเขาก็ส่งผมที่แมนชั่นหรู
คุณเบลบอกกับผมให้ตามเธอไปก่อนจะเดินลิ่วๆไม่เหลียวหลัง
เราทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของพนักงานที่นั่น มันดูปกติเสียเมื่อไหร่
ที่ผู้หญิงดูดีมีตระกูลจะพินอบพิเทากุ๊ยสกปรก แถมยังเดินมาด้วยกันอีกต่างหาก
พวกเรามาถึงชั้นบนสุดของอาคารในส่วนที่สงวนไว้สำหรับแขกพิเศษ
ผมถูกนำไปยังห้องพักห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยหลอดไฟหลากสี
และมีการออกแบบตกแต่งที่เกินไปกว่าเพียงที่พักทั่วไป
“ คุณอินค่ะ
ห้องน้ำอยู่ทางนี้นะค่ะ เดี๋ยวอีก 15 นาที เบลจะเอาชุดมาเปลี่ยน ”
เธอพูดจบก็รีบเดินออกจากห้องราวกับว่าเมืองทั้งเมืองจะถูกพวกกินคนบุกถล่มในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
ผมจับได้ถึงความกระวนกรวายของเธอ แม้ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
ห้องน้ำที่ผมมีโอกาสได้ใช้มันเป็นห้องน้ำที่หรูหรา
อาจดีกว่าเมื่อครั้งที่ผมเคยอยู่ในเขตผู้อพยพของบาเบลทูด้วยซ้ำ
ถึงแม้รู้ดีว่าความเพลิดเพลินไม่ใช่อะไรที่ควรยึดติด
แต่น้ำอุ่นๆหลังจากที่ทำงานหนักมาอย่างยาวนานมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผม
รู้สึกผ่อนคลายอย่างช่วยไม่ได้
แต่แล้วเสียงเคาะประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น
“ ครับ? ”
“ ขอโทษค่ะ
คุณเบลให้หนูเอานี่มาให้ค่ะ“
“ อะไรครับผม ”
“
น้ำยาฆ่าเชื้อกับน้ำยาระงับกลิ่นตัวค่ะ!
”
“
....ขอบคุณครับ... ”
ผมไม่รู้ว่าควรจะอับอายในความสกปรกของตัวเองหรือควรจะสงสารพวกเขาที่ต้องเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของผมโดยไม่จำเป็น
แต่อย่างไรก็ตามผมรับสิ่งของที่แม่บ้านยื่นให้มาใช้ทำความสะอาดร่างกายอย่างที่พวกเขาต้องการ
เมื่อเดินออกจากห้องน้ำ ผมพบกับเสื้อผ้าและรองเท้าชุดใหม่ วางเรียงกัน
สี่ถึงห้าชุด ผมไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไร
แต่เสื้อผ้าพวกนั้นทุกชุดมีขนาดสำหรับผมได้อย่างพอเหมาะพอดี
คุณเบลเดินเข้าห้องมาในขณะที่ผมแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อย
“ โอโฮ ! เปลี่ยนชุดแล้ว หล่อจนจำไม่ได้เลยนะคะ ”
“ เสื้อผ้าเขาดีมากกว่าครับ
เปลี่ยนคนธรรมดาให้ดูดีขึ้นมาได้ซะอย่างงั้น ” ผมยิ้มให้กับคำชม
“ คุณแพ๊ต
นี่มองคนเก่งนะคะ ผู้ชายของเธอทุกคนดูดีจนคาดไม่ถึงเลยค่ะ ”
“ ....ขอโทษที
คุณว่าไงนะ ”
“
ไม่จำเป็นต้องอายหรอกค่ะ เรื่องแบบนี่เขาเปิดกว้างตั้งนานแล้ว ”
“
ผมขอลำดับเรื่องนิดนึ่ง อื่มมมมม....คุณได้รับสั่งให้ตามตัวผมมา
”
“ ค่ะ ”
“ แล้วคนสั่ง
คือไอ้แพ๊ตตี้ ”
“...ใช่ค่ะ...แต่..ทำไมคุณเรียกเธอสนิท...ขนาดนั้นได้ละค่ะ
”
“มันเป็นเพื่อนผมตั้งแต่เด็กๆครับ
ผมไม่ได้เป็นผู้ชายของมันอย่างที่คุณเข้าใจ ”
เธอนิ่งเงียบให้กับความเข้าใจผิดซึ่งผมคิดว่านั่นคือสาเหตุที่ทำให้เธอดูแคลนผมด้วยสีหน้าเมื่อเราเจอกันครั้งแรก
“
แพ๊ตตี้มันทำแบบนี้บ่อยหรอครับ”
“
ไม่หรอกค่ะเธอทำงานหนักให้กับเมืองนี้ ...
แต่ผู้บริหารก็จำเป็นที่จะต้องมีเวลาส่วนตัวบ้าง เธอต้องเสียบางเรื่องที่เป็นชีวิตส่วนตัวไป
เพื่อดูแลเมืองเมืองนี้ ”
คุณเบลตอบด้วยท่าทีที่เป็นกันเองมากขึ้น
“ ไปครับ อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่เลย เดี๋ยวทางโน้นรอนาน ”
ผมตัดบท
“ ซักครู่ค่ะ
” คุณเบลบอกกกับผมก็เดินเข้ามาจัดปกเสื้อของผมที่ยังไม่เรียบร้อย
“ โอเคค่ะ
ทุกอย่างพร้อม ” เธอยิ้มให้ผม ที่ก่อนเราจะออกจากห้องไปด้วยกัน
รถคันเดิมที่พาผมมาที่นี่ยังคงจอดรออยู่ด้านล่าง
คนพวกนั้นแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของผมหลังการอาบน้ำ
ไม่มีใครเอ่ยปากชมแต่จากวิธีที่พวกเขามองและรอยยิ้มมันแสดงออกชัดว่าความรู้สึกในตอนนี้กับในตอนแรกมันแตกต่างกันออกไป
พวกเขาพาผมมายังสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ใหญ่กว่า
และในขณะนั้นดูเหมือนจะมีงานเลี้ยงของพวกระดับสูง
คุณเบลดูเหมือนจะเป็นที่คุ้นเคยกับผู้คนในงานเลี้ยง
นอกจากนั้นผมยังรู้สึกได้ว่าเธอค่อนข้างเป็นจุดสนใจของผู้ชายหลายๆคนที่อยู่ในงาน
แต่ผู้หญิงคนนี้ดูเย็นชากับการทอดสะพาน เธอยังคงนำผมเดินตรงไปยังโถงทางเดินโดยไม่ได้หยุดพูดคุยกับใครนอกจากทักทายตามมารยาท
คุณเบลเดินมาถึงโถงยาวๆที่ปลายทางมีชายอีกสองคนยืนเฝ้าบันไดทางขึ้นเอาไว้
เธอให้ผมรอก่อนจะเดินเข้าไปคุยกับผู้ชายคู่นั้น และเมื่อเธอเดินกลับมา
คำตอบคือไอ้คุณแพ๊ตตี้ยังตงทำงานของมันไม่เสร็จ
คุณเบลใช้โอกาสนี้พาผมไปทานอาหารในงานเลี้ยงก่อนจะเข้าพบ
มันแปลกๆนิดหน่อย
เพราะในขณะที่คนระดับผมพยายามที่จะเอาตัวรอดจากความฝืดเคือง
และสำหรับคนบางประเภทอย่างพวกผู้คนที่อพยพ
ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น
กลับมีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่เดือดร้อนหรือรับรู้ว่าข้างนอกนั่น
มีความทุกข์ยากและปัญหาต่างๆมากมาย ผมไม่ได้ตัดสินว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันไม่ดี
แค่รู้สึกแปลกใจในความย้อนแย้ง
และสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงไม่รู้สึกกังวลใดๆกับอันตรายที่อยู่ห่างเพียงแค่แนวกำแพงกั้น
อาหารของที่นี่ทำอย่างประณีต
รสชาติของทุกสิ่งที่ตักเข้าปากล้ำลึก
จากเครื่องปรุงที่หาได้ยากและบางอย่างก็เป็นวัตถุดิบที่อยู่ไกลออกไปเกือบครึ่งโลกซึ่งแม้กระทั่งคนในพื้นที่แถบนั้นเองก็ยังหาของพวกนี้กินไม่ได้
มันสุดตรงที่ว่า คนพวกนี้ไปหาของพวกนี้มาได้ ทั้งๆที่มันควรจะเป็นเรื่องที่มันเป็นเรื่องลำบากอย่างสาหัส
“
อาหารเป็นไงบ้างคุณอิน ” คุณเบลถามผม
“
มันดีจนเกินจากคำว่าดีไปไกลเลย คุณเบล “
“
ทานเยอะๆนะคะ ”
“ ครับผม ”
...เราเงียบกันไปซักพัก
จนได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและเสียงดนตรีจากยอดฝีมือที่บรรเลงอยู่ภายในงาน
“ ไม่น่าเชื่อนะครับว่าจะมีที่แบบนี้อยู่ในเมืองของเรา
“
“ เอ๊ะ! ที่นี่มีอยู่นานแล้วนะคะถ้าคุณอินอยู่ที่นี่ก็น่าจะรู้เพราะที่นี่ดังมาก”
“
ผมไม่ไปจากที่นี่มาหลายปีครับ ถ้าคุณเบลทราบ
ผมเคยถูกเจ้าหน้าที่ของเมืองตามล่าตัวมาก่อน ”
คุณเบลหน้าถอดสีและเงียบไปแทบจะในทันที
“ คุณอินทำอะไรผิดหรอค่ะ”
“
ผมมีปัญหากับตัวแทนของ ออชิเดนในเมืองของเราครับ แล้วพวกเขาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่า
ผมขโมยบางอย่างของพวกเขาไป แต่หลังจากเรื่องจบ พวกเขาก็รู้ว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดแต่
ที่บ้านเขากลัวว่าจะมีปัญหาตามมาทีหลัง ก็เลยส่งผมไปอยู่ที่อื่น ”
“ แล้วคุณอินไปอยู่ที่ไหนมา
”
“ บาเบลทูครับ
ผมอยู่ที่นั่น จนเริ่มจะมีสงคราม ผมก็เลยกลับมา”
“
คุณแพ๊ตทราบเรื่องนี้ไหมคุณอิน ”
“
ครับระดับนึ่งเลย เพราะมันเป็นช่วยผมในช่วงแรก ”
“ อ๋อ... ค่ะ
”
หลังคั้นด้วยมื้ออาหารเย็น
คุณเบลพาผมเดินไปยังห้องโยงยาวๆนั่นอีกครั้ง และในตอนนี้พวกเขาเปิดทางให้เราผ่านไป
จากที่ตรงนั้นเดินขึ้นไปชั้นหนึ่งผมพบกับลิฟท์โดยสารที่ออกแบบไว้ให้พ้นจากสายตาคนอื่น
คุณเบลพาผมขึ้นไปชั้นบน ที่ที่ไอ้แพ๊ตตี้ทำงานอยู่
ที่ชั้นบนมีเคาท์เตอร์ตัวยาวซึ่งเจ้าของเป็นผู้สาวสวยอีกคนนั่งทำงานอยู่เธอเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มให้กับคุณเบล
“ เบล
มาแล้วหรอเป็นไงบ้าง ”
“ ก็ดี
แล้วผึ้งจะเลิกงานหรือยัง”
“ ยังเลย
คุณแม่แพ๊ตกำลังอาละวาด ”
“
นี่ยังไม่เลิกอีกหรอ ”
“ ยังเลย
ก็ตั้งแต่เบลไปนั่นแหละ โดยเหวี่ยงกันไป ครบทุกคน ”
“
เรื่องอะไรอีกละทีนี้ ”
ผู้หญิงที่ชื่อผึ้งไม่ตอบเธอมองหน้าผมด้วยสายตาแบบเดียวกันกับคุณเบลที่มองผมในครั้งแรก
“
พาคนที่ทำให้แม่อารมณ์ดีมาแล้วหรอเบล”
คุณเบลไม่ตอบ
ผมได้แต่ยิ้มให้เธอคนนั้น
“
ผึ้งเราพาคุณอินเข้าไปพบคุณแม่ก่อนนะ”
“ เอาเลยจ๊า ”
ผมเคยเจอคนระดับสูง
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่การเข้าพบคนระดับสูงมีขั้นตอนที่วุ่นวายจนน่าอึดอัด
คุณเบลพาผมมาถึงหน้าประตูห้องของแพ๊ตตี้ เธอเคาะประตูห้องก่อนจะทิ้งผมไว้ตรงนั้น
กระทั่งเสียงที่คุ้นเคยเรียกผมให้เข้าไปในห้อง
สิ่งที่ผมมองเห็นไม่ใช่เพื่อนสาวที่เคยเป็นช่างแต่งหน้า
แต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ในสภาพทรุดโทรม
เสื้อผ้าผู้หญิงที่สุดแพรพราวถูกแขวนเอาไว้ข้างๆตัว
ตอนนี้ไอ้แพ๊ตตี้อยู่ในเสื้อผ้าเรียบๆประเภทที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายสามารถสวมใส่
มันเป็นกางเกงขายาวของคนที่ต้องทำงานในสำนักงานและเสื้อคอปกติดกระดุมตัวใหญ่
“ ไงวะไม่เจอกันนาน
มึงเลิกเป็นตุ๊ดแล้วหรอ ”
“
ปากเสียอีกแล้วนะ จะกันทีไรกวนตีนฉันทุกที ”
คงจะมีน้ำเสียงที่จีบปากจีบคอและวิธีการพูดที่ทำให้ไอ้คุณแพ๊ตตี้ยังคงแตกต่างจากผู้ชายปกติ
ถ้าดูผ่านๆคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผม ดูเหมือนจะเป็นพ่อมันมากกว่าตัวมันด้วยซ้ำ
“ เรียกกูมาทำไมวะ”
“
อีบ้าตั้งแต่กลับมาก็ไม่ได้มาหากันเลย ยังจะถามอีกหรือว่าเรียกมาทำไม ”
“
เล่นเอาคนไปพาตัวกูมา จนพวกนั้นเข้าใจว่ากูเป็นคู่ขามึงกันไปหมดแล้ว
มึงไม่กลัวเสียภาพพจน์เลยรึไง ”
“ มึงงงงง
พวกนั้นช่างแม่งเหอะ
กูอ่ะโดนคนจ้องเล่นตั้งแต่เค้ารู้ว่ากูเป็นตุ๊ดแล้ว ”
“
แล้วทำไมมึงไม่เลิกเป็นตุ๊ด ”
“ เอาอีนี่
ก็กูชอบของกู มึงไม่เข้าใจหรอกเวลาโดนเคราสากๆถูกที่ต้นคอ มันฟินขนาดไหน”
“
พอๆกูไม่อยากรู้ ฟังแล้วขนลุก ไอ้สัส ”
อีแพ๊ตตี้หัวเราะตัวโยนหลังจากได้ยินที่ผมตอบ
“
ตกลงมึงเรียกกูมาทำไมเนี้ย ถามชีวิตส่วนตัวหลังจากไม่เจอกันนานอะไรงี้หรอ ”
ถึงตรงนี้อีแพ๊ตตี้เปลี่ยนโหมดเป็นกระเทยจริงจังอีกครั้ง
“ อิน
รู้ไหมว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ”
“ ก็รู้บ้าง
ตามข่าวแหละ กูไม่ใช่คนวงในนี่หว่า ”
แพ๊ตตี้เล่าให้ฟังความจริง
เรื่องผู้อพยพ หลังจากที่สภาสูงระบุว่าให้ทำการช่วยเหลือไปตามมนุษยธรรม
ทางเราก็ทำตามแต่โดยดี ปัญหาคือหลังจากนั้นทางออชิเดนติดต่อมาอย่างเร่งด่วน
บอกกับเราว่าในกลุ่มผู้อพยพมีบางคนที่นำเอาไวรัสดาวตกตัวใหม่เข้ามาด้วย โรคระบาดที่กลับมาทำให้ผู้คนในเมืองนั้นกลายเป็นเหมือนซากศพเดินได้
ความจริงแล้วการกำจัดที่เปลี่ยนสภาพไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ปัญหาคือการแพร่ระบาดที่ควบคุมไม่ได้ และอีกประเด็นที่สำคัญ คือพวกกลายสภาพเราไม่สามารถควบคุมพวกเขาเอาไว้ได้ด้วยคิวบ์
การผลักดันผู้อพยพกลับไปเป็นสิ่งที่ทำให้อีกหลายๆเมืองที่ได้ยินข่าวเริ่มเกลียดชังเรา
อย่างไรก็ตามแพ๊ตตี้บอกกับผมว่า
ความปลอดภัยของคนในพื้นที่เป็นสิ่งที่ต้องมาก่อน
แต่ปัญหาคือหลังจากนี้เราจะได้รับแรกกดดันจากทวีปหลักและอีกหลายเมืองจากทวีปอื่นๆ
ซึ่งประเด็นไอ้คนที่เอาข่าวมาบอกอย่างออกชิเดนก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเราแต่อย่างใด
กลับทำตัวไม่รู้ไม่ชี้และปล่อยให้เราต้องเจอสิ่งที่ตามมา ตามลำพัง ซึ่งแพ๊ตตี้
ตั้งขอสงสัยว่าบางทีนี่อาจเป็นปัญหาระหว่าง ออชิเดนกับทวีปหลักโดยตรง
เพียงแต่เราถูกลากเข้าไปยุ่งโดยบังเอิญ
ผมถามกับแพ๊ตตี้ตรงๆว่า
แล้วมันอยากให้ผมทำอะไร
แพ๊ตตี้เข้าประเด็นตรงที่ว่า
มันอยากให้ผมกลับไปคุยกับแม่เพื่อติดต่อกับ บรรณรักษ์ดูว่าพอจะมีวิธีไหนที่จะช่วยผู้อพยพและในขณะเดียวกัน
สามารถป้องกันโรคระบาดที่คนพวกนั้นเอามาด้วย
ตรงนี้ผมสงสัยว่าทำไมมันไม่ไปขอความช่วยเหลือเอากับแม่แทนที่จะให้ผมวิ่งกลับไปคุย แพ๊ตตี้ให้เหตุผลว่า
ตอนนี้มันถูกคนจากสภาสูงจับตาดูอยู่เนื่องจากคัดค้านการใช้ปืนของเจ้าหน้าที่ในการขับไล่ผู้อพยพที่ก่อการประท้วง
ผมถามมันว่าแล้วเรื่องที่ผมถูกเข้าใจว่าเป็นคู่ขา
จะไม่ได้เป็นประเด็นให้มันถูกเล่นงานเอาหรือ
ไอ้แพ๊ตตี้ตอบกวนตีนว่าถ้าใครมาเล่นงานมันเรื่องนี้มันจะลากใส้ไอ้พวกนั้นออกมาแฉบ้าง
เพราะพวกสภาสูงส่วนมากมีแต่พวกหลายเมียไม่ก็ลูกนิสัยเลว ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่สามารถเอามาแฉกันได้เพราะถ้าใครคนหนึ่งเอาเรื่องนี้มาพูดคนในสภากว่าครึ่งจะซวยไปด้วย
....
และนั่นคือเรื่องเร่งด่วนของอีแพ๊ตตี้เพื่อนสาวที่กลายมาเป็นนักปกครอง
ผมไม่ได้รับปากมันว่าจะช่วยได้มากขนาดไหนบางทีมันอาจไม่ได้แก้ปัญหาอะไร
แต่แพ๊ตตี้ยืนยันให้ผมทำตามที่มันบอก เพราะการอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรมันแย่ยิ่งกว่า
ความคิดเห็น