ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Even the world is crumbling / ต่อให้โลกย่อยยับ

    ลำดับตอนที่ #152 : "บ้าน" สวรรค์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 706
      96
      7 ม.ค. 63

    ในที่สุดผมกลับถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย... การเดินทางจากท่าเรือกลับถึงบ้านใช้เวลาราวๆ สองคืนกับระยะทางพันกว่ากิโลเมตร มันไม่มีเรื่องราวอะไรตื่นเต้นเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย  ดูเหมือนความน่ากลัวของพวกกินคนจะจบลงเมื่อคิวบ์ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในดินแดนแถบนี้ ถ้าจะมีอะไรทำให้ผมประหลาดใจได้มาก เห็นจะเป็นเรื่องระบบการจัดการและการเปลี่ยนแปลงของเมืองที่โตขึ้นอย่างรวดเร็ว

     

    ผมพบว่าที่บ้านของเรา พวกชีวิตที่สอง สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้อย่างไม่ผิดปกติ นั่นรวมถึงพวกเหนือมนุษย์ สิ่งที่ทำให้พวกเขาแปลกแยกออกไปจากคนธรรมดาคือ กำไลคอ หรือแหวน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คนเหล่านั้นสามารถใช้ชีวิตได้ถึงแม้คิวบ์จะถูกเปิดใช้งานตลอดเวลา

     

    ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดี ที่มีไมได้เห็นจากเมืองไหนๆมาก่อน

     

    แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ไอ้นิสัยแย่ๆของคนบ้านเรา ที่ไม่ชอบทำอะไรตามกฎระเบียบของสังคมก็ยังมีให้เห็นเป็นเรื่องปกติ  ผมยังได้ยินเสียงคนด่าทอกันอย่างดุเดือดเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มกับสิ่งที่เห็น นั่นเพราะมันหมายความว่าผมได้กลับมาถึงบ้านแล้วจริงๆ หลังจากที่ต้องห่างไปนาน

     

    เรื่องประหลาดใจยังมีเข้ามาไม่จบ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกังวล เพราะเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงพวกนั้นส่วนใหญ่มีแต่เรื่องดีๆ  อาจมีบ้าง ที่เป็นเรื่องเศร้า แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราต้องพบ ในกรณีที่จากบ้านไปไกลเป็นเวลานาน เรื่องเศร้าเรื่องเดียวที่ผมได้ยินเมื่อกลับมาถึงก็คือ การจากไปของตาปาล์ม แม่บอกกับผมว่าสัญญาณชีพของแกหายไปเมื่อหลายเดือนก่อน และหลังจากวันที่นั้นแม่ก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆจากตาปาล์มอีกเลย เพราะการที่แกอาศัยอยู่ตามลำพังบนเกาะ ความช่วยเหลือจากแม่หรือคนอื่นๆจึงเข้าไปไม่ถึง

     

    นอกจากเรื่องนี้แล้วเรื่องอื่นๆล้วนเป็นข่าวดี 

     

    บ้านของแม่ อยู่ไกลจากชุมชนเพราะพ่อของผมเป็นพวกชีวิตที่สอง  เดิมมันเป็นอาคารร้าง ที่มีคนอาศัยอยู่รวมกันสามครอบครัว ตอนนี้กลายเป็นชุมชนขนาดหลายร้อยหลังคาเรือน มันทำให้ผมกลายเป็นคนแปลกหน้าในพื้นที่ที่ผมอยู่มาตั้งแต่เด็กๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะพวกเขาไม่ได้มองคนต่างถิ่นในแง่ลบ หรือแสดงความก้าวร้าวใดๆออกมา

     

    ปัญหาเกิดขึ้นเล็กน้อยเมื่อผมไม่สามารถเข้าบ้านได้ ดูเหมือนว่าที่ที่แม่ของผมอาศัยอยู่จะกลายเป็นที่พักของบุคคลสำคัญของชุมชนไปแล้ว  ผมพยายามจะขอเข้าไปด้านในแต่พวกเขาปฏิเสธ มันเป็นความขึงขังครั้งแรกที่ดูไม่ปกติ ผมพยายามถามว่าคนที่อยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกพวกเขาย้ายไปอยู่กันที่ไหน แต่คำตอบคือ พวกเขายังอยู่ที่นี่

     

    ดังนั้นผมจึงขอให้พวกเขาตามแม่ของผมมา แต่คนพวกนั้นไม่ยอม หนึ่งในคนที่ขวางทางผมเอาไว้ ถามว่าผมเป็นอะไรกับแม่ พอผมตอบว่าเป็นลูกชาย พวกเขาไม่ยอมเชื่อ โชคดีที่แม่ของผมเดินผ่านมาพบ คนกลุ่มนั้นจึงได้ยอมหลีกทางให้

     

    สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเพราะคำสั่งของพันธมิตรโลก หลังจากที่บรรณารักษ์บางคนขโมยหุ่นยนต์รบลงไปยังฐานของพวกใต้ดิน ความจริงแล้วแม่ต้องโดนจับ แต่เพราะบรรณารักษ์อย่างแม่ใช้ความรู้ที่มี ช่วยเหลือคนอื่นๆ ดังนั้น คนในพื้นที่จึงไม่มีใครต้องการให้แม่โดนจับ  นอกจากนี้กลุ่มผู้ปกครองเอง ก็ไม่มีใครอยากทำตามคำสั่งของคณะพันธมิตรโลก แต่เพราะไม่ต้องการเป็นศัตรูหรือเกิดปัญหากับคนส่วนใหญ่โดยตรง ดังนั้นทางออกจึงเป็นการขอร้องให้แม่อยู่แต่ภายในพื้นที่และมีผู้ดูแลความปลอดภัยคุ้มครองตลอดเวลา

     

    นี่คือเรื่องตื่นเต้นเรื่องแรก ...... แม่ของผมเป็นคนที่มีความสำคัญต่อชุมชนนี้ไปแล้ว

     

    แต่ที่สุดของเรื่องประหลาด ที่ผมไม่คิดไม่ฝันว่ามันจะเกิดขึ้น มันไม่จบแค่นั้น ....ผมได้รู้จากปากของแม่ว่าการที่เมืองของเราโตขึ้นและการใช้ชีวิตร่วมกันได้ ทั้งกับพวกเหนือมนุษย์และพวกชีวิตที่สอง นั้นส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากฝีมือ ไอ้พี หรือคุณแพ๊ตตี้ เพื่อนที่ครั้งหนึ่งเคยแปลงโฉมให้ผมกลายเป็นสาว ที่ตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลของเมืองแถมยังมีตำแหน่งสูงที่ไม่มีใครกล้าไปซ่าด้วย เพ๊ตตี้กลายร่างเป็นตุ๊ดผู้ทรงอิทธิฤทธิ์....การที่ชุมชนแห่งนี้ สามารถเอาความรู้ของ เหล่าบรรณารักษ์ มาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นก็เพราะทุนและความช่วยเหลือของมันเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

     

    ผมถามแม่ว่าทำไมชีวิตไอ้คุณแพ๊ตตี้มันถึงไปได้ไกลขนาดนั้น ทั้งๆที่ตัวมันเอง นอกจากรักสวยรักงามแล้ว ก็ไม่เห็นจะเคยให้ความสนใจกับเรื่องอะไรอย่างอื่น

     

    แม่บอกว่าแพ๊ตตี้เองมันก็ไม่ได้คิดว่าตัวมันจะได้ไปยืนในที่ตรงนั้นด้วยซ้ำ มันเริ่มตรงที่เป็นช่างแต่งหน้าให้เจ้าสาวในงานแต่งงานงานหนึ่ง เจ้าสาวที่มันแต่งหน้าให้ชอบในฝีมือ แล้วก็มีการบอกกันต่อไปเรื่อยๆในหมู่สาวๆจนในที่สุดมันก็มีลูกค้าประจำที่ติดใจหลายคน หนึ่งในนั้นมีเมียน้อยของผู้ปกครองเมืองคนเก่ารวมอยู่ด้วย นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ธุรกิจของมันโตขึ้นรวมถึงการมีคอนเน็คชั่นกับคนระดับสูง

     

    และเพียงไม่นานหลังจากนั้น แพ๊ตตี้ก็ได้รับการสนับสนุนให้เป็นหนึ่งในสมาชิกของสภาเมือง ซึ่งไฮไลน์ของเรื่องที่มันทำ คือการทำให้คนธรรมดายอมรับพวกชีวิตที่สองและกลุ่มคนเหนือมนุษย์และสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่รู้สึกแตกต่างหรือแปลกแยก

     

    เนื่องจากไอ้แพ๊ตตี้เป็นตุ๊ดที่อ่อนโยน ดังนั้นมันจึงไม่เห็นด้วยกับการขับไสไล่ส่ง มนุษย์ที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆในสังคม

     

     

    ผมคิดว่าบางทีสิ่งที่มันเป็น ทำให้เข้าใจถึงความรู้สึกของมนุษย์ที่แปลกออกไปจากคนอื่น บางทีคนที่มีประสบการณ์และเข้าใจการถูกเหยียดโดยสังคมมากที่สุดก็คงเป็นตัวมันนั่นแหละ ไอ้แพ๊ตตี้กลายเป็นกระเทยที่โคตรเท่ เพราะมันสามารถเอาสิ่งที่เคยเป็นปัญหาในชีวิตของมัน มาช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตให้กับคนอีกจำนวนมาก  ผมคิดว่าตัวไอ้คุณแพ๊ตตี้เอง มันเองก็คงไม่รู้ ว่าแต่ในขณะนี้มันได้ทำเรื่องบางอย่างที่ยิ่งใหญ่มากกว่าที่ตัวมันเองจะคิดถึงไปเรียบร้อยแล้ว

     

    การโน้มน้าวให้ใครคนหนึ่งเปลี่ยนความคิดเดิมๆมันไม่เคยเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้ามีใครซักคนที่สามารถชักจูงคนจำนวนมากให้เชื่อและมองไปในทิศทางเดียวกัน สำหรับผมมันคือ เรื่องมหัศจรรย์ และนั่นคือสิ่งที่แพ๊ตตี้ทำ

     

    วูบหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนชีวิตที่ผ่านมาเป็นเรื่องไร้สาระเมื่อเทียบกับการเติบโตของเพื่อนในวัยเด็ก แต่เมื่อรู้สึกตัว ผมก็สลัดความรู้สึกนั้นออกไปจากความคิดอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ดีว่า ทางเดินในชีวิตของแต่ละคนล้วนมีจังหวะและวิถีทางในตัวมันเอง ไม่มีใครดีหรือแย่กว่า และหากจะต้องคิดอะไรให้ปวดหัว สิ่งที่ควรต้องคิดคือจะทำอย่างไร เพื่อให้ชีวิตของตัวเราเองดีขึ้น  ด้วยสติ และความรอบคอบ

     

    .....

     

     สามเดือนต่อมา ผมหวนกลับไปทำอาชีพเดิม เนื่องจากทนทานต่อความรักที่ไม่อ่อนโยนของแม่ไม่ไหว แม้ผมพยายามจะทำนิ่งและหาอะไรทำเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ๆแม่ให้สมกับที่ไม่ได้เจอกันนาน แต่ผ่านไปไม่กี่อาทิตย์ ก็กลายเป็นว่าแม่รู้สึกรำคาญที่มีผมอยู่ในบ้าน ผมอดรนทนไม่ไหวถึงกับต้องถามเอากับพ่อว่า พ่อทนฟังแม่บ่นอยู่ได้ยังไงเป็นสิบปี พ่อได้แต่หัวเราะและบอกกับผมว่า การที่แม่ยังอาละวาดได้แสดงว่าแม่ยังแข็งแรงดี การทนฟังแม่บ่นมันคือความสุขของพ่ออย่างหนึ่ง เพราะถ้าแม่ยังบ่นได้นั่นแสดงว่าแม่จะยังอยู่กับพ่อไปได้อีกนาน

     

    ผมได้แต่อึ้ง ความรักของพ่อมันเป็นความโรแมนติคที่ฟังดูโรคจิตไม่น้อยเลยทีเดียว

     

    ซึ่งนั่นเป็นอีกครั้งที่ผมต้องออกจากบ้าน ซึ่งในคราวนี้มันเป็นไปเพื่อการใช้ชีวิต และคิดว่าผมคงไม่ต้องพบกับเรื่องยุ่งยากใดๆอีก แต่ความจริงก็ไม่ใช่อย่างนั้น การขับรถขนส่งสินค้าไปมาระหว่างเมืองไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสี่ยงอันตรายอีกต่อไป  ในระหว่างที่ผมไม่อยู่ เริ่มมีกลุ่มคนหน้าใหม่จัดตั้งรูปแบบการทำงานในระบบเครือข่ายและจนกลายเป็นองค์กรที่มั่นคง พวกคนที่เคยทำอาชีพเช่นเดียวกับผม เจอกับปัญหาการถูกแย่งงาน ตัดราคา ไม่มีใครสามารถสร้างรายได้จากการเป็นคนส่งของได้มากเท่าเดิม ผมยังทนทำงานที่คุ้นเคยอยู่อีกพักหนึ่ง โดยการไปขอสมัครเป็นคนขับรถ แต่จบสุดท้ายมาได้งานในบริษัทที่จ่ายค่าแรงต่ำ เพราะบริษัทดีๆ รู้สึกไม่ปลอดภัยกับประวัติชีวิตของผม

     

    ความจริงข้อหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสังคมแบบไหนมันก็ยังมีความลำบาก  เพียงแต่มันจะอยู่ในรูปแบบที่ต่างกันออกไป ผมแค่ต้องพยายามปรับตัวเพื่อมีชีวิตให้รอดเหมือนกับทุกๆครั้ง

     

    สำหรับสงครามระหว่างพันธมิตรโลกและพวกใต้ดินเริ่มอยู่ในสถานการณ์ที่ทรงตัว แต่ก็เป็นอย่างที่คิด เพราะกลุ่มพันธมิตรเองที่กลายเป็นฝ่ายมีปัญหา เพราะในเมืองใหญ่ๆ เริ่มมีการสู้รบกันเองจากปัญหาความอดอยาก สำหรับที่บ้านของเราปัญหาของสงครามมาในรูปแบบของผู้ลี้ภัย พวกคนมาอยู่ใหม่รวมกลุ่มกันและสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในท้องถิ่น แม้ที่นี่จะยังไม่รุนแรง แต่ไม่ใช้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย เค้าลางของปัญหายังปรากฏให้เห็นแม้ตอนนี้จะยังไม่ใช่สิ่งที่น่าวิตกกังวล แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรละเลยหรือมองข้าม

     

    อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านั้นผมไม่คิดว่าต้องเองจะต้องเข้าไปยุ่ง เรื่องทั้งหมดมีคนดูแลเพื่อแก้ปัญหาอยู่แล้ว สิ่งที่ผมต้องทำคือการดูแลตัวเองให้มีชีวิตอยู่ต่อไป

     

    จนกระทั่งหลายอาทิตย์ต่อมา คลื่นมนุษย์ที่อพยพหนีตายมาจากทวีปหลักมีจำนวนที่มากขึ้นอย่างน่าตกใจ มีเสียงลือกันว่า การระบาดครั้งที่สองกลับมาอีกครั้ง ในบริเวณรอยต่อระหว่างยูโรปา ลามเข้ามายังกลางทวีปอย่างรวดเร็ว หลายๆเมืองใหญ่ในทวีปต่างๆเริ่มถอนกำลังกลับไป ในขณะที่ทวีปออชิเดนยังคงไม่ยอมถอยหลัง

     

    สำหรับเมืองของผม กลุ่มผู้อพยพหนีตายกันมาจากบ้านของตัวเอง เดินฝ่าความมืดโดยไม่มีคิวบ์เป็นระยะทางไกล เมื่อมาถึงที่นี่ผู้อพยพจะถูกกักตัวเอาไว้ในศูนย์กักกัน โดยไม่สามารถเข้ามาปะปนกับคนอื่นๆในเมืองได้ ใครที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคระบาด ผู้ดูแลเมืองจำเป็นต้องฆ่าทิ้งและเผาร่างของพวกเขา เพื่อไม่ให้การติดเชื้อลุกลามเข้ามาถึงตัวเมืองชั้นใน

     

    สิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตทั้งหมดมีไม่เพียงพอ สุขอนามัยเริ่มมีปัญหา จนกระทั่งผู้อพยพเริ่มประท้วง เสียงปืนก็เริ่มดังขึ้น เริ่มมีการผลักดันคนพวกนั้นกลับไปตายยังพื้นที่ของตัวเอง เราทุกคนทราบดีถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็รู้เช่นกันว่าเพราะอะไรเรื่องราวสะเทือนใจเหล่านี้ถึงมีให้เห็น

     

    ในที่สุดค่ายกักกันผู้อพยพก็เปลี่ยนเป็นกำแพงสูง บนกำแพงมีปืนกลนับสิบกระบอกติดตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ และมีข้อความขนาดใหญ่เขียนเอาไว้ว่า “ เราขอโทษที่ช่วยเหลือพวกคุณไม่ได้ ”

     

     

    กลางดึกในคืนหนึ่ง  ผมกำลังเดินทางกลับที่พัก หลังจากงานประจำเสร็จสิ้นไปไม่กี่นาทีก่อน  แต่ผมกลับพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ตามลำพังบนถนนสายเปลี่ยวที่มืดมิด ใครบางคนขับรถด้วยความเร็วสูงไล่ตามผมมาติดๆ ผมกระพริบไฟรถเพื่อให้เขาแซงผ่านไป แต่สิ่งที่เขาทำคือขับตีคู่ขนานและบอกให้ผมจอดรถที่ข้างทาง

     

    รถคันนั้นเป็นรถส่วนตัวของคนมีฐานะดี ชายสองคนที่ลงมาจากรถก็เป็นเจ้าหน้าที่ของเมือง แต่สิ่งที่แปลกสำหรับผมคือผู้หญิงที่มาด้วย ดูเธอเป็นคนสวยแต่งตัวแพง ซึ่งมันค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลที่จะมาโบกให้ผมจอดรถในที่มืดๆเปลี่ยวๆแบบนี้

     

    “ คุณอินใช่ไหมค่ะ” เธอถามผมอย่างสุภาพ แต่สีหน้าของเธอนั้นผมรู้สึกได้ว่าเธอฝืนทำ

    “ ใช่ครับผม มีอะไรให้ผมช่วยเหลือรึเปล่าครับ ” ผมพยักหน้าตอบกลับ

    “ เปล่า พอดีว่ามีใครบางคนต้องการให้คุณไปพบ คุณจะไปกับเราได้ไหมค่ะ ”

    “ ไม่ดีกว่าครับ ตอนนี้ผมไม่สะดวก มีหลายอย่างที่ต้องทำครับ ”

    “ เอาแบบนี้ดีไหมค่ะ เดียว เบล จะให้พี่ๆเขาจัดการเรื่องที่คุณต้องทำให้ เพราะเรื่องทางนี้สำคัญมากจริงๆ “

    “.....ใครอยากเจอผมครับ แล้วสรุปว่าเรื่องสำคัญของคุณมันคืออะไร ” ผมถามผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าเบล

    เมื่อเจอคำถามนี่เธอกลับอึกอัก “ การพูดถึงเธอในตอนนี้มันจะเป็นปัญหากับตัวเธอทีหลังค่ะ เบลอยากให้คุณอินไปพบเธอก่อน รับรองว่าจะเป็นเรื่องดีๆระหว่างคุณและเธอค่ะ”

    “ ผมไม่เคยรู้จักผู้หญิงใหญ่โตที่ไหนนะครับ....ว่าแต่ เธอเป็นคนในเมืองนี้รึเปล่า ”

    “ ใช่ค่ะ”

    “ บอกไม่ได้เลยหรอว่าเธอเป็นใคร ”

    “ เอาไว้คุยกันในรถดีกว่านะค่ะ ” หญิงสาวตัดบทก่อนเชิญผมให้ขึ้นไปบนรถ

    “ เดี๋ยวแล้วรถผมล่ะ ”

    “ ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวจะมีคนเอาไปส่งให้ถึงที่ แล้วก็ไม่ต้องกังวล มันจะไม่มีผลกับงานของคุณอินแน่นอนค่ะ ”

     

    ผมเดินตามเธอเข้าไปในรถ ในขณะที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเสียเวลาชั่วครู่เพื่อติดกับใครซักคน ก่อนจะวิ่งตามมาทีหลัง เมื่อรถขับไปครู่หนึ่ง แอร์รถก็ถูกปิดและกระจกรถก็ถูกเปิดออกทุกบาน

     

    “ คุณเบลครับผมบอกคุณแล้วนะว่าวันนี้ผมไม่สะดวก ” ผมมองพวกเขาอย่างรู้สึกผิด

    “ คุณอินค่ะถ้าคุณอินไม่ว่าอะไร เดี๋ยวเบลจะพาคุณอินไปอาบน้ำแล้วก็หาเสื้อผ้าใหม่ๆให้คุณอินเปลี่ยนก่อนดีกว่าค่ะ ”

    “ ขอโทษสำหรับ มลภาวะทางลมหายใจครับ เนี้ยตั้งแต่เริ่มทำงานจนเสร็จงาน ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลยสามสี่วันเข้าไปแล้ว ”

    “ เข้าใจค่ะแต่เบลว่าคุณอินไปพบเธอสภาพนี้ คงไม่ดีแน่ๆ ”

    “ จัดการไปตามเหมาะสมแล้วกันคุณ ” ผมบอกกับเธอ

     

    พริบตานั้น รถที่วิ่งด้วยความเร็วสูง กลับเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นได้อีก ผมพยายามเข้าข้างตัวเองว่าคนที่รอผมอยู่คงมีเรื่องอะไรที่สำคัญมาก ......ทั้งๆที่จริงแล้ว พวกเขาอาจแค่ทนกับกลิ่นตัวของผมไม่ไหว

     

    รถคันนั้นพาผมแล่นฝ่าความมืดอย่างเร่งด่วน เพียงครู่หนึ่งพวกเขาก็ส่งผมที่แมนชั่นหรู คุณเบลบอกกับผมให้ตามเธอไปก่อนจะเดินลิ่วๆไม่เหลียวหลัง เราทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของพนักงานที่นั่น มันดูปกติเสียเมื่อไหร่ ที่ผู้หญิงดูดีมีตระกูลจะพินอบพิเทากุ๊ยสกปรก แถมยังเดินมาด้วยกันอีกต่างหาก

     

    พวกเรามาถึงชั้นบนสุดของอาคารในส่วนที่สงวนไว้สำหรับแขกพิเศษ ผมถูกนำไปยังห้องพักห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยหลอดไฟหลากสี และมีการออกแบบตกแต่งที่เกินไปกว่าเพียงที่พักทั่วไป

     

     

    “ คุณอินค่ะ ห้องน้ำอยู่ทางนี้นะค่ะ เดี๋ยวอีก 15 นาที เบลจะเอาชุดมาเปลี่ยน ”

     

      เธอพูดจบก็รีบเดินออกจากห้องราวกับว่าเมืองทั้งเมืองจะถูกพวกกินคนบุกถล่มในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ผมจับได้ถึงความกระวนกรวายของเธอ แม้ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

     

     

    ห้องน้ำที่ผมมีโอกาสได้ใช้มันเป็นห้องน้ำที่หรูหรา อาจดีกว่าเมื่อครั้งที่ผมเคยอยู่ในเขตผู้อพยพของบาเบลทูด้วยซ้ำ ถึงแม้รู้ดีว่าความเพลิดเพลินไม่ใช่อะไรที่ควรยึดติด แต่น้ำอุ่นๆหลังจากที่ทำงานหนักมาอย่างยาวนานมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผม รู้สึกผ่อนคลายอย่างช่วยไม่ได้

     

    แต่แล้วเสียงเคาะประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น

    “ ครับ?

    “ ขอโทษค่ะ คุณเบลให้หนูเอานี่มาให้ค่ะ“

     “ อะไรครับผม ”

    “ น้ำยาฆ่าเชื้อกับน้ำยาระงับกลิ่นตัวค่ะ!

    “ ....ขอบคุณครับ... ”

     

       ผมไม่รู้ว่าควรจะอับอายในความสกปรกของตัวเองหรือควรจะสงสารพวกเขาที่ต้องเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของผมโดยไม่จำเป็น แต่อย่างไรก็ตามผมรับสิ่งของที่แม่บ้านยื่นให้มาใช้ทำความสะอาดร่างกายอย่างที่พวกเขาต้องการ เมื่อเดินออกจากห้องน้ำ ผมพบกับเสื้อผ้าและรองเท้าชุดใหม่ วางเรียงกัน สี่ถึงห้าชุด ผมไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไร แต่เสื้อผ้าพวกนั้นทุกชุดมีขนาดสำหรับผมได้อย่างพอเหมาะพอดี

     

    คุณเบลเดินเข้าห้องมาในขณะที่ผมแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อย

    “ โอโฮ ! เปลี่ยนชุดแล้ว หล่อจนจำไม่ได้เลยนะคะ ”

     “ เสื้อผ้าเขาดีมากกว่าครับ เปลี่ยนคนธรรมดาให้ดูดีขึ้นมาได้ซะอย่างงั้น ” ผมยิ้มให้กับคำชม

    “ คุณแพ๊ต นี่มองคนเก่งนะคะ ผู้ชายของเธอทุกคนดูดีจนคาดไม่ถึงเลยค่ะ ”

    “ ....ขอโทษที คุณว่าไงนะ ”

    “ ไม่จำเป็นต้องอายหรอกค่ะ เรื่องแบบนี่เขาเปิดกว้างตั้งนานแล้ว ”

    “ ผมขอลำดับเรื่องนิดนึ่ง  อื่มมมมม....คุณได้รับสั่งให้ตามตัวผมมา ”

     “ ค่ะ ”

    “ แล้วคนสั่ง คือไอ้แพ๊ตตี้ ”

    “...ใช่ค่ะ...แต่..ทำไมคุณเรียกเธอสนิท...ขนาดนั้นได้ละค่ะ ”

    “มันเป็นเพื่อนผมตั้งแต่เด็กๆครับ ผมไม่ได้เป็นผู้ชายของมันอย่างที่คุณเข้าใจ ”

    เธอนิ่งเงียบให้กับความเข้าใจผิดซึ่งผมคิดว่านั่นคือสาเหตุที่ทำให้เธอดูแคลนผมด้วยสีหน้าเมื่อเราเจอกันครั้งแรก

    “ แพ๊ตตี้มันทำแบบนี้บ่อยหรอครับ”

    “ ไม่หรอกค่ะเธอทำงานหนักให้กับเมืองนี้ ... แต่ผู้บริหารก็จำเป็นที่จะต้องมีเวลาส่วนตัวบ้าง เธอต้องเสียบางเรื่องที่เป็นชีวิตส่วนตัวไป เพื่อดูแลเมืองเมืองนี้ ”  คุณเบลตอบด้วยท่าทีที่เป็นกันเองมากขึ้น

    “ ไปครับ อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่เลย เดี๋ยวทางโน้นรอนาน ” ผมตัดบท

    “ ซักครู่ค่ะ ” คุณเบลบอกกกับผมก็เดินเข้ามาจัดปกเสื้อของผมที่ยังไม่เรียบร้อย

    “ โอเคค่ะ ทุกอย่างพร้อม ” เธอยิ้มให้ผม ที่ก่อนเราจะออกจากห้องไปด้วยกัน

     

    รถคันเดิมที่พาผมมาที่นี่ยังคงจอดรออยู่ด้านล่าง คนพวกนั้นแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของผมหลังการอาบน้ำ ไม่มีใครเอ่ยปากชมแต่จากวิธีที่พวกเขามองและรอยยิ้มมันแสดงออกชัดว่าความรู้สึกในตอนนี้กับในตอนแรกมันแตกต่างกันออกไป

     

    พวกเขาพาผมมายังสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ใหญ่กว่า และในขณะนั้นดูเหมือนจะมีงานเลี้ยงของพวกระดับสูง คุณเบลดูเหมือนจะเป็นที่คุ้นเคยกับผู้คนในงานเลี้ยง นอกจากนั้นผมยังรู้สึกได้ว่าเธอค่อนข้างเป็นจุดสนใจของผู้ชายหลายๆคนที่อยู่ในงาน แต่ผู้หญิงคนนี้ดูเย็นชากับการทอดสะพาน เธอยังคงนำผมเดินตรงไปยังโถงทางเดินโดยไม่ได้หยุดพูดคุยกับใครนอกจากทักทายตามมารยาท

     

     คุณเบลเดินมาถึงโถงยาวๆที่ปลายทางมีชายอีกสองคนยืนเฝ้าบันไดทางขึ้นเอาไว้ เธอให้ผมรอก่อนจะเดินเข้าไปคุยกับผู้ชายคู่นั้น และเมื่อเธอเดินกลับมา คำตอบคือไอ้คุณแพ๊ตตี้ยังตงทำงานของมันไม่เสร็จ คุณเบลใช้โอกาสนี้พาผมไปทานอาหารในงานเลี้ยงก่อนจะเข้าพบ

     

    มันแปลกๆนิดหน่อย เพราะในขณะที่คนระดับผมพยายามที่จะเอาตัวรอดจากความฝืดเคือง และสำหรับคนบางประเภทอย่างพวกผู้คนที่อพยพ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น กลับมีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่เดือดร้อนหรือรับรู้ว่าข้างนอกนั่น มีความทุกข์ยากและปัญหาต่างๆมากมาย ผมไม่ได้ตัดสินว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันไม่ดี แค่รู้สึกแปลกใจในความย้อนแย้ง และสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงไม่รู้สึกกังวลใดๆกับอันตรายที่อยู่ห่างเพียงแค่แนวกำแพงกั้น

     

    อาหารของที่นี่ทำอย่างประณีต รสชาติของทุกสิ่งที่ตักเข้าปากล้ำลึก จากเครื่องปรุงที่หาได้ยากและบางอย่างก็เป็นวัตถุดิบที่อยู่ไกลออกไปเกือบครึ่งโลกซึ่งแม้กระทั่งคนในพื้นที่แถบนั้นเองก็ยังหาของพวกนี้กินไม่ได้ มันสุดตรงที่ว่า คนพวกนี้ไปหาของพวกนี้มาได้ ทั้งๆที่มันควรจะเป็นเรื่องที่มันเป็นเรื่องลำบากอย่างสาหัส

     

    “ อาหารเป็นไงบ้างคุณอิน ” คุณเบลถามผม

    “ มันดีจนเกินจากคำว่าดีไปไกลเลย คุณเบล “

    “ ทานเยอะๆนะคะ ”

    “ ครับผม ”

    ...เราเงียบกันไปซักพัก จนได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและเสียงดนตรีจากยอดฝีมือที่บรรเลงอยู่ภายในงาน

    “ ไม่น่าเชื่อนะครับว่าจะมีที่แบบนี้อยู่ในเมืองของเรา “

    “ เอ๊ะ! ที่นี่มีอยู่นานแล้วนะคะถ้าคุณอินอยู่ที่นี่ก็น่าจะรู้เพราะที่นี่ดังมาก”

    “ ผมไม่ไปจากที่นี่มาหลายปีครับ ถ้าคุณเบลทราบ ผมเคยถูกเจ้าหน้าที่ของเมืองตามล่าตัวมาก่อน ”

     

    คุณเบลหน้าถอดสีและเงียบไปแทบจะในทันที

    “ คุณอินทำอะไรผิดหรอค่ะ”

    “ ผมมีปัญหากับตัวแทนของ ออชิเดนในเมืองของเราครับ แล้วพวกเขาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่า ผมขโมยบางอย่างของพวกเขาไป แต่หลังจากเรื่องจบ พวกเขาก็รู้ว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ ที่บ้านเขากลัวว่าจะมีปัญหาตามมาทีหลัง ก็เลยส่งผมไปอยู่ที่อื่น ”

    “ แล้วคุณอินไปอยู่ที่ไหนมา ”

    “ บาเบลทูครับ ผมอยู่ที่นั่น จนเริ่มจะมีสงคราม ผมก็เลยกลับมา”

    “ คุณแพ๊ตทราบเรื่องนี้ไหมคุณอิน ”

    “ ครับระดับนึ่งเลย เพราะมันเป็นช่วยผมในช่วงแรก ”

    “ อ๋อ... ค่ะ ”

    หลังคั้นด้วยมื้ออาหารเย็น คุณเบลพาผมเดินไปยังห้องโยงยาวๆนั่นอีกครั้ง และในตอนนี้พวกเขาเปิดทางให้เราผ่านไป จากที่ตรงนั้นเดินขึ้นไปชั้นหนึ่งผมพบกับลิฟท์โดยสารที่ออกแบบไว้ให้พ้นจากสายตาคนอื่น คุณเบลพาผมขึ้นไปชั้นบน ที่ที่ไอ้แพ๊ตตี้ทำงานอยู่

     

    ที่ชั้นบนมีเคาท์เตอร์ตัวยาวซึ่งเจ้าของเป็นผู้สาวสวยอีกคนนั่งทำงานอยู่เธอเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มให้กับคุณเบล

    “ เบล มาแล้วหรอเป็นไงบ้าง ”

    “ ก็ดี แล้วผึ้งจะเลิกงานหรือยัง”

    “ ยังเลย คุณแม่แพ๊ตกำลังอาละวาด ”

    “ นี่ยังไม่เลิกอีกหรอ ”

    “ ยังเลย ก็ตั้งแต่เบลไปนั่นแหละ โดยเหวี่ยงกันไป ครบทุกคน ”

    “ เรื่องอะไรอีกละทีนี้ ”

     

    ผู้หญิงที่ชื่อผึ้งไม่ตอบเธอมองหน้าผมด้วยสายตาแบบเดียวกันกับคุณเบลที่มองผมในครั้งแรก

    “ พาคนที่ทำให้แม่อารมณ์ดีมาแล้วหรอเบล”

     

    คุณเบลไม่ตอบ ผมได้แต่ยิ้มให้เธอคนนั้น

    “ ผึ้งเราพาคุณอินเข้าไปพบคุณแม่ก่อนนะ”

    “ เอาเลยจ๊า ”

     

    ผมเคยเจอคนระดับสูง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่การเข้าพบคนระดับสูงมีขั้นตอนที่วุ่นวายจนน่าอึดอัด คุณเบลพาผมมาถึงหน้าประตูห้องของแพ๊ตตี้ เธอเคาะประตูห้องก่อนจะทิ้งผมไว้ตรงนั้น กระทั่งเสียงที่คุ้นเคยเรียกผมให้เข้าไปในห้อง 

     

    สิ่งที่ผมมองเห็นไม่ใช่เพื่อนสาวที่เคยเป็นช่างแต่งหน้า แต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ในสภาพทรุดโทรม เสื้อผ้าผู้หญิงที่สุดแพรพราวถูกแขวนเอาไว้ข้างๆตัว ตอนนี้ไอ้แพ๊ตตี้อยู่ในเสื้อผ้าเรียบๆประเภทที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายสามารถสวมใส่ มันเป็นกางเกงขายาวของคนที่ต้องทำงานในสำนักงานและเสื้อคอปกติดกระดุมตัวใหญ่

     

    “ ไงวะไม่เจอกันนาน มึงเลิกเป็นตุ๊ดแล้วหรอ ”

    “ ปากเสียอีกแล้วนะ จะกันทีไรกวนตีนฉันทุกที ”

     

    คงจะมีน้ำเสียงที่จีบปากจีบคอและวิธีการพูดที่ทำให้ไอ้คุณแพ๊ตตี้ยังคงแตกต่างจากผู้ชายปกติ ถ้าดูผ่านๆคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผม ดูเหมือนจะเป็นพ่อมันมากกว่าตัวมันด้วยซ้ำ

     

    “ เรียกกูมาทำไมวะ”

    “ อีบ้าตั้งแต่กลับมาก็ไม่ได้มาหากันเลย ยังจะถามอีกหรือว่าเรียกมาทำไม ”

    “ เล่นเอาคนไปพาตัวกูมา จนพวกนั้นเข้าใจว่ากูเป็นคู่ขามึงกันไปหมดแล้ว มึงไม่กลัวเสียภาพพจน์เลยรึไง ”

    “ มึงงงงง พวกนั้นช่างแม่งเหอะ  กูอ่ะโดนคนจ้องเล่นตั้งแต่เค้ารู้ว่ากูเป็นตุ๊ดแล้ว ”

    “ แล้วทำไมมึงไม่เลิกเป็นตุ๊ด ”

    “ เอาอีนี่ ก็กูชอบของกู มึงไม่เข้าใจหรอกเวลาโดนเคราสากๆถูกที่ต้นคอ มันฟินขนาดไหน”

    “ พอๆกูไม่อยากรู้ ฟังแล้วขนลุก ไอ้สัส ”

    อีแพ๊ตตี้หัวเราะตัวโยนหลังจากได้ยินที่ผมตอบ

    “ ตกลงมึงเรียกกูมาทำไมเนี้ย ถามชีวิตส่วนตัวหลังจากไม่เจอกันนานอะไรงี้หรอ ”

     

    ถึงตรงนี้อีแพ๊ตตี้เปลี่ยนโหมดเป็นกระเทยจริงจังอีกครั้ง

     

    “ อิน รู้ไหมว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ”

    “ ก็รู้บ้าง ตามข่าวแหละ กูไม่ใช่คนวงในนี่หว่า ”

     

    แพ๊ตตี้เล่าให้ฟังความจริง เรื่องผู้อพยพ หลังจากที่สภาสูงระบุว่าให้ทำการช่วยเหลือไปตามมนุษยธรรม ทางเราก็ทำตามแต่โดยดี ปัญหาคือหลังจากนั้นทางออชิเดนติดต่อมาอย่างเร่งด่วน บอกกับเราว่าในกลุ่มผู้อพยพมีบางคนที่นำเอาไวรัสดาวตกตัวใหม่เข้ามาด้วย โรคระบาดที่กลับมาทำให้ผู้คนในเมืองนั้นกลายเป็นเหมือนซากศพเดินได้ ความจริงแล้วการกำจัดที่เปลี่ยนสภาพไม่ใช่เรื่องยาก แต่ปัญหาคือการแพร่ระบาดที่ควบคุมไม่ได้  และอีกประเด็นที่สำคัญ คือพวกกลายสภาพเราไม่สามารถควบคุมพวกเขาเอาไว้ได้ด้วยคิวบ์ การผลักดันผู้อพยพกลับไปเป็นสิ่งที่ทำให้อีกหลายๆเมืองที่ได้ยินข่าวเริ่มเกลียดชังเรา

     

    อย่างไรก็ตามแพ๊ตตี้บอกกับผมว่า ความปลอดภัยของคนในพื้นที่เป็นสิ่งที่ต้องมาก่อน แต่ปัญหาคือหลังจากนี้เราจะได้รับแรกกดดันจากทวีปหลักและอีกหลายเมืองจากทวีปอื่นๆ ซึ่งประเด็นไอ้คนที่เอาข่าวมาบอกอย่างออกชิเดนก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเราแต่อย่างใด กลับทำตัวไม่รู้ไม่ชี้และปล่อยให้เราต้องเจอสิ่งที่ตามมา ตามลำพัง ซึ่งแพ๊ตตี้ ตั้งขอสงสัยว่าบางทีนี่อาจเป็นปัญหาระหว่าง ออชิเดนกับทวีปหลักโดยตรง เพียงแต่เราถูกลากเข้าไปยุ่งโดยบังเอิญ

     

    ผมถามกับแพ๊ตตี้ตรงๆว่า แล้วมันอยากให้ผมทำอะไร

    แพ๊ตตี้เข้าประเด็นตรงที่ว่า มันอยากให้ผมกลับไปคุยกับแม่เพื่อติดต่อกับ บรรณรักษ์ดูว่าพอจะมีวิธีไหนที่จะช่วยผู้อพยพและในขณะเดียวกัน สามารถป้องกันโรคระบาดที่คนพวกนั้นเอามาด้วย ตรงนี้ผมสงสัยว่าทำไมมันไม่ไปขอความช่วยเหลือเอากับแม่แทนที่จะให้ผมวิ่งกลับไปคุย แพ๊ตตี้ให้เหตุผลว่า ตอนนี้มันถูกคนจากสภาสูงจับตาดูอยู่เนื่องจากคัดค้านการใช้ปืนของเจ้าหน้าที่ในการขับไล่ผู้อพยพที่ก่อการประท้วง ผมถามมันว่าแล้วเรื่องที่ผมถูกเข้าใจว่าเป็นคู่ขา จะไม่ได้เป็นประเด็นให้มันถูกเล่นงานเอาหรือ ไอ้แพ๊ตตี้ตอบกวนตีนว่าถ้าใครมาเล่นงานมันเรื่องนี้มันจะลากใส้ไอ้พวกนั้นออกมาแฉบ้าง เพราะพวกสภาสูงส่วนมากมีแต่พวกหลายเมียไม่ก็ลูกนิสัยเลว ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่สามารถเอามาแฉกันได้เพราะถ้าใครคนหนึ่งเอาเรื่องนี้มาพูดคนในสภากว่าครึ่งจะซวยไปด้วย

     

    .... และนั่นคือเรื่องเร่งด่วนของอีแพ๊ตตี้เพื่อนสาวที่กลายมาเป็นนักปกครอง

     

    ผมไม่ได้รับปากมันว่าจะช่วยได้มากขนาดไหนบางทีมันอาจไม่ได้แก้ปัญหาอะไร แต่แพ๊ตตี้ยืนยันให้ผมทำตามที่มันบอก เพราะการอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรมันแย่ยิ่งกว่า

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×