ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Even the world is crumbling / ต่อให้โลกย่อยยับ

    ลำดับตอนที่ #149 : เริ่มต้นด้วยน้ำใจ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 760
      110
      16 พ.ย. 62

    ผมออกเดินทางในเช้าถัดมาด้วยเครื่องบินลำเลียงขนาดยักษ์ และใช้เวลาเดินทางเพียงไม่นาน ก่อนถึงเมืองปลายทาง มันเป็นชุมชนใหญ่ บนเกาะแห่งหนึ่ง มีทีตั้งอยู่ปากแม่น้ำ ด้านหนึ่งของเกาะติดกับทะเล ดังนั้นเมืองทั้งเมืองจึงมีกำแพงตามธรรมชาติที่ป้องกันพวกเขาจากฝูงตัวกินคน   

     

    ผมถูกพามาส่งที่ท่าเรือขนาดใหญ่ซึ่งเป็นจุดที่ต้องใช้เดินทางต่อ แต่การมาถึงเร็วกว่ากำหนดกลายเป็นปัญหา ผมต้องรอเรือที่จะส่งผมกลับบ้าน เนื่องจากตอนนี้เรือลำนั้นอยู่กลางทะเล พวกเขากำลังกลับมาที่นี่ แต่คงเป็นเวลาอีกหลายวัน ผมขอให้เจ้าของเรือติดต่อกลับไปยังเจ้าของห้องพักที่ซื้อรถของผมไป เนื่องจากเวลาหลายวันในเมืองนี้ ผมจำเป็นต้องมีห้องพักและอาหารระหว่างที่เรือลำนั้นจะกลับถึงฝั่งแต่ผมไม่รู้จักใครที่นี่รวมถึงไม่เหลืออะไรติดตัวหลังจากที่เกิดเรื่องในระหว่างแม่น้ำ

     

    หลังจากที่พูดคุยกัน เขากังวลว่าจะต้องจ่ายเงินคืนให้กับผม ชายคนนั้นรีบชิงตัดหน้าบอกกับผมว่าเงินที่เขามีอยู่ตอนนี้เขานำไปลงทุนกับอย่างอื่นแล้ว ถึงเขาจะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่การชดเชยสิ่งที่ผมเสียไป เขาไม่สามารถทำได้ ผมบอกเขาไปว่าผมไม่ได้ต้องการค่าชดเชยหรือต้องการเงินเพิ่มจากเขา ผมแค่ต้องการที่ซุกหัวนอนและอาหารเล็กน้อย เพื่อที่จะอยู่ที่นี่ได้จนกว่าเรือของผมจะกลับมาถึง

     

    ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขอให้ผมยืนเครื่องมือสื่อสารกลับไปยังผู้จัดการท่าเรือ ซึ่งเป็นคนที่รู้จักกัน หลังที่เขาทั้งคู่คุยกัน ครู่หนึ่งผมก็ได้ที่พักจากผู้ดูแลที่ท่าเรือแห่งนี้ มันเป็นบ้านพักของบรรดาครอบครัวของคนที่ทำงานบนเรือ ห้องที่ผมได้พักเป็นห้องขนาดใหญ่ของหนุ่มโสด ที่มีเตียงสามชั้นวางอยู่จนเต็ม กะเอาด้วยสายตา ผมน่าจะมีเพื่อนร่วมห้องราวๆ 18 คนพอดิบพอดี 

     

    ส่วนเรื่องอาหารผมได้เบ็ดตกปลาเก่าๆคันหนึ่งพร้อมกับชี้ออกไปทางทะเล

     

    สำหรับเวลาที่เหลือเฟือ การตกปลามันไม่ได้เป็นอะไรที่แย่นัก ผมฉวยคันเบ็ดที่เขาให้ยืมมุ่งหน้าตรงไปยังรอยต่อระหว่างน้ำจืดและน้ำกร่อย ที่นั่นมีโอกาสตกปลาได้มากกว่าในทะเล เนื่องจากเบ็ดที่ผมได้มามันไม่มีเหยื่อให้ 

    มันไกลกว่าเดิมนิดหน่อย แต่การเดินชมเมืองเป็นสิ่งที่ผมต้องการอยู่แล้ว

     

    แต่การตัดสินใจนั้นก็ทำให้ผมพบว่า เมืองนี้ก็ไม่ได้ต่างจากเมืองใหญ่อื่นๆ มันมีด้านมืดที่คนบางกลุ่มถูกมองเป็นสิ่งไร้ค่าปะปนอยู่เสมอ สถานที่ที่ผมใช้ซุกหัวนอนอาจแย่ แต่ในพื้นที่ที่ผมเดินผ่านดูเลวร้ายกว่า ทั้งสกปรกและแออัด บ้านหลายหลังสร้างขึ้นจากสิ่งของเหลือใช้ที่ไม่แข็งแรง พวกเขาดูสกปรกและอดอยากอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามลักษณะการแต่งตัวและผิวพรรณของคนที่นี่กับคนส่วนใหญ่บนเกาะ ดูต่างกันโดยสิ้นเชิงมันพอมองออกว่าพวกเขาคือคนจำนวนน้อยในเขตพื้นที่แถบนี้

     

    สายตาหลายคู่มองผมอย่างสงสัย นั่นเพราะผมมีรูปร่างที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆที่พวกเขาเคยพบ

    ผมพยายามยิ้มให้กับทุกคนที่ผมเห็นว่าเขากำลังมองผมอยู่ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขายิ้มตอบกลับมา ..

     

    ผมยังคงเดินไปเรื่อยๆ โดยมีจุดหมายปลายทางคือริมแม่น้ำที่ยังมีพรรณไม้ประเภทเติบโตในน้ำกร่อยขึ้นเขียวชอุ่มซึ่งเห็นอยู่ไม่ไกลแต่แล้วมันก็มีอุปสรรคจนได้ซิน่า ในระหว่างที่เดินชิลๆอยู่นั้น จู่ๆนักเลงก็กรูกันออกมาจากสองข้างทางราว 20 คนพวกพี่เขายืนขวางผมด้วยท่าทางยียวนอวัยวะเบื้องต่ำ ผมยังงงๆอยู่เพราะไม่นึกไม่ฝันว่าจะโดนล้อม ผมพยายามยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่พวกมันทำทีราวกับว่าผมยิ้มเยาะที่เห็นพ่อมันตาย 

     

    ไอ้ตัวที่ยืนอยู่หน้าสุดเดินเข้ามาผลักไหล่ผมอย่างแรง พร้อมกับพูดด้วยภาษาถิ่นซึ่งแน่นอนว่าผมไม่รู้หรอกว่าพี่เขาโมโหอะไร ผมยกมือขึ้นเสมอไหล่และชยับเบาๆเพื่อบอกกับพวกมันว่าไม่ต้องการมีปัญหา ก่อนจะหันหลังเพื่อออกไปจากที่นี่ แต่นั่นไม่ทันแล้ว วงล้อมของพวกมันค่อยบีบเข้ามาหาผมช้าๆ ผมหันกลับไปมองลูกพี่ใหญ่ที่ยืนกอดอกเป็นนายแบบด้วยสีหน้าขึงขังเต็มที่ 

     

    นักเลงประจำถิ่นไม่ว่าที่ไหนมันก็เหมือนกัน สองสิ่งที่ต้องระวังคือไอ้ตัวนำฝูง พวกนี้ต่อยตีไม่เท่าไหร่แต่ส่วนใหญ่พกของถ้าพี่ไม่พอใจพี่จะใส่ก่อนหลังจากนั้นพวกที่เหลือจะตามซ้ำ เรื่องที่สองคือต้องระวังไอ้ตัวที่อยู่ในมุมอับ เพราะเวลาที่โดนล้อมหรือกรูเข้าหาในลักษณะประมาณนี้ ไอ้ตัวที่เรามองไม่เห็นมักเป็นตัวเปิดงาน ส่วนวิธีก็ไม่มีอะไรมาก ไม่ถีบผมให้เสียหลักก็จะเอาของแข็งตีหัว ถ้าไม่แค้นกันมาก่อนไอ้ตัวเปิดงานจะไม่ค่อยแทงเหยื่อของมัน รูปแบบนี้เป็นเหมือนกันหมดทั้งโลก 

     

    สำหรับวิธีการตามปกติคือการเล่นหัวโจกให้หมอบในทีเดียว แล้วพยายามเก็บให้ตัวที่แอบเข้าข้างหลังให้ได้ทันก่อนที่จะโดนมันเหยียบ ซึ่งถ้าทำสำเร็จไอ้พวกที่เหลือทั้งฝูงจะวิ่งหนีไปเอง เอาจริงๆการกระทืบไอ้นักเลงพวกนี้มันง่ายกว่าอยู่ในดงพวกกินคนเป็นไหนๆ

     

    แต่ผมต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวัน หนำซ้ำยังต้องอาศัยบ้านของพวกมัน หาเข้าปลาอาหารกินเองอีก แล้วที่สำคัญถ้าเกิดฆ่าพวกแม่งตายซักคนที่นี่ ผมคิดว่าการอยู่อย่างสงบๆคงเป็นไปได้ยาก ดังนั้นผมเลือกที่จะหยุดรอ ดูว่าพวกมันจะเอายังไง 

     

    ไอ้ลูกพี่ใหญ่เดินเข้ามาประชิดตัวผม จากโครงหน้าผมคิดว่าอายุของมันคงยังไม่เต็มยี่สิบ แต่มันสูงกว่าผมพอควร หมอนั่นลงมือค้นตัวผมและหยิบเอามีดที่ผมได้จากพวกที่ฆ่าล้างหมู่บ้านไป มันยกมีดขึ้นเขย่าโชว์พวกเพื่อนๆมันที่ล้อมผมเอาไว้ ท่าทางของเรียกเสียงหัวเราะออกมาจากคนอื่นๆได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ผมไม่รู้ว่ามีดที่ผมพกมามันหน้าขำตรงไหน...

     

    ผมนึกว่าจะจบแค่นั่น หลังจากที่มันได้มีดของผมไปแล้ว ผมก็พยายามจะแหวกทางเพื่อตรงไปยังริมน้ำตามที่ตั้งใจ แต่ดูเหมือนหมอนั่นยังไม่ยอมจบ พี่แกชี้นิ้วมาที่รองเท้าซึ่งผมสวมมันมาตั้งแต่ลงจากเรือของ ออชิเดน 

     

    เอออยากได้เอาไป ผมนั่งลงกับพื้นและถอดให้มันแต่โดยดี 

     

    การถอดรองเท้าเป็นสิ่งที่ผมทำใจยากนิดหน่อย เนื่องจากผมใส่รองเท้าคู่นี้มานานโดยไม่ได้ถอดออกบ่อยๆ ดังนั้นกลิ่นตีนมันจึงแรงมาก ผมกลัวว่าจะมีเรื่องเพราะตีนเหม็นๆของผมนั่นแหละ โชคดีที่พวกมันไม่ถือสา ผมยื่นรองเท้าของผมให้มันพร้อมฝากกลิ่นสุดบรรยายไปด้วย

     

    ไอ้ลูกพี่ทำท่าแหยงๆและเรียกให้พวกมันคนหนึ่งรับรองเท้าของผมไป

     

    หลังจากพวกมันได้อย่างที่ต้องการสิ่งที่พวกมันทำคือวิ่งหนีหายไปจากผมคนละทิศละทาง เปิดโอกาสให้ชายตีนเปลือยอย่างผมมุ่งหน้าตรงไปยังเป้าหมายโดยไม่มีอะไรมาหยุดได้อีก

     

    ผมเสียเวลาเล็กน้อยเพื่อจับเอาแมลงที่มีขนาดพอดีเบ็ดเพื่อใช้เป็นเหยื่อ หลังจากที่โชคร้ายเสียรองเท้ากับมีดพกไปดูเหมือนจะมีโชคดีกลับมาบ้าง เพียงแค่โยนเบ็ดลงน้ำได้ไม่นาน กะพงขาวตัวใหญ่ก็เป็นปลาตัวแรกที่ผมจับได้ จริงๆปลาตัวนี้ถ้าเผา ก็คงกินได้จนครบสามมื้อ แต่เนื่องจากยังไม่มีอุปกรณ์ใดๆที่ใช้สำหรับแล่ปลา ผมจึงจำเป็นต้องยกปลามาพักเอาไว้บนบก

     

    แต่หลังจากหย่อนเบ็ดเพื่อรอเหยื่อตัวที่สอง ปรากฏว่ามีไอ้หนูคนหนึ่งโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ อายุคงไม่น่าจะเกินเจ็ดขวบ ไอ้เด็กนรกแสดงอาการตื่นเต้นกับปลาที่ผมจับได้ เด็กชายพยายามชวนผมคุยแต่ก็เช่นเคยผมไม่รู้ว่าไอ้หนูนี่พยายามจะพูดอะไร แต่จากอาการแล้ว ถ้าไม่รีบทำอะไรซักอย่างผมคงโดนขโมยปลาไปอีกจนได้ เพราะเด็กชายดูสนอกสนใจปลาของผมอย่างออกนอกหน้า

     

    ในที่สุดผมก็ตัดสินใจ แปรรูปปลาสดที่โชคร้ายเป็นอาหารในบัดดล

     

    เนื่องจากไม่มีมีด ผมจึงต้องก้มๆเงยๆ หาของแถวๆนั้นที่คมพอสำหรับผ่าเอาใส่ปลาออกมา จบลงที่ฝากระป๋องอาหารสำเร็จรูปที่หล่นอยู่แถวๆนั้น หลังจากควักใส่ปลาออกเป็นที่เรียบร้อยผมจัดการห่อปลาด้วยใบไม้และขุดหลุมตื้นๆก่อนจะกลบปลาทั้งตัวและจุดไฟเผาที่ด้านบน

     

    ไอ้เด็กบ้านั่นโวยวายใหญ่ มันคงนึกว่าผมเอาของกินไปทำสกปรก ผมไม่ได้พูดอะไรก็ได้แต่ยิ้มให้ก่อนกลับไปดูเบ็ดที่หย่อนทิ้งเอาไว้เมื่อครู่ ไอ้ตัวแรกผมนึกว่าโชคดีแล้วแต่ไอ้ตัวที่สองโชคดีกว่า!

     

    ปลาตัวที่สองที่ติดเบ็ดคือปลากระบอก

     

    ปลากระบอกเป็นปลาที่หากินเป็นกลุ่มถ้าตกได้ซักตัวแสดงว่ามีฝูงของมันอยู่ในบริเวณนี้ที่สำคัญปลากระบอกเป็นปลาที่โคตรอร่อย หลังจากที่รู้ว่าตกปลากระบอกได้ ผมบอกกับไอ้เด็กคนนั้นว่าของให้มันไปเอาอวนที่บ้านมาให้หน่อย .....โดยที่ลืมไปว่าผมกับไอ้หนูนั่นคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่หลังจากที่ทำท่าเหวี่ยงแหให้ดูสองหน ไอ้เด็กนั่นยิ้มออก และรีบวิ่งหายไปในแนวต้นไม้รกทึบ

     

    ไอ้หนูนั่นฉลาดพอที่จะรู้ว่าผมอยากได้อะไร พี่แกหายไปแป๊บก็กลับมาพร้อมอวนในมือ ผมตัดสินใจโยนแมลงทั้งหมดที่จับได้เมื่อครู่ลงน้ำ และเมื่อแมลงตัวแรกถูกกิน ผมก็ไม่รอช้าที่จะเหวี่ยงแหลงไปในน้ำมันเป็นความสำเร็จอย่างน่ามหัศจรรย์ไอ้เด็กนั่นก็โดดตัวลอยเมื่อเห็นว่าอวนที่มันเอามา ตอนนี้มีปลาอยู่หลายสิบตัว หลังจากคัดเอาปลากระบอกที่ขนาดพอเหมาะ กะพงที่หมกไฟเอาไว้ก็ได้ที่

     

    ผมกับเพื่อนใหม่ เรานั่งกินปลาด้วยกันอย่าเมามัน

     

    แสงแดดคล้อยต่ำ ผมร้อยปลากระบอกที่ทอดแหได้เป็นสองพวง หวงหนึ่งผมยกให้ไอ้ตัวเล็กเจ้าของแห ส่วนอีกพวงผมเก็บเอาไว้เอง เราทั้งคู่เดินออกมาจากป่าโกงกาง โดยมีปลาติดมาพวงใหญ่ ไอ้หนูนั่นไม่ยอมถือแหกลับบ้านทั้งๆที่ปลาพวกนั้นหนักกว่า สองข้างทางที่เราเดินผ่าน ผู้คนต่างมองพวกเราอย่างสนอกสนใจ

     

    บ้านของไอ้เด็กนั่นอยู่ในบริเวณที่ผมโดนปล้นเมื่อกลางวันนั่นเอง แม่ของไอ้ตัวเล็กยืนเท้าสะเอวอยู่หน้าบ้านพร้อมไม้กวาด ยาวๆด้ามหนึ่ง หลังจากที่เห็นลูกชาย นางก็ออกอาการเป็นยักษ์ร้าย จนไอ้ตัวแสบต้องวิ่งมาแอบที่ข้างหลังผม ผมเดินไปหาแม่ของเขาแล้วก้มหัวให้เชิงขอโทษ ก่อนที่จะคืนอวนกลับไปให้นาง

     

    นางรับอวนคืนไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก แต่หลังจากที่เห็นพวงปลากระบอกในมือลูกชาย สีหน้านางก็เปลี่ยนไป ถึงตอนนี้ผมรู้ได้ทันทีว่าไอ้หนูตัวแสบรอดพ้นจากการถูกหวดด้วยไม้เรียวเป็นที่เรียบร้อย และความผิดทั้งหมดที่มันก่อเอาไว้ได้รับการอภัยทั้งหมด นางฉวยปลากระบอกพวงนั้นและจูงมือไอ้ตัวแสบเข้าบ้าน โดยแอบมีฟอร์มเล็กๆว่านางไม่โอเคที่ผมพาลูกนางออกไปจนเกือบมืดค่ำ 

     

    เมื่อประตูบ้านของนางปิดลง ผมจึงเดินบ่ายหน้ากลับไปยังที่พัก โชคดีเป็นอย่างยิ่งที่ตอนขากลับผมไม่เจอเข้ากับพวกนักเลงอีกรอบ ไม่งั้นปลากระบอกทั้งพวงคงต้องยกให้พวกมันตามเคย

     

    ผมกลับมาถึงที่พักในช่วงเวลาที่ท้องฟ้ามืดสนิท การเดินอยู่ในความมืดมันทำผมรู้สึกแปลกๆ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำนานแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีได้อย่างประหลาด ผมเผลอคิดขึ้นมาแวบหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ มันจะดีแค่ไหนหากพวกเราสามรถกลับมาเดินเล่นท่ามกลางแสงดาวได้อีกครั้งโดยไม่ต้องกังวลเรื่องพวกกินคน และในนาทีนั้นผมก็รู้ตัวว่าต้องสลัดความคิดนี้ทิ้ง เพราะความหดหู่มันเกิดขึ้นในใจของผม

     

    สิ่งที่ผมคิดมันจะไม่มีทางเกิดขึ้น อย่างน้อยก็ในช่วงชีวิตของผมนั่นแหละ 

    ผมกลับถึงที่พักในสภาพที่เน่าไปทั้งตัว นั่นรวมไปถึงกลิ่นคาวของปลาที่ติดเสื้อผ้าที่เริ่มส่งกลิ่นอย่างรุนแรง หลายคนที่นั่นกำลังกินอาหารเย็นกันอยู่ สายตาของพวกเขาทั้งหมดแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ผมเดินต้องรีบเดินผ่านพวกเขาไปยังห้องครัว ซึ่งมีแต่ผู้หญิงกำลังทำอาหารอีกชุดอยู่ ผมยืนปลาให้พวกเธอ เกินครึ่ง มันมากพอสำหรับพวกเขาทุกคน สำหรับตัวของผมนั้นเก็บเอาไว้เองบางส่วน

     

    ผู้หญิงคนหนึ่งดันผมออกจากครัวและชี้ไปที่ห้องน้ำ ผมเข้าใจที่เธออยากให้ผมทำดังนั้นจึงวางอาหารทั้งหมดไว้ในครัวก่อนรีบอาบน้ำชำระร่างกาย ปัญหาในตอนนี้คือผมมีเสื้อผ้าติดมาแค่ชุดเดียว นั่นหมายความว่า ผมต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ แล้วต้องใส่เสื้อผ้าพวกนั้นโดยที่ตัวยังเปียกและเสื้อผ้าชุดเดิมที่ชุ่มน้ำ สิ่งที่ผมทำมันเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติมนุษย์ ผมก็เลยถูกมองแปลกๆ 

     

    เมื่อเดินกลับเข้าไปในครัว สภาพของผมจึงกลายเป็นเรื่องขบขันสำหรับผู้หญิงพวกนั้น แต่เพียงครู่เดียว พวกเธอก็หยิบเสื้อผ้าเก่าๆและผ้าเช็ดตัวมาให้ใช้ ผมต้องกลับเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนชุดอีกรอบพวก หลังจากเปลี่ยนชุดเรียบร้อยพวกเธอก็ดึงเสื้อผ้าที่เปียกน้ำของผมไปจากมือ

     

    ผมเรื่องแปลกในวัฒนธรรมของพวกเขา ผู้หญิงจะกินอาหารหลังจากที่ผู้ชายทั้งหมดกินเสร็จตอนนี้ยังไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น แต่ซักพักผมคิดว่าคงหาคำตอบเอาจนได้ อย่างไรก็ตามผมต้องรีบจัดการปลาในส่วนของผม การทิ้งของสดไว้นานๆโดยไม่มีความเย็นช่วยรักษาสภาพ มันเสี่ยงที่จะทำให้ปลาที่ผมจับมาเน่าก่อนที่จะได้กิน

     

    ผมขออนุญาตผู้หญิงพวกนั้นใช้ครัวของเธอด้วยท่าทางของผม มันออกจะลำบากนิดหน่อยเมื่อต้องอยู่กับกลุ่มคนทีพูดด้วยไม่เข้าใจ แต่ไม่นานนักพวกเธอก็ทราบถึงสิ่งที่ผมต้องการ นั่นรวมถึงการถือวิสาสะ ใช้เครื่องปรุงบางอย่างในครัวของพวกเธออีกด้วย

     

    ผมจัดการเอาใส่ปลาออกและปิ้งมันบนเตา ก่อนหันไปเตรียมสิ่งที่ผมใช้กินคู่กับปลา 

    ดูเหมือนพวกผู้หญิงจะค่อนข้างสนใจการทำกับข้าวของผมอยู่ไม่น้อย พวกเธอมายืนล้อมรอบตัวผมและยืนมองสิ่งที่ผมกำลังทำโดยไม่คลาดสายตา น้ำจิ้มซีฟู้ดคือสุดยอดนวัตกรรมการทำน้ำจิ้มของคนบ้านเรา ผมพบว่าอาหารบ้านเราบางอย่างก็มีทั้งคนชอบและไม่ชอบแต่ไม่มีใครซักคนที่เกลียดน้ำจิ้มซีฟู้ด

     

    หลังจากที่ทำเสร็จ ผมแยกน้ำจิ้มออกเป็นสองถ้วย ถ้วยหนึ่งสำหรับตัวเองอีกถ้วยสำหรับเจ้าของบ้าน ผมต้องการตอบแทนเขาสำหรับที่พัก สำหรับปลาที่แบ่งเอาไว้มี10ตัว ผมคิดว่าจะเก็บไว้กินเอง 5 ตัว และอีก 5ตัว จะเอาไปให้เจ้าของบ้าน อย่างไรก็ตามเมื่อผมเห็นว่าพวกแม่บ้านที่ยืนล้อมผมอยู่สนใจสิ่งที่ผมทำ ผมเลยยืนน้ำจิ้มซีฟู้ดกับแบ่งปลาตัวหนึ่งให้พวกเธอทุกคนตรงนั้นได้ชิม ก่อนที่จะยกปลาและน้ำจิ้มซีฟู้ดเดินเอาไปให้เจ้าของห้องพัก...

     

    แค่เดินไปเดินกลับไม่ถึงสามนาที ปรากฏว่าปลาย่างของผมเหลือแต่ก้างกับหัวเอาไว้ดูต่างหน้า แม่ๆฟาดกันเรียบ..ผมแอบเฟลเล็กๆเพราะนึกว่ามื้อนี้คงอด แต่กลายเป็นว่ามันไม่จบแค่นั้น พวกแม่ๆเอาปลาทั้งหมดที่ผมยกให้พวกเธอไปปิ้งแบบเดียวกับที่ผมทำ หลังจากนั้นเครื่องน้ำจิ้มซีฟู้ดที่ผมทำเมื่อครู่ถูกเตรียมให้ผมอีกรอบ ด้วยจำนวนที่มากกว่าเดิม ผมหันกลับไปดูถ้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดที่แยกเอาไว้ปรากฏว่ามันสะอาดเหมือนไม่เคยใช้มาก่อน ผมไม่แน่ใจว่าพวกเธอกินน้ำจิ้มหมดถ้วยหรือล้างถ้วยไปแล้ว...คือแม่ซัดกันโหดมาก

     

    อาหารมื้อนั้นจึงกลายเป็นเหมือนงานเลี้ยงต้อนรับเล็กๆ แม่ๆเอาอาหารที่พวกเธอทำมาแบ่งให้กับผมทั้งๆที่ในตอนแรกเจ้าของห้องพักบอกกับผมว่าเรื่องกินผมต้องรับผิดชอบตัวเอง แต่กลายเป็นว่าข้อจำกัดพวกนั้นถูกละเลยในที่สุด

     

     

     

    ..รุ่งเช้า ผมฉวยเบ็ดเพื่อกลับไปตกปลาที่เดิม วันนี้เหยื่อที่มีไม่จำเป็นต้องหา เนื่องจากมีใส้ปลาที่เหลือทิ้งจากเมื่อวาน ผมถูกขัดจังหวะอีกครั้งโดย ผู้ดูแลท่าเรือซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน เขาถามผมว่าเมื่อวานผมไปตกปลาที่ไหนมา พอได้ยินว่าสถานที่ที่ผมไปคือสลัมที่อยู่ลึกเข้าไปทางตะวันออก เขาถอดสีหน้าและสั่งไม่ให้ผมไปที่นั่นอีก ผมงงกับอาการที่เขาแสดงออกมา ก็เลยถามเขาว่าทำไมถึงไม่ควรไปตกปลาที่นั่น

     

    เจ้าของห้องพักบอกว่าในสลัมมีกลุ่มอันธพาลคอยดักปล้นผู้คนที่หลงเข้าไปในนั้น บางคนก็หายตัวไปโดยไม่ได้กลับออกมาอีกเลย ภายในเมืองนี้หากเกิดคดีลักขโมยหรือฆาตกรรม ผู้คนในบริเวณนั้นจะเป็นผู้ต้องสงสัยกลุ่มแรก 

     

    ผมถามเขาว่าทำไมถึงมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นทั้งๆที่ข้างนอกปัญหาเรื่องพวกกินคนน่าจะมากพอแล้ว เจ้าของห้องพักบอกกับผมว่า เดิมคนพวกนี้คือคนในพื้นที่ และเขานับถือศาสนาคนละอย่างกับคนที่มาใหม่ซึ่งตอนนี้มีจำนวนมากกว่า พวกเขากีดกันและไม่ค่อยพอใจคนที่มาอยู่ใหม่มากนักแต่เพราะจำนวนที่น้อยทำให้การอยู่ร่วมกันเป็นเรื่องยากมันจึงมีเรื่องราวระหว่างกันมาอย่างยาวนานและไม่มีทางจะยุตินั่นทำให้คนนอกอย่างผมอาจได้รับอันตรายไปด้วย

     

    ผมยิ้มตอบและขอบคุณในความเป็นห่วง แต่ไม่เป็นไรเพราะผมเจอคนพวกนั้นแล้ว อย่างน้อยคนพวกนั้นก็ไม่ได้ฆ่าใครแบบมั่วๆซั่วๆไม่มีเหตุผล ชายเจ้าของบ้านตกใจหนักกว่าเดิมและขอให้ผมเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้างเมื่อวาน ผมรู้สึกอยากไปตกปลาและไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่นานนัก แต่ก็ไม่อยากขัดใจเจ้าของบ้าน จึงเล่าเรื่องเมื่อวานให้ผมฟังมันใช้เวลามากขึ้นนิดหน่อย การพูดคุยของเราใช้เวลานานพอสมควร แต่กลายเป็นว่าเช้านั้นเจ้าของบ้านเลี้ยงอาหารเช้า และมีขนมเค้กที่มีเม็ดมะม่วงหิมพานต์แทรกอยู่ในเนื้อกับน้ำหวานอีกขวดใหญ่เป็นของฝาก

     

     

    ไอ้ตอนแรกผมก็งงๆ ว่าทำไมเจ้าของบ้านถึงได้ใจดีกับผมนัก จนเมื่อผมจะเดินออกจากบ้านของเขา ความต้องการที่แท้จริงจึงถูกเปิดเผยออกมา “ เป็นไปได้ไหมว่าวันนี้พวกเราจะได้กินในสิ่งที่คุณทำมาให้เราแบบเมื่อวานอีกซักครั้ง ครอบครัวของผมประทับใจมันมาก ถ้าไม่รบกวนอยากให้มีมากกว่าเดิมซักหน่อย ”

     

    เรื่องของเรื่องคือเมื่อวานอร่อยไม่พอนั่นแหละ

     

    เมื่อเอาประเด็นนี้มาคุยผมก็เลยถามกลับไปว่า อาหารในครัวเขาเป็นคนดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายหรือเปล่า เจ้าของบ้านตอบกับผมว่า เนื่องจากอาหารเป็นสิ่งที่มีค่าใช้จ่ายมากเขาไม่สามารถเลี้ยงคนที่อยู่ในห้องพักได้ ดังนั้น ค่าอาหารในแต่ละมื้อ พวกคนในห้องเช่าจะช่วยกันออกเงินเพื่อให้ได้อาหารที่พอจะกินได้อิ่มท้อง นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงต้องหาอาหารกินเอง 

     

    พอได้ยินแบบนั้น ผมก็เลยบอกกับเจ้าของบ้านว่า ผมสามารถทำให้ได้ แต่พวกส่วนประกอบในการทำน้ำจิ้มต้องรบกวนเจ้าของบ้านช่วยหามาให้ เนื่องจากถ้าผมไปเอาของคนอื่นๆในครัวมาทำ มันจะเป็นการรบกวนพวกเขา สำหรับปลาผมไม่สามารถรับปากได้ว่าจะได้มาเท่าเมื่อวานหรือไม่ เพราะการออกไปหาปลามันเป็นเรื่องดวง บางทีมันก็ได้น้อย เมื่อวานผมแค่มีโชคมันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ

     

    เจ้าของบ้านเสนอว่าผมควรไปจ่ายตลาดกับเขาแทนที่จะต้องออกไปตกปลา ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับวิธีนี้ แต่ผมอยากให้เขารอก่อน เพราะผมมีใครบางคนที่อยากไปพบ เพื่อขอบคุณสำหรับอวนที่เขาให้ผมยืมเมื่อวาน เจ้าของบ้านยอมผมในเรื่องนั้น แม้ไม่ค่อยเต็มใจนัก 

     

    ผมไม่รู้ว่าเขาห่วงความปลอดภัยของผม หรือกลัวจะพลาดสิ่งที่เขาจะได้กินในตอนเย็นกันแน่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

     

    ผมเอาขนมเค้กและน้ำหวานที่เพิ่งได้มา ไปให้กับไอ้ตัวแสบที่เพิ่งเจอเมื่อวาน แต่แล้วก็เจอกับเรื่องเดิมๆ 

     

    ผมโดนไอ้พวกนั้นล้อมหน้าล้อมหลัง พวกมันบอกให้ผมส่งของที่ถือมาให้กับพวกมัน ไอ้คนพวกนี้บางทีก็เสียนิสัย เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เรายอมหรือแสดงอาการว่าเป็นรอง พวกมันก็จะหาเรื่องเอาเปรียบเราอยู่เรื่อยๆ มันยากจริงๆที่จะเลี่ยงการกระทบกระทั่ง ใจผมคิดว่าคงเลี่ยงการตีกันกับไอ้พวกนี้ไม่พ้น

     

    แต่ก่อนที่ผมจะได้ลงมือ รองเท้าคู่หนึ่งก็ลอยเข้ามากลางวง โดนหัวไอ้ลูกพี่ใหญ่อย่างแม่นยำ ตามมาด้วยเสียงแผดด่าจากผู้หญิงคนหนึ่ง วงล้อมในวันนี้แตกออก พวกนักเลงโตทั้งหลายทำหน้าเหรอหรา มันเป็นภาพที่ตลกไม่น้อย เมื่อแม่ของไอ้หนู เดินแหกกลางวงล้อมเข้ามาพร้อมด้ามไม้กวาดในมือ ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆแม่จะโดนนางหวดด้วยด้ามไม้กวาด แล้วแม่ก็ไม่ได้ฟาดแบบเล่นๆ เสียงดังป๊าบ! แน่นๆ จนไอ้คนที่โดนสะดุ้งโหยง ไอ้ลูกพี่ใหญ่หันไปมองกลุ่มลูกน้องที่ค่อยๆเดินห่างออกไปและค่อยๆทยอยกลับไปตั้งหลัก

     

    มันพยายามจะเถียงผู้หญิงที่สูงวัยกว่า แต่เธอสวนมันด้วยเสียงแผดด่า และหวดมันด้วยไม่กวาดเข้าที่น่อง จนมันเองก็ต้องกึ่งวิ่งกึ่งเดินหนีให้ห่างอาวุธวิเศษที่อยู่ในมือเธอ ผมพยายามกลั้นหัวเราะเพื่อรักษาหน้าไอ้ลูกพี่นักเลงขาใหญ่เจ้าถิ่น

     

    หลังจากที่พวกมันไปกันจนหมดก็กลายเป็นผมที่โดนเธอดุ อย่างไรก็ตามแววตาของเธอที่มองมาทางผมไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนตอนไล่หวดนักเลงพวกนั้น ผมยื่นถุงขนมเค้กและน้ำหวานให้เธอ และทำมือต่ำๆตามขนาดความสูงของไอ้เด็กคนเมื่อวาน เธอแอบแง้มดูสิ่งที่ผมยื่นให้และเข้าใจถึงความต้องการของผมในทันที

     

    ผมโค้งให้เธอเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ ก่อนจะเดินจากมา

     

    ไม่ว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นใครก็ตาม สำหรับในชุมชนนี้ เธอคงมีความสำคัญมากพอดู

    นี่เหมือนเป็นครั้งแรกที่ผมไม่ต้องใช้ความรุนแรงใดๆในการแก้ไขปัญหา จริงอย่างที่เขาว่า มันยังมีหนทางอื่นๆในการจัดการกับสถานการณ์ที่เราควบคุมไม่ได้ และการเลือกที่จะมีน้ำใจกับคนอื่นบ้าง มันก็อาจจะทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น

     

    แม้จะไม่ใช่ทุกครั้งก็ตาม

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×