ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Even the world is crumbling / ต่อให้โลกย่อยยับ

    ลำดับตอนที่ #138 : การโจมตีของออชิเดน และการโต้กลับของพวกใต้ดิน 1

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.51K
      167
      7 มี.ค. 62

    ผมยืนอยู่ที่ดาดฟ้าของเรือ มองเฮลิคอปเตอร์ สามลำค่อยๆทยอยบินขึ้นฟ้า และทางไปออกไปทางทิศตะวันออก ลำสุดท้ายกำลังออกตัว ผมเห็นว่ามีทหารจำนวนหนึ่งเดินทางไปด้วย พวกเขานำเอาอุปกรณ์ขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งติดไปกับแมลงปอเหล็กตัวใหญ่ ใบพัดขนาดใหญ่ที่สร้างลมกรรโชกอย่างรุนแรง ค่อยๆ ยกตัวขึ้นเหนือลำเรือ

     

    แม้จะเป็นการทำสงครามที่ดูเหมือนจะมีความปลอดภัย กับชีวิตของทหารจำนวนมาก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาคลายความวิตกกังวลลงเลยแม้เพียงเล็กน้อย ไม่มีใครหัวเราะหรือมีทำงานอย่างเอื่อยเฉย ความมุ่งมั่นและมีสมาธิกับสิ่งแต่ละคนทำอยู่ เป็นสิ่งที่ผมสัมผัสมันได้ แม้เราจะอยู่กันท่ามกลางความเวิ้งว้างของท้องน้ำ

     

    ผมรู้สึกกลายเป็นส่วนเกินขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ไม่มีใครสนใจการมีอยู่ของผมอีกแล้ว ณ ที่ตรงนี้

     

    จริงอยู่ว่ามันเป็นสิ่งที่ผมต้องการแต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกเบื่อ  

     

    ทหารที่ชื่อ คล้าก ก็ไม่อยู่แล้ว ทุกคนบนเรือมีงานต้องทำยกเว้นผม

     

    ตัดสินใจผมเดินกลับไปนอนต่อ ทั้งๆที่แสงแดดเพิ่งเริ่มปรากฏบนท้องฟ้า ผมไม่ต้องการรบกวนคนพวกนั้นการอยู่ตามลำพังเงียบๆน่าจะเป็นเรื่องที่ถูกที่ควร ผมไม่ค่อยอยากยอมรับว่า บรรยากาศที่เกิดขึ้นคุ้นเคยอย่างประหลาด ...... มันเป็นการเตรียมพร้อมอย่างเงียบๆ....ก่อนที่เรื่องร้ายๆจะเกิดขึ้น

     

    หลังจากนั้นอีกหลายชั่วโมงผมถูกความหิวปลุกให้ตื่น หลังจากที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาจนเผลอหลับ

     

    ผมล้างหน้าล้างตาเพื่อขับไล่ความง่วงที่ยังคงหลงเหลือ

     

    เมื่อก้าวออกจากห้อง ผมพบว่าขณะนี้เป็นเวลากลางคืน มีบางอย่างแปลกไปจากเมื่อวานเล็กน้อยในตอนนี้... ผมไม่ได้ยินเสียงพูดคุยหรือฝีเท้าจากใครๆบนเรือลำนี้เอาเลย มันเหมือนกับทุกๆคนหายไปจากเรืออย่างกะทันหัน ผมพยายามไม่สติแตกกับความเงียบและบรรยากาศหลอนๆที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

     

    แต่สำหรับผม การหาอะไรกินก่อน ดูจะสำคัญกว่าเรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้นในตอนนี้

     

    ผมก้าวเท้าไปยังทางเล็กๆในตัวเรือขนาดมหึมา แม้ผู้คนจะหายไปแต่เสียงเครื่องจักรยังคงทำงานของมันต่อไปตามปกติ เพียงแต่ผมไม่เห็นคนทำงานเหลืออยู่ ผมออกนอกเส้นทางเล็กน้อยไปยังห้องเล็กแห่งหนึ่งที่คล้ากเคยแวะเข้ามาทักทายเพื่อนของเขา ในครั้งแรกที่คล้ากพาผมเข้าห้องพัก ก่อนหน้านี้ในห้องนั้นมีคนทำงานอยู่กลุ่มหนึ่ง บรรยากาศภายในห้องค่อนข้างวุ่นวาย ผมไม่แน่ใจว่าคนในห้องนั้นหรือห้องนั้น ทำหน้าที่อะไรบนเรือลำนี้ แต่ผมคิดว่ามันน่าจะพอมีใครเหลืออยู่ แต่ปรากฏว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไป ผมกลับไม่เห็นใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ทุกอย่างเหมือนเกิดขึ้นกะทันหัน งานบางอย่างยังถูกทิ้งเอาไว้แม้จะทำไม่เสร็จ ผมเห็นแก้วกาแฟที่ยังอุ่น และพร่องลงเพียงเล็กน้อยซึ่งนั่นหมายความว่ามีเรื่องด่วนที่ทำให้พวกเขาทั้งหมดต้องทิ้งสิ่งที่ทำอยู่ชั่วคราว ......อย่างไรก็ตามมันไม่น่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงอะไร

     

    ที่คิดแบบนั้นเพราะตอนนี้ ผมยังมองไม่เห็นเยาะแสจากความโกลาหลหรือความรีบร้อน

     

    ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ เพียงแค่พวกเขาทั้งหมดหายตัวไปเฉยๆ จนกระทั่งผมเดินไปถึงแคนทีนของเรือถึงพบว่าคนเกือบทั้งหมด มานั่งรวมกันอยู่ในโรงอาหาร พวกเขานั่งมองจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ทุกแห่งภายในโรงอาหาร พวกเขาทั้งหมดเหมือนกำลังโดนสะกดจิต ทุกคนจับจ้องไปยังหน้าจอโทรทัศน์ไม่เว้นแม้กระทั่งคนครัว

     

    บางคนที่อยู่ตรงนั้นเหลือบมองผมเล็กน้อย ส่วนพอครัวตะโกนบอกผมว่าอยากกินอะไรไปหยิบเอาเลย ก่อนที่ทุกคนจะหันกลับไปจดจ่อกับภาพในจอแทน

     

    การโจมตีเปิดฉากขึ้นแล้ว...!

     

    ภาพที่เห็นมาจากกล้องที่ยูนิตแต่ละตัวติดตั้งเอาไว้ ถึงตรงนี้อาวุธที่พวกเขาส่งออกไปยังทำงานของมันได้อย่างไม่มีที่ติ พวกใต้ดินถูกบุกโจมตีโดยไม่ทันตั้งหลัก จากปืนกระบอกเล็กๆที่ติดตั้งอยู่ภายในหุ่นรบเหล่านั้น แต่นั่นไม่ใช่ความได้เปรียบเดียวที่ออชิเดนมี อาวุธกรดและควันพิษที่เคยใช้ได้ผลกับผม มันแทบไม่สามารถหยุดการโจมตีใดๆของนักรบโลหะพวกนั้นได้แม้แต่น้อย

     

    สิ่งที่น่าแปลก คือกองทัพพวกกินคน ไม่ได้มีบทบาทอะไรกับการต่อสู้ในครั้งนี้ ดูเหมือนพวกมันจะหวาดกลัวการปะทะกันระหว่าง ออชิเดนและพวกใต้ดินจนไม่ได้ปรากฏตัวออกมาเหมือนทุกๆครั้ง

     

    ความเสียหายนี้ทำให้พวกใต้ดินเป็นฝ่ายล่าถอยอย่างเห็นได้ชัด

     

    หุ่นหนอนยักษ์ที่พวกมันใช้ถล่มเราในหลายๆครั้งตอนนี้กลายเป็นซากเพราะอาวุธและแรงระเบิด

     

    ปืนของออชิเดนแตกต่างจากปืนอื่นๆที่ผมเคยเห็น มันเจาะผ่านร่างของพวกใต้ดินสามถึงสี่ตัว จากการยิงเพียงครั้งเดียว ซึ่งสิ่งที่ถูกยิงออกไปไม่ใช่ลูกกระสุนแต่เป็นก้อนหินและวัตถุแข็งๆที่มีอยู่ตามพื้น ทหารคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังในขณะที่ผมนั่งติดกันกับเขา ปืนชนิดนี้ถูกเรียกว่าเรลกัน ผมไม่ถามว่ามันทำงานยังไง แต่เท่าที่เห็นกระสุนปืนไม่จำเป็นต้องมีดินประสิวเพื่อสันดาป เหมือนกระสุนปืนทั่วๆไป

     

     

    เวลาผ่านไปราวๆ สามชั่วโมง ทุกๆคนตรงนั้นได้ยินเสียงประกาศชัยชนะครั้งแรกจาก เครื่องกระจายเสียง มันทำให้คนบนเรือโห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง     

     

    ถ้าทุกอย่างยังดำเนินไปในลักษณะนี้ ผมคิดว่าพวกใต้ดินคงถูกกวาดล้างในไม่ช้า...

     

    ทุกๆคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองในแต่ละแผนก หลังการต่อสู้ยกแรกจบลงอย่างไม่เป็นทางการ ยูนิตในสนามรบยังคงทำงานของมันต่อไป ผมเป็นคนเดียวที่ยังนั่งมองการสู้รบที่เกิดขึ้น เพราะของกินในจานยังไม่หมด แถมยังไม่มีอะไรทำเหมือนคนอื่นๆบนเรือ

     

    แต่นี่ไม่ควรเรียกว่าสงคราม มันเหมือนกับทำร้ายฝ่ายตรงข้ามอยู่ข้างเดียวมากกว่า ยุทธวิธีของออชิเดนเป็นเรื่องที่น่าทึ่งสำหรับผม พวกเขาส่งหุ่นกระป๋องออกไปซัดกับศัตรู โดยที่ตัวเองคอยสั่งการอยู่ห่างจากจุดปะทะชนิดที่คู่ต่อสู้ไม่สามารถตามมาเอาคืนได้

     

    มันมันเหมือนคงตาดีต่อยกะคนตาบอดยังไงยังงั้น ผมไม่เห็นทางที่พวกใต้ดินจะเอาชนะออชิเดนได้เลยมาสภาพนี่ ก็ไม่ต้องสืบ ยังไงซะ ออชิเดนก็จะได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ... แต่จะยืดเยื้อแค่ไหนผมก็ไม่ทราบ

    ผมยกตูดออกจากที่นั่ง เมื่ออาหารในจานไม่มีอะไรเหลืออยู่

     

    เช้าวันต่อมา ทหารบนเรือเริ่มผ่อนคลาย พวกและผมเชื่อมั่นว่าชัยชนะกำลังใกล้มาอย่างรวดเร็ว เมื่อวานหลังจากที่ผมหลับไปแล้ว เฮลิคอปเตอร์ที่บินกลับจากแนวปะทะได้นำเอากระสวยดำดิน ที่ผมเคยเห็นกลับมาด้วยอันหนึ่ง พวกใต้ดินเปลี่ยนแผนส่งไอ้พวกกินคนที่กลายเป็นสัตว์เลี้ยงออกมาต่อสู้แทน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกมันได้เปรียบ แม่ไอ้ตัวกินคนที่เป็นสัตว์เลี้ยงของพวกใต้ดินจะเก่งกว่าพวกกินคนปกติ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะออชิเดนไม่ได้ใช้มนุษย์เข้าสู้

     

    ไอ้สิ่งที่พวกใต้ดินพยายามส่งออกมาเพื่อเอาชนะการบุกโจมตี จึงกลายสภาพเป็นเศษเนื้อแทบจะในทันที 

     

    สำหรับในคืนที่สองพวกใต้ดินเริ่มหายไป การต่อสู้เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยระหว่าง ตัวกินคนที่เหลืออยู่บ้างในพื้นที่ พวกเขาพบเส้นทางใต้ดินและรู้ว่าบ้านของพวกมัน อยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลกหลายสิบกิโลเมตร ทำให้พวกเขาเตรียมการเพิ่มเพื่อสำรวจเส้นทางก่อนบุกเข้าไปยังที่อยู่อาศัยของไอ้พวกนั้น

     

    วันที่สาม พวกเขาพบว่า อาณาจักรของพวกใต้ดินมีเส้นทางเขาออก อยู่ตามเขตเมืองเก่าหลายแห่ง ณ จุดที่ผมพบพวกนั้นเป็นครั้งแรกเป็นเพียงหนึ่งในทางเขาจากอีกหลายๆเส้นทางที่พวกมันได้ทำเอาไว้ ดังนั้นออชิเดนจึงเริ่มขยายพื้นที่สู้รบออกไปอีกหลายๆแห่งเพื่อเอาชนะสิ่งมีชีวิตใต้พื้นดิน

     

    แผนของพวกเขาทำให้ผมอาจได้กลับบ้านเร็วขึ้นกว่าเดิมเนื่องจาก ฐานใหญ่ต้องส่งหุ่นรบเข้ามาเสริมตามจุดอื่นๆ  อย่างไรก็ตามหุ่นพวกนั้นไม่สามารถลงลึกเกิดกว่าระดับ 500 เมตร เนื่องจากความลึกเป็นอุปสรรคในการควบคุมหุ่นของพวกเขาจากระยะไกล และถึงแม้จะมีการเพิ่มความแรงของสัญญาณด้วยการทำเอาเครื่องช่วยเพิ่มแรงส่งไปตั้งไว้ใกล้ๆก็ไม่ได้ช่วยให้หุ่นรบลงไปได้ลึกมากกว่านั้น

     

    ในตอนเช้าของวันที่ 4  ผมเห็นหุ่นยนต์ที่อยู่ในแนวปะทะถูกขนกลับมาซ่อมและส่งหุ่นตัวใหม่ๆเข้าไปเสริมที่แนวรบ ด้วยเฮลิคอปเตอร์ สองลำบินสลับไปสลับมาตลอดเวลา ออชิเดนมั่นใจว่าพวกเขาสามารถจัดการกับสิ่งมีชีวิตใต้ดินได้โดยไม่ยากเย็นนัก เครื่องส่งสัญญาณ ถูกลำเลียง จากเรือไปยังส่วนที่ลึกลงไปใต้ดิน เพื่อให้ยูนิตเหล่านั้นยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับสนามรบบนพื้นดินไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้วพวกเขาควบคุมสถานการณ์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ

     

    แต่ขนาดและความซับซ้อนของโพรงถ้ำใต้ดิน มันกว้างใหญ่เกินกว่าจำนวนหุ่นรบที่พวกเขามี จะทำงานได้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด แกนกลางของอาณาจักรใต้พิภพยังคงอยู่อีกไกล

     

    ดูเหมือนสิ่งมีชีวิตใต้ดิน จะยินยอมให้พวกออชิเดนได้บุกเข้าไปเรื่อยๆ พวกมันไม่ได้ทิ้งอุปกรณ์หรือร่องรอยอะไรเอาไว้ให้กองทัพของออชิเดนได้ติดตาม ในช่วงเวลานี้การปะทะเกิดขึ้นบ้างเล็กน้อย ระหว่างพวกกินคนที่กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของสิ่งมีชีวิตใต้ดิน ซึ่งแทบไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆให้กับ หุ่นรบที่ถูกส่งลงไปแม้แต่น้อย

     

    จนกระทั่งวันสุดท้ายก่อนที่ผมจะได้กลับบ้าน ท้องทะเลเกิดพายุขนาดใหญ่ ทั้งๆที่อากาศก่อนหน้านั้นสงบเงียบมาตลอด ลมแรงและคลื่นยักษ์ทำให้เรือรบทั้งลำสั่นโคลง พวกเขาพยายามนำเรือออกไปให้พ้นจากใจกลางพายุ แต่นั่นไม่น่าตกใจเท่ากับสายฟ้า ที่ผ่าลงมายังตัวเรือบ่อยครั้ง  มันเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็มีใครบางคนพูดให้ผมได้ยินว่าสิ่งนี้คือ “ ฮาร์ฟ ” ซึ่งเป็นหนึ่งในอาวุธที่ออชิเดนเองนั่นแหละเป็นคนคิดมันขึ้นมา

     

    ความรุนแรงของพายุไม่อาจจมเรือ แต่นั่นก็เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เครื่องบินลำเลียง ไม่สามารถลงจอดบนตัวเรือได้ หลักการทำงานของ ฮาร์ฟ คือ การสร้างคลื่นความถี่สูงบนชั้นบรรยากาศ ในระดับความสูง 80 ถึง 100 กิโลเมตรเหนือพื้นดิน ทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปได้ตามที่พวกเขาต้องการ

     

    นี่เองทำให้การเดินทางกลับบ้านของผมล่าช้าออกไปอย่างน้อย ก็สองถึงสามวัน

     

    ตรงนี่ทำผมรู้สึกแหม่งๆ เพราะถ้าสภาพอากาศที่เกิดขึ้นนี้เป็นการโจมตีของพวกใต้ดิน....มันกระจอกเกินไป แต่ถ้าจะให้พูดว่าคิดอะไรกับเรื่องนี้ ผมว่าพวกนั้นพยายามซื้อเวลาเพื่อเอาคืนจากการบุกโจมตีของออชิเดน

     

    แต่ประเด็นนี้ของผมมันไม่มีเหตุผลรองรับหรอกนะ ..  สัญชาติญาณล้วนๆ

     

    แต่ในที่สุด มันก็เกิดขึ้นจริงๆ 

     

    หลังจากจากที่คลื่นลมสงบลง ในขณะที่ผมกำลังจะกลับบ้าน เหลืออีกเพียงไม่กี่ชั่วโมง ซัพพลายที่พวกเขาต้องการก็จะบินมาลงจอด  แต่ก่อนหน้านั้นเพียงเล็กน้อย เฮลิคอปเตอร์จากแนวปะทะมาถึงก่อน มันลำเลียงเอายูนิตที่ต้องการ การซ่อมบำรุงกลับมาเหมือนกับทุกๆครั้ง

     

    ทหารที่ไม่กลัวตาย ไม่เหนื่อย ไม่บ่น และเป็นสิ่งที่คนพวกนั้นเชื่อมั่นว่าจะไม่มีการหักหลัง กลับถูกแทรกแซงระบบควบคุม ในขณะที่มันทำหน้าที่บุกลงไปยังโลกใต้พื้นดิน เรื่องนี้ไม่มีใครคิดถึงมาก่อน มันเหมือนนิทานโลกเก่า ที่ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับม้าไม้เมืองทรอยด์ ซึ่งชาวสปาร์ต้าใช้เล่นงานชาวโทรจันหรือทรอยด์นั่นแหละ     

    หุ่นกระป๋องที่ถูกลำเลียงลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ โดนย้ายเอาไปเก็บในโรงซ่อมเพื่อรอการจัดการ ตามปกติ แต่พอเครื่องบินซัพพลาย ลดเพดานบินลงมาจอด กลายเป็นว่า ทั้งหุ่นที่อยู่บนเรือและหุ่นที่เพิ่งเอามาใหม่ ต่างบุกตะลุยทุกชีวิตที่พวกมันพบ

     

    ทหารของออชิเดนที่ไม่ทันตั้งตัวจึงมีสภาพไม่ต่างจากพวกกินคนที่โดนจัดการจนกลายเป็นเพียงเศษเนื้อ

    ...มันเกินขึ้นเร็วมากจนไม่มีใครทันระวังตัว

     

    ผมกำลังจะก้าวขาขึ้นบนเครื่องบินอยู่แล้ว แต่จู่ๆสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น พร้อมๆกับหันไปเห็นทหารที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ ถูกเป่าหัวระเบิดต่อหน้าต่อตา   ยัยมิเรียมที่เดินมาส่ง กรี๊ดแตก ผมลากเธอขึ้นไปหลบบนเครื่องบิน แต่ก็พบว่า นักบินทั้งคู่ตอนนี้ก็เละไม่ต่างจากศพแรกข้างนอก

     

    ไอ้หุ่นบ้านั่นนิสัยเดียวกับคนสร้างมันขึ้นมาชนิดถอดแบบ ... ยิงก่อนคุยทีหลัง

     

    ผมตัดสินใจจับมิเรียมโยนลงทะเลโดยไม่ขออนุญาต เพราะบนเครื่องบินลำนั้นมีหุ่นรบอยู่เป็นสิบ พวกมันยิงใส่เราอย่างไม่ลังเล ที่ร้ายที่สุดคือเฮลิคอปเตอร์จากแนวปะทะซึ่งบินตามมาที่หลังถูกยิงร่วงด้วยขีปนาวุธ บนเรือรบของพวกเขาเอง

     

    ลูกไฟขนาดใหญ่เกิดขึ้นกลางอากาศ และตกลงสู่พื้นน้ำอย่างรวดเร็ว

     

    ถึงตรงนี้แม้จะมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างบนเรือ แต่ผมก็พอจะเดาออก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×