ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Even the world is crumbling / ต่อให้โลกย่อยยับ

    ลำดับตอนที่ #137 : จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งสุดท้าย 3

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.31K
      163
      21 ก.พ. 62

      ตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะจบ ออชิเดนตัดสินใจส่งผมกลับบ้าน ที่ต้องทำก็แค่รอให้เครื่องบินสนับสนุน นำเอาเสบียงและสิ่งอื่นๆมาส่งในครั้งต่อไป...ซึ่งก็ไม่น่าจะเกิน 7 ถึง 9 วัน ผมก็จะได้กลับบ้าน ทิ้งเรื่องทั้งหมดเอาไว้เป็นแค่เพียงความทรงจำ

     

     ตอนแรกก็รู้สึกเสียวๆที่เล่าเรื่องที่เคยเจอ ให้กับคนพวกนี้ฟัง เพราะหลังจากที่บอกไปแล้วมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะกังวลเรื่องความปลอดภัย  แต่ในที่สุดเรื่องที่ผมกังวลมันก็ไม่เกิดขึ้น อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ...ผมคิดว่ามันขัดแย้งกับประสบการณ์เดิมๆนิดหน่อย เพราะในตอนแรกผมมองคนพวกนี้ว่าเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจ

     

    ซึ่ง......กลายเป็นว่ามันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไปซะทุกเรื่อง บางทีถ้าเจอกับพวกเขาในสถานการณ์อื่น ผมอาจจะกลายเป็นเพื่อนกับคนพวกนี้ได้อย่างสนิทใจ เพราะหลายๆคนที่นี่ก็ดูน่าคบมากกว่าที่คิด

     

    เพียงแต่ ความรู้สึกไม่เชื่อถือถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะลืมได้ง่ายๆเช่นกัน

     

    ผมหมดธุระที่จะต้องพูดคุย  พวกเขาให้ทหารคนหนึ่งพาผมไปยังห้องพัก แต่ผมเห็นว่าคนอื่นๆ ยังไม่ได้เดินออกมาจากห้อง แม้กระทั่งมิเรียม คนพวกนั้นน่าจะประชุมกันต่อ เพื่อวางแผนสำหรับการบุกลงไปยังโลกใต้ดิน

     

    เอาเหอะผมพอแล้วสำหรับความวุ่นวาย ตอนนี้ผมจดจ่ออยู่กับการรอเครื่องบินส่งเสบียง เพื่อใช้เดินทางกลับบ้านมากกว่าจะไปยุ่งกะปัญหาของใคร

     

    ผมหวังว่าหลังจากนี้ไป ชีวิตผมมันคงง่ายขึ้น.....หวังว่างั้นนะ

     

    ในระหว่างเดินทางกลับห้องพัก ผมเดินสวนทางกับทหารกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังทยอยขนอุปกรณ์บางอย่างที่มีลักษณะเหมือนลูกบอลจำนวนมาก และกำลังจะเอาไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ผมถามทหารที่นำทางผมไปยังห้องพักว่าสิ่งที่พวกนั้นกำลังขนย้ายอยู่มันคืออะไร หมอนั่นตอบผมว่า มันคือหุ่นยนต์ที่ใช้สำหรับสอดแนมและสำรวจภูมิประเทศ ผู้ชายที่พาผมไปยังห้องพัก ดูเขาจะภูมิใจกับกองทัพของเขามาก

     

    เขายังเล่าให้ผมฟังอีกว่า ด้วยรูปแบบการทำงานที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้มันทำให้ทุกๆการรบ การสูญเสียกำลังพลจะเกิดขึ้นน้อยมาก ออชิเดนให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและชีวิตของทหารเป็นอันดับแรก ดังนั้นพวกเขาจึงทุ่มเทความพยายามไปกับการสร้างเทคโนโลยีในด้านต่างๆที่ทำให้ได้เปรียบทวีปอื่นอยู่ก้าวหนึ่งเสมอ

     

    เอาจริงๆผมว่าวิธีคิดนี้ดีนะ ดูจากเรือลำนี้ที่คล้ายกับฐานทัพกลางทะเล มันก็เห็นภาพกว้างๆได้ว่า พวกเขาเลือกวิธีการที่ทำให้ตัวเองได้เปรียบมากที่สุด ถ้าเกิดออชิเดนต้องการทะเลาะกับบาเบลทูอย่างเต็มรูปแบบ ผมยังมองไม่เห็นทางเลยว่าบาเบลทูจะเอาชนะเรือลำนี้ได้ยังไง แค่หาวิธีข้ามน้ำมากบวกด้วยก็ปวดหัวแล้ว

     

      ไม่ใช่ว่าเทคโนโลยีของบาเบลทูจะด้อยกว่ามากมาย เพียงแต่รูปแบบความคิดของเมืองเมืองนั้น เน้นไปที่การตั้งรับและค่อยๆขยายพื้นที่ออกไปช้าๆ พวกเขาไม่ได้มีเทคโนโลยีสำหรับบุกเข้าโจมตี หรือการรบในเชิงรุกเหมือนอย่างที่ออชิเดนมี บาเบลทูคงมองว่าศัตรูจริงๆ น่าจะเป็นพวกกินคนมากกว่ามนุษย์ด้วยกัน ก็เลยไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรนักกับรูปแบบการโจมตีเชิงรุก ซึ่งนั่นกลายเป็นจุดอ่อนที่ร้ายแรง หากต้องทำสงครามกับมนุษย์ด้วยกัน

    ...

    ห้องพักของผมอยู่ในส่วนท้ายเรือ ด้วยความที่เป็นเรือลำใหญ่ ไอ้คนที่พาผมไปก็เลยถามผมว่าอยากจะกินอาหารเที่ยงก่อนเข้าห้องนอนรึเปล่า เพราะเวลาในตอนนี้ใกล้บ่ายเต็มที จะได้ไม่ต้องเสียเวลากลับไปกลับมาบ่อยๆ ผมเห็นด้วยตามนั้น แต่ไม่ใช่เพราะผมรู้สึกหิว ผมแค่ไม่อยากนอนเฉยๆในห้องคนเดียว        

     

    ที่สำคัญในเรือลำนี้ยังมีอย่างอื่นที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นอยู่อีกหลายเรื่อง

     

    แต่ดูเหมือนไอ้หมอนี่ จะดีใจจนออกนอกหน้า ที่ผมแสดงออกว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด สุดท้ายพี่แกก็สารภาพออกมาว่า แกวุ่นวายอยู่กับกลุ่มผู้บัญชาการ จนยังไม่มีเวลาหลบออกมากินอะไรตั้งแต่เมื่อเช้า

     

    สรุปง่ายๆก็คือ เอาหน้าที่พี่เลี้ยงบังหน้า เพื่อหลบมาหาอะไรกินนั่นเอง.....

     

    แต่ก็นะพวกในห้องประชุมนี่ก็รู้จักใช้คนไม่เบา ไอ้หมอนี่ดูไม่มีพิษมีภัย และสนิทกับคนอื่นๆได้ง่ายๆอีกด้วย มันไม่ได้บอกชื่อของมันให้ผมทราบหรอก และแม้ว่าผมจะไม่อยากรู้เท่าไหร่ว่าพี่แกชื่ออะไร แต่สุดท้ายก็รู้อยู่ดี   คล้ากคือชื่อที่ทุกคนเรียกหมอนี่ ไม่ว่าจะเดินสวนกับใครพี่แกก็รู้จักเขาไปเสียหมด  อาจเพราะเป็นคนอัธยาศัยดี.... แถมพูดมากอีกต่างหาก  

     

     แต่นั่นก็ทำให้ผมได้รู้อะไรจากเขาอีกเยอะ

     

    ยกตัวอย่าง เจ้าลูกบอลเมื่อครู่ หรือของเล่นชิ้นใหม่อย่างยูนิตรบที่ใช้เอไอควบคุมอย่างเต็มรูปแบบ ผมเคยเห็นชุดหุ่นยนต์ที่ทหารออชิเดนสวมใส่เพื่อเพิ่มความสามารถของร่างกายมาก่อน ผมเลยถามพี่แกไปว่ามันต่างกับไอ้ชุดที่ผมเคยเห็นยังไง คล้ากเล่าให้ฟังว่าจริงๆแล้วมันก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่ยูนิตแบบใช้คนสวม มีปัญหาเรื่องข้อจำกัดทางกายภาพของคนสวม ซึ่งระบบเอไอมันไม่มีความล้าเหมือนกับคน และสามารถใช้ตัวเก็บพลังงานที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ ทำให้ใช้ได้นานกว่ายูนิตรุ่นเดิม แต่การมีตัวเก็บพลังงานขนาดใหญ่  มันมีผล ทำให้เกิดความร้อนสูง สร้างปัญหาให้กับคนควบคุม ทำให้ต้องตัดคนสวมทิ้งและใช้การควบคุมระยะไกลเข้าช่วยแทน

     

    ผมนั่งฟังคล้ากเล่าจนเพลิน หมอนั่นถามผมกลับถึงเรื่องที่ผมเคยเป็นทหาร

     

     

    ผมบอกกับเขาไปตามตรงว่าผมเป็นแค่ทหารที่ประจำหน่วยลำเลียงไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับกองทัพมากนัก ที่พอจะบอกได้ถึงความแตกต่างระหว่างออชิเด็นกับบาเบลทูก็คือ บาเบลทูจะให้ความสำคัญกับพวกเหนือมนุษย์ ..... ซึ่งถ้าไม่มีปัญหาเรื่องคิวบ์มาสร้างความบาดหมาง บาเบลทูอาจมีกองทัพเหนือมนุษย์ที่น่ากลัวเลยทีเดียว  มันแตกต่างจากบาเบลทูที่ให้ความสำคัญไปทางอาวุธและอุปกรณ์เสริม

     

      เขายังถามผมต่อ ว่าทำไมกองทัพของเขาและบาเบลทูถึงให้ความสำคัญกับผมนัก ทั้งๆที่ผมเองก็เป็นแค่พลทหารส่งของ ซึ่งผมก็ตอบไปสั้นๆว่า  

     

    ผมเป็นคนดวงซวยที่อยู่ผิดที่ผิดทางเป็นประจำ

     

    อาหารมื้อนั้นไม่ใช่อะไรที่ต้องเร่งรีบ ผมนั่งคุยกับหมอนั่นอยู่นาน ต้องยอมรับว่าคล้ากเป็นคนตลกใช้ได้ ผมหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัวหลายครั้ง ผมรู้สึกดีนะที่ได้หัวเราะออกมาบ้างจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่มีอารมณ์สบายๆแบบนี้มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่

     

    หลังมื้ออาหารผมก็ถูกพาไปส่งที่ห้องเล็กๆตามแบบฉบับห้องพักของทหารบนเรือ....ความปลอดโปร่งที่ได้จากหมอนั่นทำให้ผมหลับไปโดยไม่รู้สึกว่าต้องระมัดระวังตัวมากเท่ากับช่วงก่อนหน้านี้

     

     

     

     

    ราว 6 หรือ 8 ชั่วโมงหลังจากนั้น...ผมถึงถูกคล้าก ปลุกให้ลุกขึ้นมากลางดึก แม้จะอยู่ในสภาพที่ยับเยินและงัวเงีย แต่หมอนั่นขอร้องให้ผมรีบตามมันไป คล้ากบอกกับผมว่า ศูนย์บัญชาการ อยากให้ผมไปหาด่วน ซึ่งการถูกปลุกในเวลาแบบนี้มันทำผมหงุดหงิด ผมคิดว่าผมได้บอกทุกเรื่องที่พวกเขาอยากจะรู้ไปหมดแล้ว มันไม่น่าจะมีอะไรที่ผมต้องเข้าไปยุ่งกับเรื่องที่พวกเขาทำอีก แต่สุดท้ายความสงบสุขของผมก็ถูกรบกวนจนได้

     

    หลังจากล้างหน้าล้วงตาลวกๆ และซัดกาแฟเข้าไปอีกแก้ว ผมก็ถูกคล้ากพามาส่ง ยังห้องควบคุม..เราเดินอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของทหารหลายจำนวนมากที่กำลังทำอะไรบางอย่างกับหุ่นยนต์ที่คล้ากเล่าให้ฟังเมื่อตอนกลางวัน

     

     

    “ พวกเขากับลังทำอะไร ” ผมถามคล้าก

    “ เรากำลังจะบุกฐานของพวกใต้ดินนะซิ ” คล้ากบอกบอกกับผม

    “ เวลานี้เนี้ยนะ”

    “ ใช่ ....ก็ที่ศูนย์บัญชาการสั่งมาแบบนั้น ”

    ....

     

    เราไปถึงจุดหมายหลังจากนั้นอีกไม่นานเท่าไหร่ แต่เมื่อเข้าไปถึงห้องทำงานของคนพวกนั้น กลับกลายเป็นผมเอง ที่ต้องตะลึง  เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า .. พวกเขาสร้างภาพโลโลแกรมเสมือนจริงขึ้นมาได้อย่างละเอียด มันยิ่งกว่าที่มิเรียมเคยให้ผมใช้ตอนที่อยู่ในซากหอคอยบาเบลทู

     

    เหมือนพวกเขาย่อขนาดพื้นที่ตรงนั้น และเอามาวางไว้ที่นี้ ชนิดว่าไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากสถานจริงแม้แต่น้อย

    “ พวกคุณทำไอ้นี่ออกมาได้ยัง ” ผมถามอย่างตื่นเต้น

     

    หลายคนตรงนั้นได้แต่ยิ้มแต่ไม่มีใครคิดจะอธิบาย ทุกคนอยู่ในสภาพอิดโรยสุดๆ แม้กระทั้งมิเรียมที่แอบเอาคอพิงกำแพงห้องยืนหลับ ... ผมคิดว่าตัวเองดูแย่แล้วนะ แต่คนพวกนี้สารรูปดูไม่ได้ยิ่งกว่าผมซะอีก

     

    คล้ากกระซิบเบาๆว่าที่เห็นนั่นเกิดขึ้นจากลูกบอลที่ผมถามเขาไปว่ามันคืออะไร

     

    “ ต้องขอโทษที่รบกวนให้มา ในเวลาแบบนี้ แต่มีบางอย่างที่เราจำเป็นต้องให้คุณช่วย ”  ชายชราที่ผมคิดว่าเป็นผู้บัญชาการพูดกับผมด้วยเสียงแผ่วๆ

    “ บอกมาเถอะผมรับปากแล้วว่าจะช่วย ”

    “ แคปเจอร์บอลที่เราโปรยเอาไว้ มีบางจุดที่ไม่แสดงผล  เราคิดว่ามันเป็นเพราะพื้นที่บางส่วน เป็นพื้นที่อับสัญญาณ เราเลยอยากรู้ว่า คุณพอจะช่วยบอกเราเกี่ยวกับพื้นที่ที่เครื่องมือของเราไม่ทำงานได้บ้างรึเปล่า ”

     

    ผมมองพื้นที่จำลองที่เห็นอยู่ตรงหน้า และพยายามทบทวนความจำแต่มันไม่เกิดประโยชน์อะไรนักเนื่องจากพื้นที่ที่ผมผ่าน มันปรากฏอยู่ในแผนที่สามมิติของพวกเขาทุกตำแหน่ง

     

    “ ที่สุดท้ายที่ผมหนีออกมา คือที่ตรงนี้ ความจริงแล้วมันมีจุดที่น่าจะลึกกว่าแต่ผมไม่ได้เข้าไป ” ผมชี้จุดที่พวกนั้นเคยใช้จับสิ่งมีชีวิตประเภทต่างๆขังเอาไว้

    “ ท่านค่ะบางทีเราอาจต้องเปลี่ยนแผน การบุกเข้าไปตรงๆอาจได้ไม่คุ้มเสีย แต่ถ้าเราสามารถตัดแหล่งอาหารของพวกมันได้และตรึงพื้นที่เอาไว้ให้นานพอ เราอาจมีโอกาสที่ดีกว่า ” มิเรียมพูดออกมาทั้งๆที่ตาของเธอยังคงปิดสนิท

    “ ผมก็อยากจะทำแบบนั้นมิเรียม แต่เราใช้เวลานานขนาดนั้นไม่ได้ คุณอย่าลืมว่าเรากำลังรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ขอบาเบลทู ผมไม่อยากมีปัญหากับพวกเขาอีกแล้ว ” ชายสูงวัยตอบ

    “ มีอีกทางเลือกที่แนะนำค่ะ เราอาจต้องลำเลียงเครื่องรับส่งสัญญาณขนาดใหญ่เข้าไปในพื้นที่ อุปกรณ์ที่เราส่งไปจะทำงานได้ดีขึ้น ”

    “ แบบนั้นก็ดี แต่สัญญาณที่แรงขึ้นจะไม่ทำให้บาเบลทูเขารู้ตัวรึ ”

     

    มิเรียมกัดเล็บ

    “ อาจต้องส่งหุ่นรบเข้าไปและพยายามเก็บข้อมูลกลับออกมาแทนค่ะ ถ้าใช้วิธีนี้เครื่องรับสัญญาณต้องเปลี่ยนเป็นเชื้อจำนวนมากสำหรับยูนิตพวกนั้นแทน ”

    “ ผมเห็นด้วยกับวิธีนี้ แต่ การเอาของไปมากขนาดนั้น คุณคิดเอาไว้รึเปล่าว่าเราควรเก็บพวกมันไว้ตรงไหนเพื่อไม่ให้ บาเบลทูตรวจพบ ”

    “ อุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ทางทิศตะวันออกน่าจะดีที่สุดค่ะ ” มิเรียมพูดอีกครั้ง

    “ ตกลงตามนั้น พาวเวลล์ คุณช่วยออกคำสั่งให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องติดเครื่องบันทึกข้อมูลให้กับยูนิตที่กำลังจะออกปฏิยัติการด้วย ”

     

    ชายชื่อพาวเวลล์ ตบเท้ายืนตัวตรงแทนการรับคำสั่งก่อนจะเดือนออกจากห้องไป

     

    “ ท่านทั้งหลาย ผมอยากให้พวกท่านกลับไปพักผ่อน อีก 4 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผมอยากให้ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง ” ชายสูงอายุออกคำสั่งเป็นครั้งสุดท้าย

    พวกเขาทยอยเดินออกจากห้อง ในสภาพอ่อนเพลีย

     

    ผมคิดว่าพวกเขากำลังจะบุกเข้าไปยังดินแดนของพวกใต้ดินในไม่ช้านี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×