คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #135 : จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งสุดท้าย 1
เมื่อเท้าแตะพื้นเรือ ทหารของออชิเด็น ก็ตรงเข้ามาแสดงความเคารพลุงไวเปอร์ ก่อนพาผมไปยังโรงอาหาร สำหรับ ชายที่ชื่อสปาร์กี้เขาถูกเตียงพยาบาลพาออกไปอีกทางพร้อมกับศพที่มาด้วย หลังจากสิ่งที่ลุงไวเปอร์ทำกับเพื่อนๆของหมอนั่น ผมได้แต่หวังว่าเขาคงไม่เจอกับอะไรที่เลวร้ายมากนัก
ในระหว่างโถงทางเดินไปโรงครัว ผมพบทหารหลายคนที่กำลังทำงานของตัวเอง
พวกเขามองผมอย่างสนใจแต่ไม่ยักกะมีใครที่แสดงอาการก้าวร้าวหรือมองผมเป็นศัตรู ยอมรับว่าผิดคาดเพราะส่วนตัว ผมเคยคิดว่าคนพวกนี้มองคนอื่นๆเป็นสิ่งต้อยต่ำ แต่เอาเข้าจริงทหารออชิเด็นดูเป็นมิตรยิ่งกว่าทหารของพวกบาเบลทูเสียอีก แต่นั่นแหละไอ้ความใจดีที่ผมเห็นมันก็อาจจะไม่จริงไปซะทั้งหมด
ลักษณะนิสัยโดยรวมดูสวนทางกับนโยบายระหว่างดินแดนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
สิ่งที่ประหลาดใจผมอีกอย่างคืออาหารในหองทัพออชิเด็น รสชาติดีอย่างไม่น่าเชื่อ ดูเหมือนพวกเขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับคน แม้กระทั่งทหารลำดับชั้นล่างๆก็ยังได้กินอาหารเหมือนๆกันโดยไม่แบ่งแยก ดูเหมือนมีเพียงโต๊ะนั่งเท่านั่นที่บ่งบอกว่าใครมีลำดับตำแหน่งที่สูงกว่ากัน
เรือขนาดใหญ่มีคนทำงานจำนวนมาก ดูเหมือนพวกเขาจะผลัดกันมากินอาหาร เป็นกลุ่มๆ ที่น่าสนใจอีกอย่างคือพวกออชิเด็นมีจำนวนทหารผู้หญิงพอๆกับทหารผู้ชาย
ไอ้ลุงไวเปอร์แกยังคงตามติดผม ไม่ห่างเรานั่งกินอาหารด้วยกัน
“ บอกผมหน่อยได้ไม ทำไมพวกลุงถึงอยากไปเจอกับพวกใต้ดิน “ ผมเริ่มตั้งคำถาม
“ เราคิดว่าที่นั่นมีบางอย่างที่เคยเป็นของเรานะซิ ” แกตอบผมในขณะที่เคี้ยวอาหารอยู่ในปาก
“ ไอ้ที่มีอยู่นี่ก็ยึดเมืองไหนในโลกแล้วก็ได้ไม่ใช่รึไง ”
“ เสียใจว่ะ ลุงได้แค่ทำตามคำสั่ง ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจเอง ”
“ ที่ทิ้งไอ้พวกนั่นเมื่อกี้นี่ ก็เป็นคำสั่งด้วยรึเปล่า ”
แกนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกมาว่า “ ใช่ ”
“ สำหรับลุงแล้ว ความเป็นมนุษย์คือเหี้ยอะไรว่ะ ปกติที่ว่าคนอื่นขาดมนุษย์ธรรมส่วนใหญ่ก็พวกลุงไม่ใช่หรอไง ”
“ เคสบายเคสว่ะ ถ้ามีมนุษยธรรมแล้วลำบากเองที่หลัง บางทีก็ไม่ควรมี ”
“ ถ้ากังวลเรื่องนั้นทำไมถึงเอาพวกเขาเข้ามายุ่งด้วยตั้งแต่ทีแรก ต่างคนต่างอยู่ไม่ดีกว่ารึไง”
“ ไอ้หนุ่ม นายต้องเข้าใจสถานการณ์ก่อนนะ เราอยากได้ตัวนายเพราะเรารู้ว่ามีแต่นายเท่านั้นที่เคยไปที่นั่นแล้วยังรอดกลับมา บาเบลทูเองก็รู้เรื่องนี้แต่พวกเขาไม่ยอมส่งตัวนายมาให้เรา ”
“ แล้วที่พวกใต้ดินบุกเข้ามาถล่มบาเบลทูนั่นเป็นความตั้งใจของทางนี้ด้วยรึเปล่า”
“ ไม่ใช่ เรื่องนั้นพวกเราไม่ได้เกี่ยวข้อง พวกนั้นต้องการบางอย่างเพื่อตอบโต้ความไม่ชอบธรรมที่บาเบลทูทำกับพวกเขา เราพอช่วยเรื่องนั้นได้เราก็เลยทำให้แลกกับการจับตัวนายมา ”
“ แล้วทำไม่ถึงทิ้งพวกนั้น....ในเมื่อพวกลุงกับพวกมันมีประโยชน์ร่วมกัน ”
ลุงเงียบไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนแกพยายามตอบคำถาม “ ....สิ่งที่นายไม่รู้คือระหว่างที่เรากับพวกนั้นเริ่มทำงานด้วยกัน เราพบว่าคนพวกนั้น ควบคุมไม่ได้และมีแนวโน้มจะเป็นอันตรายต่อพวกเราด้วย ”
“......ถามตรงๆนะ หลังจากที่ผมช่วยพวกลุง อะไรจะเกิดขึ้นกับผม ”
“ ไม่รู้ว่ะ ตอบไม่ได้ ลุงเองก็เป็นแค่คนรับคำสั่ง ”
“ ถ้าคำสั่ง คือเก็บผมหลังจากจบงานลุงก็จะทำงั้นซิ ”
แกเงียบไปอีกซักพัก “ ทำใจให้สบายน่า ตอนนี้ยังไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดเรื่องแบบนั้น ”
ผมรู้ว่าแกไม่ค่อยอยากตอบ ถึงเราทั้งคู่จะรู้ว่าสุดท้ายจุดจบของผมคงไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่พวกเหนือมนษย์โดน เรายังคงนั่งกินอาหารกันต่อไปโดยไม่มีการพูดคุยอะไรกันอีก
สิ่งที่พวกเขาควรทำในตอนนี้คือรวมมือกันจัดการปัญหาจากพวกกินคนมากกว่าที่จะมาตีกันเอง แต่ความจริงในสถานการณ์คับขันมนุษย์มักไม่เห็นความสำคัญของการมีพรรคพวก สัญชาติญาณในการเอาตัวรอดมักเป็นแรงขับให้คน ตัดสินใจทำในเรื่องแย่ๆเป็นอย่างแรกเสมอ ที่น่าเศร้าคือทุกๆสิ่งที่คนพวกนี้ตัดสินใจทำ จะมีคนอีกเป็นจำนวนมากได้รับผลร้ายแต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
แต่ก็นั่นแหละ เราไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของคนอื่นได้หรอก
ตอนนี้ก็แค่สนใจเรื่องของตัวเอง หาวิธีเอาตัวรอดออกไปให้ได้คือสิ่งเดียวที่ผมควรคิด
อาหารมื้อนั้นผ่านไปอย่างไม่รีบร้อน ผมรู้ดีว่าหลังจากมื้อนี้ไป บางทีคงอีกนานกว่าจะมีโอกาสได้กินอะไรดีๆกับเขาอีกครั้ง..
ช่องหน้าต่างบอกให้รู้ว่าแสงแรกมาถึงแล้ว นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมถูกพาเดินอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาพาผมไปยังห้องเล็กๆห้องหนึ่ง ลุงไวเปอร์ได้แยกไปนอนพัก ส่วนผมถูกสั่งให้รอพบกับใครบางคน
ดูเหมือนพวกเขากำลังเล่นเกมส์บางอย่างกับผม ประตูห้องไม่ได้ล็อค ผมไม่ได้ยินเสียงใครยืนเฝ้าประตู ผมเป็นอิสระเต็มที่ ไม่มีการพันธนาการหรือคิวบ์อยู่ในพื้นที่ตรงนี้ นั่นหมายความว่าการออกไปเดินเพ่นพ่านข้างนอกเป็นสิ่งที่พวกเขาตั้งใจให้เกิดขึ้น
พวกเขาอาจพยายามแสดงให้ผมเห็นว่าพวกเขาเชื่อใจผม หรืออาจเชื่อว่ากลางทะเลแบบนี้ผมคงไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้ ถ้ามองในแง่ร้ายพวกเขาคงอยากพิสูจน์ว่าผมสามารถทำอะไรได้บ้าง บางทีอาจมีเหตุผลอย่างอื่นที่ผมไม่รู้
แต่ไม่ว่าเหตุผลของพวกนั้นจะเป็นอะไร ผมก็เลือกตอบรับความใจดีของพวกเขาอย่างไม่ลังเล
มันไม่มีโอกาสบ่อยๆหรอกที่เราจะได้เดินเล่นในเรือประจัญบานลำโตๆ อะไรจะเจ๋งไปกว่าการทำตัวซุกซนนิดหน่อย ในสถานที่ที่น่าสนุกแบบนี้ไม่มีอีกแล้ว
ผมตัดสินใจทิ้งโน้ตเอาไว้บนโต๊ะ
“ ถึงใครก็ตามที่ผมต้องรอ ตอนนี้ผมเบื่อที่จะรอคุณแล้ว ขออกไปเดินเล่นรอบๆเรือหน่อยก็แล้วกัน แต่ไม่ต้องห่วงนะผมไม่คิดว่ายน้ำหนีพวกคุณไปไหนแน่นอน ผมสัญญา ”
หลังทิ้งจดหมายเอาไว้ ก็ได้เวลาออกไปเดินเล่น
ดูเหมือนเรือลำนี้ชื่อจะชื่อ ไอโอว่า ผมไม่รู้ความหมายของมันหรอก ก็บอกว่านี่เป็นไม่กี่ครั้งที่รู้สึกมีความสุขหลังจากเจอแต่เรื่องบ้าบาๆบอๆมานาน ผมต้องพยายามอย่างมาก เพื่อหลบพวกที่ทำงานอยู่บนเรือ เพราะกลัวถูกจับไปนั่งเบื่ออยู่ในห้องเดิม ผมไม่อยากให้ความสนุกของผมในตอนนี้ถูกขัดขวางหรือต้องจบลงเร็วเกินไปนัก อย่างน้อยก็ขอดูอะไรต่อมิอะไรให้มันทั่วๆหน่อย สมมุติว่าหลังจากนี้จะถูกพวกเขาฆ่าตาย ผมก็ยังพอมีเรื่องตื่นเต้นไปเล่าให้ยมบาลฟัง
...เชี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย นี่มันไม่ใช่เรือแล้ว มันคือป้อมปราการหรือหมู่บ้านกลางทะเลชัดๆ
ตื่นตาตื่นใจมากบอกเลย ทั้งอาวุธประหลาดๆบนเรือ ทั้งขนาดและจำนวนคน คือ ผมไม่เคยเห็นโลกของเราก่อนที่ทุกอย่างจะถูกทำลายด้วยพวกกินคน แต่ผมคิดว่าแค่ไอ้เรือลำนี้ลำเดียวมันน่ากลัวยิ่งกว่าพวกกินคนเป็นไหนๆ มันเป็นอาวุธร้ายแรงที่สามารถถล่มเมืองเมืองหนึ่งให้กลายเป็นซากได้ภายในพริบตา ผมค่อนข้างแน่ใจว่า ในกรณีที่กองทัพพวกกินคนบุกถล่มที่ซักแห่ง จะยังมีโอกาสหาคนรอดตายพบ แต่ถ้าเรือลำนี้ต้องการทำลายบางสิ่งในแบบเดียวกัน มันอาจจะไม่มีใครเลยที่มีโอกาสรอดตาย
อารมณ์ของผมในตอนนี้มันปะปนกันไปจนแยกไม่ออก ทั้งรู้สึกตื่นเต้น พิศวงและชื่นชมในสิ่งที่เห็นพร้อมๆกับความรู้สึกหวาดกลัวและกังวลใจ นี่คือดาบของราชาที่อยู่เหนือเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่อย่างไรก็ตามมันก็ไม่สามารถลบความจริงที่ว่า ราชาแห่งโลกในยุคนี้ไม่ใช่คนที่จะสามารถคบหาได้อย่าสนิทใจ
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาต้องการบางอย่างจากคนอื่นๆ คนพวกนี้ไม่เลือกวิธีการ ....
แม้จะรู้สึกตื่นกลัว แต่ความอยากรู้อยากเห็นของผมมันหยุดไม่ได้ซะแล้ว ตราบใดที่พวกเขายังไม่รู้ว่าผมไม่ได้อยู่ในที่ที่ควรอยู่ ผมก็ยังมีโอกาสสำรวจเรือลำนี้ไปได้ทั่ว
ผมมาหยุดอยู่ที่ห้องขนาดใหญ่ ที่เป็นเหมือนกับสถานที่ออกกำลังกาย คนกลุ่มหนึ่งกำลังต่อสู้กันอยู่ ที่พวกเขาถือมันเป็นการถือกระบองสั้น วิชาที่ใช้ดูเหมือนจะเป็นการต่อสู้แบบชาวเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเรานัก ผมจำชื่อของมันไม่ได้แต่น่าจะเรียกว่า คาร์ลิ
พวกเขาใช้ไม้กระบองสั้นฟาดใส่กันอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนคนที่กำลังสู้กันอยู่จะเป็นยอดฝีมือ ทั้งการโจมตีและตั้งรับจัดว่าเร็วจนแทบจะมองตามไม่ทัน พวกเขาปราดเปรียว แต่ที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นผมดูพวกตีกันมาไม่ต่ำกว่า 3 นาที ยังไม่มีใครโจมตีจุดตายใส่กันได้สำเร็จ กระบองที่พวกเขาถือสามารถสร้างระยะโจมตีได้ไกลราวหนึ่งเมตรถึงเมตรครึ่งเป็นอย่างน้อย แต่กลับเลือกระยะยืนที่ชิดกันจนเหมือนกับว่ากำลังจับคู่เต้นรำกันอยู่
มันไม่ใช่อะไรที่ผมเคยเห็น แม้จะมีการต่อสู้ในลักษณะเดียวกันที่บ้านของเราแต่กลับต่างกันมากในรายละเอียด
การรับการโจมตีส่วนใหญ่จะไม่ใช่การกันหรือหลบ แต่จะเป็นการปัดเบี่ยงวิถีของการฟาดและพยายามทำให้อาวุธของอีกฝ่ายหนึ่งหลุดมือ กว่าจะรู้ตัวผมก็ถูกดึงให้เดินเข้าไปยืนดูใกล้ๆพวกเข้าเสียแล้ว
ทุกคนไม่มีใครสนใจผมเพราะมัวแต่มองการจับคู่ซ้อมที่น่าตื่นเต้นนั้นอยู่ จนกระทั่งทุกอย่างจบลง เมื่อคนตัวตัวสูงกว่าถูกหวดเข้าที่ข้อมือ จนไม้ที่ถือเอาไว้หล่น ก่อนที่จะโดนจับล็อค ผมเผลอตบมือเสียงดังด้วยความลืมตัว
ปรากฏว่าทุกสายตาเปลี่ยนเป้าจากนักสู้บนลานมาเป็นผมแทน
ไม่มีใครตบมือตามผมทุกคนมองผมเป็นตาเดียว
“ เหี้ยแล้วไง...”
ผู้ชนะถอดเกียร์ออกจากหัวแล้วพูดกับผมด้วยเสียงดัง
“ แจ้งชื่อและตำแหน่งของนายมา ทหาร ทำไมไม่สวมชุดฝึกเข้ามาที่นี่นายเป็นใคร ”
“ เอาไงดีวะ....” ผมนึกในใจ
“ ผมมาใหม่ครับ ”
“ บนฝั่งไม่ได้สอนนายรึไงว่าอยู่ที่นี่ต้องทำตัวยังไง! ”
“...ผมไม่...”
“ ไม่อยากฟังคำแก้ตัว วิดพื้นไปซะจนกว่าฉันจะสั่งให้นายหยุด ”
ผมอึ้งไปพักหนึ่งก่อนตัดสินใจทำตาม
“..หนึ่ง สอง สาม สี่ ”
“ นับดังๆโว้ย! ไม่ได้ยิน ”
“ ห้า หก เจ็ด....”
พี่แกท่าทางไม่ฟังที่ผมพูด ผมก็เลยไม่พูดอะไรกลับไป ก็วิดพื้นไปตามที่แกสั่งนั่นแหละช่วงครึ่งชั่วโมงแรก ก็เริ่มล้า แต่พี่แกก็ยังไม่พอใจ พอผ่านไปชั่วโมงหน่อย ผมก็เริ่มไม่ไหวละ แขนล้าไปหมด พี่แกก็ยังใจโหด ไม่ให้ผมหยุด เหงื่องี้ท่วมตัว หลังจากที่ไม่ได้ออกแรงมานาน พอผ่านไปชั่วโมงครึ่ง ผมเริ่มเหนื่อยนับอะไรไม่ถูกสุดท้ายก็นอนกองอยู่กับพื้น
“ อะไรวะ หมดแรงแค่นี้หรอไอ้รูตูด ”
“ ยังครับ ” ผมตอบเสียงดังก่อนเริ่มวิดพื้นของผมต่อไป
ดูเหมือนพี่แกจะเริ่มเบื่อหลังจากที่ผมเริ่มช้าลง จนกว่ายกตัวขึ้นได้แต่ละครั้ง ก็กินเวลาเกือบนาที
“ พอๆ ใครพามันไปเปลี่ยนชุดแล้วเอามันกลับมาที่นี่ฉันจะสอนมารยาทบนเรือให้มันซักหน่อย”
สองคนที่นั่นหิ้วปีกผมไปอาบน้ำก่อนจะเอาเสื้อผ้าแบบเดียวกันกับพวกเขามาโยนให้
หลังจากเปลี่ยนชุดเรียบร้อยผมก็กลับมานั่งในยิมนั้นอีกรอบโดยที่ไม่มีใครรู้เลย ว่าผมไม่ใช่พวกมัน
แต่ไม่ทันได้พักผมโดนจับสวมเครื่องป้องกันและกลายเป็นหุ่นให้ครูฝึก หวดเอาด้วยกระบองที่แกถือ ถึงไอ้ส่วมมันจะกันแรงได้ดีในระดับหนึ่งแต่เหมือนครูฝึกแกจะแกล้งผมโดนเข้าไปแต่ละดอกมีสะดุ้ง ไอ้พวกทหารที่นั่งดูก็ฮากันไป
เหมือนๆกับผมมาเล่นตลกให้คนพวกนี้ดูไม่รู้ จนกระทั่งจุดพีคมาถึงเมื่อคุณครูฝึกย่ามใจ
“ เฮ้ยไอ้เด็กใหม่ ไม่คิดจะแสดงความเป็นลูกผู้ชายของเอ็งออกหน่อยรึไง ตีไปขนาดนี้แล้วไม่รู้สึกอยากตอบโต้บ้างหรอ ”
“ ผมไม่อยากทำให้ท่านเสียหน้าครับผม! ”
เสียงฮูวววดังลั่น
“ เอ็งคิดว่าทำได้งั้นหรอ ”
“ ไม่แน่ใจแต่ คิดว่าพอไหวครับผม! ”
เสียงฮู้วฮ๊า ดังมาอีกระลอก
“ ใจกล้านี่หว่า จะลองไม๊ล่ะ”
“ ขออนุญาตลองครับผม!”
ครูฝึกยิ้มรับก่อนส่วมเครื่องป้องกันของเขาอีกครั้ง
“ ท่านครับผมยังไม่เข้าใจกติกา ” เมื่อหนึ่งในพวกเขายื่นกระบองสั้นให้ผม
“ ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเดียวกันกับผม ถ้าไม่ไหวคุณก็แค่บอกยอมแพ้”
“ ครับผม! ”
ผมจับกระบองในมือขึ้นมากำๆเอาไว้ในมือแต่รู้สึกไม่ถนัด ซึ่งเหมือนกับครูฝึกแกจะมองออกแกเลยให้ผมไปเลือกกระบอกท่อนที่ถนัดๆมือมาใช้ ผมเลือกกระบองดุ้นยาวของคนตัวโตมาถือ เพราะขนาดมันพอๆกับอะไรที่ผมเคยเรียกรู้มาก่อน
เมื่อเริ่มต่อสู้ ครูฝึกถึงกับงงเมื่อเห็นลักษณะการจับกระบองที่ปลายด้ามผมจับลึกไปจนเกือบถึงข้อศอก เพราะด้ามดาบบ้านเราเขาออกแบบไว้ให้ยาวเพื่อใช้ป้องกันการถูกฟันและใช้รับแรงปะทะจากคมดาบเนื่องจากไม่ต้องการให้ส่วนคมดาบรับแรงฟันจากคมดาบของอีกฝ่ายบ่อยเกินไป อีกทั้งท่ายืนและการควงกระบองเป็นวงกลมล้อมตัว ก็คงดูแปลกตาสำหรับคนที่ไม่เคยเห็น
ครูฝึกทำในสิ่งที่แกถนัดคือยืนนิ่งๆและค่อยก้าวเพื่อเข้าสู่ระยะที่แกชำนาญ ส่วนผมขยับตัวไปมาเป็นวงกลม ผมทิ้งระยะออกไปหลายก้าวเพื่อให้แกเดินเข้าหา แต่ครูฝึกยังใจเย็น ดูๆแล้วแกเก่งไม่เบาเลยทีเดียว แกไม่ยอมเปิดเกมส์ก่อนเพราะชักไม่แน่ใจว่าตอนนี้เจอเข้ากับอะไร
“ อย่าลีลาน่า นายก็รู้ ทำแบบนั้นไม่ได้ช่วยอะไรหรอก ” ครูฝึกพูด
ผมฉวยโอกาสนั้นโดดเข้าใส่ แต่แกระวังตัวอยู่แล้วจึงเบี่ยงตัวหลบให้พ้นจากรัศมีการโจมตี ผมพลิกตัวกลับและวาดกระบองเล็งเข้าที่หัวไหล่ แต่ครูฝึกก็ยังไวทันกัน แกยกกระบองของแกขึ้นรับ และใช้ความหนาของลำตัวดันให้ผมเสียหลัก
ผมรีบม้วนตัวเพื่อกลับมาอยู่ในท่าที่เหมาะสมอีกครั้ง คราวนี้เป็นแกที่พุ่งเข้าใส่ ไม้กระบองที่แกเงื้อเข้ามาเล็งหัวผมเต็มๆ โชคดีที่โยกหลบได้แบบฉิวเฉียด
ทักษะการต่อสู้ในโลกนี้มีเป็นร้อยชนิดแต่คนที่ฝึกจนใช้ได้คล่องกลับมีน้อยจนนับหัวได้ ครูฝึกคนนี้คือหนึ่งในคนเก่งที่มีจำนวนน้อย
ผมกำลังสนุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มองมองหน้าครูฝึกภายใต้เกียร์ที่แกสวม แกก็กำลังยิ้มอย่างพอใจ
ในวินาทีนั้นเรากระโดดเข้าหากันเหมือนสัตว์ร้ายสองตัวที่พยายามเอาชีวิตฝ่ายตรงข้าม
จังหวะหนึ่ง แกเสือกปลายกระบองแทงเข้าหาผมโดยเล็งตรงลิ้นปี่ในขณะที่ผมพยายามฟาดกระบองจากบนลงล่าง การโจมตีของผมเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ระยะที่ปลายกระบองพุ่งเข้าหานั้นเร็วกว่าการเงื้อฟาด ผมต้องเปลี่ยนจังหวะในนาทีสุดท้ายเพื่อหลบให้พ้นการพุ่งแทง
มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบเกิดขึ้นโดยไม่ทันได้คิด
กระบองที่อยู่ในมือผมปัดปลายที่พุ่งเข้าใส่ และทำให้ร่างของผมหมุนเป็นวงกลม ศอกของผมกระแทกใส่เฮดเกียร์เต็มแรงในท่าหิรัญม้วนแผ่นดิน ร่างของครูฝึกร่วงลงไปกองกับพื้น
“ เวรแล้วไง ” ผมลืมตัว
แต่ก่อนที่อะไรจะบานปลายเสียงสัญญาณเตือนภัยของเรือก็ดังขึ้น
“ จากห้องควบคุมถึงลูกเรือทุกท่าน ขณะนี้ผู้ต้องสงสัยที่เราควบคุมตัวหลบหนีออกจากที่คุมขัง เป็นชายชาวเอเชียสูงราว 175 เซนติเมตร หากลูกเรือท่านใดพบตัวกรุณาแจ้ง ชุดรักษาความปลอดภัยเพื่อจับกุมตัว อย่าลงมือเองเด็ดขาดย้ำ กรุณาแจ้งชุดรักษาความปลอดภัย อย่าลงมือเองเด็ดขาด ”
ครูฝึกที่ลงไปกองกับพื้นถอดเฮดเกียร์ออก สมาชิกคนอื่นๆที่อยู่ตรงนั้นกระจายตัวออกเป็นวงกลมเพื่อล้อมผมเอาไว้
พวกเข้ามองหน้าผมอย่างเอาเรื่อง.....
ความคิดเห็น