ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Even the world is crumbling / ต่อให้โลกย่อยยับ

    ลำดับตอนที่ #135 : จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งสุดท้าย 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.48K
      188
      31 ม.ค. 62

      เมื่อเท้าแตะพื้นเรือ ทหารของออชิเด็น ก็ตรงเข้ามาแสดงความเคารพลุงไวเปอร์ ก่อนพาผมไปยังโรงอาหาร สำหรับ ชายที่ชื่อสปาร์กี้เขาถูกเตียงพยาบาลพาออกไปอีกทางพร้อมกับศพที่มาด้วย หลังจากสิ่งที่ลุงไวเปอร์ทำกับเพื่อนๆของหมอนั่น ผมได้แต่หวังว่าเขาคงไม่เจอกับอะไรที่เลวร้ายมากนัก

     

    ในระหว่างโถงทางเดินไปโรงครัว ผมพบทหารหลายคนที่กำลังทำงานของตัวเอง

     

    พวกเขามองผมอย่างสนใจแต่ไม่ยักกะมีใครที่แสดงอาการก้าวร้าวหรือมองผมเป็นศัตรู ยอมรับว่าผิดคาดเพราะส่วนตัว ผมเคยคิดว่าคนพวกนี้มองคนอื่นๆเป็นสิ่งต้อยต่ำ แต่เอาเข้าจริงทหารออชิเด็นดูเป็นมิตรยิ่งกว่าทหารของพวกบาเบลทูเสียอีก แต่นั่นแหละไอ้ความใจดีที่ผมเห็นมันก็อาจจะไม่จริงไปซะทั้งหมด

     

    ลักษณะนิสัยโดยรวมดูสวนทางกับนโยบายระหว่างดินแดนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ

     

    สิ่งที่ประหลาดใจผมอีกอย่างคืออาหารในหองทัพออชิเด็น รสชาติดีอย่างไม่น่าเชื่อ ดูเหมือนพวกเขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับคน แม้กระทั่งทหารลำดับชั้นล่างๆก็ยังได้กินอาหารเหมือนๆกันโดยไม่แบ่งแยก ดูเหมือนมีเพียงโต๊ะนั่งเท่านั่นที่บ่งบอกว่าใครมีลำดับตำแหน่งที่สูงกว่ากัน

     

    เรือขนาดใหญ่มีคนทำงานจำนวนมาก ดูเหมือนพวกเขาจะผลัดกันมากินอาหาร เป็นกลุ่มๆ ที่น่าสนใจอีกอย่างคือพวกออชิเด็นมีจำนวนทหารผู้หญิงพอๆกับทหารผู้ชาย

    ไอ้ลุงไวเปอร์แกยังคงตามติดผม ไม่ห่างเรานั่งกินอาหารด้วยกัน

    “ บอกผมหน่อยได้ไม  ทำไมพวกลุงถึงอยากไปเจอกับพวกใต้ดิน “ ผมเริ่มตั้งคำถาม

    “ เราคิดว่าที่นั่นมีบางอย่างที่เคยเป็นของเรานะซิ ” แกตอบผมในขณะที่เคี้ยวอาหารอยู่ในปาก

    “ ไอ้ที่มีอยู่นี่ก็ยึดเมืองไหนในโลกแล้วก็ได้ไม่ใช่รึไง ”

    “ เสียใจว่ะ ลุงได้แค่ทำตามคำสั่ง ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจเอง ”

    “ ที่ทิ้งไอ้พวกนั่นเมื่อกี้นี่ ก็เป็นคำสั่งด้วยรึเปล่า ”

    แกนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกมาว่า “ ใช่ ”

    “ สำหรับลุงแล้ว ความเป็นมนุษย์คือเหี้ยอะไรว่ะ ปกติที่ว่าคนอื่นขาดมนุษย์ธรรมส่วนใหญ่ก็พวกลุงไม่ใช่หรอไง ”

    “ เคสบายเคสว่ะ ถ้ามีมนุษยธรรมแล้วลำบากเองที่หลัง บางทีก็ไม่ควรมี ”

    “ ถ้ากังวลเรื่องนั้นทำไมถึงเอาพวกเขาเข้ามายุ่งด้วยตั้งแต่ทีแรก ต่างคนต่างอยู่ไม่ดีกว่ารึไง”

    “ ไอ้หนุ่ม นายต้องเข้าใจสถานการณ์ก่อนนะ เราอยากได้ตัวนายเพราะเรารู้ว่ามีแต่นายเท่านั้นที่เคยไปที่นั่นแล้วยังรอดกลับมา บาเบลทูเองก็รู้เรื่องนี้แต่พวกเขาไม่ยอมส่งตัวนายมาให้เรา ”

    “ แล้วที่พวกใต้ดินบุกเข้ามาถล่มบาเบลทูนั่นเป็นความตั้งใจของทางนี้ด้วยรึเปล่า”

    “ ไม่ใช่ เรื่องนั้นพวกเราไม่ได้เกี่ยวข้อง พวกนั้นต้องการบางอย่างเพื่อตอบโต้ความไม่ชอบธรรมที่บาเบลทูทำกับพวกเขา เราพอช่วยเรื่องนั้นได้เราก็เลยทำให้แลกกับการจับตัวนายมา ”

    “ แล้วทำไม่ถึงทิ้งพวกนั้น....ในเมื่อพวกลุงกับพวกมันมีประโยชน์ร่วมกัน ”

    ลุงเงียบไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนแกพยายามตอบคำถาม “ ....สิ่งที่นายไม่รู้คือระหว่างที่เรากับพวกนั้นเริ่มทำงานด้วยกัน เราพบว่าคนพวกนั้น ควบคุมไม่ได้และมีแนวโน้มจะเป็นอันตรายต่อพวกเราด้วย ”

    “......ถามตรงๆนะ หลังจากที่ผมช่วยพวกลุง อะไรจะเกิดขึ้นกับผม ”

    “ ไม่รู้ว่ะ ตอบไม่ได้ ลุงเองก็เป็นแค่คนรับคำสั่ง ”

    “ ถ้าคำสั่ง คือเก็บผมหลังจากจบงานลุงก็จะทำงั้นซิ ”

    แกเงียบไปอีกซักพัก “ ทำใจให้สบายน่า ตอนนี้ยังไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดเรื่องแบบนั้น ”

     

    ผมรู้ว่าแกไม่ค่อยอยากตอบ ถึงเราทั้งคู่จะรู้ว่าสุดท้ายจุดจบของผมคงไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่พวกเหนือมนษย์โดน เรายังคงนั่งกินอาหารกันต่อไปโดยไม่มีการพูดคุยอะไรกันอีก

     

    สิ่งที่พวกเขาควรทำในตอนนี้คือรวมมือกันจัดการปัญหาจากพวกกินคนมากกว่าที่จะมาตีกันเอง แต่ความจริงในสถานการณ์คับขันมนุษย์มักไม่เห็นความสำคัญของการมีพรรคพวก สัญชาติญาณในการเอาตัวรอดมักเป็นแรงขับให้คน ตัดสินใจทำในเรื่องแย่ๆเป็นอย่างแรกเสมอ ที่น่าเศร้าคือทุกๆสิ่งที่คนพวกนี้ตัดสินใจทำ จะมีคนอีกเป็นจำนวนมากได้รับผลร้ายแต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย

     

    แต่ก็นั่นแหละ เราไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของคนอื่นได้หรอก

     

    ตอนนี้ก็แค่สนใจเรื่องของตัวเอง หาวิธีเอาตัวรอดออกไปให้ได้คือสิ่งเดียวที่ผมควรคิด

     

    อาหารมื้อนั้นผ่านไปอย่างไม่รีบร้อน ผมรู้ดีว่าหลังจากมื้อนี้ไป บางทีคงอีกนานกว่าจะมีโอกาสได้กินอะไรดีๆกับเขาอีกครั้ง..

     

    ช่องหน้าต่างบอกให้รู้ว่าแสงแรกมาถึงแล้ว นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมถูกพาเดินอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาพาผมไปยังห้องเล็กๆห้องหนึ่ง ลุงไวเปอร์ได้แยกไปนอนพัก ส่วนผมถูกสั่งให้รอพบกับใครบางคน

     

     

    ดูเหมือนพวกเขากำลังเล่นเกมส์บางอย่างกับผม ประตูห้องไม่ได้ล็อค ผมไม่ได้ยินเสียงใครยืนเฝ้าประตู ผมเป็นอิสระเต็มที่ ไม่มีการพันธนาการหรือคิวบ์อยู่ในพื้นที่ตรงนี้ นั่นหมายความว่าการออกไปเดินเพ่นพ่านข้างนอกเป็นสิ่งที่พวกเขาตั้งใจให้เกิดขึ้น

     

    พวกเขาอาจพยายามแสดงให้ผมเห็นว่าพวกเขาเชื่อใจผม หรืออาจเชื่อว่ากลางทะเลแบบนี้ผมคงไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้ ถ้ามองในแง่ร้ายพวกเขาคงอยากพิสูจน์ว่าผมสามารถทำอะไรได้บ้าง  บางทีอาจมีเหตุผลอย่างอื่นที่ผมไม่รู้

     

    แต่ไม่ว่าเหตุผลของพวกนั้นจะเป็นอะไร ผมก็เลือกตอบรับความใจดีของพวกเขาอย่างไม่ลังเล

     

    มันไม่มีโอกาสบ่อยๆหรอกที่เราจะได้เดินเล่นในเรือประจัญบานลำโตๆ อะไรจะเจ๋งไปกว่าการทำตัวซุกซนนิดหน่อย ในสถานที่ที่น่าสนุกแบบนี้ไม่มีอีกแล้ว

     

     ผมตัดสินใจทิ้งโน้ตเอาไว้บนโต๊ะ

     

    “ ถึงใครก็ตามที่ผมต้องรอ ตอนนี้ผมเบื่อที่จะรอคุณแล้ว  ขออกไปเดินเล่นรอบๆเรือหน่อยก็แล้วกัน แต่ไม่ต้องห่วงนะผมไม่คิดว่ายน้ำหนีพวกคุณไปไหนแน่นอน ผมสัญญา ”

     

    หลังทิ้งจดหมายเอาไว้ ก็ได้เวลาออกไปเดินเล่น

     

    ดูเหมือนเรือลำนี้ชื่อจะชื่อ ไอโอว่า ผมไม่รู้ความหมายของมันหรอก ก็บอกว่านี่เป็นไม่กี่ครั้งที่รู้สึกมีความสุขหลังจากเจอแต่เรื่องบ้าบาๆบอๆมานาน ผมต้องพยายามอย่างมาก เพื่อหลบพวกที่ทำงานอยู่บนเรือ เพราะกลัวถูกจับไปนั่งเบื่ออยู่ในห้องเดิม ผมไม่อยากให้ความสนุกของผมในตอนนี้ถูกขัดขวางหรือต้องจบลงเร็วเกินไปนัก อย่างน้อยก็ขอดูอะไรต่อมิอะไรให้มันทั่วๆหน่อย สมมุติว่าหลังจากนี้จะถูกพวกเขาฆ่าตาย ผมก็ยังพอมีเรื่องตื่นเต้นไปเล่าให้ยมบาลฟัง

     

    ...เชี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  นี่มันไม่ใช่เรือแล้ว มันคือป้อมปราการหรือหมู่บ้านกลางทะเลชัดๆ

     

    ตื่นตาตื่นใจมากบอกเลย ทั้งอาวุธประหลาดๆบนเรือ ทั้งขนาดและจำนวนคน คือ ผมไม่เคยเห็นโลกของเราก่อนที่ทุกอย่างจะถูกทำลายด้วยพวกกินคน แต่ผมคิดว่าแค่ไอ้เรือลำนี้ลำเดียวมันน่ากลัวยิ่งกว่าพวกกินคนเป็นไหนๆ มันเป็นอาวุธร้ายแรงที่สามารถถล่มเมืองเมืองหนึ่งให้กลายเป็นซากได้ภายในพริบตา ผมค่อนข้างแน่ใจว่า ในกรณีที่กองทัพพวกกินคนบุกถล่มที่ซักแห่ง จะยังมีโอกาสหาคนรอดตายพบ แต่ถ้าเรือลำนี้ต้องการทำลายบางสิ่งในแบบเดียวกัน มันอาจจะไม่มีใครเลยที่มีโอกาสรอดตาย

     

    อารมณ์ของผมในตอนนี้มันปะปนกันไปจนแยกไม่ออก ทั้งรู้สึกตื่นเต้น พิศวงและชื่นชมในสิ่งที่เห็นพร้อมๆกับความรู้สึกหวาดกลัวและกังวลใจ นี่คือดาบของราชาที่อยู่เหนือเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย

     

    แต่อย่างไรก็ตามมันก็ไม่สามารถลบความจริงที่ว่า ราชาแห่งโลกในยุคนี้ไม่ใช่คนที่จะสามารถคบหาได้อย่าสนิทใจ

     

    เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาต้องการบางอย่างจากคนอื่นๆ คนพวกนี้ไม่เลือกวิธีการ ....

     

    แม้จะรู้สึกตื่นกลัว แต่ความอยากรู้อยากเห็นของผมมันหยุดไม่ได้ซะแล้ว ตราบใดที่พวกเขายังไม่รู้ว่าผมไม่ได้อยู่ในที่ที่ควรอยู่  ผมก็ยังมีโอกาสสำรวจเรือลำนี้ไปได้ทั่ว

     

    ผมมาหยุดอยู่ที่ห้องขนาดใหญ่ ที่เป็นเหมือนกับสถานที่ออกกำลังกาย คนกลุ่มหนึ่งกำลังต่อสู้กันอยู่ ที่พวกเขาถือมันเป็นการถือกระบองสั้น วิชาที่ใช้ดูเหมือนจะเป็นการต่อสู้แบบชาวเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเรานัก ผมจำชื่อของมันไม่ได้แต่น่าจะเรียกว่า คาร์ลิ

     

    พวกเขาใช้ไม้กระบองสั้นฟาดใส่กันอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนคนที่กำลังสู้กันอยู่จะเป็นยอดฝีมือ ทั้งการโจมตีและตั้งรับจัดว่าเร็วจนแทบจะมองตามไม่ทัน พวกเขาปราดเปรียว แต่ที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นผมดูพวกตีกันมาไม่ต่ำกว่า 3 นาที ยังไม่มีใครโจมตีจุดตายใส่กันได้สำเร็จ กระบองที่พวกเขาถือสามารถสร้างระยะโจมตีได้ไกลราวหนึ่งเมตรถึงเมตรครึ่งเป็นอย่างน้อย แต่กลับเลือกระยะยืนที่ชิดกันจนเหมือนกับว่ากำลังจับคู่เต้นรำกันอยู่

     

    มันไม่ใช่อะไรที่ผมเคยเห็น แม้จะมีการต่อสู้ในลักษณะเดียวกันที่บ้านของเราแต่กลับต่างกันมากในรายละเอียด

     

    การรับการโจมตีส่วนใหญ่จะไม่ใช่การกันหรือหลบ แต่จะเป็นการปัดเบี่ยงวิถีของการฟาดและพยายามทำให้อาวุธของอีกฝ่ายหนึ่งหลุดมือ กว่าจะรู้ตัวผมก็ถูกดึงให้เดินเข้าไปยืนดูใกล้ๆพวกเข้าเสียแล้ว

     

    ทุกคนไม่มีใครสนใจผมเพราะมัวแต่มองการจับคู่ซ้อมที่น่าตื่นเต้นนั้นอยู่ จนกระทั่งทุกอย่างจบลง เมื่อคนตัวตัวสูงกว่าถูกหวดเข้าที่ข้อมือ จนไม้ที่ถือเอาไว้หล่น ก่อนที่จะโดนจับล็อค ผมเผลอตบมือเสียงดังด้วยความลืมตัว

     

    ปรากฏว่าทุกสายตาเปลี่ยนเป้าจากนักสู้บนลานมาเป็นผมแทน

     

    ไม่มีใครตบมือตามผมทุกคนมองผมเป็นตาเดียว

    เหี้ยแล้วไง...”

     

    ผู้ชนะถอดเกียร์ออกจากหัวแล้วพูดกับผมด้วยเสียงดัง

    “ แจ้งชื่อและตำแหน่งของนายมา ทหาร ทำไมไม่สวมชุดฝึกเข้ามาที่นี่นายเป็นใคร ”

    “ เอาไงดีวะ....” ผมนึกในใจ

     ผมมาใหม่ครับ ”

    “ บนฝั่งไม่ได้สอนนายรึไงว่าอยู่ที่นี่ต้องทำตัวยังไง!

    “...ผมไม่...”

    “ ไม่อยากฟังคำแก้ตัว วิดพื้นไปซะจนกว่าฉันจะสั่งให้นายหยุด ”

     

    ผมอึ้งไปพักหนึ่งก่อนตัดสินใจทำตาม

    “..หนึ่ง สอง สาม สี่ ”

    “ นับดังๆโว้ย! ไม่ได้ยิน ”

    “ ห้า หก เจ็ด....”

     

    พี่แกท่าทางไม่ฟังที่ผมพูด ผมก็เลยไม่พูดอะไรกลับไป ก็วิดพื้นไปตามที่แกสั่งนั่นแหละช่วงครึ่งชั่วโมงแรก ก็เริ่มล้า แต่พี่แกก็ยังไม่พอใจ พอผ่านไปชั่วโมงหน่อย ผมก็เริ่มไม่ไหวละ แขนล้าไปหมด พี่แกก็ยังใจโหด ไม่ให้ผมหยุด เหงื่องี้ท่วมตัว หลังจากที่ไม่ได้ออกแรงมานาน พอผ่านไปชั่วโมงครึ่ง ผมเริ่มเหนื่อยนับอะไรไม่ถูกสุดท้ายก็นอนกองอยู่กับพื้น

     

    “ อะไรวะ หมดแรงแค่นี้หรอไอ้รูตูด ”

    “ ยังครับ ”  ผมตอบเสียงดังก่อนเริ่มวิดพื้นของผมต่อไป

    ดูเหมือนพี่แกจะเริ่มเบื่อหลังจากที่ผมเริ่มช้าลง จนกว่ายกตัวขึ้นได้แต่ละครั้ง ก็กินเวลาเกือบนาที

    “ พอๆ ใครพามันไปเปลี่ยนชุดแล้วเอามันกลับมาที่นี่ฉันจะสอนมารยาทบนเรือให้มันซักหน่อย”

     

    สองคนที่นั่นหิ้วปีกผมไปอาบน้ำก่อนจะเอาเสื้อผ้าแบบเดียวกันกับพวกเขามาโยนให้

     

    หลังจากเปลี่ยนชุดเรียบร้อยผมก็กลับมานั่งในยิมนั้นอีกรอบโดยที่ไม่มีใครรู้เลย ว่าผมไม่ใช่พวกมัน

     

    แต่ไม่ทันได้พักผมโดนจับสวมเครื่องป้องกันและกลายเป็นหุ่นให้ครูฝึก หวดเอาด้วยกระบองที่แกถือ ถึงไอ้ส่วมมันจะกันแรงได้ดีในระดับหนึ่งแต่เหมือนครูฝึกแกจะแกล้งผมโดนเข้าไปแต่ละดอกมีสะดุ้ง ไอ้พวกทหารที่นั่งดูก็ฮากันไป

     

    เหมือนๆกับผมมาเล่นตลกให้คนพวกนี้ดูไม่รู้ จนกระทั่งจุดพีคมาถึงเมื่อคุณครูฝึกย่ามใจ

     

    “ เฮ้ยไอ้เด็กใหม่ ไม่คิดจะแสดงความเป็นลูกผู้ชายของเอ็งออกหน่อยรึไง ตีไปขนาดนี้แล้วไม่รู้สึกอยากตอบโต้บ้างหรอ ”

     

    “ ผมไม่อยากทำให้ท่านเสียหน้าครับผม!

     

    เสียงฮูวววดังลั่น

     

    “ เอ็งคิดว่าทำได้งั้นหรอ ”

    “ ไม่แน่ใจแต่ คิดว่าพอไหวครับผม!

     

    เสียงฮู้วฮ๊า ดังมาอีกระลอก

     

    “ ใจกล้านี่หว่า จะลองไม๊ล่ะ”

    “ ขออนุญาตลองครับผม!

     

    ครูฝึกยิ้มรับก่อนส่วมเครื่องป้องกันของเขาอีกครั้ง

     

    “ ท่านครับผมยังไม่เข้าใจกติกา ” เมื่อหนึ่งในพวกเขายื่นกระบองสั้นให้ผม

    “ ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเดียวกันกับผม ถ้าไม่ไหวคุณก็แค่บอกยอมแพ้”

    “ ครับผม!

    ผมจับกระบองในมือขึ้นมากำๆเอาไว้ในมือแต่รู้สึกไม่ถนัด ซึ่งเหมือนกับครูฝึกแกจะมองออกแกเลยให้ผมไปเลือกกระบอกท่อนที่ถนัดๆมือมาใช้ ผมเลือกกระบองดุ้นยาวของคนตัวโตมาถือ เพราะขนาดมันพอๆกับอะไรที่ผมเคยเรียกรู้มาก่อน

     

    เมื่อเริ่มต่อสู้ ครูฝึกถึงกับงงเมื่อเห็นลักษณะการจับกระบองที่ปลายด้ามผมจับลึกไปจนเกือบถึงข้อศอก เพราะด้ามดาบบ้านเราเขาออกแบบไว้ให้ยาวเพื่อใช้ป้องกันการถูกฟันและใช้รับแรงปะทะจากคมดาบเนื่องจากไม่ต้องการให้ส่วนคมดาบรับแรงฟันจากคมดาบของอีกฝ่ายบ่อยเกินไป อีกทั้งท่ายืนและการควงกระบองเป็นวงกลมล้อมตัว ก็คงดูแปลกตาสำหรับคนที่ไม่เคยเห็น

    ครูฝึกทำในสิ่งที่แกถนัดคือยืนนิ่งๆและค่อยก้าวเพื่อเข้าสู่ระยะที่แกชำนาญ ส่วนผมขยับตัวไปมาเป็นวงกลม ผมทิ้งระยะออกไปหลายก้าวเพื่อให้แกเดินเข้าหา แต่ครูฝึกยังใจเย็น ดูๆแล้วแกเก่งไม่เบาเลยทีเดียว แกไม่ยอมเปิดเกมส์ก่อนเพราะชักไม่แน่ใจว่าตอนนี้เจอเข้ากับอะไร

     

    “ อย่าลีลาน่า นายก็รู้ ทำแบบนั้นไม่ได้ช่วยอะไรหรอก ” ครูฝึกพูด

     

    ผมฉวยโอกาสนั้นโดดเข้าใส่ แต่แกระวังตัวอยู่แล้วจึงเบี่ยงตัวหลบให้พ้นจากรัศมีการโจมตี ผมพลิกตัวกลับและวาดกระบองเล็งเข้าที่หัวไหล่ แต่ครูฝึกก็ยังไวทันกัน แกยกกระบองของแกขึ้นรับ และใช้ความหนาของลำตัวดันให้ผมเสียหลัก

     

    ผมรีบม้วนตัวเพื่อกลับมาอยู่ในท่าที่เหมาะสมอีกครั้ง คราวนี้เป็นแกที่พุ่งเข้าใส่ ไม้กระบองที่แกเงื้อเข้ามาเล็งหัวผมเต็มๆ  โชคดีที่โยกหลบได้แบบฉิวเฉียด

     

    ทักษะการต่อสู้ในโลกนี้มีเป็นร้อยชนิดแต่คนที่ฝึกจนใช้ได้คล่องกลับมีน้อยจนนับหัวได้ ครูฝึกคนนี้คือหนึ่งในคนเก่งที่มีจำนวนน้อย

     

    ผมกำลังสนุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มองมองหน้าครูฝึกภายใต้เกียร์ที่แกสวม แกก็กำลังยิ้มอย่างพอใจ

     

    ในวินาทีนั้นเรากระโดดเข้าหากันเหมือนสัตว์ร้ายสองตัวที่พยายามเอาชีวิตฝ่ายตรงข้าม

     

     

    จังหวะหนึ่ง แกเสือกปลายกระบองแทงเข้าหาผมโดยเล็งตรงลิ้นปี่ในขณะที่ผมพยายามฟาดกระบองจากบนลงล่าง การโจมตีของผมเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ระยะที่ปลายกระบองพุ่งเข้าหานั้นเร็วกว่าการเงื้อฟาด ผมต้องเปลี่ยนจังหวะในนาทีสุดท้ายเพื่อหลบให้พ้นการพุ่งแทง

     

    มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบเกิดขึ้นโดยไม่ทันได้คิด

     

    กระบองที่อยู่ในมือผมปัดปลายที่พุ่งเข้าใส่ และทำให้ร่างของผมหมุนเป็นวงกลม ศอกของผมกระแทกใส่เฮดเกียร์เต็มแรงในท่าหิรัญม้วนแผ่นดิน ร่างของครูฝึกร่วงลงไปกองกับพื้น

     

    “ เวรแล้วไง ” ผมลืมตัว

     

    แต่ก่อนที่อะไรจะบานปลายเสียงสัญญาณเตือนภัยของเรือก็ดังขึ้น

     

    “ จากห้องควบคุมถึงลูกเรือทุกท่าน ขณะนี้ผู้ต้องสงสัยที่เราควบคุมตัวหลบหนีออกจากที่คุมขัง เป็นชายชาวเอเชียสูงราว 175 เซนติเมตร หากลูกเรือท่านใดพบตัวกรุณาแจ้ง ชุดรักษาความปลอดภัยเพื่อจับกุมตัว อย่าลงมือเองเด็ดขาดย้ำ กรุณาแจ้งชุดรักษาความปลอดภัย อย่าลงมือเองเด็ดขาด ”

     

    ครูฝึกที่ลงไปกองกับพื้นถอดเฮดเกียร์ออก สมาชิกคนอื่นๆที่อยู่ตรงนั้นกระจายตัวออกเป็นวงกลมเพื่อล้อมผมเอาไว้

     

    พวกเข้ามองหน้าผมอย่างเอาเรื่อง.....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×