คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #63 : The Renaissance และ บรรณารักษ์ผู้เศร้าโศก 3
แต่แล้ว ผมก็ชักไม่แน่ใจว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น มันคือความจงใจของตาเฒ่า หรือเป็นเพราะความบังเอิญที่สองสาว เป็นคนที่มีนิสัยช่างสังเกต แต่ไม่ว่าจุดเริ่มต้นนั้นจะเป็นแบบไหน สิ่งที่ตามมาดูเหมือนจะเข้าทางชายแก่คนนี้เต็มๆ
อย่างแรกที่เห็นได้ชัดคือแม่สาวสองคนนี้เงียบสงบลงทั้งๆที่ปกติไม่ใช่พวกที่ว่านอนสอนง่ายเท่าไหร่ พวกเรากลับมานั่งรวมกันในห้องหนังสืออีกครั้ง แล้วตาปาล์มก็เริ่มต้นพูดในสิ่งที่แกได้บอกผมกับแม่เอาไว้เมื่อคืน
“ ผมคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องเศร้าของผมเพียงคนเดียว ทุกๆคนที่นี้เคยเจ็บปวดกับเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น ผมแค่อยากจะถามพวกคุณว่า ฝันร้ายของพวกเราเริ่มต้นได้ยังไง ”
“ อุบัติเหตุที่อยู่เหนือการควบคุม ” มิเรียมตอบในขณะที่เหยียนอวี้ยังคงนั่งฟังเงียบๆ
“ เรื่องเศร้าพวกนี้มันเกิดขึ้นเพราะแผ่นดินแม่ของพวกคุณทั้งคู่ พยายามสะสมอาวุธที่เหนือกว่าอีกฝ่ายใช่ไหม ”
“ เป็นเพราะพวกออชิเดน ชีวิตฉันถึงต้องพังพินาศ ” เหยียนอวี้พูดโดยไม่มองหน้ามิเรียม อารมณ์ของเธอแสดงให้เห็นว่ากำลังเกิดความอาฆาตแค้น
“ แล้วคุณจะจบเรื่องพวกนี้ด้วยวิธีไหนล่ะ ทหารหญิงจากทวีปหลัก ” ตาปาล์มถามต่อ
“ ฆ่าพวกมันให้หมด ” เหยียนอวี้เริ่มโกรธจนสติชักไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ นั่นอาจเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ แต่คุณเคยมองไปรอบๆแผ่นดินนี้บ้างไหม พวกเราที่นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงครามของพวกคุณแม้แต่น้อย ....เด็กเอ๋ยเชื่อผมเถิด เจตนาที่เกิดขึ้นกับคุณ มันจะทำให้อีกหลายชีวิตที่ไม่รู้เรื่อง ต้องพบชะตากรรมที่เจ็บปวด นั่นคือสิ่งที่คุณต้องการจริงๆอย่างนั้นหรือ ”
เหยี้ยนอวี้ยังคงสั่นด้วยความแค้น แต่ไม่มีเสียงพูดอะไรหลุดออกมาอีก
“ โลกนี้ได้พิสูจน์หลายต่อหลายครั้ง ว่าการใช้ความรุนแรงตอบโต้ความรุนแรง มันไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น ผมอยากให้พวกคุณถามตัวเองดูว่าสิ่งที่ผมพูดมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ”
“ แต่ถ้าเราไม่สะสมอาวุธเราจะรู้ได้ยังไงว่า เราจะปลอดภัยจากศัตรูที่แข็งแกร่ง เราจะเอาตัวรอดได้อย่างไรถ้าไม่แย่งชิงอาหาร ฉันไม่สามารถทนเห็นเด็กๆในบ้านของฉันอดตายหรือถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด” มิเรียมพูด
ตาปาล์มถอดหายใจ ก่อนจะนิ่งไปซักพัก
“ แต่หมายความว่าในทางกลับกัน ความคิดนี้ของคุณ ก็ทำให้เด็กๆจากแผ่นดินอื่น ต้องอดตายหรือถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหดโดยฝีมือของพวกคุณเช่นกันไม่ใช่หรือ ” ตาถามมิเรียมกลับ
สาวๆอยู่ในอาการสงบ แต่ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน สิ่งที่ตาพูดพวกเธอรู้อยู่แก่ใจ
ตาหยิบเอาสิ่งที่ผมพยายามแทบตาย ที่จะซ่อนให้พ้นพวกเธอ มันเป็นตัวบันทึกข้อมูลสองอัน คาดว่าแกคงทำสำเนาเอาไว้เมื่อคืน เพราะตัวที่ผมได้มาไม่ใช่ไอ้สองอันนี้ แกเอาของสิ่งนั้นยืนให้พวกเธอคนละอัน
“ นี่คือสิ่งที่พวกคุณทั้งคู่ถูกส่งให้มาค้นหา ผมยืนยันว่า ข้อมูลทั้งหมด เป็นข้อมูลที่ไม่ได้ถูกแก้ไขหรือบิดเบือน เมื่อคุณรับสิ่งนี้ไป คุณได้ทำตามคำสั่งของทวีปที่ส่งพวกคุณมาอย่างสมบูรณ์แล้ว เพียงแต่ ผมอยากให้จำภาพภรรยาของผมและตัวผมเอาไว้ เพราะสิ่งที่อยู่ในมือของพวกคุณ ถ้าหากใช้ในการทำสงคราม จะมีคนที่เป็นแบบพวกเราเกิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก “ ตาปาล์มพูดจบแกก็ถอดหน้ากากไม้ที่สวมเอาไว้อีกครั้ง
มื้อเย็นวันนั้น แม้จะมีอาหารที่พวกเธอเคยชอบ แต่พวกเธอก็ไม่รู้สึกพึงพอใจเหมือนกับที่เกิดขึ้นเมื่อวาน หลังมื้ออาหาร พวกเธอเดินกลับเข้าห้องอย่างเหม่อลอย ตอนนี้ทั้งคู่ได้อำนาจในการสร้างกองทัพที่เข้มแข็งมาไว้ในมือ แต่ผมเชื่อว่าลึกๆแล้ว พวกเธอกำลังพบกับการตัดสินใจที่ยากลำบาก
มันเป็นคำถามที่สำคัญ ว่าความรุ่งเรืองของทวีปกับสันติภาพของมนุษย์ อะไรมีน้ำหนักมากกว่ากัน
ถ้าเลือกความสงบสุข มันก็ไม่มีอะไรที่จะยืนยันได้ว่าทวีปที่เธออาศัยอยู่นั้นจะปลอดภัยหากเกิดสงคราม แต่ถ้าเลือกที่จะเพิ่มเขี้ยวเล็บให้กับทวีปที่เธออยู่อาศัย อาจมีคนอีกจำนวนมากต้องตายเพราะสงครามที่เมืองของเธอเป็นฝ่ายเริ่มต้น ซึ่งหมายความว่าการตายของคนเหล่านั้นพวกเธอมีส่วนที่ทำให้เกิดขึ้น
แต่ก็นั่นแหละไม่มีใครรู้หรอกว่าพวกเธอจะเลือกแบบไหน
ผมยังคงนั่งอยู่ในห้องสมุด เนื่องจากกลางวันตื่นสายโด่งตอนนี้ก็เลยยังไม่รู้สึกง่วง ตาปาล์มนั่งรถเข็น มาหาผมด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบายใจนัก
“ มีอะไรหรอตา” ผมถาม
“มันพูดยาก แต่คงต้องถามความเห็นเอ็งก่อน”
“ อะไรหรอตา”
“ เอาเข้าจริง...ตาไม่ได้ไว้ใจคุณผู้หญิงสองคนนั่นเท่าไหร่ อันที่จริงปัญหามันเริ่มตรงที่ว่า ผู้คนมักถูกปลูกฝั่งให้เห็นแก่ประโยชน์ของแผนดินเกิด มากกว่าที่จะเห็นความสำคัญของชีวิตและคุณค่าในความเป็นคน...” ตาเริ่มพูด
“ ไม่เอาตา ...ไม่เอาน้ำ อันนั้นพอรู้ เอาเนื้อๆดิ บอกเลยว่าตาคิดอะไรอยู่หรือทำอะไรไปแล้ว แล้วอยากให้ผมทำอะไร”
“ .....ข้อมูลพวกนั้นในที่สุดมันต้องถูกใช้สำหรับกองทัพแน่ พวกนั้นไม่ไว้ใจฝั่งตรงข้ามไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไร “
“ ผมคิดว่าอันนั้นจริง แต่มันช่วยอะไรได้ละตา พวกเราแค่คนบ้านนอกโง่ๆ ที่พูดอะไรไปเขาก็ไม่ฟัง”
“ ก็เพราะแบบนั้นแหละ ตอนนี้ข้อมูลที่เอ็งเอามา แม่เอ็งเลยส่งไปให้พวกบรรณรักษ์คนอื่น ที่อยู่กระจายกันไปทั่วโลกผ่าน เรเนอร์ซองเรียบร้อยแล้ว ”
“.......เฮ้ย ” ผมร้องอย่างตกใจ
ผมมองเกมส์ขาดในทันที.... วิธีของผม คือพยายามซ่อนของพวกนี้เอาไว้ไม่ให้ใครได้มันไว้คนเดียว เพราะจะทำให้คนที่ได้มันไป สามารถจะมีกองทัพที่เข้มแข็งขึ้น และมีโอกาสในการรุกรานคนอื่น แต่วิธีของตากับแม่ คือการทำลายความลับที่ผมได้มาทิ้ง จับเอาข้อมูลอันนี้แชร์ไปในพื้นที่สาธารณะให้ทุกคนเข้าถึงและใช้งานมันได้อย่างเท่าเทียม เอาตรงๆไอ้ก๊อบปี้ที่สาวๆได้ไปตอนนี้มันกลายเป็นแค่ข้อมูลดาดๆที่หาได้ทั่วไปจากการแชร์ของตาและแม่เรียบร้อย
ผมน่าจะคิดวิธีออกตั้งแต่ทีแรก โคตรง่าย โคตรดี และโคตรจะไม่เหนื่อย คือถ้าผมทำแบบที่ตาทำตั้งแต่ตอนแรก ทุกอย่างคือจบผมเองก็ไม่ต้องเจอกับเรื่องวุ่นวายบ้าๆบอๆอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
“ ทำไมผม คิดวิธีนี้ไม่ออกตั้งแต่ทีแรกวะ ฮาๆ ” ผมทิ้งตัวลงนอนหงายหลังแล้วหัวเราะลั่นบ้าน
“เฮ้ยเบาๆหน่อย เรื่องมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น ”
“ แล้วอะไรอีกละตา ”
“ เอ็งคิดว่าไอ้คนจากทั้งสองทวีปมันพลาดเรื่องนี้แล้วมันจะหยุดทะเลาะกันเองรึไง เดี๋ยวมันก็คิดอย่างอีกมาฆ่ากันอีกนั่นแหละ”
“ ช่างมันดิ จะห้ามได้ยังไงล่ะ มันเกินความสามารถที่เราจะไปหยุดคนพวกนั้นนะ อีกอย่างพวกนี้มันรบกันตั้งแต่ชาติที่แล้ว จู่ๆจะให้มันเลิกคงทำได้แค่ฝันแหละตา ”
“ มันมี อันนี่แหละที่อยากจะพูดกับเอ็ง เพราะถ้ามันรบกันจริงๆ ยังไงมันต้องลากเอาคนอื่นมาเข้าพวก บานปลายแน่นอน ”
“ ตาคิดว่า พวกเรามันจะไปทำอะไรได้ เผลอๆจะแย่กว่าเดิมอีกนา ”
“ เอ็งคิดว่า ที่คนรบกันเอง อะไรมันคือต้นเหตุ ” ตาปาล์มพูดแปลกๆ
“ ....ไม่มีกิน ความไม่เท่าเทียม เชื่อไม่เหมือนกัน ความกลัว ถ้ามีอีกเรื่องก็น่าจะเป็นความบ้าของผู้นำกองทัพ มั้ง” ผมตอบไปเรื่อยเปื่อย
“ ที่เอ็งพูดมา เอ็งคิดว่า เรื่องที่ทำให้เกิดสงครามได้ง่ายที่สุดคืออะไร”
“ ขาดแคลน ไม่มีกิน ถ้ามีปัญหานี้มาอย่างอื่นก็ตามมา ” ผมตอบ
ตายิ้มไม่พูดอะไรต่อ
“ แต่ในที่สุด คนมันก็ไม่ไว้ใจกันเองอยู่ดีนะตา ถ้ามันร่วมมือกันจริงๆ มันคงทำไปนานแล้วล่ะ “ ผมพูด
“ คนเรามันต่างกันลูกเอ๊ย จะให้คิดเหมือนกันทั้งหมดมันเป็นไปไม่ได้ แต่คนเรามันเปลี่ยนวิธีคิดได้ นั่นทำให้ความหวังของโลกยังมี มาดูๆ ตาจะให้ดูอะไรนี่ ” แกกวักมือเรียก
ชายชราเปิด จอจากกล้องวงจรปิด สิ่งที่ผมเห็นคงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เหยียนอวี้ลุกขึ้นจากที่นอน ของเธอ และล้วงหยิบอะไรบางอย่างที่มีลักษณะแวววาว.... มันเหมือนจะเป็นไขควงหรือประแจ ที่เธอหยิบมาจากเรือ เธอยืนใกล้เตียงของมิเรียมที่นอนหลับอยู่ มือของเธอกำสิ่งนั้นเอาไว้แน่น และเหมือนพยายามที่จะใช้มันทำร้ายมิเรียม
แต่เหยียนอวี้ก็ไม่ได้ลงมือ...........เหมือนเธอมีความลังเล อาจเพราะหลายวันมานี้พวกเธออยู่ด้วยกันตลอดเวลา
ในที่สุดเธอทิ้งของสิ่งนั้นไว้ใต้เตียงของเธอและกลับไปนอนตามเดิม ผมคิดว่าในหลายๆคืนมานี้ เหยียนอวี้เองคงพยายามจะทำเรื่องนี้มาโดยตลอด........ แต่เธอก็ไม่ลงมือ
“ ลูกเอ๊ย นี่คือสิ่งที่ยืนยันว่า คนเราถึงเป็นศัตรูกัน แต่ถ้ารู้จักและเข้าใจกันจริงๆ จะให้ลงมือฆ่ากันง่ายๆมันทำได้ยากมาก” ตาพูด
“ ......ตาพยายามจะบอกกับผมว่า คนเราถ้าเข้าใจกัน หรือ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ถึงจะมีความเห็นที่แตกต่าง....สงครามมันก็จะเกิดขึ้นยากอย่างนั้นหรือ”
“ .....เอ็งเคยได้ยินนิทาน เรื่อง ศิลาศักดิ์สิทธิ์ ในบ้านเรามาก่อนไหมล่ะ ” ตาถาม
“ เคย นิทานหลอกเด็กเพ้อเจ้อ ” ผมตอบทันที
นิทานเรื่องนี้มันมีมานานแล้ว ผมได้ยินบ่อย แต่ไม่ได้สนใจอะไร...... ไม่นึกว่าตาจะพูดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
เรื่องมันมีอยู่ว่าสมัยก่อนสังคมโลกจะพินาศ แผ่นดินแห่งนี้ เคยสงบร่มเย็นและมีความอุดมสมบูรณ์ เชื่อกันว่าเพราะเสาหินศักดิ์สิทธิ์
คู่บ้านคู่เมืองที่มีเทวดาสถิตรักษา
มาหลายร้อยปี วันหนึ่ง
มีต้นไม้ประเภทกาฝาก งอกขึ้นบนยอดเสาหินศักดิ์สิทธิ์ในจุดที่ไม่มีใคร
กล้าปีนขึ้นไปถอน ต้นไม้ที่อยู่ตรงนั้นจึงเริ่มหยั่งรากขึ้นบนเสาหินศักดิ์สิทธิ์
ของเรา ในที่สุดก็เติบโตและแตกดอกออกผล
ที่มีลูกเป็นทองคำ
คนกลุ่มหนึ่งเอาลูกไม้พวกนั้นไปขาย เกิดเป็นรายได้และในที่สุดแผ่นดินของเราก็ร่ำรวยขึ้น
แต่ต่อมาไม่นานเสาหินคู่บ้านคู่เมือง ก็ถูกรากไม้พวกนั้นกัดกร่อนจนเริ่มพังทลายลงอย่างช้าๆ
คนกลุ่มเดิมที่มีชีวิตอยู่อย่างร่มเย็นเพราะเสาหินไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาพยายามโค่นต้นไม้ลงเพื่อรักษาเสาหินเอาไว้ แต่คนอีกกลุ่มที่เก็บผลของต้นไม้นั้นก็ไม่ยอมเหมือนกัน
เพราะแผ่นดินของเราร่ำรวยขึ้นได้จากต้นใหม่ชนิดใหม่นี้
นั่นคนสองกลุ่มเริ่มทะเลาะเบาะแว้งและมีการจัดตั้งแกนนำขึ้นเพื่อทำสงครามกลางเมืองกับอีกฝ่าย พวกเขาฆ่ากันเอง
ในขณะที่แกนนำทั้งสองข้างกลับร่ำรวยขึ้นบนซากศพของพวกพ้อง ไอ้พวกคนที่มันไม่เข้าข้างไหน
ก็ถูกด่าว่าเป็นพวกเห็นแก่ตัวไม่รักแผ่นดิน ทั้งๆที่เขาก็แค่ใช้ชีวิตของเขาโดยไม่ต้องการความเดือดร้อน แต่ในที่สุดคนที่ไม่เอาด้วย ก็โดนบีบให้เลือกว่าจะอยู่ข้างไหน
พวกต้องการรักษาเสาหิน เอาจริงๆ
ก็เป็นพวกที่คิดจะทำลายอนาคตตัวเอง เพราะพวกรักษาต้นไม้เหล่านั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนลูกหลานที่มองเห็นอนาคตของแผ่นดินทั้งนั้น ส่วนพวกรักษาต้นไม้ แม่งก็เป็นพวกลืมกำพืด ลืมไปว่าที่มันมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้ก็เพราะเสาหินที่กำลังจะพังนั่นแหละ เรื่องมันก็แค่ถ้าคนพวกนั้นมันคุยกัน ช่วยกันดูแลทั้งเสาหินและต้นไม้ทุกอย่างก็จบ แต่แม่งก็เลือกจะทำลายกันเอง จนท้ายสุด
กองทัพของแผ่นดินก็ต้องออกมาหยุดสงครามของพวกนั้นทั้งคู่ แต่มันก็ไม่ทันการ
เราเสียเสาหินไปเพราะรากที่กัดเสาะ แต่เมื่อต้นไม้ไม่มีฐานที่ยืดเกาะมันก็โค่นล้ม
เราเสียทั้งต้นไม้และเสาหินศักดิ์สิทธิ์
และนั่นคือตอนจบของนิทาน
“ มันหมายความว่าไงอ่ะตา ทำไมตาถึงเอานิทานเรื่องนี้มาเกี่ยว ” ผมถาม
“ ประเด็นของเรื่องนี้ มันคือสิ่งที่เอ็งต้องขบมันให้แตก เอ็งต้องหาคำตอบนั้นด้วยตัวเอง มันก็เหมือนกับที่เอ็งเลือกจะเก็บข้อมูลพวกนั้นเอาไว้ ทั้งๆที่มันมีวิธีที่ง่ายกว่าคือการทำลายความลับนั่นแหละ ......ไม่มีอะไรดีที่สุดแต่ คำตอบและทางออกมันก็ไม่เคยมีแค่ทางเดียว ”
“เดี๋ยวนะตา....แล้วสรุปผมควรทำอะไร คืองงไปหมดแล้ว ตาอย่าพยายามทำให้มันลึกได้ป่ะผมสับสน ”
ตาเกาหัวตัวเองก่อนจะตอบกลับมา
“ บางที ตาอาจจะพยายามทำอะไรที่มันยากเกินไปสำหรับเอ็ง ถ้าอย่างนั้นจะพูดให้ฟังง่าย ก็แล้วกันนะ”
ตาปาล์มรวบรวมสติแล้วเริ่มพูดสาระที่แกพยายามจะบอกกับผม
“ ตอนนี้ข้อมูลที่เอ็งให้ตา ตาเอาไปแจกในเรเนอซองค์เรียบร้อยแล้ว ....หมายความว่าข้อมูลที่เป็นความลับมันไม่เป็นความลับอีกต่อไป ” แกเริ่มพูด
“ อ่าตรงนี้เข้าใจ” ผมบอก
“ ปัญหาคือ เอ็งเป็นคนแรกที่หาข้อมูลพวกนี้เจอ....ถึงสองสาวนั่นจะเอาข้อมูลจริงๆไปให้ต้นสังกัด เอ็งก็ยังจะเป็นคนแรก ที่พวกนั้นตามล่าตัวเพราะในที่สุดมันคงคิดว่ายังมีข้อมูลเรื่องอื่นที่เอ็งรู้ แต่ยังไม่ได้บอก ...”
“ เวรเอ้ย... นึกว่าจบแล้วนะ ”ผมสบถ
“ เรื่องเดือดร้อนของเอ็งส่วนหนึ่งเป็นเพราะตากับแม่อี๊ด ”
“ อ่าครับ เอาแบบนี้แหละตาเข้าใจง่ายหน่อย”
“ ที่นี้ เอ็งก็ต้องหนี ยังไงก็ต้องหนี ยังไงเสียพวกมันต้องมาตามเอาในสิ่งที่มันคิดว่าเอ็งยังมีอยู่แน่ๆ ”
“ ......ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่....เจอแบบนี้ประจำ ”
“ แต่หนนี้เอ็งจะหนีเงียบๆไม่ได้อีกแล้ว....เพราะพวกนั้นไม่มีทางจะส่งคนมาล่าเอ็งแค่กลุ่มเล็กๆ”
“ …..”
“ ตาถึงได้พูดเรื่องที่เอ็งไม่เข้าใจให้ฟัง.....หลักที่ตาอยากบอกคือ ถ้าเอ็งหนีเฉยๆ โอกาสตายมันเยอะ เอ็งต้องหาคนช่วยหาพันธมิตร ....ซึ่งการสร้างพันธมิตรมันทำได้ไม่ยาก เพียงแค่เอ็งทำตัวมีประโยชน์กับคนในพื้นที่ที่เอ็งไปถึง ”
“ ตาหมายความว่า ผมยังต้องหนี แต่หนนี้ ไปตัวคนเดียวไม่ได้ เพราะจะมีคนตามล่า ดังนั้น ถ้าผมจะหนีผมต้องหาคนช่วยจากเมืองที่เดินทางผ่าน การจะได้คนช่วยผมต้องทำบางอย่างเพื่อให้คนพวกนั้นได้ประโยชน์และอยากที่จะช่วยให้ผมหนีได้....คืออย่างนั้นใช่ไหม” ผมทวนคำถาม
“ ใช่ ”
“ แล้วนิทานเรื่องหินศักสิทธิ์มันอยู่ตรงไหนของแผนนี้ละตา” ผมถามต่อเพราะงง
“ ข้าพยายามจะให้เอ็งคิดลูกเอ๊ย ถ้าเอ็งต้องหนีอยู่แล้วทำไม ไม่ทำให้การหนีของเอ็งมันมีส่วน ที่จะทำให้สงครามที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น มันลดลงละลูก ถ้าสงครามมันคือสถานการณ์ที่คนสองคน ตกลงกันไม่ได้ เอ็งก็แค่ เข้าไปเป็นทางเลือกอีกทางเพื่อให้มันมีทางออกที่ดีกว่า อย่าให้เหมือนในนิทาน ”
“ ..... “
ตาพยายามจะบอกอะไรผมวะโคตรงง ผมนึกของผมในใจ
บางทีคนที่ฉลาดๆก็พูดอะไรเข้าใจยากชะมัด
ความคิดเห็น