ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Even the world is crumbling / ต่อให้โลกย่อยยับ

    ลำดับตอนที่ #62 : The Renaissance และ บรรณารักษ์ผู้เศร้าโศก 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.46K
      364
      8 ก.ค. 60

    “ อย่าทำให้เป็นห่วงนักได้ไม๊ อยู่ก็มีข่าวว่าขโมยของ อยู่ๆก็ติดคุก วันดีคืนดีก็หนีออกจากเมือง จะทำให้ปวดหัวไปถึงไหน ชอบจริงๆเลยใช่ไหมทำตัวเหมือนพ่อมึงเนี้ย นิสัยดีๆของแม่ไม่เคยจะเอามาใช้ “  แม่พ่นไฟแบบไม่มีหยุด

    “ เออ อะไรที่ไม่ดีของพ่อมันทั้งนั้นแหละ ”  เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง

    “ เอ๊า! อยู่แถวนี้หรอนึกว่าออกไปข้างนอก ” แม่หันกลับไปทางต้นเสียงที่พ่ออยู่แล้วหันกลับมาทำหน้าตาทะเล้นให้กับกล้อง

    “ ได้ยินทุกคำอ่ะ ” พ่อบอกก่อนจะเดินผ่านด้านหลังแม่ให้ผมและลุงปาล์มเห็น

    “ อย่าทำตัวขี้น้อยใจได้มะ แก่แล้วนะ” แม่พูดดุๆทั้งๆที่ยิ้ม

    พ่อไม่พูดอะไรแต่หยิบหมวกขึ้นมาสวมพร้อมจัดเสื้อผ้าให้เข้ารูปอยู่ด้านหลัง

    “ นั่นแต่งตัวจะไปไหนดึกๆ ” แม่ถามพ่อ

    “ ไปหาแม่ใหม่ให้ไอ้อิน ”

    แม่หยิบหมอนปาใส่พ่อด้วยความหมั่นไส้ก่อนหันกลับมาสนใจที่หน้ากล้องอีกครั้ง

     

    ผมนี่โคตรอาย คือเวลาอยู่บ้านมีลูกกี่คนอยู่ด้วยก็ไม่สนใจ คุยกับแบบว่าคนอื่นที่นั่งอยู่ด้วย เป็นแค่ต้นไม้ใบหญ้า ไม่มีตัวตน แขกไปใครมาไม่มีสนใจ อยู่แบบนี้ตั้งแต่ผมเกิดยันโต บางทีก็สงสัยนะว่าพ่อแม่ของผมนี่คงหยุดอายุตัวเองไว้แค่ตอน หนุ่มๆสาวๆ ถึงได้หนุงหนิงกันได้ตลอดเวลา


    แต่พริบตาหนึ่ง ผมเหลือบไปมองตาปาล์มที่มองจอ  ผมเห็นสีหน้าที่เศร้าจนรู้สึกได้ ความเจ็บปวดที่ผมเห็นผมคิดว่ามันรุนแรงจนผิดปกติ แต่มันก็หายไปทันทีเมื่อแกรู้สึกตัวว่าผมกำลังมองอยู่


    “อี๊ดขอเวลาซักแป๊บ ทางนี้ดูเหมือนจะมีเรื่องสำคัญ”  

     

    ชายชราบนรถเข็นหยิบเอาตัวสำรองข้อมูลของผมใส่เข้าไปในเครื่องและส่งข้อมูลไปให้แม่ของผมที่อยู่หน้าจออีกฝั่ง แม่หยิบแว่นขึ้นมาสวมและให้ความสนใจกับสิ่งที่เพิ่งได้รับ เหมือนกับเรื่องที่เล่นกับพ่อเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น หลังจากนั้นก็เอาแต่อ่านข้อมูลที่ได้ไป โดยไม่สนอย่างอื่นแม้กระทั่งผมเองที่แกบ่น

     

    “ ไม่เคยรู้แฮะว่าแม่ รู้เรื่องพวกนี้กับเขาด้วย ” ผมพูดกับตัวเอง

    “ ธรรมดาลูกเอ๊ย เด็กๆมักไม่ค่อยรู้หรอกว่าพ่อแม่ของตัวเองทำอะไรได้บ้างหรือเคยทำอะไรมาบ้าง ” ตาปาล์มบอก

    “ แม่ ” ผมเรียก

    แต่แม่ไม่ตอบรับเสียงนั้นของผม แม่ยังคงอ่านสิ่งนั้นโดยใช้สมาธิทั้งหมดที่มี

    “ อินบอกแม่มา  เอ็งไปเอาของพวกนี้มาจากไหน”

     

    ผมถึงได้เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง ทั้งบันทึกที่ผมเจอและเรื่องของสองสาว ทั้งแม่และลุงปาล์มยังคงยิงคำถามใส่ผมอยู่เป็นระยะๆ แต่พวกเขาไม่ได้สนใจจะมองผมนัก  พวกเขาทั้งคู่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ในข้อมูลพวกนั้นมากกว่า อาการตอนนี้เหมือนผมเป็นคนบ้าพูดอยู่คนเดียว แม่กับตาปาล์มเอาแต่อ่านข้อมูลพวกนั้นทีและแผ่นอย่างตั้งอกตั้งใจ  สำหรับแม่ผมไม่ค่อยแปลกใจนัก เพราะแกทำแบบนี้ประจำถึงแม้จะมีผมอยู่ใกล้ๆ พอมีบางอย่างที่แกสนใจ  แม่จะลืมทุกอย่างจนหมด เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึก  ว่าคนที่มีนิสัยแบบแม่ไม่ได้มีคนเดียว ตาปาล์มเองก็ทำคล้ายกัน

     

    “ ลุงปาล์ม หนูไม่คิดว่าพวกเราจะทำความเข้าใจข้อมูลพวกนี้ได้ละเอียดนัก น่าจะต้องให้พวกที่เก่งเคมีมาเล่าให้ฟังมากกว่า” แม่พูด

    “อี๊ดพอจะบอกได้ไหม ว่างานวิจัยตัวนี้เป็นไปได้ขนาดไหน”

    “ ฟังจากอิน หนูว่ามันเกินคำถามนั้นไปแล้ว ”

    “ ผลกระทบระดับไหน ” ตาปาล์มถาม

    “ ...คิดว่าใหญ่มากลุง หนูไม่กล้าเดาเลยละ ”

    “ ถ้างั้นก็ไม่แปลกหรอก ที่ลูกเอ็งจะเจอเข้า กับเรื่องวุ่นวายไม่หยุด ก็เล่นถือของสำคัญขนาดนี้ร่อนไปทั่ว”

    “ อิน เอกสารพวกนี้แม่ขอไว้ได้ไหมลูก ” แม่ถาม

     มันไม่ใช่ของผมนะแม่ ถ้าผมให้แม่ไปคนที่เขาจ้างให้ผมไปส่งจะเดือดร้อนไปด้วยนะซิ ”

    “ถ้าอย่างนั่น...เอาแบบนี้ไหม ” ตาปาล์มพูดกับพวกเราด้วยรอยยิ้ม

    .....

    ฝนหยุดเม็ดลงหลังจากนั้นไม่นาน ผมนั่งคุยกับแม่และตาจนเริ่มง่วง เรื่องของข้อมูลที่ผมมีได้ข้อยุติ ว่าพวกผู้ใหญ่จะเอาไปจัดการให้ ความจริงผมยังมีบางเรื่องที่ยังรู้สึกกังวล ดูเหมือนความคิดที่ดีที่สุดของพวกผู้ใหญ่ก็ยังมีช่องโหว่ที่อาจสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นทีหลัง แต่เพราะความง่วงและอากาศที่เย็นสบาย มันทำให้ผมไม่ต้องการจะพูดอะไรต่อให้เรื่องมันยาว ตาปาล์มคงเห็นว่าผมอยู่ในสภาพที่อ่อนแรงเต็มที ก็เลยยุติทุกอย่างในตอนนั้น แล้วส่งผมไปยังห้องพัก

     

    คืนนั้นผมหลับสนิทของในบ้านของคนที่เรียกตัวเองว่าบรรณารักษ์ ได้ทราบกิจกรรมบางอย่างของแม่ที่ผมเองไม่เคยทราบ ความระแวงที่เคยรู้สึกมันหายไป หลังจากที่รู้ว่าแม่และตาปาล์มรู้จักกัน เมื่อความระแวงไม่มี มันก็ยิ่งทำให้การหลับของผมเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าปกติ

     

    ผมตื่นขึ้นในตอนเย็น ขณะที่แดดกำลังจะหมดไปอีกครั้ง ไม่มีใครปลุกผมให้ตื่น หรืออาจจะทำแล้วแต่ผมไม่ตื่นขึ้นมาเสียเองก็ไม่ทราบ ตอนนี้สิ่งที่ยังเหลืออยู่จากเมื่อวานคืออาการปวดเมื่อย จนทำให้การลุกจากเตียงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ผมลากสังขารโทรมๆเท่าที่ยังพอจะขยับตัวไหว เดินไปลงอ่างน้ำอุ่น มันช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยที่ยังมีอยู่ได้เป็นอย่างดี


    เมื่อผมขึ้นจากอ่างทุกอย่างก็ดีขึ้น

     

    มีของกินทิ้งเอาไว้ให้ในห้องขณะที่ผมกลับมาจากอาบน้ำ ถึงตรงนี้ผมรีบกินสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแม้ยังไม่รู้สึกหิว ตื่นเอาป่านนี้คงไม่มีใครรอกินข้าวพร้อมผมแน่ๆ ตอนนี้รู้สึกอายนิดๆเพราะมานอนอยู่บ้านคนอื่นแต่เล่นตื่นซะสายโด่ง...ไม่รู้เลยว่าตอนนี้สาวๆจะเป็นยังไงกันบ้าง

     

     ผมเดินออกมานอกห้องหลังจากจัดการเรื่องส่วนตัวเสร็จสิ้น ผมพบว่าสองสาวนั่งๆนอนๆอยู่ภายในห้องสมุดขนาดใหญ่ มิเรียมหยิบเอาหนังสือของตาปาล์มมาอ่าน ในขณะที่เหยียนอวี้หลับยาวอยู่บนโซฟา ผมยังไม่เห็นตาปาล์ม แต่พบว่าสาวๆทั้งสองมีอาการแปลกๆ เหยียนอวี้ไม่ได้หลับไปจริงๆ ส่วนมิเรียมเองมองหน้าผมอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก

     

    “ เมื่อคืนฉันได้ยินเสียงแปลกๆ ” มิเรียมพูดด้วยเสียงกระซิบเมื่อผมเดินเข้าไปนั่งระหว่างพวกเธอทั้งคู่

    “ อินที่นี่มีบางอย่างที่ฉันไม่สบายใจ ฉันไม่ชอบความรู้สึกนี้เอาเลย” เหยียนอวี้พูดกับผมโดยไม่ลืมตา

    “ อะไรอีกล่ะ ไม่มีอะไรมั้ง” ผมบอกกับพวกเธอ

    “ ฉันมองเห็นทางลับ เจ้าของบ้านเข้าไปในนั้นตั้งแต่เมื่อกลางวัน ตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา ” มิเรียมบอก

    “ ถ้าฉันได้ยินไม่ผิด ที่นี่มีเสียงของพวกคนคลั่ง ” เหยียนอวี้พูดต่อ

    “ ไม่เอาน่าคิดมากไปแล้ว ” ผมตอบ

    “ อินฉันไม่เคยคิดมาก ฉันรู้ว่ากำลังเห็นอะไร ” มิเรียมบอก

    “ ฉันคิดว่ามิเรียมไม่ได้เข้าใจอะไรผิด มีบางอย่างที่เจ้าของบ้านหลังนี้ซ่อนเอาไว้ “ เหยียนอวี้ย้ำความเชื่อของมิเรียม

    “ พวกคุณเข้าขากันดีเกินไปรึเปล่า ”  ผมยิ้มและทำสีหน้าล้อเลียน

    “ สำหรับฉันนี่ไม่ใช่เรื่องตลก “ เหยียนอวี้บอก

    “ มันเป็นเรื่องที่อันตรายเกินไป เจ้าของบ้านรู้จักพวกฉันและเขามีบางอย่างซ่อนเอาไว้ ฉันไม่สามารถรู้สึกปลอดภัยสำหรับสถานการณ์ที่เป็นอยู่”

    “ ผมยืนยันว่าสิ่งที่คุณกังวลจะไม่เกิดขึ้น คุณตา ไม่เป็นอันตรายกับใคร ไม่ต้องกังวลไปหรอก” ผมบอก


    แต่นั่นก็ไม่ทำให้ทั้งสองสาวคลายความกังวล มิเรียมแสดงออกด้วยการนั่งดูดนิ้วหัวแม่มืออย่างใช้ความคิด เหยี้ยนอวี้หันหน้าเข้าผนักพิงหลังโซฟา และมีเสียงถอนหายใจเป็นระยะ พวกเธอไม่รู้สึกพอใจกับคำตอบที่ได้รับ


    “ ผมขออภัยที่ทำให้พวกคุณต้องกังวล มานี่เถอะ ผมอยากให้คุณเห็นในสิ่งที่ทำให้พวกคุณคิดว่าผมปิดบังเอาไว้ ” เสียงผ่านลำโพงดังขึ้นอีกครั้ง

      

    พวกเราเดินไปตามที่เสียงของตาปาล์มพูด ครู่เดียวเราทั้งก็มายืนอยู่ในห้องชั้นบนสุดขึ้นบ้าน ที่นั่นมีกรงขนาดใหญ่และมี ผู้หญิงคนหนึ่งถูกขังอยู่ด้านใน เธอเป็นพวกติดเชื้อในระยะคนหลั่ง ที่ยังไม่ได้กลายเป็นพวกกินคน เอาจริงๆ พวกรุ่นนี้ส่วนมากตายไปหมดแล้ว ทั้งจากสภาพแวดล้อมและการถูกตามล่า แต่เธอคนนี้ก็ยังอยู่รอด


    มันทำให้ผมเข้าใจ  ทันที ผู้หญิงในกรงคือคนสำคัญของตาปาล์ม

     

    “ ผมขอแนะนำให้รู้จักกับภรรยาของผม ”  ชายชราบอกกับสองสาว

     

    พวกเธอยืนนิ่งโดยที่ผมเองก็บอกไม่ได้ว่า คิดอะไรอยู่ แต่พอจะเดาได้ว่าสาวๆคงไม่ได้รู้สึกดีนัก  คนพิการที่อยู่บ้านหลังเดียวกันกับคนคลั่งมันเป็นอะไรที่ค่อนข้าง พิลึกพิลั่นเกินสามัญสำนึก


    “ พวกคุณคงรู้สึกกับผมไม่ดีเท่าไหร่ แต่วางใจเถอะพวกคุณจะปลอดภัยในบ้านหลังนี้ ”  ตาปาล์มบอกกับสาวๆ

    “ อะไรทำให้คุณ เก็บเธอเอาไว้ ทั้งๆที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว ” เหยียนอวี้พูด

    “ ...มันเป็นเพราะคำสัญญาที่ผมบอกกับเธอเอาไว้ และเป็นเหตุผลเดียวที่ตาเฒ่าอย่างผมไม่ยอมตาย ” ลุงปาล์มบอก

    “ คุณไม่คิดว่า การกักขังเธอเอาไว้ในร่างกายนั้น คือความทรมานที่เธอต้องรับหรอกหรือ” มิเรียมถามต่อ

    “ มันฟังดูโง่ แต่ผมอยากจะบอกคุณว่า ผมยังคงหวังว่าวันหนึ่ง นางฟ้าของผมจะหายดี”

    “ ทั้งๆที่มันอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยตลอดชีวิตของคุณงั้นหรือ ” มิเรียมยังไม่หยุดถาม

      ผมจะไม่ตอบคำถามนี้ของคุณเด็กน้อย แต่เมื่อไหร่ก็ตามคุณรู้ตัวว่า คุณมีชีวิตอยู่เพื่อใคร คุณจะเข้าใจถึงสิ่งที่ผมทำ”

     

    น้ำตาของตาปาล์มไหลออกจากดวงตาข้างเดียวที่ยังเหลืออยู่ เสียงพูดของแกมีอาการขาดห้วงจากการสะอื้น ตัวของแกสั่นเทิ้มด้วยความรู้สึกความเจ็บปวด ท่ามกลางเสียงคำรามที่น่าเวทนาของคุณยายในกรง โดยมีอาการ ตาเหลือกลอยและน้ำลายไหลยืดไม่ได้สติ


    นี้คือสิ่งที่คนในรุ่นก่อนต้องเผชิญกับมัน

     

    “ ปะ เราปล่อยให้คุณยายพักผ่อนเถอะ ” ผมตัดบทก่อนจะเข็นตาปาล์มออกจากห้องโดยมีสองสาวเดินตามมาข้างหลัง


    และเพื่อปลอบให้คุณตาหายเศร้าจากอการหดหู่ ผมจึงตัดสินใจพูดบางอย่างออกมา


    “ ผู้ชายดีๆ ไม่ค่อยบอกรักใครด้วยคำพูดหรอก แต่คุณจะรับรู้มันได้เอง  เพราะเขาบอกรักผู้หญิงด้วยทุกๆสิ่งที่เขาทำ แค่มันไม่เคยเป็นคำพูดก็เท่านั้น ” ผมพูดให้สาวๆได้ยินโดยที่ไม่หันไปมองพวกเธอ

     

      พวกเราเดินออกจากห้องนั้นมาอย่างเงียบๆ  ผมคิดว่าสาวๆคงรู้สึกผิดอยู่บ้างที่เสียมารยาท

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×