ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Even the world is crumbling / ต่อให้โลกย่อยยับ

    ลำดับตอนที่ #42 : ความลับในเมืองร้าง 5

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.89K
      478
      10 พ.ค. 60

    คุณรู้ไม๊ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรซักเรื่องคือ สติ  คนที่ไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำตัวเองคือคนที่ได้เปรียบเสมอ ในกรณีที่คนสองคนกำลังทำในสิ่งเดียวกัน ความโกรธและความคึกคะนองจะทำให้คุณประมาท แต่ความลังเลที่เกิดจากความกลัวและความมุ่งมั่นที่พยายามบอกกับตัวเองว่าอย่าทำพลาด มันจะสร้างความกดดันจนทำให้คุณตัดสินใจช้ากว่าปกติ

     

    อารมณ์ทั้งสองอย่างถึงแม้จะมีแตกต่าง....แต่ก็ให้ผลแบบเดียวกัน 

     

    คุณมีโอกาสสูงที่จะพลาดกับอะไรก็ตามที่คุณกำลังทำอยู่

       

     แต่ที่ที่ผมยืนตอนนี้ ผมว่าต่อให้เป็นคนที่เยือกเย็นที่สุดก็อาจจะทำให้สิ่งที่ผมพูดไม่ได้ .........เดิมพันที่เราต้องแลกมันสูง


    เพราะมันคือการเอาชีวิตรอด

     

    ผมตะโกนออกมาสุดเสียงเพื่อเรียกสติ สูดลมหายใจให้ลึกและช้าลง  เมื่อรู้สึกสงบ ก็เริ่มส่งลูกปืนนัดแรกฝังใส่หัว สัตว์ร้ายตัวแรกที่อยู่ใกล้ที่สุด บอกตรงๆถ้าเลือกได้ มุมคงไปหาที่เงียบๆแอบนอนนิ่งๆรอพวกมันไปกันหมดแล้ว ทำอย่างอื่นที่ดีต่อสุขภาพมากกว่านี้      


    ถ้าผมเลือกได้นะ....

     

    ผมพยายามทำตัวให้สะดุดตาน้อยที่สุด เลือกจัดการมันทีเผลอ เพราะปืนที่ได้มามัน ยัดกระสุนเข้ารังเพลิงได้ทีละนัด แถมกระสุนปืนที่ได้มาทีหลังก็มีน้อยจนน่าหวาดเสียว ที่ห่วยสุดคือถ้ายิงไม่แม่นไม่โดนจังๆไอ้พวกนั้นก็ไม่ยอมตาย จนในที่สุดกระสุนที่ผมมีก็เริ่มหมด แต่ไม่นานพวกชีวิตที่สองบางส่วนก็วิ่งขึ้นมาควบคุมในจุดบอด เพื่อสกัดไม่ให้พวกกินคนแอบขึ้นมาทำร้ายพลปืน


    หลังจากที่เสร็จมันไปแล้วอย่างน้อยๆก็เกือบ 10 คน    

     

    แต่ถึงตรงนี้ผมเองก็ต้องเปลี่ยนวิธีสู้ ลูกปืนที่มีอยู่หมดเกลี้ยง ยิงโดนบ้างไม่โดนบ้าง โดนก็เข้าตรงที่หยุดมันไม่ได้บ้าง ก็เลยเลือกจะวางปืนที่ไม่เหลือกระสุนเอาไว้และหยิบมีดพกออกมา

     

    ของมีคมเล่มไม่ยาวไปกว่าท่อนแขน เอาไปสู้กับพวกผีบ้าสูงเฉลี่ยราวๆ สามเมตร และมีจำนวนมากๆ มันเป็นเรื่องที่คนไม่ปกติเท่านั้นแหละที่คิดจะทำ แต่จะทำไงได้ก็มันไม่มีทางเลือกแล้วนี่หว่า ยิ่งถ้าหวังจะเอาชีวิตรอดไปจากตรงนี้มันโคตรจะเป็นไปไม่ได้ ถึงตรงนี้อย่างเดียวที่ผมคิดออกคือเอาตัวรอดให้ได้นานที่สุดก็พอแล้ว   

     

    ในโลกใบนี้พวกเราจัดได้ว่าเป็นพวกที่ตัวเล็กที่สุดในเผ่าพันธุ์เดียวกัน สิ่งที่เราต้องทำเมื่อต้องสู้กับพวกตัวใหญ่แรงเยอะจึงไม่ใช้การเอาแรงไปวัด แต่ให้ใช้ความไวเข้าสู้ สำหรับจุดสำคัญในการใช้มีด ไม่ใช่การแทง แม้ว่าการแทงจะเป็นวิธีหนึ่งที่ดีในการฆ่าให้ตาย แต่หากว่ามีดที่เราถือปักเข้าไปในส่วนที่ชักกลับออกมาได้ยาก จะเป็นเราเสียเอง ที่อาจต้องตาย

     

    นั่นเป็นสิ่งที่ผมได้ยิน คนสอนวิธีใช้มีดพูดกรอกหูให้ฟังทุกวันจนจำขึ้นใจ

     

    ผมเดินเข้าหาพวกมันช้าๆเพื่อชิงจังหวะในชั่วพริบตาที่พวกมันโจมตีก่อน  เพื่อหาช่องมุดเข้าไปเฉือนหลอดลม หรือไม่ก็ เอ็นขาที่ข้อเท้าหรือหัวเข่า ไม่ให้พวกมันเคลื่อนไหว โดยหวังว่าจะมีใครที่อยู่ใกล้คอยซ้ำ ที่เดินช้าๆนี่ไม่ใช่เพราะมันเท่หรอกนะ แต่เพราะต้องเก็บแรงเอาไว้ใช้ยาวๆ แสงเช้ามาโน่นแหละถึงจะได้พัก


    ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเช้า แทบจะนับวินาทีรอ

     

    ผมสู้อยู่กับพวกมันนานแค่ไหนไม่ทราบ รู้แค่ตอนนี้เลือดของพวกมันเปียกไปทั้งตัว แถมยังซัดกับพวกมันจนเผลอ ลงไปถึงแนวปะทะด้านล่างสุดของตึกอย่างไม่รู้ตัว ในขณะที่ข้างล่างนี่ก็วุ่นว่ายพอกัน

     

    แต่ไหนๆก็มาแล้ว ก็เลยเดินตรงไปเข้าในดงที่พวกมันและกลุ่มการ์ดชีวิตที่สองกำลังบวกกันอยู่ เอาจริงๆถ้าพวกชีวิตที่สองมันตัวโตเท่ากับพวกกินคนผมคงจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร พวกนั้นใช้สมาธิกับคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า จนคิดไม่ถึงว่าจะมีใครแอบโผล่เข้ามาป่วน

     

    โอกาสแบบนี้ มาที ก็ไม่ควรพลาด ผมย่องเข้าไปเล่นงานพวกนั้นโดยที่พวกมันไม่ทันระวัง จนกระทั่งไอ้พวกผีบ้าที่เหลือเริ่มแหยงๆเนื่องจากเข้ามาถึงแนวสุดท้าย ไม่นานก็โดนตัดเอ็นจนยืนไม่ได้ มันเริ่มระวังมากขึ้นในการบุกเข้าใส่

     

    คราวซวยของผมก็มาถึง  เมื่อเลือดของพวกมัน ทำเอามือของผมลื่นและมีดที่ใช้เกิดหลุดมือ

     

    ผมรีบก้มตัวลงเก็บมีด ในขณะที่พวกกินคนสองสามตัวเล็งผมเอาไว้ พวกมันไม่รอให้ผมหยิบมีดได้ มันพุ่งเข้ามาก่อน แต่โชคดีที่ใครบางคนวิ่งเข้ามาสอดไอ้ผีนั่นตัวหนึ่งโดนเตะก้อนคอจนคว้ำส่วนไอ้ตัวที่ตามเข้ามาก็โดนศอกกลับเข้าเปลือกตาจนฉีกลูกตาหลุดห้อยออกมาจากเบ้า หลังจากนั้นก็มีพวกชีวิตที่สองอีกสามสี่คนตามมาหนุน

     

    “ ใช้ได้นี่หว่าคนใหม่ ” ไอ้นั่นพูดกับผมในขณะที่กำลังซัดกับพวกกินคนตัวหนึ่งที่วิ่งเข้ามาจากมุมอับ ผู้ชายที่ชื่อเมฆที่เป็นเพื่อนร่วมห้องของผมเมื่อตอนกลางวันนั่นแหละ เหมือนจะเป็นวิชาจากที่ราบสูง ไอ้คนนี้ไม่ใส่เสื้อสู้  ใช้สนับมือเป็นอาวุธ จังหวะเข้าออกนี่เชิงดีกว่าผมด้วยซ้ำ ที่สำคัญใช้หมัดดีจนหน้าตกใจ คือโดนเป็นร่วง ทำเอาผมเสียสมาธิเพราะยืนดูไปครู่หนึ่ง

      

    “ เห้ยอย่าอู้ดิว่ะคนใหม่ช่วยกันหน่อย ” เขาตะโกนใส่ผมในขณะที่บุกลึกออกมาจนเกือบถึงแนวยิง

     

    พวกเรายังปักหลักอยู่ตรงนั้น เหมือนกับเด็กซนตัวเปื้อนที่กำลังสนุกกับดินกับทราย ...... เพียงแต่เราไม่ได้กำลังเล่น และที่เปื้อนตัวเราไม่ใช้ดิน..............แต่เป็นเลือด

     

    พวกมันเริ่มหยุดและถอยออกไปจนพ้นแนวยิง คืนนี้ผมทำสำเร็จหนึ่งเรื่อง แม้จะยังไม่เช้า นั่นคือฝังความกลัวเข้าไปให้หัวของผีร้าย เหมือนกับฝูงช้างในโรงงานร้างทำ

     

    ยังมีเสียงคำรามและหายใจที่มุ่งร้าย แม้ไม่ฮึกเหิมเหมือนทีแรก  แต่เราทำให้มันสงบลงบ้าง  ถึงอย่างนั้นตอนนี้เราก็ไม่มีโอกาสที่จะไล่ขยี้พวกมัน ในตำแน่งที่อยู่ลึกเข้าไปนอกแนวยิง

     

    จู่ๆก็มีเสียงคำรามเดียวดังขึ้นจากด้านหลังของไอ้พวกนั้น พร้อมๆกับที่พวกมันเหลียวกลับไปมองและหลีกทางให้บางสิ่งที่วิ่งทะลุออกมาจากฝูง


    ผีร้ายตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นกระโดดข้ามแนวป้องกันที่สร้างขึ้นเหมือนเป็นแค่รั้วเตี้ยๆ

     

    มันก้มหัวต่ำเพื่อระวังกระสุนที่อาจยิงเข้าตาโดยไม่สนใจกระสุนนัดอื่นๆที่ระดมยิงใส่

     

    กลายเป็นพวกเราเองที่ต้องถอยกลับเข้ามาอยู่ในแนวป้องกันสุดท้ายใต้อาคาร

     

    ไอ้ยักษ์ตัวนั้นจ้องมาทางเราสองคน และคำรามอีกครั้ง !





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×