คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #40 : ความลับในเมืองร้าง 3
“ มีใครอยากไปหาของกินข้างนอกกับผม บ้างไม๊ ” ผมตะโกนเข้าไปยังกลุ่มที่พวกเขายืนอยู่
ไม่มีใครตอบรับ....ดูพวกเขาไม่ค่อยไว้ใจผม
รถซาเล้งที่ขนอุปกรณ์พะรุงพะรังจึงเคลื่อนตัวออกไปข้างนอกอย่างเดียวดาย
ตอนนี้เกือบจะมืดเต็มที ผมมีเวลาอีกไม่มาก่อนที่พวกกินคนจะออกอาละวาด แต่ผมก็ไม่รู้ว่าต้องขับรถออกไปไกลแค่ไหนถึงจะพ้นจากละอองพิษจากเหมืองถ่านหิน
เท่าที่พอนึกได้ ถ้าพิษมันเป็นเหมือนควันไฟที่ลอยอยู่ในอากาศ ต้นไม้ในระยะที่โดนเอาเขม่าพวกนั้นคงจะมีใบที่ฉาบไปด้วยผงดินที่ลอยมาเกาะ ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่ามันจะปลอดภัยรึเปล่า....ก็แค่ทำตามที่สัญชาติญาณมันบอก
จากเมือง ผมวิ่งออกมายังทางเส้นเก่าที่ตรงไปยังโรงงานร้าง และจอดรถในระยะทางที่คิดว่า กลับไปยังชุมชนของเมืองร้างได้ก่อนที่จะค่ำ พื้นที่ตรงนั้นคงเคยเป็นไร่อะไรซักอย่าง ตอนนี้หญ้าขึ้นสูงจนเกือบเลยหัว และเห็นว่ามีไม้โตเร็วจำพวกกระถินขึ้นแซมจนเกือบเป็นป่า ผมตัดเฉพาะเอายอดและฝักอ่อนใส่เข่งสานที่หยิบติดมา โชคดีในระหว่างนั้นเจอรังของไก่ป่าเข้า เลยสอยไข่ติดมือกลับมาด้วย
แต่พวกนั้นไม่ใช่เป้าหมายหลัก ที่ผมมองหาอยู่คือต้นตะขบ มันเป็นต้นไม้ที่โตเร็วละหาได้ทั่วไป ไอ้ต้นตะขบนี้จะออกลูกเกือบทั้งปี และมักเป็นที่ชุมนุมของสัตว์กินพืชหลายชนิด ลูกมันกลมๆขนาดเท่าหัวแม่มือเวลาสุกจะมีสีแดงสดหรืออกส้ม ซึ่งคนก็สามารถกินได้
แต่ที่ไหนมีตะขบต้องระวังงูเอาไว้มากๆ ยิ่งหน้าฝนนี่ ไม่จำเป็นผมจะไม่เข้าใกล้ เจอจงอางเข้าไปนี่....ฮากันไม่ออก
แผ่แม่เบี้ยทีสูงท่วมหัว
พูดก็พูดเถอะแถวๆนี้ พอไม่มีคนเข้ามาอยู่ไม่กี่เดือน ธรรมชาติก็มาเอาที่ดินคืนกลับเป็นป่าไปซะอย่างนั้น ผมเดินหาต้นตะขบอยู่ครู่ใหญ่ ก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะเจอ.....แต่ดันไปเจอเอาต้นมะม่วงแทน
แปลกนะ ..เวลาที่มองหาอะไรอยู่ ไอ้ที่หาจะไม่เจอหรอก ....แต่ไอ้ที่ไม่ตั้งใจจะหาเวลาแบบนี้เจอทุกที
ใต้ต้นมะม่วงผมเจอหมูป่าที่มีลูกอ่อนตามหลังอยู่เป็นพรวน
จริงๆก็อยากจะสอยแม่มันมากินหรอกนะ แต่คนบ้านๆเขามีข้อห้ามไว้ว่า
อะไรที่มันมีลูกอย่าไปฆ่าแม่มัน เพราะถ้าแม่มันตายลูกมันก็ตาย..............วันหลังเราจะหากินลำบาก
มะม่วงต้นนี้จริงๆก็ลูกดก แต่ผมก็ปีนไปเก็บไม่ได้
เหตุผลตอนนี้มีสองอย่าง คือแม่หมูป่าที่กำลังเพลินกับลูกมะม่วงที่ร่วงลงพื้น ถ้าเดินเข้าไปเฉยๆ ไม่ฆ่ามัน ผมเองนี่แหละจะตาย สำหรับอย่างที่สอง ผมเห็นรังมดแดงรังเบ้อเร้อ
อย่างน้อยสามสี่รัง
ปีนได้ แต่ไม้สู้ฝูงมด....อันนี้ไม่ไหวจริงๆ
ใกล้มืดเข้าไปทุกที...ที่ตรงนี้ ผมคงต้องตัดใจ
แต่ว่าผมก็ไม่ได้กลับไปถึงที่พักโดยมีแค่ไข่ไก่ป่ากับยอดกระถินนะ.... ผมยังได้สารอาหารประเภทโปรตีนกลับมาด้วย
เพราะในระหว่างเดินออกจากที่นั้น บังเอิญสะดุดเอาขอนมะพร้าวที่ล้มลงมาพักใหญ่
ไอ้พวกขอนมะพร้าวตายถ้าอยู่ในที่เหมาะๆ มันจะมีตัวอ่อนของด้วงที่มาวางไข่อยู่ด้านใน
เรื่องหน้าตาน่ากินนี่ติดลบ.........แต่ยังไงก็ดีกว่าอดตาย
ผมกลับเข้าถึงแนวป้องกันของชาวเมืองก่อนจะค่ำ
คนที่อยู่ในเมืองร้างพวกเขาหวาดระแวงผม แต่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อผมกลับมาพร้อมของกิน
รู้สึกแปลกๆนิดหน่อยตอนเริ่มลงมือก่อไฟทำอาหาร เพราะแป๊บเดียวเท่านั้นก็มีคนร่วมร้อยมายืนมุงพร้อมอาการน้ำลายสอ แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าพอที่จะเข้ามาร่วมวง จนกระทั่งไอ้ตัวเล็กสองตัวที่ผมช่วยไว้ วิ่งตรงมาทางผม เหมือนจะรู้งาน ประโยคที่หลุดจากปากของไอ้หนูสองคนนั้นคือ
“ กินมั่ง”
ผมเลยตัดไข่เจียวที่เพิ่งทำเสร็จแบ่งไปให้ ไอ้ตัวเล็กทั้งคู่พร้อมหนอนมะพร้าวแปรสภาพ อีกนิดหน่อย หลังจากนั้น วงล้อมที่เริ่มอยู่ไกลก็แคบเข้ามา ทุกคนพยายามทักทายผมทั้งๆที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ( อีห่าตอนแรกพวกมึงยังไม่คุยกะกูอยู่เลย )
แป๊บเดียวเท่านั่นแหละมากันหมดค่าย
เพราะเวลาที่ใช้หาของกินน้อยไปนิด
เริ่มมีเสียงบ่น หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นการทะเลาะตบตีกัน เนื่องจากแบ่งกันได้ไม่พอ
ผมเริ่มคุมคนไม่อยู่ สถานการณ์ก็เริ่มบานปลาย......จนในที่สุดครูและลุงหนูต้องรีบมาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“ พวกเอ็ง หยุดทะเลาะกันเดี๋ยวนี่นะเว้ย! ” เสียงครูตวาดลั่นจนคนที่นั่นเริ่มสงบ
“ ลุงหนู เอ็งบอกให้พวกไอ้หมายเก็บของกินพวกนี้ให้หมด”
แต่กลายเป็นว่าไม่มีใครยอม เนื่องจากไอ้หมายที่ครูกำลังพูดถึง ตอนนี้พี่ก็แกกำลังรีบจ้วงหนอนมะพร้าวเข้าปากไม่หยุด คือชาวบ้านก็รู้ว่าถ้าโดนริบคนที่จะได้กินก็จะมีแต่พวกการ์ด ดังนั้นจึงกลายเป็นเรื่องโกลาหล
สรุปสุดท้ายคือ ทุกคนถูกไล่กลับขึ้นตึกไปนอนเหลือไว้แค่พวกการ์ดที่อยู่กลางคืนกับพวกที่ยังทำงานค้าง โดยมีของกินติดขึ้นไปอย่างละนิดละหน่อย
ผมที่ไม่รู้เรื่องอะไร โดนหิ้วปีกเข้าห้องทำงานครูเป็นหนที่สอง
“ มาวันแรกก็สร้างปัญหาเลยนะเอ็ง ” ครูพูดกับผมในห้องในขณะที่เราอยู่กันตามลำพัง
“.....ขอโทษครับครู ผมแค่ต้องออกไปหาของกิน ไม่ได้คิดจะสร้างเรื่อง ” ผมตอบ
ครูนิ่งไปซักพัก เหมือนกับคิดอะไรบางอย่าง
“ งั้นคราวหลังผมจะออกไปกินข้างนอกเงียบครับ ไม่อยากให้ใครทะเลาะกัน ”
“ เฮ้ยใจเย็นดิวะ ไอ้อิน ทุกอย่างมันมีทางออก ” แกรีบตอบอย่างเร็ว
“ ถ้าจะริบของกินที่ได้มาวันนี้ ครูต้องเอานี่ไปด้วยละครับ ” ผมยื่นไข่ไก่ดิบที่ยังเหลืออยู่ให้แก
อาการมันออกว่าแกก็หิว แต่คนเป็นลูกพี่ มันก็ต้องเก็บอาการกันนิดนึ่ง ถึงจะเก็บได้ไม่มิดก็เถอะ
“ เอ็งคิดว่า เอ็งสามารถหาของกินมาเลี้ยงคน 300-400 คนต่อวันไหวไหมวะ “ ครูออกปากถาม
“ ดูๆที่นี้ก็สมบูรณ์ดีนะครับแล้วทำไมถึง..... ”
แกถอนหายใจออกมาก่อนจะเริ่มเผยความจริงออกมา
“ เอ็งเห็นพวกที่อยู่ข้างล่างใช่ไหม ”
“ ครับ “
“ พวกนั้นเป็นพวกที่ดูแลพวกเราตอนกลางคืน เพราะมีพวกนั้นอยู่เราถึงยังรอด ”
“ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่คนข้างบนต้องอดๆอยากๆหรือครับ ”
“ พวกนั้นมันต้องใช้อาหารเลี้ยงเยอะ ถ้าพวกนั้นกินไม่อิ่ม มันจะเริ่มจับคนข้างบนไปกิน ”
“ หมายความว่า ครูมีอาหารพอสำหรับ พวกที่อยู่ใต้ดิน แต่ไม่พอสำหรับ คนบนตึกใช่ไหมครับ ”
“
ใช่เรามีฟาร์ม แต่เพราะพวกนั้นกินจุมาก ถ้าพวกเราใช้อาหารของพวกนั้นด้วย
พวกสัตว์ที่เราเลี้ยงมันจะไม่พอ แล้วคนข้างล่างจะกลายเป็นอันตรายกับพวกเราซะเอง ”
" แล้วทำไมไม่ให้ใครออกไปหาของกินเพิ่มในป่าละครับ "
แกตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจว่า " คนพวกนี้ส่วนใหญ่มาหางานทำงานในเมือง พวกผู้ชายที่พอจะเข้าป่าได้ ตอนนี้ก็ไม่มี "
คำตอบของแกฟังยังไงก็แปลก แต่ผมไม่พยายามติดใจเรื่องพวกนี้ เพราะตะหงิดๆว่าต้องเกี่ยวกับพวกชีวิตที่สองที่อยู่ใต้ดิน ผมเลยเปลี่ยนคำถาม
“ พวกชีวิตที่สองนั่นมาได้ยังไงครับ ”
ครูเงียบไปและไม่ตอบคำถามนั้นของผม ดูเขาอึดอัดมากกว่าเดิม
“ โอเค ครับครู แต่ผมอาจต้องขอคนมาช่วยซัก 7-8 คน คงไม่มีปัญหาอะไรนะครับ ”
แกพยักหน้ารับ
ถึงตรงนี้ การสร้างโอกาสเพื่อที่จะหาข้อมูลของฝรั่งคนนั้น
เพิ่มขึ้นอีกนิด
มันเริ่ม ด้วยการผูกมิตรกับคนพื้นที่ ฮ่าๆ
ความคิดเห็น