ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Even the world is crumbling / ต่อให้โลกย่อยยับ

    ลำดับตอนที่ #139 : การโจมตีของออชิเดน และการโต้กลับของพวกใต้ดิน 2

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.06K
      144
      18 เม.ย. 62

    แต่การโดดหนีลงสู่ท้องน้ำที่เย็นเฉียบ ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะอันตรายที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีเพียงการถูกฆ่าจากหุ่นยนต์พวกนั้น อุณหภูมิของน้ำคืออีกหนึ่งปัญหาที่อาจทำให้พวกเราจมลงสู่ก้นทะเลเบื้องล่างได้ง่ายๆ

    “ พอจะมีทางไหนที่จะกลับขึ้นไปข้างบนได้บ้างไหม ” ผมถามมิเรียม

    “ ปะ ปะ ไป ที่หัวเรือ มะ มี จุดที่เป็นตำแหน่งทิ้งสมอ เราปีนขึ้นได้จากที่ ตะ ตรงนั้น ” เธอเริ่มสั่นจากความเย็นเฉียบของน้ำ

    “ มิเรียม คุณคิดว่าจะว่ายน้ำไป ถึงที่นั่นไหวรึเปล่า ”  ผมถามเธอ

    “ กะ ก็ ต้องไหว  ฉะ ฉันยังไม่อยากตาย ”

    “ ดีแล้ว...ไปกันเถอะ ถ้าไม่ไหว บอกผมนะ เราจะเกาะตัวเรือ เวลาต้องการพัก ”

    “ อื่อ ”

     

    ระยะทางในน้ำกับบนบกแม้จะไม่แตกต่าง แต่เวลาที่ใช้กับแรงที่เสียไปกับการเคลื่อนตัวมันต่างกันลิบลับ ยิ่งตัวเรือที่มีขนาดใหญ่มโหฬาร ยิ่งเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับทั้งผมและมิเรียม แต่เธอเชื่องช้าและอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ผมต้องคอยหันหลังกลับไปมองเธอเป็นระยะๆ เพราะกลัวว่าเธออาจไปไม่ถึง

     

    โชคดีของเราอย่างหนึ่งในตอนนี้ ก็คือการที่เรือยังไม่เคลื่อนที่ ไม่งั้นเราอาจตายเพราะแรงดันของน้ำที่เกิดจากการขยับของตัวเรือ ไม่ก็ถูกใบพัดเรือที่ด้านหลังตัดร่างออกเป็นชิ้นๆ

     

    “ มาน่าเร็วๆ ” ผมพยายามกระตุ้น

    “ ฉันเร็วที่สุดแล้ว ” เธอยังมีแรงตวาดออกมาอย่างหัวเสีย

    แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะถ้ายังมีแรงโมโห ก็ยังมีแรงไปต่อ

     

    ครู่หนึ่งศพจำนวนมาก ก็ร่วงลงจากตัวเรือ ผมตรงไปยังร่างที่ใกล้ที่สุดเพื่อ เอาเสื้อชูชีพที่ไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกเขาอีกแล้ว .. 

     

    ชายร่างอ้วนเขามีบาดแผลที่ทำให้ใบหน้าของเขาหายไปครึ่งหนึ่ง

    “ อิน ! ไม่ดีแล้วรีบมาเถอะ ” มิเรียมเริ่มแสดงตื่นกลัว

    “แป๊บหนึ่ง คุณจะได้ลอยตัวได้ง่ายขึ้น ”

    “ รีบมาเถอะ อิน ”

    “ คุณเป็นอะไรของคุณ ” ผมถามกลับอย่างสงสัย

    แต่มิเรียมไม่ตอบคำถามนั้นเธอพยายามว่ายออกไปอย่างรวดเร็ว เหมือนเธอกำลังกลัวอะไรบางอย่าง ในขณะที่ศพจำนวนหนึ่งค่อยๆร่วงลงน้ำ หลังจากถอดเสื้อชูชีพจากร่างนั้น ผมรีบว่ายตามเธอให้ทัน ดูเหมือนความเหนื่อยเมื่อครู่นี้ของเธอจะหายไปเสียดื้อๆ มิเรียมรีบว่ายออกห่างจากร่างไร้วิญญาณที่ลอยอยู่ในน้ำอย่างรวดเร็วราวกับศพพวกนั้นจะทำให้เกิดอันตราย

    ซึ่งมันก็ดี เพราะการขึ้นจากน้ำในตอนนี้ยิ่งเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะหนาวตายก็น้อยลงเท่านั้น

     

    แต่ผมก็ยังอยากรู้ ว่าทำไมมิเรียมถึงได้ออกอาการลนลานอย่างผิดปกติ

     

    อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่านั่นคงมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกตื่นกลัว  ซึ่งเหตุผลที่มิเรียมรีบมันก็เกิดขึ้นในระยะเวลาไม่นานนัก กลิ่นคาวเลือด เรียกเจ้าแห่งท้องน้ำฝูงใหญ่ให้ปรากฏตัว ...  กระโดงสีดำสนิทขนาดใหญ่ค่อยๆว่ายวนและเริ่มจัดการซากศพที่อยู่เหนือน้ำ พอเห็นปากและฟันขนาดใหญ่ที่กัดร่างพวกนั้นจนขาดออกเป็นชิ้นๆ ผมก็ไม่เหลือความลังเลอีก

     

    เข้าใจแล้วว่าทำไมอีเจ๊ถึงรีบชนิดลืมตาย..ผมเองก็สับลืมตายตามอีเจ๊ไปติดๆ โชคยังดีที่พวกนั้นเลือกกิน ซากของพวกที่ร่วงลงมาจากเรือก่อน ... แต่ถ้ายังลอยคอเอ้อระเหยลอยชายอยู่ใกล้ๆอดีตมนุษย์พวกนั้น

     

    มีหวังลงท้องพี่หลามไปด้วยแหง่ๆ

     

    สถานการณ์ของเราทั้งคู่ในตอนนี้เหมือนว่ายน้ำแข่งกัน ยัยมิเรียมที่ดูเหมือนจะตายเมื่อครู่ ตอนนี้ดึงสโตรคท่าผีเสื้อยังกะนักกีฬาว่ายน้ำก็ไม่ปาน จากเริ่มต้นที่กว่าจะขยับได้แต่ละคืบ เป็นเรื่องโคตรลำบาก ตอนนี้เผลอแป๊บเดียวนางปีนเป็นลิงกลับขึ้นไปบนหัวเรือเรียบร้อย

     

    ....บอกตรงๆว่าไม่อยากเชื่อสายตา เธอดูไม่เหมือนผู้หญิงงี่เง่าที่ไม่ยอมทำอะไรด้วยตัวเองอย่างเคยเห็น  แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะไอ้ความกลัวของเธอมันทำให้ผมรอดตายไปด้วย

     

    หลังรอดตายจากปากของปลาฉลามเรานั่งหมดแรงกันอยู่ที่รอกตัวใหญ่ที่ใช้ดึงสมอขึ้นจากน้ำ กิจกรรมนรกเมื่อซักครู่เล่นเอามิเรียมนอนหอบซี่โครงบาน ไม่เหลือภาพพจน์ใดๆที่นางเคยเป็นแม้แต่นิดเดียว ...แต่เรื่องของเรายังไม่จบแค่นั้น มันยังมีสิ่งที่น่ากังวลอื่นๆรอคอยเราอยู่

     

    อย่างไรก็แล้วแต่ ตอนนี้เราการจะพัก

     

    การปีนกลับขึ้นมาที่หัวเรือ ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่ถูกต้อง อย่างหนึ่งที่ถือว่าเป็นความโชคดี คือในบริเวณนี้ยังไม่มียูนิตสงครามปรากฏตัวให้เห็น

     

    “ เอาไงต่อที่นี้ ” ผมถามเธอเพื่อขอความเห็น

     

    แต่มิเรียมยกมือปรามเอาไว้ เธอยังคงไม่หายเหนื่อย ร่างกายของเธอสั่นเทิ้ม ผมคิดว่ามันเป็นผลที่เกิด หลังจากการใช้แรงที่มากกว่าปกติ

     

    ผมชะโงกหน้าลงไปมองฉลามพวกนั้น เงาใหญ่ๆที่เคลื่อนไหวอยู่ใต้ผิวน้ำทำให้ผมรู้สึกขนลุกอย่างช่วยไม่ได้

     

    มันเป็นความสงสัยที่ไม่อยากรู้คำตอบ...ว่าระหว่างฉลามกับพวกกินคน อะไรจะฆ่าเราได้เร็วกว่ากัน

     

    เป็นเวลานานทีเดียวกว่าระบบการหายใจของมิเรียมจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

     

    “ ผมมีโอกาสพังหุ่นยนต์พวกนั้นได้บ้างรึเปล่า ”

    “ ฉันไม่แน่ใจ พวกมันถูกออกแบบให้ฆ่าทุกอย่างที่เราต้องการ พวกมันแทบไม่มีจุดอ่อน ”

    “ ตรงนี้ผมว่าเราคิดต่างกันนะ มันไม่มีอะไรหรอกที่ดีไปซะทุกอย่าง ”

     

    มิเรียมนิ่งไปซักครู่ ....เธอพยายามคิดและตอบคำถามของผม

    “ ถ้าเราอดทนรอ พวกมันจะหยุดทำงานไปเอง ”

     นานแค่ไหน ” ผมถามต่อ

    “ ไม่รู้ซิ พวกที่กลับมาจาก แนวปะทะไม่น่าจะอยู่ได้นานเกินสองชั่วโมง แต่พวกที่อยู่บนเรือกับพวกที่เพิ่งมาถึง พวกนี้ น่าจะอยู่ไปได้อย่างน้อยคืนหนึ่งเต็มๆ”

    “ ข้อจำกัดอย่างอย่างอื่นล่ะ ”

    “ ถ้าพวกมันล้มลงต้องใช้เวลาประมาณ 180 วินาทีเพื่อลุกขึ้น แต่พวกมันมีน้ำหนักเยอะ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่นายจะทำให้พวกมันเสียสมดุลย”

     “ มีอะไรปวดตับกว่านี้อีกไหม ” ผมเริ่มกวนตีนเพราะยังนึกไม่ออกว่าจะจัดการพวกของเล่นทรยศเจ้าของได้ยังไง

    “ กระสุนปกติที่พวกมันใช้ เป็นแค่แท่งเหล็กตันๆ แต่แรงส่งที่มีสามารถเจาะทะเลาะเกราะรถถังหนาๆได้สบาย นอกจากนั้นถ้ากระสุนหมด พวกมันยังสามารถใช้วัสดุที่อยู่รอบๆแทนกระสุนได้อีก หมายความว่าพวกมันยิงคุณได้เรื่อยๆจนกว่ามันจะหยุดทำงาน อีกอย่างเกราะของพวกมันหนาเกินกว่าลูกกระสุนที่คนทั่วไปใช้ ดังนั้นต่อให้ใช้ค้อนอันโตๆทุบพวกมัน ก็ไม่แม้จะเกิดรอยขีดข่วน ”

    “ คำแนะนำล่ะ ”

    “ พวกมันมีเซ็นเซอร์อยู่ที่ส่วนหัว ถ้านายไม่ตายก่อนเข้าถึงตัวพวกมัน บางทีนายอาจทำลายเซ็นเซอร์พวกนั้นได้ ”

    “ แล้วมีวิธีง่ายๆที่จะเข้าถึงตัวมันรึเปล่า ”

    “ ....ฉันคิดว่านายรู้ว่าต้องทำยังไงมากกว่าฉันนะ ”

     

    ผมถอนหายใจอย่างจนปัญญา เสียงเตือนสัญญาณบางอย่างจากเรือดังขึ้น มันเป็นเสียงที่ตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่บนเรือไม่เคยได้ยินมาก่อน มิเรียมมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด จรวดหลายลูกถูกยิงออกไปจากด้านหลังลำเรือ

    “ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ “  มิเรียมร้องออกมาอย่างตกใจ

     

    ผมไม่รู้ว่าทำไมจรวดพวกนั้นถึงทำให้มิเรียมตกใจกลัว

     

    “ คุณตกใจอะไร ”

    “ จรวดพวกนั้น... ”

    “ ทำไม ”

      มันเป็นจรวดทำลายล้าง แค่ลูกเดียวก็ทำให้บาเบลทูทั้งเมืองกลายเป็นซาก ”

    “ พวกมันถูกยิงไปที่ไหน ”

    “ ...ฉันไม่แน่ใจ แต่ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือแนวปะทะ รอบๆทางเข้าของพวกใต้ดินที่เราตรึงมันเอาไว้ ”

    “ เราเตือนคนพวกนั้นให้หลบออกไปได้รึเปล่า ”

    “ ถ้าเราติดต่อพวกเขาได้ก่อนจรวดจะไปถึงหนึ่งชั่วโมง อาจพอมีคนรอดได้บ้าง”

       มันอะไรกันวะ....มีอะไรแย่กว่านี้อีกไหมเนี้ย ”  ผมบ่นอย่างเสียไม่ได้

    “ มี...ถ้าจรวดพวกนั้นถูกยิงออกมา แสดงว่าเรือลำนี้ถูกพวกมันยึดเรียบร้อยแล้ว ”

    “ แล้วมันยังไง ”

      ....เรือลำนี้เป็นความลับของพวกเรา มันเป็นสิ่งที่ต้องไม่มีใครในทวีปอื่นรู้ว่ามันมีอยู่ ถ้าวันหนึ่งมีคนรู้ว่าเรามีเรือลำนี้ มันจะต้องจมลงโดยไม่มีเงื่อนไขอื่น ”

    “ ทำลายหลักฐานใช่ไหม ”

    มิเรียมพยักหน้า

    “ แล้วคนที่อยู่บนเรือล่ะ ”

    “ จะต้องไม่มีใครรู้ ว่าเรือลำนี้มีอยู่ ” เธอย้ำคำพูดเดิม

    ความหมายของมันคือทุกคนบนเรือจะต้องจมไปพร้อมกับลำเรือนั่นเอง

    ผมถอนหายใจเซ็งๆ “ ถามจริงๆ ถ้าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น พวกคุณตั้งใจจะปล่อยผมกลับบ้านอย่างที่พูดจริงๆรึเปล่า ”

    “.....ถ้าพวกเขามั่นใจว่าคุณจะไม่พูด .... ใช่ เขาไม่ได้โกหกเรื่องพาคุณกลับบ้าน ” มิเรียมไม่สบตา

    “ แต่ไม่ยืนยันว่าผมจะถึงบ้านแบบเป็นหรือตาย ”  ผมตอบในสิ่งที่เธอไม่บอก

    “ ฉันไม่..”

    “ พอเหอะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ”

    เสียงสัญญาณเตือน ยังคงดังอยู่ แม้จรวดหลายลูกจะลอยหายขึ้นไปบนฟ้า โดยธรรมชาติออชิเดนไม่ได้เป็นคนนิสัยเลวร้าย แต่ในกรณีที่พวกเขามีเงื่อนไขบางสิ่ง ที่พวกเขาให้ความสำคัญ พวกเขาก็จะไม่แยแสกับ      มโนธรรมหรือชีวิตของคนอื่นๆแม้แต่น้อย

     

    “ อะไรที่ทำให้เรือลำนี้เป็นความลับ พวกคุณมีอะไรที่ต้องทำขนาดนั้น ”

    “ หัวรบนิวเคลียร์ ”  เธอตอบผมเรียบๆ

    .....

    “ นายกำลังคิดอะไรอยู่ ”  มิเรียมถามหลังจากที่ผมเงียบไปนาน

    “ คุณก็น่าจะรู้ หาวิธีไปให้พ้นจากเรื่องบ้าๆ พวกนี้นะซิ ”

    “ นายยังไม่คิดถอดใจหรอ ”

    “ ไม่”

    “ แล้วนายจะทำยังไง”

    “ หยุดไอ้หุ่นกระป๋องพวกนั้นแล้วไปจากที่นี่ให้ไว”

    “ นายคิดว่านายจะทำเรื่องแบบนั้นตามลำพังได้หรอ”

    “ ไม่รู้ แต่ผมคิดว่า มันดีกว่านั่งรอความตาย ”

     

    มิเรียมเริ่มมีสีหน้าดีขึ้นมาเล็กน้อย เธอกัดเล็บและเดินไปเดินมาเหมือนจมอยู่กับอะไรบางอย่างในหัว

    “ อินฉันไปด้วย ”

    “ อย่าเลยเกะกะ ผมดูแลคุณไม่ไหวหรอก ”

    “ ฉันคิดว่ายังพอมีวิธีที่จะจบเรื่องนี้แบบไม่แย่เกินไปนัก....อย่างน้อยก็ไม่พอมีทาง ”  มิเรียมอ้อนวอน

    “ เล่าแผนของคุณมาซิ ”

     

    มิเรียมต้องการให้พาเธอกลับไปที่ห้องพัก ที่นั่นมีเครื่องมือสื่อสารที่เธอใช้ติดต่อกับพวกออชิเดนที่อยู่ที่อื่น รวมถึงพวกที่เป็นเป้าของขีปนาวุธที่เพิ่งถูกปล่อยออกไปเมื่อครู่ ปัญหาของพวกเราในตอนนี้คือการฝ่าดงหุ่นยนต์ที่กลายเป็นเครื่องจักรสังหาร ตามพื้นที่ต่างๆบนเรือลำนี้

     

    ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นความคิดที่ดีรึเปล่าแต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×