ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Jujutsu Kaisen fiction - คนสวยขา ( megumi x oc )

    ลำดับตอนที่ #8 : 07 - งานศพของผู้วายชนม์

    • อัปเดตล่าสุด 16 ต.ค. 64


    Jujutsu Kaisen fiction - คนสวยขา

    - megumi x oc 


     

               เช้านีี้ช่างหม่นหมองเหลือเกิน , กลิ่นยาของโรงพยาบาลดูเป็นเรื่องแปลกใหม่นักสำหรับบิชามอน เขาไม่เคยเจ็บตัวขนาดที่จะต้องถ่อมาถึงโรงพยาบาลเหมือนครั้งนี้ จะบอกว่าโชคดีก็ว่าได้ที่ฟุชิงุโระช่วยได้ทันก่อนที่เขาจะโดนเขมือบโดยคำสาป แต่กระนั้นบิชามอนก็มั่นใจว่าอย่างไรทามาโมะคงไม่ยอมให้คำสาปพวกนี้แย่งอาหารอันโอชะของตนไปหรอก

               เด็กหนุ่มจำได้ว่าตนฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลสีขาวสะอาด มองไปทางด้านซ้ายเห็นเด็กสาวที่ร่วมชะตากรรมกำลังหลับพักเอาแรง หันไปทางขวาเห็นทามาโมะกำลังพักผ่อนด้วยกิริยาสบายตา คงต้องบอกว่าดีแล้วที่รอดมาได้โดยกลับมาแบบครบสามสิบสอง ดวงตาสีอำพันพลันอ่อนแสง ท่าทางเหนื่อยล้านั้นแบกทับไว้จนเขาอยากปิดสวิตช์ตัวเองแล้วนอนอีกหน


               “ฮาคุจังไม่ได้อยู่ด้วยงั้นเหรอ ?”สิ่งต่อมาที่สังเกตเห็นก็คงเป็นนอกจากเขา คุงิซากิและทามาโมะแล้ว เพื่อนร่วมชั้นอีกสามคนนั้นก็ไม่เห็นแม้แต่เงา จดจ้องจิ้งจอกตัวใหญ่ที่ยังคงทำตัวเกียจคร้าน ดวงตาเรียวรีแต้มสีชาดเหลือบมองก่อนขยับยิ้มเบาบาง ท่าทางนั้นดูเลื่อนลอยอย่างบอกไม่ถูก

               “—ทามาโมะ ?”

               “เจ้าคิดว่าความตายเป็นเช่นไร”เขาเอ่ยถามด้วยคำถามที่ดูจริงจังกว่าที่ผ่านมา ดวงตาสีอำพันเฉกเช่นเดียวกับบิชามอนกำลังปรายตามอง “คิดว่าคุ้มแล้วหรือที่เอาตัวเองไปทิ้งเช่นนั้น”

               “ผมคิดว่าตัวเองไม่ได้รู้จักมันดีมากพอจนสามารถอธิบายได้ว่าเป็นอะไรหรอกนะ”เด็กหนุ่มเงียบไปชั่วครู่ก่อนเรียบเรียงความคิดตัวเองรวมถึงคำพูดที่กำลังออกจากปาก “ส่วนอีกคำถาม ผมรู้เกี่ยวกับสัญญาของเรามากพอจะเข้าใจว่ายังไงคุณก็คงไม่ปล่อยให้ผมตายง่าย ๆ”

               ครานี้จิ้งจอกหัวเราะแผ่วเบา

               “—เจ้านี่มัน”


               บิชามอนมองคู่พันธสัญญาตนที่ดูเหมือนจะพึงพอใจก่อนจะค่อยหายไปเพื่อให้เขาได้พักผ่อน ทว่าความคิดที่จะพักผ่อนกลับต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ไม่นานนักบานประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นร่างเด็กหนุ่มที่สะบักสะบอมพอควร ดวงตาสีน้ำเงินเข้มดั่งผืนราตรีเงยมองสะดุดตรงหน้าบิชามอน สั่นไหวเพียงชั่วครู่ก่อนหลบตา

               เขาอาจจะดูนิ่งเรียบเหมือนปกติก็จริงหากเขาไม่ช่างสังเกต สีหน้าเหมือนเดิมแม้แต่ร่องรอยอารมณ์ก็เก็บเงียบจนคล้ายญาติตัวเอง ทว่าแววตากลับสั่่นระริกราวกับแผ่นแก้วที่กำลังแตก และ—ดูเหมือนจะน่าตลกนักที่เขาพอคาดเดาได้ถึงอารมณ์ที่ก่อเกิดในดวงตาเด็กหนุ่มตรงหน้า มองเสื้อผ้าที่ยับเยินและคลุกฝุ่น มองใบหน้าที่มีคราบเลือดแห้งกรังประกอบกับเรือนผมที่ลู่ลงจากเม็ดฝน


               “ฮาคุจังกับอิตาโดริล่ะครับ ?”บิชามอนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอย่างที่ควรพึงกระทำ น้ำเสียงนุ่มทุ้มปลุกฟุชิงุโระออกจากความคิด ดวงตาสีราตรีสะท้อนใบหน้าคนตรงหน้า คลับคล้ายเหมือนคนล่วงลับจนชวนอยากจะร้องไห้ ทว่าเขาก็ได้แต่กลั้นมันไว้ภายในอย่างที่เคยทำเสมอมา พยายามควบคุมน้ำเสียงดั่งที่ควบคุมสีหน้า

               แต่ฟุชิงุโระรู้

               “เกียวคุโระกับอิตาโดริ”

               ว่ามันยากเหลือเกิน

               “เสียแล้ว”


               บิชามอนยิ้ม เอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่น พร้อมกับตัวเขาเองที่ตอกกลับด้วยความจริงอีกครา , เป็นคราแรกที่ฟุชิงุโระเห็นคนที่ยิ้มแย้มตลอดเวลากำลังร้องไห้ ร้องราวกับกรีดร้องออกมาประหนึ่งโลกกำลังแตกสลาย ดวงตาสีราตรีเข้มสะท้อนร่่างของบิชามอนที่กำลังทรุดตัวลง สองมือกำลังปิดใบหน้าที่กำลังร่ำไห้เฉกเช่นเม็ดฝนที่ยังคงโศกเศร้าด้วยบรรยากาศมืดครึ้ม

               ความรู้สึกแสบตรงตามีแต่มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อน้ำตาที่พยายามปาดมันออกกำลังไหลออกมาราวกับสายน้ำ เสียงสะอื้นดังลอดผ่านริมฝีปากดังมากพอปลุกคุงิซากิให้รับรู้สถานการณ์ในวันนี้ ขณะเดียวกันบิชามอนก็พยายามพร่ำบอกกับตัวเองว่าไม่จริง ทว่าน้ำตาที่ไหลออกมานั้นกลับเป็นคำตอบสุดท้ายที่บ่งบอกความจริงทั้งหมดในวันนี้

               ขานชื่อเรียกด้วยน้ำตา

               ทั้งแผ่วเบาและรวดร้าว


               เป็นครั้งแรกที่บิชามอนได้รับรู้
               ว่าความรู้สึกโลกพังทลายลงมาเป็นเช่นไร


               ราวกับว่าภาพตรงหน้า—กลายเป็นสีเทา





               “ไม่ได้หรอกนะบิชามอนคุง”คำปฏิเสธของอาจารย์เรือนผมสีขาวทำให้สีหน้าเด็กหนุ่มเริ่มเย็นเยียบ ดวงตาสีอำพันเรืองรองขึ้นมาเมื่อได้ยินคำปฏิเสธครั้งที่่สามเกี่ยวกับศพของคูฮาคุ หากไม่ติดว่าเบื้องหน้าคืออาจารย์หรือว่าสถานที่ตอนนี้อยู่ในโรงเรียน บางทีเขาอาจจะเสกลูกไฟแล้วจัดการไล่เผาทีละคนแล้วก็ได้

               ลมหายใจถูกสูดเข้าปอดเด็กหนุ่ม “ผมแค่ต้องการศพคูฮาคุถูกฝังอยู่ภายใต้สุสานตระกูลเท่านั้นเอง”

               “ถึงผมอยากจะให้แต่ยังไงก็ต้องมีการชันสูตรก่อน”รอยยิ้มเบาบางวาดบนใบหน้าเชิงขอโทษที่ไม่อาจตอบรับความหวังของเด็กน้อยตรงหน้า ความมุ่งมั่นหรือประกายของความโศกเศร้าบิดเบี้ยวจนโกโจไม่คิดว่าจะมาจากเด็กที่ยิ้มเก่งเป็นอันดับสองรองจากอิตาโดริที่สอยตำแหน่งอันดับแรกไป

               “เรื่องนั้นผมไม่ได้คิดมาก ต่อให้อาจารย์ต้องการผ่าเธอออกมาหรือต้องการควักไส้—ถึงจะเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ตายก็ตามแต่ผมจะพยายามมองข้าม”เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเข้มในช่วงท้าย ก่อนกล่าวต่อ “ตราบใดที่คุณสามารถให้ร่างเธอมาให้ตระกูลเกียวคุโระได้ ต่อให้มีรอยเย็บทั่วร่างก็ไม่เป็นไร”

               มันไม่เป็นไรเลย

               “อย่างน้อยผมก็อยากทำหน้าที่ของผมให้กับเธอเป็นครั้งสุดท้าย”

               หากให้เธอได้หลับลงภายใต้ผืนดินของตระกูล


               การเจรจาล้มเหลว—มันไม่เชิงล้มเหลวนัก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้รับปากแบบหนึ่งร้อยเปอร์เซนต์ ทว่าสิ่งที่น่าหนักใจมากที่สุดคือเขาต้องบอกเรื่องของฮาคุให้กับครอบครัวใหญ่และครอบครัวเธอด้วย ซึ่งแม้แต่เขาเองก็ไม่รู้เลยว่าจะบอกอย่างไรให้ไม่ร้องไห้ออกมาเหมืือนวันแรกที่รับรู้ และมันก็ช่างน่ารำคาญเหลือเกินเกี่ยวกับความรู้สึกหน่วงบนอกตอนนี้

               ทว่าสิ่งที่น่่าแปลกใจก็คงเป็นทามาโมะ เขานึกว่าอีกฝ่ายจะโวยวายเกี่ยวกับเรื่องของเด็กสาวที่ตนถูกใจเป็นพิเศษ กลับกันเขาเห็นเพียงความนิ่งเรียบ เดาอารมณ์ไม่ถูกเหมือนตอนเจอหน้าเท็งงุสมัยเด็ก อากัปกิริยาแรกคือการกรีดพัดอันเป็นสีสัน ไม่รู้ว่าต้องการปิดสีหน้าเศร้าโศกหรืออะไร มีเพียงแค่คำแสดงความเสียใจด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนเลือนหายเป็นลูกไฟ

               เด็กหนุ่มพยายามปรับสีหน้าด้วยความยุ่งยาก ไม่เหมืือนตอนที่คูฮาคุอยู่ด้วยราวกับเขาสูญเสียงสิ่งสำคัญที่่มากพอจนรู้สึกโหวง ๆ ในใจ ดวงตาสีอำพันสะท้อนร่างเพื่อนร่วมชั้นสองคนที่กำลังนั่งด้วยบรรยากาศหดหู่ แม้ว่าแต่ละคนจะไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา ทว่าสิ่งสุดท้ายที่ตกค้างล้วนเหมือนกัน


               “จะไปไหนงั้นเหรอบิชามอน ?”เด็กสาวผมสั้นเงยมอง เห็นอีกฝ่ายกำลังเดินมาด้วยสีหน้าอิดโรย รอยยิ้มที่เคยยิ้มเต็มปากเต็มตาเลือนหายราวกับมายา เหลือเพียงรอยยิ้มน้อยนิดเพื่อไม่ให้อึดอัด แววตาหม่นลงดั่งแสงจันทร์ไร้แสงดวงอาทิตย์ เรือนผมสีปีกกาที่เคยถนอมดูแลเริ่มยุ่งเหยิงจากการปล่อยละเลย เรียกได้ว่่าพังไปเกือบหมด

               “กลับตระกูลน่ะครับ”คำตอบของเขาทำให้คนถามเงียบลง “อาจจะหายหน้าไปสักวันสองวัน ถ้าหากผมตกลงกับอาจารย์ได้อาจจะมีพิธีศพ ฟุชิงุโระกับคุงิซากิก็มาได้นะครับ”

               ฟุชิงุโระผงกหัว คำตอบเขาแห้งแล้งเหมือนหัวใจที่ยังคงติดในความทรงจำ

               “ได้”


               มันไม่มีแม้แต่รอยเศร้าโศกบนใบหน้า , การกลับมาของว่าที่นายน้อยตระกูลทำให้ใครหลายคนแปลกใจพอสมควร เนื่องจากว่าเพิ่งจากบ้านไปได้ไม่นาน ใครหลายคนย่อมไม่คิดว่าบิชามอนจะกลับมาเยี่ยมเร็วขนาดนี้ พร้อมกับข่าวอันน่าสลดใจอย่างการตายของหลานคนแรกอย่างเกียวคุโระ คูฮาคุ

               เขาบอกด้วยเสียงเรียบนิ่งที่พยายามควบคุมไม่ให้สั่นเครือ เฝ้ามองสีหน้าแต่ละคนที่ถูกเรียกรวมมาในห้องโถงใหญ่ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยเสียใจในแววตาหรือสีหน้า ไม่มีแม้แต่คำแสดงความเสียใจหรือเสียงร้องไห้ให้ได้ยิน ดวงตาสีอำพันพยายามเหลือบมองไปทางฝั่งของคุณอาผู้เป็นบิดากับมารดา วาดหวังสักนิดว่าจะมีร่องรอยอะไรให้ได้เห็น

               แต่ดูเหมือนบิชามอนจะคาดหวังสูงเกินไป

               มีเพียงถ้อยคำที่หลุดออกจากปากว่า—อีกแล้ว เขาฟังด้วยอารมณ์สงสัย ต้องโทษตัวเองที่หูผีเกินไปขนาดที่ว่าชายหนุ่มกระซิบแผ่วเบาจนแทบกลืนลงในลำคอก็ยังได้ยินอีก พลางพ่อตัวเองกล่าวว่าจะมีการจัดพิธีศพและหลุมในตระกูล การแต่งชุดดำไว้อาลัยให้กับเด็กสาวผู้ล่วงลับ

               พวกเขาทำเหมือนกับว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ

               ทำเหมือนกับว่า คูฮาคุ ไม่เคยมีตัวตนตั้งแต่แรก



               “เรื่องที่บิชามอนคุงขอ ได้รับการอนุมัติแล้วนะ”คำตอบนี้ชวนคนฟังมีสีหน้าใจชื้นขึ้นมาอีกนิด ขณะเดียวกันโกโจก็พยายามสังเกตสีหน้าของนักเรียนตน “ได้พักบ้างไหมครับ ?”

               “ถ้าหมายถึงนอนครบแปดชั่วโมง ผมก็คงต้องตอบว่าไม่”ไม่อาจข่มตาหลับได้ด้วยหัวใจอันนิ่งสงบเหมือนเคย ใต้ตาเด็กหนุ่มจึงเริ่มมีร่องรอยคล้ำดั่งคนอดนอน “อาจารย์ก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก การทำใจหลับในสถานการณ์แบบนี้ต่อให้ผมอยากมากแค่ไหน ผมก็ไม่อาจทำได้”

               โกโจขยับยิ้มเบาบาง เรื่องนี้เขาเข้าใจมันอย่างดี “ผมเข้าใจเธอ แต่ว่าตอนนี้เธอต้องพักก่อนนะบิชามอนคุง”

               ฝ่ามือหนาวางบนกลุ่มผมสีปีกกา

               “อย่าฝืนตัวเองมากเลยนะ”


               วันนี้ฝนตก , เมฆมืดครึ้มพร้อมกับเม็ดฝนเบาบางกำลังเทลงมาจากผืนฟ้า ดั่งคำพูดบอกลาถึงเด็กสาวในโลงศพ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มหลุบมอง ไม่มีใครต่างกล้าพูดเลยสักนิดทว่าฟุชิงุโระไม่สามารถสัมผัสได้แม้แต่ความโศกเศร้าในงาน หรือบรรยากาศหดหู่ยกเว้นมาจากเด็กหนุ่มที่แต่งตัวในชุดกิโมโนสีดำไม่ต่างจากคนอื่นที่กำลังยืนสำรวม

               คุงิซากิลูบแขน มองอาณาเขตบ้านเกียวคุโระที่ดูเหมือนจะใหญ่กว่าที่คาดไว้ ดวงตาสีน้ำตาลมองซ้ายขวาก้าวเดินตามเด็กหนุ่ม ทางเดินทอดยาวจนถึงเขตสุดท้ายที่อยู่เกือบชั้นในของบริเวณพื้นที่ กลิ่นอายที่ดูอย่างไรก็ไม่ชวนน่าเข้าใกล้ พวกเขาทำได้แค่เดินตามเงียบ ๆ ทอดมองพื้นที่กำลังเหยียบย่ำพลางสำรวจรอบข้าง

               ป้ายหลุมศพที่สลักเรียงกัน พร้อมกับลูกเนิน , มองจากสภาพแล้วนับว่าไม่เก่ามากอาจเพราะได้รับการทำความสะอาดตลอด ขณะที่คุงิซากิกลับขมวดคิ้วเสียแทน มองแผ่นป้ายแต่ละป้ายด้วยความสงสัยประกอบกับกลิ่นอายคำสาปที่ควรจะมีในสถานที่แห่งนี้ที่เป็นแหล่งศูนย์รวมของอารมณ์ด้านลบไว้ แต่วี่แววก็ไม่มีแม้แต่จะได้เห็น


               เธอเอ่ยเรียกเพื่อนด้านข้างด้วยน้ำเสียงติดสั่น “ฟุชิงุโระ—นายเห็นเหมือนฉันไหม ?”

               “อะไรของ—”คำกระซิบจำต้องกลืนลงคอกระทันหันเมื่อหันไปมองตามที่เด็กสาวกำลังดึงดัน ดวงตาสีเข้มสะท้อนแผ่นป้ายที่กำลังปักลงดิน ชื่อที่ควรสลักนั้นทำให้ฟุชิงุโระกลืนน้ำลาย ความไม่เข้าใจแสดงผ่านสายตาเช่นเดียวกับคุงิซากิที่เริ่มแสดงอาการกลัวออกมาเล็กน้อย

               จะไม่ให้กลัวได้อย่างไร

               ในเมื่อป้ายหลุมศพของ เกียวคุโระ คูฮาคุ มีเกือบสิบป้าย

               “ร่างแยกของฮาคุงั้นเหรอ ?”เธอกล่าวข้อสันนิษฐานอันไร้มูลออกมา “หรือว่า….”

               “หยุดพูดก่อนเถอะน่า”


               บทสนทนาแห่งปริศนาจบลงเมื่อฟุชิงุโระเริ่มเห็นว่าขบวนข้างหน้านั้นหยุดลง โลงศพที่แบกไว้นั้นถูกวางลงในหลุมที่มีการขุดเตรียมเรียบร้อย เด็กหนุ่มมองลอดผ่านคนในครอบครัวเกียวคุโระ เห็นแผ่นป้ายที่สลักชื่อเฉกเช่นที่คุงิซากิเคยให้ดูก่อนหน้า เหมือนกันเกือบหมดยกเว้นวันที่่เกิดและวันที่ตาย

               แววตาเริ่มสั่นไหวเมื่อเห็นดินเริ่มกลบฝาโลง น้ำฝนเย็นเยียบเหลืือเกิน เขาอยากรู้ว่าสุดปลายทางความตายจะไปเจอกันที่ใด อยากรู้ว่าเธอจะหนาวหรือไม่ จะยังคงเฝ้ามองพวกเขาที่กำลังเติบโตต่อไปเหมือนอิตาโดริหรือเปล่า หลากหลายคำถามที่อยากจะเอ่ยถามเด็กสาวที่กำลังหลับพริ้มในโลงที่ถูกดินกลบฝังจนมิด

               ทว่าต่อให้เขากรีดร้องหรือร้องไห้สุดเสียง

               อย่างไรเธอก็ไม่มีวันกลับมา


               ฟุชิงุโระรู้ .

     

    ♡´・ᴗ・`

     

               ดวงตาสีอาร์กติกกะพริบมอง มองตัวเองที่ยังอยู่ในความมืดทั้งที่เวลานี้ควรได้กลับเข้าร่าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการต่อสู้นั้นยืดเยื้อหรือเป็นเธอที่ตายไปแล้วเสียเอง คูฮาคุถอนหายใจกับสภาพตัวเองในเวลานี้ อารมณ์หลากหลายที่กักเก็บไว้แสดงออกมาดุจสายน้ำที่หลั่งไหล

               มองสถานที่แห่งนี้ที่มืดมิด หากเป็นปกติก็ยังคงสว่างอยู่บ้างจากการมองเห็นผ่านดวงตาร่วมกันถ้าตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ กล่าวในความคิดของคูฮาคุก็เปรียบเป็นห้องปฏิบัติการหรือห้องพักผ่อน

               เธอไม่ได้สนใจหากต้องตาย อย่างน้อยในช่วงเวลาสิบหกปีที่ผ่านมาก็นับว่าคุ้มค่า ถึงจะคิดตามอายุเฉลี่ยแล้วก็ดูจะสั้นไปหน่อยก็ตาม แต่การนั่งในห้องมืด ๆ เช่นนี้นับว่าทรมานอยู่ไม่น้อย แววตาแสดงอาการเบื่อหน่าย นั่งนับเวลาในใจจนครบชั่วโมงกว่าก็ยังไม่มีใครมารับ อย่างน้อยมันก็ต้องมียมทูตหรือคนรับส่งไปลงนรกสักหน่อยไม่ใช่เหรอ ?

               ระหว่างนั่งครุ่นคิด เสียงกระพรวนก็ดังขึ้นเป็นจังหวะการก้าวเดิน เสียงโซ่ตรวนลากกับพื้นจนเกิดเสียงค่อย ๆ คืบคลายออกจากความมืดทีละนิด กระทั่งเห็นร่างจนเต็มตาคูฮาคุจึงหรี่ตามอง หลังจากนั่งคอยเป็นชั่วโมงนั้นเด็กสาวผลิยิ้มออกมา ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอันน้อยนิดที่ตัวเองพึงมี


               "ปกติแล้วนรกทำงานล่าช้าขนาดนี้เลยรึ"คูฮาคุกล่าวเสียงยียวน ทั้งเสียงกระพรวนและโซ่ตีกัน ดวงตาสีอาร์กติกมองคนที่ก้าวเข้ามาในห้องพักผ่อน ในความมืดสลัวทำให้มองได้ไม่ชัดแต่ก็ยังพอรับรู้ได้ว่าอยู่ตรงไหนจากเสียงกระพรวน สิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่าคือกลิ่นของธูปหอมราวกับยมทูตที่มาคอยรับวิญญาณ

               เสียงนุ่มทุ้มหัวเราะแผ่วเบา แยกไม่ได้ว่าชายหรือหญิง "อยากลงนรกขนาดนั้นเชียว"

               "ฉันตายแล้วจะให้ปลายทางเป็นสวรรค์งั้นเหรอ บรรพบุรุษฉันที่อยู่ข้างล่างคงได้ร้องไห้กันพอดี"

               “นั่นนับว่าเป็นความปรารถนาของเจ้าหรือเปล่า ?”

               น้ำเสียงเจือความเย้ยหยัน

               “ไม่สิ แม้แต่นรกหรือสวรรค์เจ้าก็ไม่มีทางได้ไปทั้งนั้น”





               "เจ้าจะไม่มีวันได้เข้าสู่วัฏสงสาร... ไม่มีวัน"


               ร่างของหญิงสูงศักดิ์ปรากฏตรงหน้าราวกับปาฏิหาริย์ ท่ามกลางเพลิงแผดเผาหลายร้อยชีวิต ความเกลียดชังพวกนั้นที่ลอยวนเวียนอยู่ไม่จางหาย คูฮาคุกำลังมองหญิงสาวคนหนึ่งกำลังตะเกียกตะกายอยู่ตรงนั้น ความตายที่กำลังมาเยือนเปรียบเสมือนบัตรเชิญสู่ขุมนรก พลางหันมองกองเพลิงที่ยังลุกโชน คำสาปหลายร้อยกำลังกัดกินพวกนั้น กลิ่นเหม็นของเนื้อไหม้ กลิ่นคำสาปน่าสะอิดสะเอียนลอยฟุ้งอยู่ร่วมกัน

               "ไม่อาจขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ไม่อาจเป็นมนุษย์ธรรมดา"เสียงเนิบช้ายังคงกล่าวอย่างไม่รู้จบ "ต้องทนความเกลียดชัง ต้องไร้ความรู้สึก ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังยอมเป็นภาชนะงั้นหรือ ?"

               "—ข้ายอม เพียงแค่เจ้าทำตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน ข้าจะยอมเป็นภาชนะให้เจ้า"เสียงดังขาดห้วงไม่รู้จบ แต่กระนั้นก็อ่อนโยนเหลือเกิน "ในเมื่อได้ตัวข้าแล้ว ช่วยผู้คนในนั้นด้วยล่ะ"

               "แน่นอน ก็ในตอนนี้เจ้าเป็นตุ๊กตาของลูกชายข้าแล้วนี่"


               ข้อตกลงอันแสนเย้ายวนเปรียบเสมือนโซ่ตรวนที่่กำลังผูกมัดเอาไว้ด้วยถ้อยคำสัญญา ร่างกายที่ไม่อาจใช้ได้เองอีกต่อไปราวกับหุ่นเชิดอันไร้อารมณ์ เสียงกรีดร้องที่ดังแว่วชวนขนลุกจนเธอต้องเบือนหน้าหนีกับเหตุการณ์ตรงหน้า เลวร้ายทีละนิด ค่อย ๆ ดึงลงสู่ห้วงแห่งความสิ้นหวังด้วยหัวใจอันแสนอ่อนล้า ยืนมองชีวิตอันแสนยาวนานตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า

               เรือนผมสีหมึกดำอันแสนงดงามถูกย้อมขาวด้วยกาลเวลา จิตใจที่เสื่อมพังเริ่มกัดกร่อนจนเหลือเพียงเศษผง แววตาตายด้านไร้ร่องรอยของชีวิต สิ่งอัปยศที่ผู้หญิงไม่อยากได้ ทุกอย่างล้วนสะท้อนเข้าสู่ดวงตาสีอาร์กติก ราวกับโรงละครที่กำลังจัดแสดง เธอคิดเช่นนั้น พยายามบอกตัวเองว่ามันคงเป็นการแกล้งเล่นสำหรับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้ที่มา

               จนกระทั่งสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นละครนั้นกล่าวออกมา

               —คุ





               “เป็นอย่างไรบ้าง”ดวงตาสีอาร์กติกกะพริบ จ้องใบชาในถ้วยอีกฝ่ายที่กำลังตั้งตรงบ่งบอกถึงโชคลางอันดีที่กำลังมาเยือน เผลอเมินคำถามก่อนหน้าไปจนสิ้น “ดูเหมือนจะชื่นชอบชามากพอขนาดเมินคำถามข้าเลยหนา"

               “เป็นละครชีวิตที่—น่าสงสารใช้ได้”มองไอควันในถ้วยชาตนเองที่กำลังลอยกรุ่น ยกขึ้นจิบสักนิดเพื่อชิมรสชาติว่าเป็นเช่นไร ก่อนจะค้นพบว่ามันเป็นรสชาติที่ดีพอควร ไม่ได้ขมสากลิ้นเหมือนที่เคยดื่มกับปู่ แต่ก็ไม่ได้หวานบาดลิ้นขนาดกลืนไม่ได้แบบครั้งก่อนที่เคยดื่มกับบิชามอนสมัยประถม

               “เจ้ารู้แต่ก็หลอกตัวเอง”เสียงหัวเราะดังแว่ว เสียงกระพรวนขยับสั่นตามเสียงหัวเราะที่เปล่งออกมาดูมีเสน่ห์ หากไม่ติดว่าเธอเคยเจอสิ่งที่คล้ายกันแบบนี้มาจากทามาโมะแล้วล่ะก็ ดวงตาสีอาร์กติกหรี่มองฝ่ายตรงข้าม “เจ้าก็เป็นเช่นนี้เสมอ”

               “ดูเหมือนเธอจะรู้มากกว่าเจ้าของร่างอย่างฉันอีกล่ะมั้ง ?”

               “คงจะบอกว่ามากพอ ๆ กับเจ้าที่ไม่รู้จักตัวเอง”ฝ่ามือขาวผ่องจากอีกฝั่งยื่นเข้ามา ฉกฉวยดอกไม้ในแจกันที่ประดับไว้พลางลูบกลีบดอก เชยชมความงดงามก่อนเริ่มเด็ดทิ้งทีละกลีบ “ถึงจะสนุกสนานกับบทสนทนานี้ แต่ข้าคิดว่าการที่เจ้าหาข้อมูลแบบนี้คงไม่ดี”

               “โอ้—ดูเหมือนจะจริงจังแล้วสินะ”

               ดวงตาสีอาร์กติกสะท้อนกลีบดอกสีขาวที่กำลังร่วงหล่น

               “เกียวคุโระ คูฮาคุ”

               พร้อมกับกลีบสุดท้ายที่ถูกเด็ดลง

               “เจ้าตายแล้ว”


               เป็นประโยคที่ชวนให้ความประทับใจติดลบชะมัด







               Talk with คนแต่ง

               สวัสดีตอนดึกค่ะ ;-; ขอโทษที่หายต๋อมไปเลย งานท่วมหัวแล้วก็รู้สึกปวดหลังมากเลยค่ะ แค่นั่งเรียนปกติก็ปวดจนอยากร้องไห้แล้ว พอต้องนั่งแต่งนิยายก็รู้สึกว่ากลายเป็นกุ้งไปเลยค่ะ ทำได้แค่ทบต้นทบดอกมาวันหยุดแทน นั่งเขียนไปเขียนมาปมมันก็งอกอีกแล้ว (เท้าเอว)

               แอคงาน (@hourizuha)

               ถ้าชอบก็อย่าลืมให้กำลังใจ กดเฟบนิยายเรื่องนี้พร้อมคอมเม้นด้วยนะคะ จะได้ไว้อ่านตอนนั่งแต่งนิยาย ♡´・ᴗ・`♡

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×