ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Jujutsu Kaisen fiction - คนสวยขา ( megumi x oc )

    ลำดับตอนที่ #6 : 05 - แค่สองคน ( re )

    • อัปเดตล่าสุด 16 ต.ค. 64


    Jujutsu Kaisen fiction - คนสวยขา

    - megumi x oc 


     

               เราต่างมองด้วยความแปลกใจภายใต้สายตาเรียบนิ่ง , คูฮาคุเกลียดการตื่นเช้าพอ ๆ กับการรู้ว่าตอนเช้าที่ไม่มีอะไรกิน เธอไม่ใช่คนที่ทำอาหารเป็น มีความเป็นแม่ศรีเรือนอย่างที่แม่คาดหวัง นั่นคงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้แม่ค่อนข้างเกลียดขี้หน้าเธอกระมัง เด็กสาวถอนหายใจหลังลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองสภาพแวดล้อมรอบข้างที่เรียบร้อยจากการจัดห้องเมื่อคืนวานรวมถึงระเบิดที่เธอกับบิชามอนทิ้งไว้ให้ใครหลายคนนิ่งค้าง
     

               ดวงตาสีอาร์กติกมองตัวตนที่หลายคนต่างคิดว่าเพ้อฝันกำลังนั่งเก้าอี้โยกที่เธอขนมาจากที่บ้าน หากมองในมุมสายตาคนนอกแล้วคงเหมือนเก้าอี้ผีสิงที่โยกเยกเองได้โดยไร้คนนั่ง น้ำชาในแก้วถูกยกขึ้นดื่มจรดริมฝีปากชายหนุ่มเรือนผมสีครีม อยากจะมุดกลับไปนอนต่ออีกหนหากไม่ติดว่าคาเสะส่งสายตาจี้หลังให้ลงจากเตียง

     

               "นี่เครื่องแบบเจ้า"เขากล่าวพลางส่งเครื่องแบบที่เพิ่งได้รับส่งให้เด็กสาว มันถูกวางไว้ตรงหน้าห้องในช่วงที่เธอกำลังหลับใหล คูฮาคุหลุบมองของในมือก่อนจะเริ่มแกะดู ดวงตาสีอาร์กติกสะท้อนเครื่องแบบสีเข้ม เสื้อคอปกแบบรูดซิปถึงปลายคาง กางเกงขาสั้นเหนือเข่าตามแบบที่หวัง แม้ว่าใจจริงเครื่องแบบเธอสมควรคล้ายคลึงคุงิซากิ แต่เห็นแก่คาเสะที่จะทรงร่าง เธอไม่อยากให้เขาห่วงเรื่องพวกนี้เลยตัดจบปัญหาด้วยแก้แบบเป็นกางเกงเสียเลย
     

               "ของบิชามอนก็ได้แล้วเหรอ ?"
     

               "ข้าไม่อยากเสวนากับเจ้าจิ้งจอกหรอกนะ"ประโยคนั้นทำเด็กสาวหัวเราะแผ่วเบาก่อนเดินไปล้างเนื้อล้างตัว ดวงตาสีอาร์กติกเฉดเดียวกันของชายหนุ่มเคลื่อนมอง ลมหายใจถูกพ่นออกอย่างเชื่องช้า น้ำชาในถ้วยเย็นชืดเกินกว่าจะกระดากดื่มลงไปทว่าเขาก็ยกจนมันหมดแก้ว มองนาฬิกาที่บอกเวลาว่าตอนนี้แปดโมง เขาลุกขึ้นปีกสีดำขนาดใหญ่กระพือเบา ๆ ก่อนจะสลายหายกลายเป็นอากาศไร้ร่างของชายหนุ่มเช่นเคย


     

               ถึงข้าวเช้าของแม่ไม่ค่อยอร่อยแต่ก็ดีกว่าไม่มีกินเหมือนในตอนนี้ มันค่อนข้างน่าเศร้านักที่เด็กผู้หญิงอยู่อาศัยคนเดียวแบบเธอทำอาหารได้เข้าขั้นแย่นัก แต่เธอก็เป็นนักชิมที่ยอดเยี่ยมทีเดียวนะ และเพราะเหตุเนื่องด้วยไม่มีข้าวกินในตอนเช้า คูฮาคุเลยต้องระเห็จตัวเองออกจากห้อง คีบแตะเดินลงเขาเพื่อหาของกินที่เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมโรงเรียนไม่เอาร้านสักร้านตรงตีนเขามาขายในโรงเรียน
     

               นอกจากร้านเล็ก ๆ ที่มีให้เลือกไม่กี่ร้าน ก็ยังมีร้านสะดวกซื้อที่คอยอำนวยความสะดวกให้แก่เด็กสาว ดวงตาสีอาร์กติกสอดส่องอาหารแช่แข็ง บางทีเธอต้องซื้อเผื่อแบบเยอะ ๆ เพราะคูฮาคุก็ไม่ใช่คนที่ขยันมากพอที่จะเดินลงเขาแบบนี้เกือบทุกวันหรอกนะ แม้ว่าข้าวกล่องที่กำลังเลือกก็ทำร้ายสุขภาพพอกันก็เถอะ แต่ถ้าให้เลือกความสะดวกกับสุขภาพ เด็กสาวย่อมเลือกข้อแรกอย่างไม่ลังเล
     

               ไม่ทันที่จะเลือกกล่องที่หกใส่ตะกร้า ปลายนิ้วใครบางคนก็แตะซ้อนทับที่เดียวกันกับเธอ นิ้วเรียวยาวผอมแห้งแต่ก็ไม่ได้ติดกระดูก มองไล่เลียงไปจนถึงใบหน้า สีหน้าด้านข้างเด็กหนุ่มสะท้อนเข้าสู่สายตา ดวงตาสีน้ำเงินเข้มก้มมองเธอ ส่งสายตาดุเมื่อเห็นตะกร้าที่มีข้าวกล่องนอนแอ้งแม้งอยู่แล้วห้ากล่อง ไหนจะกล่องที่หกกำลังตามมาหากเขาไม่เข้ามาขัดเสียก่อน


     

               "เสียสุขภาพ"น้ำเสียงดุกล่าวถึงกล่องข้าวทั้งหลายในตะกร้า มือที่คิดจะหยิบกล่องข้าวเพิ่มต้องหยุดลง ดวงตาสีอาร์กติกเงยมองคนสูงกว่าที่วันนี้แต่งตัวสบายต่างจากตอนใส่ชุดนักเรียนเต็มยศ เสื้อแขนยาวไหมพรมสีดำตัดกับผิวขาวสะอาด กางเกงวอร์มขายาว ถึงสภาพจะดูเหมือนเพิ่งตื่นแต่ก็บอกได้เลยว่าดูดีกว่าเธอตอนลุกออกจากเตียงอีก

     

               เธอยิ้ม กล่าวออกมา "มันช่วยไม่ได้นี่นา ฉันทำอาหารไม่เป็นสักหน่อย"
     

               "กินที่ร้านก็ได้"
     

               "ให้ลงมากินทุกมื้อมันก็ไม่ไหวหรอกนะคนสวย"คูฮาคุเอื้อมมือหยิบข้าวกล่องที่หกมาใส่ตะกร้าท่ามกลางสีหน้าเหนื่อยหน่ายของเด็กหนุ่มที่ไม่อาจห้ามปรามได้ เธอหยิบมันมาราวกับไม่กลัวผลกระทบเกี่ยวกับข้าวกล่องแต่ละกล่องเลยสักนิด แม้จะสะดวกสบายแต่ก็แลกด้วยสุขภาพที่ฟุชิงุโระคิดว่ายังไงก็ไม่สมควรเลย

     

               "บอกแล้วไงว่าให้เลิกเรียกน่ะ"
     

               "มันติดปากไปแล้วอ่า"เด็กสาวเอ่ยเสียงยานคาง ดวงตาสีอาร์กติกกะพริบปริบใส่หวังจะขอความเห็นใจ หากไม่ติดว่าแววตาตายด้านและว่างเปล่าเกินไป เขาก็คิดว่ามันน่ารักดีอยู่เหมือนกัน ฟุชิงุโระถอนหายใจต่อนิสัยที่คล้ายคลึงกับอาจารย์ตัวเอง แม้แต่สีตาที่คิดว่าหายากเธอก็ยังมีและยังคล้ายคลึงจนหากคูฮาคุย้อมผมขาวก็คงได้กลายร่างเป็นลูกโกโจได้แน่นอน
     

               "ดื้อ"เขากล่าวสั้น ๆ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองตะกร้าในมือ "งั้นก็ไปกินกับฉันก็แล้วกัน"
     

               "คนสวยชวนฉันเหรอเนี่ย"เธอแสร้งเลิกคิ้วตาโต มองสีหน้ารำคาญใจของเด็กหนุ่มแล้วหัวเราะแผ่วเบา คล้ายกับว่าถ้าหากยังไม่หยุดเล่นตอนนี้เขาจะทิ้งเธอไว้กับกล่องข้าวหกกล่องแน่ "คนสวยชวนทั้งทีฉันไม่ปฏิเสธหรอก"

     

               "ทิ้งข้าวกล่องพวกนั้นแล้วไปกับฉัน"
     

               คูฮาคุหลุบมองกล่องข้าวทั้งหกในตะกร้า

     

               "อือ"
     

               ก่อนนำมันเก็บคืนเข้าตู้เหมือนเดิม


     

               ฟุชิงุโระลูบหลังคอตัวเองด้วยความประหม่า ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองร้านอาหารที่มีเพียงแค่สามร้าน เป็นสามร้านที่เขาเองก็ลองมาหมดทุกร้านแต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าร้านไหนอร่อยเป็นพิเศษมากนัก และเขาเองก็ไม่รู้เช่นเดียวกันว่าเธอชอบแบบไหน จะให้ตัดสินใจแทนก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่ถูกปาก บางครั้งเขาก็อยากบอกโรงเรียนให้เอาร้านอาหารมาขายเพิ่มมากกว่านี้เช่นกัน
     

               เหล่มองคนด้านข้างที่มองแต่ละร้านด้วยแววตาพิจารณา ก่อนหันมามองเขาจนสบตากัน , ดวงตาสีอาร์กติกเขาย่อมเคยเห็นจากผู้เป็นอาจารย์มาก่อน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันสวยมาก ดั่งผืนน้ำแข็งชั้นบาง ๆ หลายชั้นยามต้องแสงเกิดเป็นประกาย สุกสกาวราวดวงดาวบนท้องฟ้าทว่าของคนตรงหน้านั้นคล้ายพิเศษกว่านั้นเมื่อพิจารณามอง นอกจากเฉดสีฟ้าอาร์กติกที่เห็นได้ชัดยังคงมีสีม่วงอ่อนเจือปนจนแทบไม่เห็นผสมอยู่หากไม่ตั้งใจมองให้ดี


     

               "จ้องนานเกินไปแล้ว"เธอยิ้มเบาบาง เหมือนเป็นสิ่งที่กำหนดไว้มากกว่าใจจริง เขาละสายตาออกเมื่ออีกฝ่ายกล่าว เอ่ยขอโทษด้วยเสียงอ้อมแอ้มเมื่อทำตัวเสียมารยาท ทั้งที่หากนับตั้งแต่รู้จักกันมาคงเป็นคูฮาคุที่เสียมารยาทกับเขามากกว่า ฟุชิงุโระถอนหายใจเบา ๆ เมื่อนึกถึงความผิดที่เธอเรียกเขาว่าคนสวยนับแล้วก็ดูมีหลายกระทงอยู่เหมือนกัน
     

               "สีตาเธอ"
     

               "เห็นด้วยงั้นเหรอ ?"เขาพยักหน้าเป็นคำตอบ เธอเลิกคิ้วแววตาดูไม่ค่อยเชื่อเลยสักนิดกระนั้นกลับไม่ได้ขยายความอะไรเพิ่มเติม "เมงุมิว่าร้านไหนอร่อย"
     

               "ไม่มีร้านไหนเป็นพิเศษ ยกเว้นก็แค่ร้านนั้นที่หมูผัดขิงอร่อ—"เด็กหนุ่มหยุดพูดหลังรู้ตัวขณะที่เธอเงยมอง แค่ชั่วครู่—เพียงเสี้ยววิที่เธอเห็นประกายในแววตาสีเข้มคู่นั้น นั่นทำให้คูฮาคุได้รู้อะไรบางอย่างเพิ่มเติมจนส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ มองร้านที่เขากล่าวว่าหมูผัดขิงอร่อยค่อนข้างทรุดโทรม ทว่ากลิ่นหอมที่ลอยโชยมาทำให้เธอพยักหน้า
     

               "งั้นไปกินร้านนั้นกันเถอะ"


     

               ในร้านค่อนข้างเล็กกะทัดรัด โต๊ะนั่งที่มีเพียงแค่สามโต๊ะคงมากพอแล้วสำหรับร้านข้างทาง ดวงตาสีอาร์กติกสะท้อนชื่อเมนูแต่ละเมนู ครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่ฟุชิงุโระเลือกเซ็ตอาหารที่มีหมูผัดขิงเรียบร้อยแล้วก่อนเคลื่อนสายตามองเด็กสาวที่ยังตัดสินใจไม่ได้ สุดท้ายก็เลือกเซ็ตอาหารสุดเบสิคอย่างเซ็ตปลาซาบะย่างเกลือมาแทน
     

               บรรยากาศค่อนข้างเงียบหากไม่นับเสียงการทำอาหาร ก็นับว่าไม่มีอะไรคุยเลยแม้แต่ประโยคเดียว คูฮาคุรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่ชวนคุยเก่งเหมือนอิตาโดริที่เป็นพระอาทิตย์ตัวจิ๋ว หรือคุงิซากิที่สามารถเปิดบทสนทนาแม้ว่าข้างในเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้าเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่บิชามอนเองก็ยังคงเปิดหัวข้อพื้นฐานได้

     

               ทุกคนทำได้ , ยกเว้นฟุชิงุโระ เมงุมิ


     

               "ดูเหมือนเมงุมิจะชอบหมูผัดขิงนะ"เธอยอมเปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา ช่วงสั่งอาหารเธอแค่สังเกตเห็นว่าเขาสั่งหมูผัดขิง ไหนจะตอนพูดถึงร้านนี้ก็พูดถึงหมูผัดขิง ดูยังไงก็เหมือนเป็นของโปรดด้วยซ้ำ เขาหันกลับมาเมื่อได้ยินเธอเอ่ยถาม สบกับดวงตาสีอาร์กติกแสนพิศวงที่กำลังหรี่มอง เด็กสาวเอียงคอเฝ้ารอคำตอบ
     

               "ฉันชอบขิง"เขาตอบ เท้าคางมองอีกฝ่ายพลางถามด้วยคำถามเดียวกัน "แล้วเธอล่ะ ?"
     

               "ไม่มีหรอก แต่ถ้าถามถึงรสชาติก็คงเป็นรสหวานล่ะมั้ง"คูฮาคุยักไหล่ เธอไม่เคยเรื่องมากตั้งแต่เด็กจนโต ถ้าให้บอกก็คงเป็นแม้แต่เรื่องตัวเองเด็กสาวยังไม่ค่อยสนใจตัวเองมากนัก ส่วนเรื่องรสชาติล้วนเป็นเพราะชาที่ดื่มตอนอยู่ในตระกูลเป็นเพื่อนคุณปู่ มันช่างขมสำหรับเด็กในวัยเดียวกันทว่าคูฮาคุก็ดื่มได้แม้ว่าท้ายที่สุดจะต้องล้างปากด้วยน้ำผึ้งอีกรอบ
     

               "แต่เธอสั่งปลาซาบะย่างเกลือ ?"เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจในความหมายหวานของเด็กสาวสักเท่าไร เปรียบเทียบกับอาจารย์ที่ชื่นชอบของหวานเป็นชีวิต เบาหวานเคาะประตูถามหาแทบทุกครายามซื้อกล่องขนมกลับมาแล้วเขายังพอเข้าใจรสนิยมทางนั้นมากกว่าคูฮาคุที่กำลังหัวเราะแผ่วเบา รอยยิ้มจุดบนใบหน้าจนดวงตาหยีลงเป็นจันทร์เสี้ยว
     

               "เมงุมิเองก็ตลกเหมือนกันนะเนี่ย"
     

               "ดีแล้วล่ะที่ไม่เป็นเหมือนตัวเขมือบของหวานแบบอาจารย์"ฟุชิงุโระเอ่ย น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยแซะถึงอาจารย์หัวขาวที่สรรหาของหวานได้ตลอดแม้ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญอย่างตอนไปเก็บกู้นิ้วสุคุนะในตอนนั้น คูฮาคุอมยิ้มต่อสิ่งที่เขาพูด สัมผัสได้ถึงอารมณ์เหนื่อยหน่ายและรำคาญต่อตัวอาจารย์ที่เธอเพิ่งเคยพบไม่กี่ครั้ง แถมดูเหมือนเขาเองไม่ได้ให้ความเคารพมากนัก
     

               "ฉันเองก็ไม่อยากเป็นเบาหวานก่อนอายุยี่สิบหรอกนะ"
     

               "ดีที่เธอคิดได้"


     

               บทสนทนาเราหยุดลงเมื่ออาหารทั้งสองเซ็ตที่สั่งไปถูกยกมาเสิร์ฟ สีสันของอาหารถือว่าไม่ได้แย่นัก กลิ่นหอมของปลาย่างค่อนข้างทำให้คูฮาคุพึงพอใจในระดับหนึ่ง ระหว่างการกินอาหารไร้ซึ่งบทสนทนา ส่วนใหญ่ล้วนจมอยู่กับอาหารตรงหน้ามากกว่า มีบ้างที่เธอเอ่ยถามถึงรสชาติอาหารของอีกฝ่าย สลับกับเขาที่เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าปลาซาบะถูกแกะไปเพียงหนึ่งส่วนสี่ของตัว ขณะที่ข้าวลดลงไปเกือบครึ่ง

     

               เด็กสาวยิ้มแห้งแล้งเมื่อนึกถึงความเป็นจริงเมื่อตัวเองไม่ได้อยู่ในบ้านหรือตระกูล สายตาที่จับจ้องสรุปกับตัวเองอย่างเงียบ ๆ ว่าคูฮาคุแกะปลาไม่เป็น มันเป็นความจริงที่ดูเหมือนตลกขำขันสำหรับเด็กสาวอายุสิบห้าย่างสิบหกที่ไม่สามารถแกะปลาได้ด้วยตัวเอง ทำอย่างไรได้ในเมื่อที่บ้านมักจะแกะก้างปลาให้เสมอก่อนเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ (แม้ว่าแม่เธอจะไม่ชอบหน้าเธอก็ตาม) หรือตระกูลใหญ่เองก็ตาม และปกติคูฮาคุก็ไม่ได้ชอบกินปลามากขนาดนั้น
     

               ส่วนที่สั่งเซ็ตนี้—เธอก็แค่คิดไม่ออก
     

               ฟุชิงุโระถอนหายใจต่อความจริงที่เพิ่งหลุดออกจากปากเด็กสาว ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองปลาบนจานที่ยังคงเหลือเนื้ออวบอ้วนไว้ แม้เนื้อบางส่วนจะค่อนข้างเละเนื่องจากการแกะของคูฮาคุที่ไม่ค่อยประณีตเท่าไรนัก , สองมือหนาเอื้อมไปข้างหน้าถือจานปลาซาบะมาไว้ฝั่งตัวเองขณะที่เด็กสาวมองตาละห้อย ก่อนหยิบตะเกียบของตัวเองแล้วเริ่มแกะปลาให้เด็กสาวตรงหน้า
     

               เห็นเขาแกะปลาแบบพิถีพิถันแล้วก็ชวนนึกถึงอาหารในตระกูล ก้างส่วนใหญ่ถูกเลาะออกมาไว้ขอบจาน เหลือเพียงเนื้อสีขาวของปลาไว้ให้ได้ทาน ดวงตาสีอาร์กติกจดจ้องอย่างตั้งใจ ก่อนได้รับคืนเมื่อฟุชิงุโระตรวจดูว่าบนเนื้อปลาไร้ก้างอย่างที่เคย ดวงตาสีน้ำเงินเข้มสะท้อนสีหน้าคนตรงข้าม รอยยิ้มเบาบางคล้ายผิดแปลกไปต่างจากตอนหน้า ดวงตาที่เกิดระลอกคลื่นเพียงชั่วครู่พร้อมกับสายลมแผ่วเบาลอยกระทบข้างแก้ม
     

     

               มาพร้อมเสียงกระซิบที่ไม่มีใครรับรู้

     

               "—เจ้ายิ้ม"
     

               ก่อนประโยคนั้นทำให้รอยยิ้มเธอหุบลง

     

    ♡´・ᴗ・`


     

               วันนี้ฟ้ามืดครึ้ม
     

               ไร้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเหมือนเคย มีแต่กลีบเมฆขมุกขมัวที่ลอยปิดน่านฟ้าจนอึมครึม คูฮาคุไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมภารกิจแรกที่ได้มาถึงเป็นในวันที่ท้องฟ้าไม่แจ่มใสเอาเสียเลย เสียงทะเลาะกันด้านหลังระหว่างอิตาโดริกับคุงิซากิที่ทะเลาะเรื่องที่นั่งในรถ—เบาะสามที่นั่งกับคนสี่คนดูเป็นอะไรที่แบ่งลำบากนักเมื่อสามคนที่ว่าคือผู้ชาย ส่วนคูฮาคุที่เร็วเป็นพิเศษรีบจับจองที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับในทันที
     

               ถึงจะพยายามเบียดเสียดแค่ไหนแต่เชื่อเถอะกับพื้นที่สามเบาะกับขนาดเด็กหนุ่มสาวสี่คนเป็นอะไรที่แบ่งอย่างไรก็ไม่อาจลงตัวได้ บิชามอนเลยจำต้องไปนั่งตักอิตาโดริเสียแทนเพื่อให้มีพื้นที่ว่างตรงกลางให้คุงิซากินั่ง ขณะที่นายน้อยของตระกูลเกียวคุโระหัวเราะเสียงแห้งเอ่ยขอโทษต่อเด็กหนุ่มพระอาทิตย์ที่ต้องลำบากเสียสละตักให้เขานั่ง ส่วนคนสวยตัดปัญหาให้กับตัวเองด้วยการมองวิวทิวทัศน์มากกว่าจะสนใจปัญหายิบย่อยในรถ

     

     

               "จะว่าไปทำภารกิจในสภาพอากาศแบบนี้มันไม่เสี่ยงเหรอครับ ?"เด็กหนุ่มผมยาวเอ่ยถามคนขับรถที่รับหน้าที่ดูแลอาจารย์ผมขาวที่ติดภารกิจในวันนี้ มองจากสภาพอากาศที่ดูอย่างไรก็เหมือนจะพายุเข้า โชคร้ายอย่างมากที่ได้ภารกิจในวันนี้แถมเนื้อหาข้อมูลอะไรพวกเขาแต่ละคนยังไม่รู้สักบรรทัดเดียว ราวกับว่าพวกเขาห้าคนกำลังถูกเอาไปปล่อยมากกว่าทำภารกิจ
     

               "ปกติแล้วภารกิจจะได้รับมาแล้วแจกจ่ายให้ทำในทันที ไม่มีใครคิดหรอกครับว่าจะได้ทำในสภาพอากาศแบบไหน แม้แต่สถานที่เองก็ด้วย"อิจิจิกล่าว แว่นบนใบหน้าถูกดันให้เข้าร่อง "ถึงเป็นภารกิจด่วน แต่ก็อยากให้ไม่ประมาทกันครับ"
     

               "แล้วไม่คิดจะบอกรายละเอียดหน่อยเหรอ"เด็กสาวผมสั้นถาม ดวงตาจดจ้องค่อนข้างเอาเรื่องเมื่อก้าวขาขึ้นรถแทนที่จะได้รับฟังภารกิจกลับต้องมาตีกับเด็กบ้านอิตาโดริ ขณะที่คนจ่ายภารกิจนั้นส่ายหน้า บอกกล่าวด้วยน้ำเสียงติดหวาดอยู่ในคำพูด "จะแจ้งเมื่อถึงที่หมายครับ"

     

               "ดูเหมือนจะเป็นภารกิจยาก ๆ นะคะ"ดวงตาสีอาร์กติกเหลือบมองเห็นอาการสะดุ้งของคนด้านข้างทว่ากลบเกลื่อนได้อย่างรวดเร็ว เหงื่อข้างขมับสะท้อนเข้าสู่สายตาก่อนเด็กสาวผู้เอ่ยทักจะทอดถอนหายใจ , การพาเด็กปีหนึ่งห้าคนไปพร้อมกันเพื่อภารกิจเดียว ถ้าไม่ให้บอกว่าเป็นภารกิจที่ยากเอาเรื่อง ก็คงเอามาเพื่อฝึกความสามัคคีในทีม ซึ่งสำหรับคูฮาคุเธอเลือกตัดข้อหลังอย่างไม่ลังเล

     

               และคำพูดเธอก็ไม่ผิดสักคำเดียว

     

               สถานพินิจเอซู , แหล่งรวมของผู้กระทำผิด—เธอยืนรับฟังรายละเอียดพลางได้ยินอิตาโดริที่เอ่ยถามเกี่ยวกับระดับ บิชามอนยืนฟังอย่างตั้งใจขณะที่ญาติตัวเองกำลังมุดหัวอยู่ในคอเสื้อ หลบเม็ดฝนที่กำลังร่วงหล่นจากท้องฟ้า ทุกอย่างสะท้อนเข้าสู่สายตาเด็กหนุ่มบ้านฟุชิงุโระ เหลือเพียงเส้นผมสีสายไหมอันโดดเด่นโผล่พ้นคอเสื้อนักเรียน
     

               ส่วนคาเสะกับทามาโมะน่ะหรือ ? ไม่ส่งสายตาฟาดฟันกันตายก็สลายหายไปกลายเป็นลูกไฟกับสายลมอย่างที่เคยทำ แม้ตอนแรกจิ้งจอกเก้าหางตัวปัญหาค่อนข้างจะเรื่องมากนักทว่าให้เทียบกับรอยยิ้มของนายน้อยตระกูลเกียวคุโระคอยจี้หลังก็ทำได้แค่สะบัดสะบิ้งยอมทำตาม มิวายเอ่ยขู่ในช่วงท้ายด้วยนิสัยของเจ้าตัว แตกต่างกับคาเสะของเธอยิ่งนัก

     

               ระดับพิเศษ เป็นระดับที่ต่อให้ขนระเบิดมาโยนใส่ก็ยังไม่กระทบกระเทือน คูฮาคุรับฟังอย่างเงียบ ๆ ใบหน้าเมียงมองผู้ปกครองที่ยืนคร่ำครวญอยู่ตรงนั้น พร่ำเพรียกหาลูกชายด้วยหยาดน้ำตา ดวงตาสีอาร์กติกเบือนไปทางอื่นแทน ขณะเดียวกันเธอก็เห็นถึงปณิธานอันแรงกล้าของอิตาโดริที่ปรารถนาจะช่วยผู้คน

     

               "ฮาคุจังระวังตัวด้วยล่ะ"เด็กหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อาจเพราะเป็นภารกิจแรกที่ลงภาคพื้นสนามแบบเต็มตัว เขาเองก็อดกังวลไม่น้อยทั้งตัวเองและญาติสาวที่เคลื่อนดวงตาสีอาร์กติกสบกับดวงตาสีอำพัน เตือนเพราะเห็นว่าเป็นคนสนิทเดียวที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เตือนเพราะรู้ว่าในบางคราอีกฝ่ายนั้นชอบทำอะไรเกินตัวเสมอ
     

               เตือนเพราะไม่อยากสูญเสีย
     

               รอยยิ้มวาดบนใบหน้าเด็กสาว เสียงหัวเราะดังในลำคอ "ควรบอกกับตัวเองมากกว่านะ"

     

               "บอกกับทั้งคู่นั่นแหละ"ครานี้เราหลุดหัวเราะพร้อมกันท่ามกลางสายตาสงสัยของเพื่อนร่วมชั้นปี เสียงของเท็งงุที่กล่าวออกมานั้นเหนื่อยหน่ายนัก ยิ่งประโยคนั้นที่เอื้อนเอ่ยล้วนเตือนเด็กสาวเป็นพิเศษ กลิ่นของที่นี่ใช่ว่าจะเบาบางแม้แต่คูฮาคุก็พยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้บิดเบ้ "อย่าคิดประมาทเชียว"


     

               ม่านถูกกางออก เตรียมพร้อมเข้าสู่เขตคำสาป สองเท้าเดินตามหลังเชื่องช้า ดวงตาต่างสะท้อนแผ่นหลังทีละคนด้วยความรู้สึกเฉยชา ตามด้วยคาเสะที่ก้าวตามด้วยจังหวะมั่นคง ปีกสีดำขนาดใหญ่แทบโอบร่างเธอมิด ไม่มีใครรู้ว่าภารกิจที่รับมาจะมีใครรอดหรือไม่ ไม่มีใครรู้ว่าหลังบานประตูจะมีอะไรรออยู่
     

               และก็ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายแล้วภารกิจนี้จะมีคนตายกี่คน

     

     

               บันทึกปี 2018 เดือนกรกฎาคม โตเกียวตะวันออก สถานพินิจเอซู บนท้องฟ้าเหนือสนามกีฬา วิญญาณแค้นสมมติระดับพิเศษ (ชื่อเรียกยังไม่แน่นอน) มีคนธรรมดาที่ไม่ใช่ผู้ใช้คุณไสยหลายคนสามารถมองเห็นครรภ์คำสาปได้ด้วยตาเปล่า
     

               ทันทีที่ได้รับรายงานสถานการณ์ฉุกเฉิน นักเรียนปีหนึ่งห้าคนถูกส่งตัวไป
     

               สองในนั้นเสียชีวิต


     


     

               Talk with คนแต่ง
     

               มาแทงกันว่าใครตายกันเถอะค่ะ ! ยูจิจองที่นั่งไว้แล้วหนึ่ง อีกที่นั่งจะเป็นใครกันน้อ คนอ่านฉบับเก่าหัวเราะคิกคักแล้วมั้ง (แหะ) แต่ก็อาจมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็ได้นะ... เป็นเอ็นดูฮาคุสุด แกะปลาไม่เป็นเหมือนคนเขียน55555555 เน้นกินไม่เน้นทำเองค่ะฮือ งานถาโถมมากเลยตอนนี้ เดี๋ยวอีกสองอาทิตย์ก็สอบกลางภาคแล้วยังไม่เข้าใจอะไรเลยแง
     

               ชั้นเคียดฟิสิกส์มาก อยากเป็นบ้าคุณพี่ไม่สอนสูตรอะไรเลยแง อยากรับสมัครคนสอนฟิเหลือเกิน ;-; มีแต่งาน งานและงานที่ให้ยกเว้นความรู้ อยากทุบอาจารย์มากมายแต่ทำได้แค่ฮึบไว้ในใจ 
     

               แอคงาน (@hourizuha)

     

              ถ้าชอบก็อย่าลืมให้กำลังใจ กดเฟบนิยายเรื่องนี้พร้อมคอมเม้นด้วยนะคะ จะได้ไว้อ่านตอนนั่งแต่งนิยาย ♡´・ᴗ・`♡

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×