ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Jujutsu Kaisen fiction - คนสวยขา ( megumi x oc )

    ลำดับตอนที่ #5 : 04 - เรื่องเล่าขานของผู้ไม่มีอยู่จริง ( re )

    • อัปเดตล่าสุด 16 ต.ค. 64


    Jujutsu Kaisen fiction - คนสวยขา

    - megumi x oc 


     


     


     


     

               ตำนานปรัมปราที่เล่ากันปากต่อปาก ปลอบประโลมด้วยถ้อยคำสวยหรู , ขนปีกสีดำและหน้ากากอันเป็นเอกลักษณ์ รูปลักษณ์ที่ผิดแปลกแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป กลิ่นอายแสนอันตรายสมคำร่ำลืมที่เล่าขาน ใบหน้าที่เคยได้ยินว่ามีสีแดงฉานล้วนเป็นหน้ากากที่ไว้ใช้ปกปิด หน้ากากที่มีเอกลักษณ์ จมูกใหญ่กว่าปกติ คิ้วและหนวดยาวดูดุดันยิ่งนัก
     

               เท็งงุ , กล่าวคือเป็นสิ่งสมมติที่ไม่อาจรู้ว่ามีจริงหรือไม่ ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านหลายประเทศ หลากความคิด หลากความเชื่อ ตัวตนที่อยู่เพื่อป่าเขา บ้างก็ว่าเป็นเทพภูเขา บ้างก็ว่าเป็นเพียงมหันตภัยที่สามารถสร้างพายุก่อเกิดความเสียหาย ตัวตนแสนลึกลับที่ไม่เคยมีใครรับรู้ว่าจะมีอยู่จริง เอกลักษณ์ของมันอยู่ที่ปีกและใบหน้า ชาวบ้านที่ยังคงหลงเชื่อต่างเคารพบูชา กราบกรานดั่งเทพก็มิปาน

     

               ทว่าหากไม่มีคนเห็น จะเกิดตำนานได้หรือ ?
     

               ตัวตนที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ว่าเป็นปีศาจหรือเทพ ความคลุมเครือเหล่านี้ทำให้หลายคนต่างฉงนสงสัยยิ่งนัก ยามเกิดภัยพิบัติก็ล้วนโทษว่าเป็นเพราะเท็งงุ ยามมีคนบุกรุกผืนป่าแล้วเกิดอันตรายก็เพราะเท็งงุ นั่นคือความคิดของคนที่เคยได้ยินเพียงตำนาน เรื่องเล่าขานตามหมู่บ้านที่ติดอยู่กับภูเขา แต่ใครจะรู้ดีเท่าเท็งงุที่กำลังปล่อยอารมณ์พวกนี้กัน ?


     

               "ข้ากับเจ้าไม่เหมือนกัน"ดวงตาสีอาร์กติกกดต่ำ มองคำสาปที่เหลือเพียงตัวเปล่าไร้แขนขาอย่างที่เคยเป็น ท่าทางดีดดิ้นทุรนทุรายนั้นทำรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเด็กสาว มือกรีดพัดอุกิจนเห็นลวดลายของมันจนเต็มตา "หากเจ้าไม่คิดโจมตีนางตั้งแต่ทีแรกข้าก็คิดปล่อยให้เจ้าไปสบายกว่านี้—โอ้ คิดขอโทษงั้นหรือ ? ถึงจะไม่คิดว่าเจ้าจะขอโทษได้ก็เถอะ แต่ไม่คิดว่ามันสายไปแล้วหน่อยเหรอ"
     

               เขาไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นเทพ
     

               "เห็นแก่ความพยายามอันไร้ประโยชน์ในตอนสุดท้าย"
     

               ไม่เคยบอกว่าตัวเองดีเลิศอย่างที่ใครยกย่อง
     

               "ข้าจะปล่อยให้เจ้าไปสบายหน่อยก็แล้วกัน"

     

               ตัวตนสำหรับเขาก็คงเป็นเพียงพายุที่ไม่มีใครหยุดได้


     

               บิชามอนถอนหายใจ ดวงตาสีอำพันเหลือบไปทางด้านหลัง กลิ่นคำสาปหายไปแล้วคาดว่าคงเป็นตัวที่โผล่โจมตีขึ้นตัวแรก ไว้อาลัยด้วยรอยยิ้มแห้งแล้งก่อนกระโดดหลบการโจมตีของคำสาปตรงหน้า ลูกไฟเหลือเพียงหกลูก มันเป็นข้อจำกัดอันแสนน่าเศร้าที่ทามาโมะให้เขาใช้ลูกไฟได้เพียงเก้าลูกต่อวัน ตอนนี้ใช้ไปสามแล้ว เหลืออีกหกกับคำสาปทั้งตึกก็ชวนอยากกรอกตาหรือไม่ก็ผูกคอใต้ต้นหญ้าเหลือเกิน

     

               จิ้งจอกเก้าหางเพียงสะบัดหางทั้งเก้าอย่างรื่นเริง ดวงตาเรียวรีสีอำพันคล้ายคลึงกับเด็กหนุ่มกำลังหรี่ลงเมื่อมุมปากกำลังยกยิ้ม ไร้การช่วยเหลืออย่างที่ควรทำอย่างคาเสะ มันเป็นข้อตกลงอันแสนเรียบง่ายระหว่างมันกับเด็กน้อยที่กำลังหลบหลีก ลูกไฟสีครามแปลกประหลาดถูกเคลื่อนมาตรงปลายนิ้ว ชี้ไปทางคำสาปแสนว่องไว ทามาโมะเพียงหัวเราะด้วยเสียงอันมีเสน่ห์ มองการปัดเป่าคำสาปที่ดูยากลำบากจนเขาหอบตัวโยน

     

     

               "ลำบากแย่เลยนะเจ้าหนูน้อย"เสียงหัวเราะขลุกขลักในลำคอทำให้บิชามอนเงยมองคู่พันธสัญญาที่กำลังกรีดพัดในมือเล่น เขาเพียงหัวเราะตอบกลับด้วยเสียงแหบแห้งกว่าที่เคย มองคำสาปที่ค่อย ๆ หายไปจนเหลือเพียงอากาศ ถ้าหากทามาโมะคิดช่วยสู้เหมือนที่คาเสะคอยช่วยคูฮาคุ บางทีเขาอาจไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามมันเป็นเพราะข้อตกลงที่เป็นหนึ่งในข้อผูกมัดเอาไว้ ทำให้บิชามอนไม่คิดแม้แต่จะงอแง

     

               "เอาไว้พูดหลังผมปัดเป่าที่นี่เสร็จก็แล้วกัน"
     

     

               อิตาโดริคิดว่ามันแปลก ๆ มันเงียบเกินไปจนเขาเผลอคิดว่าทั้งสองคนที่เข้าตึกคงไม่รอดแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลมองเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งเฉย คุงิซากิเล่นมือถือแบบไม่สนใจ ฟุชิงุโระมองตึกด้านหน้าด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขาหันกลับไปมองตึกอีกครา มีอาจารย์ที่คอยพูดคุยเพื่อไม่ให้มันเหงาเกินไป แม้ว่าจริง ๆ แล้วจะดูไม่ค่อยช่วยให้บรรยากาศดีกว่าเดิมเลยก็ตาม
     

               ความสงสัยยังคงตกตะกอนอยู่ในหัว เขาไม่คิดว่าคูฮาคุจะเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ด้วย—อย่างน้อยตอนอยู่โรงเรียนเก่าเธอก็ไม่มีอาการหรือการแสดงออกว่าเห็นอะไรพวกนี้เลยสักนิด กลมกลืนจนเขาเผลอคิดเป็นเพียงคนธรรมดาเสียด้วยซ้ำทั้งที่ควรฉุกใจคิดตั้งแต่เหตุการณ์ที่ตัวเองเผลอกินนิ้วสุคุนะจอมปัญหาเข้าไปแล้วว่าเหตุใดเธอถึงหนีออกจากตึกที่มีคำสาปยั้วเยี้ยเต็มไปหมดได้


     

               "คือว่านะอาจารย์—ผมไม่เห็นเข้าใจเลยว่าทำไมต้องให้เกียวคุโระมาทดสอบแบบนี้ด้วย"ด้วยสมองของเด็กหนุ่ม แม้ว่าชายหนุ่มผมขาวจะเคยบอกไปแล้วก็ตามว่าเพราะอะไร แต่อิตาโดริคิดว่าแค่นั้นมันคงไม่พอที่จะลากเด็กสองคนเข้าตึกที่มีไอคำสาปรุนแรงขนาดนี้หรอก คุงิซากิปัดหน้าจอโทรศัพท์ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับเขาเป็นไอ้โง่ที่ไม่ได้ฟังสิ่งที่อาจารย์อธิบายก่อนหน้านี้
     

               "อาจารย์ก็เคยบอกไม่ใช่รึไงว่าอยากดูวิชาคุณไสยของสองคนนั้นน่ะ"

     

               "เฮ้ เรื่องนั้นฉันเองก็รู้น่า !"เขาหันไปโวยวายใส่เด็กสาวที่กำลังเบ้ปาก เรื่องพวกนี้ก็ฟังพร้อมกันถึงสมองเขาไม่ได้ถึงกับฉลาดแต่ก็ใช่ว่าจะจำคำพูดที่เพิ่งคุยกันไม่ได้หรอกนะ แต่ความรู้สึกแปลก ๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นพร้อมกับสุคุนะที่เหมือนจะสบถอะไรบางอย่างตอนเห็นพี่น้องบ้านเกียวคุโระครั้งแรกนั้นทำให้อิตาโดริต้องขมวดคิ้วหลายครา

     

               "ก็อย่างที่โนบาระว่าล่ะนะยูจิ แต่ก็ไม่ได้ทั้งหมดหรอก—โอ้ มาแล้ว ๆ"โกโจว่าด้วยรอยยิ้มทิ้งความสงสัยไว้ให้แก่เด็กหนุ่มที่เป็นภาชนะ หากเป็นปกติแล้วมีหรือที่โกโจจะไม่เห็นสิ่งที่ต้องการเห็น วิชาคุณไสยหรือไสยเวทด้วยดวงตาคู่นี้ย่อมรับรู้อย่างง่ายดาย ทว่าสำหรับเด็กทั้งสองนั้นแตกต่าง เหมือนมีอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกบดบังไว้ด้วยบางสิ่
     

               "คำสาปในตึกเยอะใช่เล่นเลยนะครับ"บิชามอนกล่าวออกมาเป็นคนแรก "เล่นเอาซะผมหมดโควต้าเลย"

     

               "โควต้า ?"อิตาโดริเลิกคิ้ว ความอยากรู้พุ่งพรวดออกมาในทันทีขณะที่เด็กหนุ่มเรือนผมสีปีกกาเพียงยิ้มไม่ได้ตอบอะไรแก่สิ่งที่คิดสงสัยเลยแม้แต่นิดเดียวจนเด็กหนุ่มจำเป็นต้องบุ้ยปาก หันไปทางเด็กสาวอีกคนที่เพิ่งเดินออกจากตึก ปัดเศษฝุ่นสกปรกบนเสื้อผ้าพร้อมกับเงยมองด้วยดวงตาสีอาร์กติกที่ยังคงเหมือนคลื่นน้ำสงบ เฉยชาแต่มุมปากกลับส่งยิ้มให้
     

               "ได้เวลาไปเที่ยวแล้วล่ะมั้งคะอาจารย์"พอได้ยินเรื่องเที่ยว เด็กสาวอีกคนที่นั่งไถหน้าจอผุดลุกขึ้นในทันที ดวงตาเปล่งประกายวิบวับใส่คนที่รับปาก พร้อมเอ่ยคำขู่ว่าหากคราวนี้ยังพาไปที่แบบนี้อีกล่ะก็ แทนที่จะปัดเป่าคำสาปเธอคงจะปัดเป่าอาจารย์เอง เขย่าร่างชายหนุ่มเรือนผมสีขาวพิศุทธิ์ที่หัวเราะเสียงแห้ง
     

               "งั้นมาเลือกร้านกันเถอะ !"


     

               ดวงตาสีอาร์กติกมองการตกลงตรงหน้าโดยมีบิชามอนเข้าร่วมด้วย สำหรับเด็กที่อยู่ติดบ้านจนตัวเองย่างก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว เขาย่อมพลาดหลายสิ่งหลายอย่างจนน่าสงสาร คูฮาคุไม่คิดจะเข้าร่วมการเสนอชื่อร้านอาหารที่ตอนนี้เริ่มกลายเป็นสงครามขนาดย่อม เหลือบมองคนด้านข้างที่ถือโทรศัพท์เลื่อนหาอะไรบางอย่าง
     

               เรือนผมสีรัตติกาลดูยุ่งเหยิง ใบหน้าเรียวผิวขาวผ่องยามคูฮาคุมองอย่างพินิจตั้งใจ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มใต้แพขนตาส่งเสริมจนคนตรงหน้าดูสวย ไม่รู้ว่าเพราะจ้องนานเกินไปจนเขารู้ตัวหรือเปล่า ฟุชิงุโระเงยหน้ามองยอมละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ หันมองคนด้านข้างที่กะพริบตา คล้ายเพิ่งรู้ตัวว่าจ้องเขานานเกิน


     

               คนจ้องพยักเพยิดไปทางสงครามขนาดย่อมตรงหน้า "คนสวยไม่เข้าไปบ้างเหรอ ?"

     

               "ไม่เอาหรอก—แล้วเธอก็ช่วยเลิกเรียกฉันว่าคนสวยทีเถอะ"ฟุชิงุโระกล่าว แม้เขาจะใช้น้ำเสียงเรียบนิ่งหวังว่าจะทำให้เด็กสาวยอมเปลี่ยน ทว่าก็ดูเหมือนหวังสูงเกินไปสำหรับคนด้านข้างที่ว่างเปล่ายิ่งกว่าจักรวาล "ไม่งั้นก็เรียก ฟุชิงุโระหรือเมงุมิก็ได้"
     

               "ยากจัง เรียกคนสวยยังง่ายกว่าเยอะ"เธอทำท่าจับปลายคางท่าทางครุ่นคิดที่ไม่ว่ามองยังไงก็แกล้งทำให้เขาโมโห "แต่เพราะคนสวยขอร้องล่ะนะ งั้นเรียกเมงุมิก็ได้—เป็นไง เมงุมิ ?"

     

               "อืม แบบนี้ดีกว่าเยอะ"เขาพยักหน้า ดูพึงพอใจที่ตัวเองไม่ต้องถูกเรียกว่าคนสวยอีกคราแม้ว่าความจริงแล้วมันจะออกยากไปสักหน่อยที่จะทำให้เธอเลิกเรียกอะไรสักอย่าง "วิชาคุณไสยเธอเป็นแบบไหน ?"

     

               "ไม่คิดว่าเมงุมิจะสนใจ"เธอหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ท่าทีคล้ายแสดงอารมณ์เหมือนมนุษย์ปกติแต่กลับไร้ความรู้สึกราวกับตุ๊กตา "ถ้าจะให้บอกตรง ๆ ก็คงยากอยู่เหมือนกัน"

     

               คูฮาคุหันมอง ตัวตนของเธอถูกสลักลึกลงในใจเขา

     

               "คนสวยมีความเชื่อมากแค่ไหนกันล่ะ ?"
     

               อ่า—ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งบอกให้เธอเลิกเรียกไม่ใช่รึไง

     

               "เฮ้ ! เลือกร้านได้แล้วนะ"


     

               บทสนทนานั้นจบลง

               ไร้ซึ่งคำตอบจากปากฟุชิงุโระ เมงุมิ


     

    ♡´・ᴗ・`
     

     

               ห้องพักของคูฮาคุอยู่ติดกับคนสวย เธอเห็นสีหน้าของเขาที่แสดงออกดูเหนื่อยหน่ายต่อบางสิ่ง บิชามอนได้ห้องชั้นสอง เขาไม่ใช่คนเรื่องมากเลยโอเคกับห้องพักแม้ว่าสภาพด้านในค่อนข้างแตกต่างจากที่เคยอยู่อาศัยมาก่อน เฉกเช่นเด็กสาวที่เพิ่งย้ายของเข้าห้อง ลำบากมากแต่สำหรับเธอที่มีเท็งงุคอยช่วยเหลือ แค่นอนแผ่บนเตียงโง่ ๆ มองหนังสือที่ลอยไปมาด้วยพลังของคาเสะที่ควบคุมลมแล้วนับว่าเปลืองแรงน้อยที่สุดเลยล่ะ
     

               แลกกับแอปเปิ้ลปั่นที่เธอก็ไม่รู้ว่ามันอร่อยตรงไหน
     

               ห้องพักค่อนข้างใหญ่เมื่อได้อยู่เพียงคนเดียว อาจเพราะนักเรียนไสยเวทปีหนึ่งนั้นแสนน้อยเท่านิ้วมือข้างเดียวทำให้ไม่ต้องมีรูมเมท ช่วยลดตัดปัญหาการทะเลาะระหว่างกันอีกด้วย แม้ว่าสภาพห้องค่อนข้างมืดหม่น แต่ก็มีเตียงนอนให้จนแทบสามารถย้ายเข้าแบบตัวเปล่าได้เลย , ดวงตาสีอาร์กติกมองหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่ากำลังถูกจัดเรียงในชั้น
     

               เด็กสาวปรือมอง ได้ยินเสียงบ่นอุบอิบลอยแว่วมาตามสายลมคงเป็นคาเสะที่เห็นของมากมาย จัดเสร็จก็คงหมดวันไปอย่างเปล่าประโยชน์ กระทั่งเสียงเคาะประตูทำให้การเคลื่อนย้ายหนังสือบนอากาศนั้นหยุดชะงัก เธอพลิกตัวกลิ้งลุกจากที่นอน เรือนผมยุ่งเหยิงเล็กน้อยจากการกลิ้งเพียงแค่เสยลวก ๆ ดวงตาสีอาร์กติกกลิ้งกรอก พลางเปิดประตูเพื่อดูหน้าว่าเป็นใคร


     

               "เห็นของหน้าห้องเธอมันเยอะ ก็เลยจะมาช่วยเธอจัดห้องน่ะ !"เสียงเริงร่าของอิตาโดริ แค่นั้นก็มากพอแล้วที่ทำให้คาเสะหยุดมือปล่อยหนังสือล่วงกระจัดกระจายจนเกิดเสียงดังจนเด็กหนุ่มผู้ที่เคยได้รับฉายาว่าเสือแห่งมัธยมต้นตะวันตกต้องชะเง้อคอมอง ดวงตาสีอาร์กติกสอดส่องเห็นคนสวยที่ยืนเกาหลังคอ พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่มาเพิ่มจนเห็นทั้งคุงิซากิและบิชามอน
     

               "ไม่คิดว่าห้องเธอจะรกขนาดนี้เลยนะ"เด็กสาวเรือนผมสีน้ำตาลส้มแอปริคอตเพียงชะเง้อหน้าเข้ามอง คุงิซากิก็แทบจะตกใจกับสภาพห้อง ขณะที่บิชามอนที่เดินมาด้วยกันเพียงหัวเราะ รู้ได้ทันทีว่าเธอคงให้คาเสะช่วยขนย้ายทว่าพวกเขามาผิดเวลาทำให้จำต้องหยุดกลางคัน สภาพก็เลยกลายเป็นแบบนี้
     

               "นี่มากันหมดเลยเหรอ ? บิชามอนไม่ไปจัดห้องนายรึไง"เธอย่นคิ้ว เป็นสิ่งที่ชอบแสดงออกมาตลอดเวลามีคนเข้ามากวนเวลาสำคัญ ถึงจะไม่ได้แสดงอารมณ์ออกเต็มที่ แต่ก็ทำให้คนรอบข้างรับรู้ได้ ดวงตาสีอาร์กติกไล่มองแต่ละคน ถ้าหากบุกเข้าห้องเธอหมดคาดว่าคงเต็มห้องจนต้องอึดอัดเป็นแน่ ทั้งที่ความจริงแล้วให้คาเสะจัดห้อง ใช้เวลาแค่สองชั่วโมงก็เสร็จแล้ว
     

               "ของผมมีน้อยจะตาย จัดแปปเดียวก็เสร็จแล้ว"
     

               "ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ช่วยกันจัดจะได้เสร็จเร็ว ๆ"ฟุชิงุโระพูดแม้ว่าความจริงเขาจะโดนอิตาโดริลากมาก็ตาม ทว่าพอเห็นกล่องหน้าห้องหรือลองปรายตามองของในห้องแล้ว เกรงว่าเจ้าของห้องคงได้นอนตอนเช้ามากกว่าถ้าคิดจะจัดให้เสร็จในวันนี้ เขาได้ยินเสียงถอนหายใจ ดวงตาสีอาร์กติกกรอกวนดุจน้ำค้างบนใบไม้ ก่อนยอมเปิดประตูให้พวกเขาเข้าห้องที่รกยิ่งกว่าอะไรดี


     

               เพราะรวมตัวกันห้าคนเลยค่อนข้างวุ่นวายไปบ้าง ความสงบสุขของห้องที่คูฮาคุเพิ่งได้รับเริ่มปลิวหาย พออิตาโดริอยู่ก็เหมือนจำลองพระอาทิตย์ขนาดย่อมไว้ สดใสประหนึ่งว่าเวลานี้คือตอนกลางวัน หนังสือหลายเล่มที่กองระเนระนาดบนพื้นถูกเก็บ ก่อนฟุชิงุโระจะนำเรียงเข้าชั้นโดยจัดแยกประเภทไว้—เธอได้ยินเสียงเขาบ่นถึงหนังสือก่อนหน้าที่ไม่ได้แยกประเภทไว้ชัดเจน
     

               บิชามอนช่วยขนย้ายของกระจุกกระจิก จัดวางตามตำแหน่งที่ตัวเองเคยจำได้ว่าคูฮาคุชอบวางไว้ตรงไหน เทียนหอมหลายกระปุกยังคงเป็นงานอดิเรกที่ญาติตัวเองชอบจุดไว้คลายอารมณ์เสมอ เขาวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นพลางหยิบไฟแช็คจุดจนเปลวเทียนพลิ้วไหว ละลายจนส่งกลิ่นหอมทั่วห้อง
     

               ส่วนคุงิซากิ—ช่วยเด็กสาวเจ้าของห้องจัดเสื้อผ้าใส่ตู้เสื้อ จากการพูดคุยแล้วคาดว่าอีกฝ่ายคงต้องการผูกมิตรอยู่พอควร อาจเพราะเป็นเด็กนักเรียนหญิงกันอยู่สองคนแม้ว่าทีแรกจะเผลอเข้าใจบิชามอนผิดว่าเป็นผู้หญิงก็ตาม ตามประสาวัยรุ่นผู้หญิงย่อมต้องการเพื่อนเพศเดียวกันเพื่อทำกิจกรรมยามว่างอย่างช้อปปิ้งเสื้อผ้า ดูเหมือนว่าจะเห็นลูกหมาอีกคนเลยล่ะ
     

     

               "โอ้ เกียวคุโระตอนเด็กเนี่ยดูไม่ค่อยต่างจากตอนนี้เท่าไรเลยแหะ"ถือวิสาสะเปิดอัลบั้มรูปสมัยเด็ก ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองเด็กหญิงในรูปที่ทำหน้านิ่งเป็นนิจจนบางทีเขาก็เผลอคิดว่าตอนคลอดเธอออกมาหน้านิ่งแบบนี้ตั้งแต่เกิดเลยหรือไม่ บิชามอนชะโงกมองเล็กน้อย แม้ว่าจะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กแต่เขาก็เริ่มลืมเลือนไปบ้างแล้ว
     

               "เห ตอนเกียวคุโระไว้ผมสั้นงั้นเหรอ"
     

               "เสียมารยาทน่ะอิตาโดริ"เด็กหนุ่มบ้านฟุชิงุโระกล่าวเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเรือนผมสีชมพูที่เริ่มเลยเถิด แม้ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจะแอบเหลือบมองเห็นสภาพเธอตอนเด็ก ดูตัวเล็กและบอบบางไม่ต่างจากตอนนี้ สีหน้าหรือแววตาแทบจะโขกออกมาตั้งแต่ตอนเด็ก ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิดยกเว้นเรือนผมสีดำขลับที่ถูกกัดย้อมจนเป็นสีสายไหมในปัจจุบัน
     

               "เรียกแบบนี้รู้สึกเหมือนโดนเรียกหลายรอบเลย เรียกผมว่าบิชามอนเถอะ"เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงหน่ายต่อนามสกุลตัวเอง พอเรียกเกียวคุโระประโยคแรกเขาก็หัน ประโยคสองเขาก็หัน ยกเว้นคูฮาคุที่ยังนั่งเฉย "ผมไม่เหมือนฮาคุจังหรอกนะ จะเรียกบิชามอนก็ได้ ไม่กัดหรอก"
     

               "โอ้ งั้นเรียกฉันว่ายูจิก็ได้—แล้วฉันเรียกเธอว่าฮาคุได้รึเปล่า"ครานี้อิตาโดริเบนเป้าหมายมาที่เกียวคุโระอีกคน เช่นเดียวกับคุงิซากิที่เหมือนคอยโอกาสแบบนี้มานาน จะให้เรียกว่าเกียวคุโระตลอดไปก็เกรงว่าความสนิทมันจะไม่ขยับน่ะสิ บิชามอนลูบคางมองเหตุการณ์ตรงหน้า นอกจากครอบครัวแล้วเขาไม่เคยเห็นใครเรียกเธอฮาคุเลยนะ
     

               "พูดเหมือนห้ามได้น่ะ"คูฮาคุได้ยินเสียงอิตาโดริตะโกนร้องดีใจ จะเรียกอะไรก็เรียกไปเพราะอย่างไรเด็กสาวก็ไม่คิดสนใจนักหรอก หลุบตามองคุงิซากิที่นอนเต็มเตียงเรียกชื่อเธอเหมือนซ้อมไว้ ทำเอาต้องถอนหายใจอีกรอบท่ามกลางเสียงขบขันของบิชามอน ก่อนเป็นคุงิซากิที่ทำลายความครื้นเครงด้วยคำถามเพียงคำถามเดียวกลับทำใครหลายคนเงียบปาก
     

               "แล้ววิชาคุณไสยเธอกับนายล่ะ"เธอกล่าวออกมาด้วยความอยากรู้ "ดูจากตอนปัดเป่าที่ชิบุยะแล้วน่าจะแกร่งพอตัวเลยใช่ไหม ?"
     

               หลายคนเงียบเฝ้ารอคำตอบเช่นเดียวกับคูฮาคุ

     

               ต่างจากจิ้งจอกที่หัวเราะด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
     

               "แล้วพวกคุณมีความเชื่อมากแค่ไหนกันล่ะ ?"


     

               คนสวยมีความเชื่อมากแค่ไหนกันล่ะ ?
     

               คำถามนี้อีกแล้ว —ฟุชิงุโระขมวดคิ้วต่อบรรยากาศตรงหน้าที่เริ่มวังเวง อาจเพราะเสียงหัวเราะแผ่วเบาของบิชามอน คำถามที่สร้างความงุนงง หรือความสงสัยที่ฟุชิงุโระเจอมันเป็นครั้งที่สอง จากปากเด็กสาวที่กำลังดูความสนุกสนานด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่เพื่อนร่วมชั้นอีกสองคนนิ่งเงียบ เลิ่กลั่กใส่กันต่อบรรยากาศแบบนี้


     

               "ความเชื่อแบบไหน ?"เขาเอ่ยถาม เป็นหน่วยกล้าตายระหว่างสามคนที่อีกสองคนกำลังเลิ่กลั่ก แอบชูนิ้วโป้งให้เด็กหนุ่มเรือนผมสีรัตติกาลไปคนละหนึ่งนิ้ว ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองอีกฝ่ายที่ยกมือลูบปลายคาง ดวงตาสีอำพันคล้ายวาวโรจน์ชั่วครู่ก่อนกลับมาเป็นแบบเดิม ริมฝีปากเผยอออกตอบคำถามด้วยน้ำเสียงรื่นเริง
     

               "ก็อาจเป็นตำนานของญี่ปุ่น ความเชื่อเรื่องปีศาจของชาวบ้านทำนองนี้ล่ะมั้งฟุชิงุโระคุง"
     

               "โอ้ อย่างพวกกัปปะที่อยู่ตามริมแม่น้ำงั้นเหรอ ?"อิตาโดริว่าพลางนึกถึงความเชื่อสมัยเก่าก่อนที่เคยได้ยินสมัยเด็ก บ่อยครั้งที่เขาได้รับคำเตือนเรื่องกัปปะเสมอเวลาไปเล่นแถวริมน้ำ พอโตขึ้นมาอีกหน่อยก็แค่คิดว่าเป็นคำเตือนผู้ใหญ่ที่กลัวเด็กจะจมน้ำลงไป คุงิซากิเพียงหัวเราะขบขัน ความเชื่อเรื่องพวกนี้สำหรับเธอแล้วดูเป็นเรื่องไกลตัวมาก

     

               "แต่ก็เป็นแค่เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ชอบเอามาใช้หลอกเด็กไม่ใช่รึไง พอโตมาก็ชอบบอกว่าถ้าไม่เตือนแบบนี้ก็คงไม่ฟังหรอกน่ะ"
     

               "ก็เหมือนนักคุณไสยไม่ใช่เหรอครับ เห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ปัดเป่าในสิ่งที่คนอื่นไม่รับรู้"รอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้า หากไม่ติดว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกนั้นทุ้มเกินกว่าจะเป็นเสียงผู้หญิง บางทีบิชามอนอาจถูกมองเป็นน้องสาวมากกว่าน้องชาย "หลายคนหลายความเชื่อ พวกคุณบอกว่าคำสาปเกิดขึ้นมาจากด้านอารมณ์ของมนุษย์ แล้วปีศาจพวกนี้ที่มีจนเป็นตำนานล่ะเกิดจากสิ่งใด ?"
     

               "ความเชื่อเมื่อสมัยก่อน"คูฮาคุส่งเสียงตอบด้วยน้ำเสียงคล้ายดูสนุกสนานเมื่อเห็นท่าทีงงงวย ถึงจะควรปิดบังแต่โลกฝั่งนี้มีสิ่งที่เหนือธรรมชาติขนาดนี้การยอมรับเรื่องพวกนี้คงง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก  "พวกเขาอาศัยอยู่ได้ด้วยความเชื่อ หากมนุษย์เชื่อว่ายังคงมีอยู่มันก็จะไม่หายไปไหน ไม่งั้นจะเกิดตำนานได้ยังไง ? พวกนั้นก็แค่ต้องการสร้างชื่อให้เป็นที่จดจำมากพอเพื่อไม่ให้ถูกลืม"
     

               "ศรัทธาหรือเชื่อมากเท่าไร ตัวตนของมันก็ยิ่งแข็งแกร่ง บางทีหากโชคดีก็อาจได้มองเห็น พวกคุณคิดว่าเราสามารถรับรู้เรื่องพวกนี้หรือว่าตัวตนของเขาได้ยังไงกันหากไม่มองเห็นได้ ?"บิชามอนยักไหล่ รีบกล่าวรวมยอดโดยสรุปรวม "ขนาดคำสาปยังมี ปีศาจเองก็ย่อมมี ถึงแม้ว่าจะมีแค่บางส่วนที่เหลือรอดก็เถอะ"
     

               "แล้วมันเกี่ยวอะไรกับวิชาคุณไสยล่ะ ?"

     

               คูฮาคุเปล่งเสียงหัวเราะพร้อมกันกับจิ้งจอกหนุ่ม "ฉันเคยพูดด้วยเหรอว่ามีใช้วิชาคุณไสยหรือไสยเวทได้ เคยรึเปล่าบิชามอน"
     

               "เปล่านะ แน่นอนผมเองก็ด้วย"เห็นสีหน้างุนงงของพวกเขาทำเอาบิชามอนอดกลั้นเสียงหัวเราะไม่อยู่ หัวเราะจนท้องแข็งไร้ซึ่งมารยาทที่เคยถือไว้ "ผมไม่ได้เล่าเรื่องพวกนี้เพราะอยากเล่าหรอกนะ ที่พูดเพราะมันเกี่ยวกับผมและฮาคุจังน่ะสิ"
     

               เด็กสาวเอ่ยต่อ , กล่าวต่อความจริงที่เคยเกิดขึ้น
     

               "—เราไม่ได้ปัดเป่าด้วยคำสาป"
     

               ก่อนเป็นเด็กหนุ่มที่ตอกย้ำความจริงเป็นสิ่งสุดท้าย
     

               "แต่ปัดเป่าด้วยสิ่งที่พวกคุณยึดถือว่าไม่มีอยู่จริงไงล่ะ"


     

               ตัวตนอันแสนพิศวงที่ไม่มีใครเคยพบเห็น

               และมนุษย์ก็ยึดมั่นมาตลอดว่าไม่มีจริง
     

     

               "แค่ ปีศาจ บอกแค่นี้ก็คงเข้าใจแล้วใช่ไหม"


     

     

               Talk with คนแต่ง

               รีตอนที่สาม อุแง ยาวมากและหายไปนานมากเช่นเคย ;-; ขอย้ำหน่อยนะคะว่าสิ่งที่เขียนลงไปไม่ว่าจะด้านความเชื่อหรือการมองเห็นอะไรพวกนี้เกี่ยวกับปีศาจคือเราคิดขึ้นมาเอง เป็นความคิดเล่น ๆ ที่เคยคิดว่าถ้าหากรู้ว่าปีศาจแต่ละตัวมีรูปร่างงี้ ๆ ทำไมถึงรู้ล่ะ แล้วถ้ารู้ก็แปลว่ามองเห็น แล้วมองเห็นได้ไงก็เพราะว่ามีความเชื่อไงล่ะ โยงมั่ว ๆ มันก็เลยเกิดมาเป็นงี้ค่ะ
     

               จะบอกว่าชอบตอนนี้มาก (ถึงจะแต่งฉากสู้ได้กากก็ตามที) มันแบบขลัง ๆ ดีเวลาจะตอบคำถามเกี่ยวกับพวกนี้ ชิว ๆ หน่อยตอนนี้ให้เด็กห้าคนสานสัมพันธ์สักหน่อย ก่อนเริ่มเข้าสู่ความชิบหายในตอนต่อไปอุแง อัลบั้มสมัยเด็กน่ะคนสวยก็แอบเห็นใช่มั้ยล่ะ ใช่มั้ย!! บอกยูจิให้รีบเก็บแต่ตาก็เหลือบมองตลอดเลยน้า แหน๊ ไม่เนียนเลย
     

               (กาซิบนิดหน่อย เม้นเยอะ ๆ หน่อยน้า ;-;)
     

               แอคงาน (@hourizuha)

     

              ถ้าชอบก็อย่าลืมให้กำลังใจ กดเฟบนิยายเรื่องนี้พร้อมคอมเม้นด้วยนะคะ จะได้ไว้อ่านตอนนั่งแต่งนิยาย ♡´・ᴗ・`♡

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×