ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Jujutsu Kaisen fiction - คนสวยขา ( megumi x oc )

    ลำดับตอนที่ #17 : ตอนพิเศษ - หนึ่งคน หนึ่งตน

    • อัปเดตล่าสุด 22 มี.ค. 65





    Jujutsu Kaisen fiction - คนสวยขา
    - megumi x oc 




               มนุษย์โทษทุกอย่างยกเว้นตัวเอง , ยามเกิดเรื่องอะไรสักอย่าง สิ่งแรกที่กล่าวโทษล้วนยกให้คนรอบข้าง ผลักความรับผิดชอบไว้ให้เหนือตัวเอง กระทั่งสภาพแวดล้อมที่เพียงไม่ได้มีส่วนร่วมเลยสักนิด ทว่าก็ยังโดนผลักความผิดให้อย่างไม่ไยดี บางทีแม้แต่มนุษย์ก็มักจะโยนความผิดนั้นให้กับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

               เพื่อให้ตัวเองสบายใจ

               เมื่อเกิดภัยพิบัติ ให้โทษธรรมชาติ

               เมื่อเกิดความผิด ให้โทษมนุษย์รอบข้าง

               เมื่อเกิดสิ่งแปลกประหลาด ให้โทษภูตผี

               ตัวตนที่เหนือทุกสรรพสิ่งจึงกลายเป็นที่รองรับของพวกมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้—เท็งงุก็เป็นหนึ่งในนั้น , ปีกสีดำสง่าดั่งอีกาขนาดใหญ่จนหากกระพือเต็มแรงก็คงเกิดพายุได้อย่างง่ายดาย หน้ากากสีแดงเถือกราวกับเลือด จมูกใหญ่ยาว หน้าตาถมึงทึงดูน่าหวาดกลัว ประกอบกับความสามารถที่ทำให้เกิดพายุ หรือแม้แต่มนตรา

               หารู้ไม่ว่านั่นก็แค่เปลือกนอกที่คนรอบข้างมอง

               ใบหน้าอันแท้จริงของเท็งงุนั้นถูกซุกซ่อนใต้หน้ากากสีแดง ไม่มีใครเคยเห็นยกเว้นเหล่าเท็งงุด้วยกันเอง ไม่เคยนับตัวเองเป็นเทพเจ้าอย่างที่มนุษย์บูชา หรือจะเป็นปีศาจตามวรรณกรรมที่มนุษย์เคยเขียน เปรียบดั่งสายลมอิสระที่สามารถแปรเปลี่ยนไปตามสิ่งที่ตนอยากเป็น แม้จะดูอิสระแต่ก็ถูกกดทับด้วยระบบอาวุโสอันแสนชัง

               เหนือเท็งงุรากหญ้า คือผู้อาวุโสทั้งห้าที่คอยอยู่ล้อมรอบไดเท็งงุผู้อยู่เหนือทุกอย่าง เป็นทั้งผู้นำที่เท็งงุให้ความเคารพและเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่เหนือใคร ผู้ที่ได้ครอบครองพัดใบไม้อันเป็นสมบัติสำหรับไดเท็งงุ พัดใบไม้ที่สามารถเกิดพายุลูกใหญ่ได้ด้วยการพัดด้วยครั้งเดียว เป็นของที่อันตรายที่อยู่คู่กับตัวอันตราย

               กระนั้นไดเท็งงุไม่ใช่ตำแหน่งที่สืบทอดด้วยสายเลือดหรืออย่างไร แต่เป็นการประลองเพื่อดูเชิงความสามารถ หากใครแข็งแกร่งก็ย่อมได้ตำแหน่งนั้นไป แม้ว่าบางครั้งจะมีการยกตำแหน่งให้ระหว่างที่ไดเท็งงุยังมีชีวิตอยู่ให้กับเท็งงุตัวต่อไปบ้าง แต่นั่นก็เป็นเพียงอดีตที่ถูกลืมเลือนไปเสียแล้วเมื่อตอนนี้ตำแหน่งที่ใครก็ได้สามารถเป็นกลับสืบทอดตามสายเลือดเสียแทน

               เขาเองก็เคยเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิง

               ไดเท็งงุรุ่นก่อนนั้นมัวเมาสุราเคล้านารีจนกำเนิดลูกหลานให้มาแย่งชิงตำแหน่งนี้กันหลายตนเลยทีเดียว และ—จะบอกว่าคาเสะก็เคยเป็นหนึ่งในนั้นก็ว่าได้ เด็กชายเท็งงุผู้เป็นลูกหลานคนสุดท้ายก่อนไดเท็งงุจะล้มป่วย ไม่มีใครสนใจแลเหลียวแม้แต่พี่น้องกันเอง พวกเขาต่างแย่งชิงตำแหน่งนั้นเกินกว่าจะมาสนใจน้องชายตัวน้อย ๆ ที่แม้แต่จะกางปีกเพื่อบินยังไม่ได้ด้วยซ้ำ

               ไม่มีใครเคยสอนเขาว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเรียกลมออกมาได้ บังคับลมอย่างไรให้กลายเป็นพายุลูกใหญ่ หรือแม้แต่คาถาวิชาที่เป็นของถนัดของเหล่าเท็งงุก็ไม่มีใครเคยสอนเขา กล่าวได้ว่าเด็กชายเท็งงุตนนี้ถูกลืมเลือนอย่างแท้จริง จะบอกว่าเสียใจก็ย่อมได้ จะบอกว่าดีใจก็ย่อมได้ที่เขาไม่ต้องเข้าร่วมการแย่งชิงตำแหน่งบ้าบอที่ทำให้เกิดการนองเลือดทุกวัน

               จากตอนแรกที่มีพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันเกือบร้อยตน เริ่มลดหลั่นลงมาสวนทางกับความบ้าคลั่ง วันดีคืนดีจะถูกวางยาตายตอนไหนก็ไม่รู้ หรือวันไหนจะโดนคาถาที่ตัวเองช่ำชองปลิดชีพเมื่อไรก็ไม่ทราบ แทบทุกวันที่เรือนหลักเป็นสนามรบนองเลือด เหล่าข้ารับใช้ต่างหวาดหวั่นเกรงกลัวทุกชั่วขณะจิต ไม่ต่างจากพี่น้องเท็งงุบางตนที่ถูกลากลงสนามเลือดแบบไม่ยินยอม

               ดังนั้นการที่เขาไร้ตัวตนนั้นก็ถือว่าดีแล้ว เรือนหลังเล็กที่ถูกแยกออกมาโดดเดี่ยวถูกเด็กชายยึดครองจนกลายเป็นเรือนของตัวเอง แม้มันจะเป็นห้องเก็บของเก่าก็ตาม เขาอาศัยอยู่ที่นั่น เรียนรู้ด้วยตัวเอง ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวจนน่าเวทนา กระทั่งมีเท็งงุบางตนที่บุกรุกมาแบบไม่รู้ตัว แถมยังล้มทับเขาที่ตัวกระเปี๊ยกเดียวอีกด้วย


               "โอ๊ย—ไอพวกบ้านี่ ลอบโจมตีข้าอีกแล้วเรอะ"เสียงก่นด่าเหนือหัวยังคงบริภาษด่าต่อเนื่องถึงเท็งงุที่ลอบโจมตีโดยการยิงธนูระหว่างตัวเขากำลังบินผ่าน ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นจนอยากตัดต้นไม้ที่มันยืนทิ้งเสีย แต่ก็ดูสายไปแล้วจากการฟังสายลมที่มีการเปลี่ยนแปลง แปลว่าเจ้าพวกนั้นคงหลบหนีไปแล้วระหว่างที่เขาตกลงมา

               "เจ้า ! ออกไปจากตัวข้าได้แล้ว !"ฝ่ามือเล็กจ้อยพยายามดันเท็งงุตัวใหญ่ออก "ตัวก็หนักยังไม่คิดจะลุกอีก"

               ตนที่ถูกกล่าวว่าตัวหนักยอมลุกขึ้นยืน ดวงตาสีของป่าไม้สะท้อนเท็งงุตัวจ้อย

               "เจ้าเป็นใครกัน ข้ารับใช้ใหม่งั้นหรือเหตุใดข้าจึงไม่คุ้นหน้าเลย"

               "อย่างกับท่านจำพี่น้องร่วมบิดาร้อยตนได้กระมัง"เด็กชายเท็งงุกล่าวประชดประชันถึงเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เริ่มก้าวเข้าสู่วัยชายหนุ่ม ดวงตาอันแสนงดงามสีอาร์กติกลอบมองใบหน้าอีกฝ่าย ยิ่งได้เห็นสีของป่าไม้ในดวงตาคู่นั้นก็พอยืนยันความจริงได้ นั่นคงเป็นพี่ชายคนโตของหมู่มวลพี่น้องของเขาผู้ที่ยืนหยัดได้ในสงครามโหดร้ายนี้จากการฟังที่เหล่าข้ารับใช้แอบกระซิบกระซาบกัน

               "ข้าว่าข้าก็จำได้อยู่นา—"ฝ่ามือหนาลูบคางตัวเอง แสดงท่าทางครุ่นคิด "อย่างเจ้าสี่นั่นข้าก็เพิ่งตัดคอมันได้ไม่นาน ส่วนเจ้าสิบสองก็ดันรนหาที่ตายจนติดกับเจ้าสิบสามนั่น หรือแม้แต่ล่าสุดเจ้ายี่สิบหกก็เพิ่งสิ้นใจเมื่อคืนวานนี่เอง...."

               ดวงตาสีเขียวป่าสนเปรยมองต่ำ

               "แต่เจ้าหลุดรอดสายตาข้าไปได้อย่างไร ?"

               เขาสูดหายใจ รู้สึกถึงความหวาดกลัวที่เริ่มคืบคลานเข้าเกาะกุม

               "ข้าเป็นน้องชายตนที่หนึ่งร้อยของท่าน"

               และนั่นเป็นการตัดสินใจครั้งแรกในชีวิตของเขาเลย


               อิบุกิ , ชื่อของพี่ชายคนโตในพี่น้องเท็งงุร้อยตน ชื่อเดียวที่ถูกตั้งโดยไดเท็งงุและดูเป็นตนเดียวที่เข้าใกล้ตำแหน่งนั้นมากที่สุดเช่นกัน หลังจากที่เขารับรู้ความจริงว่ายังมีน้องชายตัวน้อย ๆ อยู่เรือนหลังเล็กที่ไม่มีใครให้ความสนใจ อิบุกิก็ขยันแวะเวียนมาหาไม่ขาดสายจนเด็กชายนึกรำคาญ ทว่าอีกส่วนของความรู้สึกกลับรู้สึกนุ่มฟูอย่างแปลกประหลาด

               เรื่องที่ใครไม่เคยสอน อิบุกิจะเป็นตนที่สอนเขาตนแรก ปีกที่ดูไม่ใหญ่เท่าพี่น้องตนอื่นก็เริ่มถูกดูแลอย่างดีเมื่อเด็กหนุ่มเท็งงุกล่าวว่ามันสำคัญมาก เรื่องฝึกบินที่เขาทำได้แค่บินต่ำ ๆ ในตอนแรก ตอนนี้ก็สามารถบินสูงด้วยการสอนของพี่ชายคนโต แม้อีกฝ่ายจะบ่นยาวเหยียดและด่าบริวารรอบข้างอย่างไม่เกรงใจว่ามีเด็กฟังอยู่ข้าง ๆ ถึงการละเลยตัวเขาหรือแม้แต่จะตกใจเมื่อเห็นว่าเขาบินได้ย่ำแย่แค่ไหนพอ ๆ กับคาถาวิชา

               กล่าวได้ว่าในหมู่พี่น้อง , อิบุกิดูสนิทกับเขามากที่สุด


               "นี่ เจ้าไม่คิดจะมีชื่อหน่อยหรือไง"เสียงทุ้มต่ำดังเหนือหัวจนเด็กชายเงยมอง ปีกสีดำเล็กจ้อยเคลื่อนไหวจนปีกขนขยับ ขมวดคิ้วจนใบหน้ายับยู่เป็นการไม่ยอมรับ อิบุกิกระแอมไอ "จะให้ข้าเรียกว่าเจ้า ๆ ตลอดก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ —และข้าคิดว่าข้าเองก็ไม่ได้ตั้งชื่อแย่ขนาดนั้นด้วย"

               "ไม่ เจ้าตั้งชื่อแย่ยิ่งกว่าใครทั้งนั้นเลย"เด็กชายบุ้ยปาก หวนนึกถึงตอนอีกฝ่ายรับข้ารับใช้มาใหม่แล้วต้องตั้งชื่อก็อดนึกสงสารเท็งงุตัวนั้นไม่ได้ "ว่าแต่ช่วงนี้มันไม่เงียบไปหน่อยหรือ ?"

               "ก็คงเตรียมตัวสังหารข้าเหมือน—"

               "นั่น ! อิบุกิอยู่นั่น !"เสียงร้องของตนกลุ่มใหม่ทำให้เด็กชายสะดุ้ง พอดีกับปีกขนาดใหญ่บดบังร่างเด็กชายไว้ราวกับปกป้อง ดวงตาสีเขียวดั่งแมกไม้นั้นสงบเงียบเสมอ ทว่าตอนนี้กลับแปรปรวนเมื่อได้ยินเสียง เรือนผมสีดำเข้มปรกใบหน้า สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนพร้อมกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำเจาะจงมายังเขาที่ยังคงไม่รู้เรื่อง

               "เจ้าบินหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่เจ้าทำได้ซะ"

               "แต่แถวนั้นมันมีเขตมนุษย์ !"

               "มนุษย์ไม่เห็นเจ้าหรอก เร็วเข้า !"ดวงตาสีป่าสนหันกลับมาให้ความสนใจเบื้องหน้าที่มีเท็งงุหลายตนคอยเตรียมสังหาร ฝ่ามือใหญ่ดันเด็กชายให้ออกวิ่งแล้วบินหนี ขณะเดียวกันมืออีกข้างกวาดไปด้านหน้า เรียกสายลมหอบใหญ่ขัดขวางไม่ให้ศัตรูเข้าใกล้ เป็นการทดเวลาให้บินหนีเข้าป่าด้านหลัง แต่อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ง่าย ๆ

               "นั่น ยิงเด็กนั่นซะ !"


               หัวใจเด็กชายเต้นระรัว ปีกสีดำกางออกพยุงตัวเองบินหลบหนีเข้าป่าที่เคยบินเล่นกับอิบุกิเป็นประจำ เขาไม่เคยมีประสบการณ์เฉียดตาย ไม่เคยถูกไล่ยิงด้วยลูกธนูพวกนั้น ทว่าตอนนี้สิ่งที่เรียกว่าไม่เคยกลับกลายเป็นต้องเคยแล้วในสถานการณ์ตอนนี้ เด็กชายบินขึ้นพยายามเบี่ยงหลบวิถีลูกศรเหล่านั้น แต่ก็ยังมีเฉียดบ้างจนบาดเข้าผิวหนังบางส่วน ไม่ว่าต้นแขนหรือแก้ม

               ดวงตาสีอาร์กติกกลิ้งกรอก มองเห็นแสงสว่างด้านหน้าที่เริ่มเป็นเขตเรือนของมนุษย์ ปกติแล้วเท็งงุจะหลบซ่อนในป่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ และมนุษย์ก็ไม่เห็นพวกเขาเช่นเดียวกัน ดังนั้นทางรอดเดียวของเขาในตอนนี้คือต้องบินไปยังเขตเรือนที่มนุษย์อาศัยอยู่ เท็งงุที่ไล่ตามจิปากเมื่อปลายสายตาเริ่มเห็นอาคารบ้านเรือนของมนุษย์ แต่กระนั้นก็ไม่วายทิ้งความสาหัสด้วยการง้างธนูยิงใส่เป็นดอกสุดท้าย

               แถมยังโชคดีโดนปีกอย่างไม่น่าเชื่อ



    ♡´・ᴗ・`




               แสงแดด ป่าไม้ และผู้คน , ดูเป็นสิ่งที่เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อแม้ว่ามนุษย์จะรุกรานพื้นที่สีเขียวเพื่อสร้างบ้านเรือน ทว่าก็สงบสุขอย่างไม่น่าเชื่อ คนรอบข้างเรือนเคียงก็รู้จักกันจนเรียกว่าสนิทสนม ดังนั้นคงแปลกสักหน่อยหากมีใครย้ายเข้ามาใหม่ ใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยจึงตกเป็นที่สนใจจากคนรอบข้างได้อย่างง่ายดาย และนั่นมันเรียกสายตาได้อย่างดี

               รองเท้าหนังสีดำขลับกับการแต่งกายที่ไม่ค่อยเข้ากับชาวบ้านแถวนั้นทำให้หญิงสาวตกเป็นเป้าหมายโดยไม่รู้ตัว ประกอบพ่วงกับคนติดตามทำให้ดูเป็นคนใหญ่คนโต ยิ่งเห็นชื่อตระกูลแล้วก็พอเข้าใจว่าเหตุใดถึงมีคนติดตามยาวเป็งพวงขนาดนี้

               เกียวคุโระ

               บ้านที่แตกแยกย่อยหลายสาขา ตระกูลที่ถือครองสมบัติเก่าแก่จนเรียกว่าร่ำรวย ไม่ต้องกล่าวถึงสมาชิกแต่ละคนว่ามีความสามารถเพียงใด แถมหน้าตาลูกชายบ้านนี้ก็ชวนเคลิ้มจนหลายคนต่างปรารถนาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูล จึงน่าแปลกที่เห็นหญิงสาวในตระกูลนี้ หลายคนล้วนคาดเดาว่าคงเป็นสะใภ้สักคนในตระกูล เนื่องจากในตระกูลนี้ผ่านมาหลายรุ่นล้วนมีแต่ผู้ชาย

               น่าเสียดายที่ตระกูลรุ่นนี้นั้นมีเด็กผู้หญิงเกิดขึ้นมา ดูเป็นปาฏิหาริย์นักจนเรียกได้ว่าหญิงสาวแทบจะเป็นหลานรักและลูกรักในเวลาเดียวกัน ขนาดจะจากลามาอยู่บ้านนอกเพราะต้องการพักผ่อน กว่าจะยอมปล่อยเธอมาได้ก็เหนื่อยจนอยากถอนหายใจ ดวงตาสีไวโอเล็ตเบือนมองเหล่าคนรับใช้ที่กำลังย้ายของของเธอเข้าบ้านใหม่ มีเพียงเธอที่ว่างอยู่คนเดียว


               "ข้าจะไปเดินเล่นเสียหน่อย คงจะกลับมาตอนเย็น"

               ข้ารับใช้หญิงหันมอง อยากจะแย้งแต่ก็สงบปากเมื่อเห็นสายตา "เจ้าค่ะคุณหนู ให้คนไปติดตามด้วยไหมเจ้าคะ"

               "ไม่ต้อง ส่วนพวกเจ้าถ้าย้ายของเสร็จแล้วก็กลับตระกูลใหญ่เสีย"เสียงเรียบนิ่งเอ่ย เมินข้ามสายตาตกใจและเว้าวอนของคนรอบข้าง พวกเขาต่างรู้ดีว่าถ้าหากกลับไปคงไม่แคล้วโดนด่าที่ไม่ดูแลคุณหนูให้ดี "ประเดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายไปให้ คงไม่โดนว่ามากหรอก"

               "ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนูคูฮาคุ"


               เกียวคุโระ คูฮาคุพยักหน้า รองเท้าหนังสีดำก้าวไปข้างหน้า ด้วยการแต่งกาย เครื่องประดับที่ดูหรูหราทำให้หลายคนแอบชำเลืองอย่างสนใจ ประกอบกับเครื่องหน้าที่ต่อให้แสดงสีหน้าเฉยเมยก็ยังสะกดสายตาผู้คนอยู่ดี คูฮาคุเลือกที่จะสำรวจรอบละแวกบ้าน สัตว์ประหลาดแปลก ๆ ที่เดินสวนทางกับผู้คนเป็นเรื่องเคยชินสำหรับเธอไปเสียแล้ว และดูเหมือนมีเธอเพียงคนเดียวที่มองเห็นตัวแปลก ๆ แสนน่าเกลียดนี่

               เมืองนี้อยู่ติดภูเขา ป่าสีเขียวที่ดูไม่มีใครกล้าขึ้นไป ฟังจากคนรอบข้างแล้วพวกเขาต่างนับถือเทพภูเขากันเพื่อขอให้เทพปกป้อง มันฟังเป็นเรื่องน่าขำที่พวกเขาต่างรุกรานพื้นที่แต่ก็ยังขอให้ปกป้องแบบนี้ ดวงตาสีม่วงไวโอเล็ตเงยมองภูเขาที่ดูอุดมสมบูรณ์ ไม่คิดจะเสี่ยงตัวเองเพื่อไปสำรวจภูเขาที่ไม่มีใครเคยขึ้นไป ทว่าบางสิ่งบางอย่างกลับทำให้เธอยืนอยู่ที่เดิม


               ร่างเด็กชายผู้มีปีกสีดำที่ร่วงหล่นสู่ผืนดิน

               มุมปากหญิงสาวยกขึ้น วาดรอยยิ้มสนุกสนาน

               "น่าสนใจดีนี่"


               ไม่มีใครมองเห็นเขา , ถึงผู้คนจะมองเธอแปลก ๆ เพราะเห็นท่าทางหญิงสาวกำลังโอบอุ้มอะไรสักอย่างแต่ไม่มีใครเห็นว่าเธอกำลังอุ้มเด็กชายมีปีกสีดำอยู่ พวกชาวบ้านต่างลงความเห็นว่าบางทีที่เธอมาอาศัยอยู่คนเดียวคงไม่แคล้วเป็นสะใภ้ที่เป็นบ้าหรือโดนทิ้ง ข่าวลือเริ่มกระจายออกมาแบบเงียบ ๆ โดยเจ้าตัวไม่คิดจะสนใจเลยแม้แต่น้อย

               ข้ารับใช้ต่างแยกย้ายทันทีเมื่อย้ายของให้คุณหนูคนเดียวของบ้านเสร็จ ดังนั้นในเรือนแห่งนี้มีเพียงหญิงสาวกับเด็กชายผู้ไม่มีใครมองเห็น คูฮาคุวางเขาลงบนพื้น มองสำรวจผ่าน ๆ ก็เห็นบาดแผลบริเวณแก้มและแขน แต่ที่ดูหนักมากสุดก็คงเป็นปีกสีดำที่มองอย่างไรก็ไม่คิดว่าจะสามารถแบกร่างเด็กชายให้โผบินบนท้องฟ้าได้

               คงต้องเริ่มทำแผลก่อนกระมัง

               กว่าเด็กชายจะเริ่มมีปฏิกิริยาก็เกือบมืดค่ำ ดวงตาสีไวโอเล็ตเหลือบมองเจ้าก้อนสีดำที่เริ่มขยับขยุกขยิก กลิ่นอาหารบนโต๊ะคงเรียกให้เขาตื่นกระมัง , เด็กชายเท็งงุเริ่มขยับตัว วิสัยทัศน์รอบตัวที่แปลกไปทำให้เขาระวังตัว พยายามขยับปีกที่บาดเจ็บก็รู้สึกว่ามีอะไรแปลก ๆ บนปีกของตน เหลือบมองก็เห็นผ้าสีขาวสะอาดถูกพันตรงบริเวณแผล

               เสียงแก้วชากระทบโต๊ะเรียกความสนใจจากเท็งงุตัวน้อยได้ดี ดวงตาสีอาร์กติกเคลื่อนมอง ความตกใจสะท้อนออกมาเมื่อเห็นมนุษย์ เพิ่มความระแวดระวังในทันที ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาสีอาร์กติกคล้ายอัญมณีนั้นหรี่ลง เรียกเสียงหัวเราะแผ่วเบาของหญิงสาวที่กำลังสังเกต และนั่นทำให้ใบหน้าเด็กชายแดงเถือกด้วยความอับอาย


               "เจ้า—เจ้าหัวเราะอะไรน่ะ !"

               "นั่นคือท่าทางสำหรับคนที่ช่วยเจ้างั้นหรือ"

               "ข้าก็ไม่ได้ขอให้เจ้าช่วยเสียหน่อย !"คำพูดคำจาดูปากคอเราะร้ายเสียจริงเมื่อเทียบกับร่างเล็กจ้อยที่บาดเจ็บ มองฝ่ามือเล็กกำแน่นพร้อมกับสายตาจากดวงตาสีอาร์กติกที่เงยมอง "เจ้ามองเห็นข้าจริงหรือ ?"

               "ไม่งั้นข้าจะอุ้มเจ้ากลับมาได้ยังไงเล่า"มองท่าทีพึมพำของเด็กชายที่ดูไม่เชื่อถือคำพูดเธอนักทำให้คูฮาคุพ่นลมหายใจออกมา "เจ้าหิวแล้วไม่ใช่รึไง ทานสิ"

               "ข้า—ข้าไม่ขอบคุณเจ้าหรอกนะ !"


               กระนั้นร่างเล็ก ๆ ก็พุ่งเข้าใส่อาหารด้วยความหิวโหย น้อยนักที่เขาจะได้ทานอาหารดี ๆ ถ้าหากอิบุกิไม่คอยแบ่งอาหารจากเรือนหลักมาให้ , สัมผัสปลายลิ้นอบอวลด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพร เนื้อปลาก็นุ่มละมุนลิ้นเสียจนเผลอแสดงสีหน้าทำเอาคนมองต้องหัวเราะในลำคอ ทว่าเด็กชายก็ทำได้เพียงแค่กล้ำกลืนแสดงออกด้วยแก้มที่เริ่มแต้มสีแดงพาดผ่านเพียงเท่านั้น

               เมื่ออาหารหมดลง ดวงตาสีอาร์กติกจึงเคลื่อนมองสำรวจหน้าตามนุษย์ที่ช่วยเหลือเขา , เรือนผมสีดำขลับถูกเกล้าครึ่งศีรษะ ตกแต่งด้วยพู่ระย้าราคาแพง เครื่องหน้าก็สมกับที่ถูกเรียกว่าเป็นหญิงงามได้ ดวงตาเรียวสีไวโอเล็ตคล้ายดอกไม้ที่เขาเคยเห็นในป่า จมูกโด่งรั้นประกอบริมฝีปากที่ยิ้มออกมาแต่ก็คล้ายไม่ยิ้มในเวลาเดียวกัน

               อีกสิ่งที่แปลกประหลาดก็คงเป็นกลิ่นบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ หรือเจ้าตัวประหลาดที่อยู่รอบบ้านนี้แม้แต่ข้างกายหญิงสาวยังมีอยู่หนึ่งตัว เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันไม่เหมือนกับตัวตนของเขาเลยสักนิด ออกจะน่าขยะแขยงเสียหน่อยด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเธอมองเห็นเขาก็นับว่ามองเห็นเจ้าตัวประหลาดนั่นด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรือ


               "เจ้าไม่กลัวตัวประหลาดข้าง ๆ เจ้าหรือ"เด็กชายเท็งงุกล่าวเสียงเบาจนแทบกลืนหายไปกับอากาศ เมื่อตัวประหลาดดังกล่าวหันมองมาทางเขาราวกับรู้ตัวว่ากำลังถูกพูดถึง ขณะที่หญิงสาวผู้ใกล้ชิดมากสุดทำเพียงแค่แย้มยิ้มออกมา ในแววตาที่ไร้แววนั้นเริ่มมีประกายชีวิตเข้ามานิดหน่อย ทว่าไม่ได้ตอบคำถามเขาราวกับไม่อยากพูดถึงสักเท่าไรนัก

               หญิงสาวยกแก้วชาขึ้นจิบ "เจ้าชื่ออะไร ?"

               "ข้าไม่...มีชื่อ"เด็กชายกล่าวด้วยเสียงอ้อมแอ้ม ปีกสีดำหุบลง "แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร"

               "เกียวคุโระ คูฮาคุ"เมื่อได้ยินนามแล้วหัวคิ้วเด็กชายขมวดเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้เมื่อรู้ความหมาย มันแปลกไปเสียหน่อยที่จะถูกตั้งให้กับเด็กผู้หญิง ขณะที่เจ้าของชื่อแท้จริงไม่ได้สนใจนัก "แต่ข้าจะเรียกเจ้าอย่างเดียวไม่ได้ งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่า—อืม..."

               "คาเสะ เป็นอย่างไรเล่า ?"

               เขาโวยวาย ปีกที่หุบเริ่มกางออกแถมพองขนราวกับจะระเบิดเสียอย่างนั้น "ข้าไม่ให้เจ้าตั้งชื่อหรอกนะ !"

               "ข้าก็ไม่ได้บอกว่านี่เป็นชื่อเจ้าเสียหน่อย ข้าแค่จะเรียกเจ้าว่าคาเสะเอง เจ้าจะยอมรับหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า"ถ้อยคำกึ่งบังคับกึ่งปล่อยเช่นนี้ทำให้เท็งงุตัวน้อยพูดไม่ออก ได้แต่สำลักความโกรธที่เพิ่มขึ้นจนใบหน้าเริ่มแดงประหนึ่งมะเขือเทศ เสียงหัวเราะลอยแว่วอีกคราดังมาจากคนเดิมที่ยกมือปิดปากด้วยกิริยาสมกับเป็นคุณหนูตระกูลสูงส่ง

               "เจ้ามัน—เจ้าเล่ห์ !"


               เสียงหัวเราะดังระงมปกปิดความเงียบเหงาของเรือนแห่งนี้ , เธอบอกเขาให้พักฟื้นที่นี่ก่อนเพื่อรักษาปีกให้หาย ก่อนที่จะต้องกลับไปยังที่ ๆ เขาอยู่ เด็กชายแปลกใจที่หญิงสาวไม่คิดจะไถ่ถามหรือแปลกใจต่อตัวตนเขาเลยสักนิด ทว่าพอมองรอบข้างที่เต็มไปด้วยสิ่งประหลาดยั้วเยี้ยต่างจากในป่าที่เขาอาศัยอย่างเงียบสงบ ก็เริ่มเข้าใจว่าเหตุใดเธอจึงไม่แปลกใจ

               ระหว่างพักฟื้น เท็งงุตัวน้อยสังเกตว่าหลายครั้งเจ้าตัวประหลาดนั่นพยายามแตะต้องหญิงสาว ราวกับต้องการครอบครอง ถ้าหากไม่มีเขาใช้มนต์คาถาหรือเรียกลมคอยพัดมันไปไกล ๆ เกรงว่าชีวิตแต่ละวันของหญิงสาวที่มีนามว่าเกียวคุโระ คูฮาคุคงสิ้นชีพแล้วกระมัง แม้น่าเสียดายที่ไม่อาจทำให้มันหายไปพ้น ๆ เพราะพลังของเขาไม่แข็งแกร่งพอ

               เขาไม่ใช่อิบุกิเสียหน่อย

               อีกอย่างความสนุกของมนุษย์นั้นน่าตื่นตาตื่นเต้น ก็คงเป็นการละเล่นของเหล่ามนุษย์ จะเคนดามะก็ดี แม้มันจะชอบตกหล่นใส่หัวเขาบ่อย ๆ ก็เถอะ แต่พอฝึกไปฝึกมาก็คุ้นชินอย่างไม่น่าเชื่อ หรือเทมาริที่ดูเหมือนจะเป็นของเล่นเก่าของหญิงสาว จนเวลาร่วงโรยไปหลายวันพอดีกับแผลที่ปีกของเขาเริ่มดีขึ้น

               และเป็นวันที่เท็งงุตัวน้อยต้องโผบินอีกครา


               "เจ้าจะอยู่ได้จริงเรอะ"เด็กชายถามแอบค่อนขอดเล็กน้อยจนดูเสียมารยาท กล่าวตามจริงหากไม่มีเท็งงุตัวน้อยคอยขับไล่เจ้าสิ่งประหลาดออกไป คูฮาคุคงอยู่ได้ลำบากกว่านี้ ขณะที่หญิงสาวเพียงเลิกคิ้ว จัดของใส่กระเป๋าย่ามสะพายหลัง อันด้านในนั้นมีแต่ของเล่นที่เท็งงุตัวน้อยชื่นชอบรวมถึงขนมที่เขาชอบกินเป็นประจำ

               "เจ้าเป็นห่วงข้ารึ ?"

               แก้มที่เริ่มกลมแดงฝาด ดวงตาสีอาร์กติกเบนไปทางอื่น "ม—ไม่ใช่เสียหน่อย ก็เจ้าอ่อนแอนี่นา"

               "งั้นเจ้าก็มาปกป้องข้าสิ"หญิงสาวหัวเราะแผ่วเบาต่อปฏิกิริยาอันแสนน่ารักของเด็กชาย ยื่นกระเป๋าย่ามให้กับเขา "ตอนที่เจ้าโตกว่านี้"

               "ฮึ แน่นอนสิ เจ้าอ่อนแอเสียขนาดนี้จำเป็นต้องมีข้าปกป้องอยู่แล้ว !"เด็กชายกล่าวอย่างลำพอง เป็นครั้งแรกที่เขาได้ทำเพื่อใครสักคน ได้ใช้สิ่งที่ตนมีเพื่อปกป้องคนอื่น และมันก็รู้สึกดีจนรอยยิ้มวาดบนใบหน้าจนน่ารักน่าเอ็นดู ดวงตาสีอาร์กติกเงยมองเริ่มเห็นแสงอาทิตย์ที่เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า เขาเริ่มกางปีกสีดำออกสยายกว้าง

               "ข้าต้องไปแล้ว"

               คูฮาคุยกยิ้ม ดวงตาสีไวโอเล็ตนั้นหยีลงดั่งจันทร์เสี้ยว

               "ไว้เจอกัน คาเสะ"

               "ไว้เจอกัน คูฮาคุ !"

               ช่างน่าขัน , ที่เขาไม่รู้ถึงความโหดร้ายของกาลเวลา



               เด็กชายกลับมาแล้ว , เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้เหล่าเท็งงุล้มตายเป็นจำนวนมาก อิบุกิเลือกที่จะกวาดล้างทุกอย่าง โศกนาฏกรรมสังหารหมู่กวาดล้างพี่น้องร่วมบิดาต่างทำให้ชื่อเสียงของอิบุกิดังเป็นที่โจษจัน เท็งงุทั้งหลายต่างหวาดกลัวและไม่กล้าที่จะเหิมเกริมดั่งเก่า มีเพียงเขาที่เป็นพี่น้องตนเดียวเหลือรอดสงครามนองเลือดครั้งนี้

               และเพราะเหตุการณ์ครานี้ อิบุกิจึงได้เป็นไดเท็งงุ

               จากการแต่งตั้งตำแหน่งก่อนที่ไดเท็งงุสิ้นชีพทำให้สถานะทั้งอิบุกิและเขาเปลี่ยนไป , อิบุกิได้เป็นไดเท็งงุ นามอิบุกิถูกเก็บซ่อนไว้มีเพียงคำว่าไดเท็งงุที่ถูกยกย่องสรรเสริญ มีเพียงเขาที่ตอนนี้ได้กลายเป็นน้องชายไดเท็งงุ อำนาจคล้ายตำแหน่งอาวุโสสามารถเรียกขานนามของไดเท็งงุโดยไม่ต้องโดนมองเขม่น ทั้งที่ตอนแรกเขาเป็นเพียงเท็งงุตัวจ้อยที่ไม่มีใครให้ความสนใจแท้ ๆ

               แม้ทุกอย่างจะพลิกผันเกิดขึ้นเร็วจนเด็กชายเกือบตามไม่ทัน แต่เขาก็ไม่ลืมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นให้อิบุกิฟังด้วยสายตาเป็นประกาย แถมนำเสนอของเล่นที่ได้มาหรือแม้แต่ขนมที่เขาหักแบ่งเพื่อให้พี่ชายคนโตได้ลิ้มรส เหตุการณ์สนุกสนานนั้นแต่งเติมให้ชีวิตวัยเด็กของเด็กชายมีสีสัน ถึงจะน่าเบื่อบ้างเมื่อต้องฝึกวิชา แต่พอนึกได้ว่าหญิงสาวชาวมนุษย์ต้องมีเขาคอยปกป้อง แรงที่เหือดหายก็กลับมากระตุ้นให้เขาฝึกต่อ

               โดยไม่รู้เลย ว่าเวลาของเขาและเธอไม่เท่ากัน

               สำหรับสามสิบปีของเท็งงุผู้เป็นตัวตนเหนือธรรมชาติก็คล้ายกับหลับหนึ่งตื่น ทว่าสำหรับมนุษย์นั้นยาวนานจนเกือบหมดครึ่งชีวิต ยิ่งสำหรับเท็งงุเด็กที่เพิ่งก้าวเข้าสู่เด็กหนุ่ม เรือนร่างเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงตามการเติบโต เขาไม่เคยออกจากป่า คอยแต่ฝึกฝนจนฝีมือก้าวหน้าเทียบเคียงกับไดเท็งงุ ถึงแม้ช่องว่างระหว่างพลังจะมากแต่ฝีมือก็ไม่ได้ด้อยจนน่าเกลียด แถมอิบุกิยังชอบใจจนประทานพัดขนนกให้กับเขา

               กว่าจะรู้ตัวว่าเวลาผ่านไป ฤดูกาลผันเปลี่ยนไปหลายรอบ , คนที่เขากำลังรอคอยกลับเหลือเพียงป้ายหลุมศพที่อ้างว้าง ไม่มีเสียงต้อนรับหรือประโยคหยอกล้อที่ทำให้เขาหน้าแดง ไม่มีกระทั่งรอยยิ้มที่เธอจะยกยิ้มให้เขาในวัยเด็ก เด็กหนุ่มเท็งงุพบเจอเพียงความว่างเปล่า กลิ่นอายชีวิตนั้นเลือนหายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ

               เธอตายแล้ว ตายทั้งที่ยังคอยเขาอยู่แม้จะเหลือเพียงป้ายหลุมศพที่สลักชื่ออย่างเรียบง่ายรวมถึงวันที่เสียชีวิต ความรู้สึกบางอย่างไหลทะลักออกมาจนเขารู้สึกจุก ลำคอตีบตันแม้แต่บริเวณตาก็รู้สึกร้อนผ่าว อยากจะซัดทุกอย่างให้หายไปแต่ก็ไม่อาจทำได้ ร่างของเธอยังคงอยู่ใต้ผืนดินอันแสนเย็นชืดนี้ หลับใหลนานเท่านานใต้ความบ้าคลั่งที่เขาเผยออก

               เหลือเพียงคาเสะที่ต้องรอคอยเพียงลำพัง


               "เจ้าบอกว่าเจ้าจะออกจากกลุ่ม ?"อิบุกิถามเสียงสูง ท่ามกลางห้องที่นั่งคุยกันเพียงสองคน กิริยามารยาทผู้ยิ่งใหญ่จึงถูกลดเหลือเป็นพี่ชายคนเดียวของเขา "เพื่ออะไร ? ข้าเลี้ยงดูเจ้าไม่ดีตรงไหน ?"

               "ข้าแค่อยากตามหานาง"

               "มนุษย์คนนั้นรึ ? ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่านางสิ้นไปแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร"อิบุกิขมวดคิ้ว เริ่มไม่เข้าใจกระบวนการความคิดของน้องชายเพียงคนเดียวของตน ดวงตาสีป่าสนสะท้อนร่างเด็กหนุ่มที่ต่อให้เหยียดหลังตรงดั่งภูผาแต่ก็เปราะบางเกินกว่าจะแตะต้อง โดยเฉพาะเมื่อเขากล่าวประโยคสุดท้าย ดวงตาสีอาร์กติกพลันตวัดมอง แข็งกร้าวและพยศอย่างที่ไม่เคยแสดงออกมาก่อน

               "ไม่—นางจะกลับมาแน่ ข้าแค่ต้องหานางให้เจอก่อนที่เจ้าสิ่งน่าขยะแขยงนั่นจะแตะต้อง"เขากล่าว ในความคิดของเด็กหนุ่มล้วนยกสาเหตุการตายให้กับเจ้าน่าขยะแขยงนั่นว่าเป็นเพราะมัน หญิงสาวจึงตาย และเพราะเขาไม่ได้คอยอยู่ปกป้องเหมือนที่ให้สัญญา จึงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณของนางที่หลับใหลใต้ผืนดิน

               อิบุกิเลิกคิ้วให้กับความมั่นอกมั่นใจในตัวน้องชาย "ได้ เห็นแก่ที่เจ้ามั่นใจข้าก็จะปล่อยเจ้าออกจากกลุ่มไป ข้าจะบอกผู้อาวุโสให้เก็บความลับเอาไว้ เผื่อเจ้าจะกลับมาอีกครา"

               "แม้ข้าจะไม่ใช่ไดเท็งงุของเจ้าอีกต่อไป แต่ข้าก็ยังเป็นพี่ชายของเจ้า เข้าใจหรือไม่ ?"

               "เพราะงั้นจงรีบไปเสีย—เพราะตอนนี้เจ้าคือผู้ทรยศแล้ว"


               เด็กหนุ่มแย้มรอยยิ้ม ผงกศีรษะเป็นการอำลาก่อนเลือนหายไปดั่งสายลม เหลือเพียงอิบุกิที่ยกยิ้ม หัวเราะด้วยเสียงแผ่วเบา , ข่าวของน้องชายเพียงตนเดียวของไดเท็งงุที่ออกจากกลุ่มไปก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป แม้จะถูกเก็บงำโดยผู้อาวุโสเท็งงุ แต่พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ไม่อยากจะเชื่อที่อีกฝ่ายเลือกจะหันหลังให้กับพี่น้องตัวเองได้แบบนี้ กระนั้นเมื่อเหลือบมองไดเท็งงุปัจจุบันที่ยังยิ้มอยู่ ปากที่คิดจะอ้าเพื่อก่นด่าก็ต้องหุบลงเพื่อรักษาคอของตัวเอง

               เกือบร้อยกว่าปีที่กาลเวลาหมุนผ่านไปข้างหน้า หลายคราที่เด็กหนุ่มก้าวเข้าสู่ชายหนุ่มเท็งงุตามหาแล้วคว้าน้ำเหลว เกียวคุโระนั้นแตกย่อยหลายสาขา เปลี่ยนนามสกุลหลายครั้งจนเขาต้องคอยสืบเสาะ ตามหาจนเจอสกุลหลัก  มันดูเหมือนจะมีความหวังทว่าทุกคนในตระกูลล้วนเป็นผู้ชาย แถมมองไม่เห็นเขาเลยสักคน ไม่เหมือนเธอจนชายหนุ่มจิปาก

               ทว่าเขาก็ไม่ได้ท้อใจ หากเธอในตอนนั้นสามารถรอคอยเขาได้ ชายหนุ่มก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน อย่างไรเสียกาลเวลาของเขากับพวกมนุษย์ก็ไม่เท่ากันจนเรียกได้ว่าแตกต่างจนผ่านไปเพียงชั่วครู่ในความรู้สึกเขา ผู้นำตระกูลก็เปลี่ยนไปอีกครา วนเวียนเช่นนี้ไม่รู้จบกระทั่งเสียงร้องของทารกที่แผดเสียงดังลั่นทำให้ดวงตาสีอาร์กติกเคลื่อนมอง

               มันเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาดที่ดึงดูดให้ชายหนุ่มก้าวเข้าหา , ตระกูลเกียวคุโระนั้นจัดงานฉลองรื่นเริงเมื่อได้รับรู้ว่ามีลูกสาวหรือหลานสาวได้ถือกำเนิดในตระกูลนี้เสียที มอบนามเดียวกันกับที่เขาเคยได้ยินเธอแนะนำตัว หัวใจของเท็งงุเริ่มเต้นถี่รัว เขาแวะเวียนไปเชยชมเด็กทารกนั่นหลายครา และเมื่อเด็กน้อยเปิดเปลือกตาจนเห็นดวงตาสีไวโอเล็ตแสนสวยก็ทำให้รอยยิ้มของเขาวาดออกมาอย่างเชื่องช้า

               พร้อมกับนิ้วมือเล็กสั้นพยายามเอื้อมมือไขว่คว้าราวกับเห็นเขา

               เท็งงุหนุ่มหัวเราะ , ใครจะคิดกันว่าหญิงสาวผู้แสนงดงาม ตอนนี้เป็นเพียงทารกไม่รู้ความ

               กระนั้นเขาก็ยังคงยื่นมือลงไป ให้เธอกอบกุมเต็มมือ

               ผ่านไปไม่กี่ปี จากเด็กน้อยที่ต้องนอนเปลเริ่มสามารถเดินได้ ใบหน้าของเด็กหญิงแทบไม่ต่างจากหญิงสาวในความทรงจำ ชื่อเดียวกัน ใบหน้าเดียวกันราวกับเป็นคนเดียวกัน และสิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คงเป็นเธอมองเห็นเขาจริง ๆ รับรู้ถึงตัวตนเหมือนที่เธอเคยทำ แม้กระทั่งสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าเหมือนกัน

               คูฮาคุก็ยังทำเหมือนเดิม


               "ฉันจะเรียกนายว่า คาเสะ แล้วกัน"





               Talk with คนแต่ง

               จุดเริ่มต้นของพ่อเลี้ยงเดี่ยวของนายเท็งงุ เฉลยคสพ.แล้ว—นายไดเท็งงุก็คือพี่ชายคาเสะนั่นเองงง เป็นอีกเหตุผลว่าทำไมคาเสะดูไม่ค่อยเคารพต่อหัวหน้าผู้นำเลย จริง ๆ อิบุกิก็ถือว่าสปอยล์น้องอยู่นะ จะออกจากกลุ่มเหรอ เชิญเลย เอ็นดูสุด ๆ ก็ต้องคาเสะยังเป็นก้อนเล็ก ๆ แหละค่ะ แทบจะอุ้มน้องกลับเรือนหลักแต่น้องบ่ยอม ไม่อยากตกเป็นเป้าในสงครามตำแหน่ง

               ตอนยังเป็นเด็กก็คือฮาคุ(ตอนนั้น)แอบเอ็นดูอยู่เหมือนกัน ดูจากการกลั้นขำแล้วก็อืม คาเสะค่อนข้างยึดติดกับคำสัญญาพอควรเลยค่ะ เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่สามารถปกป้องใครบางคนได้ บวกกับความเป็นเด็กอะเนอะก็ถือว่าจริงจังอยู่เหมือนกัน แถมฮาคุก็ยังคอยรักษาปีกให้อีก แถมอ่อนแอขนาดที่ว่าคาเสะใช้ลมพัดนิดเดียวก็คงปลิวกระเด็นได้ (ในความเห็นของคาเสะ)

               คสพ.ระหว่างคาเสะกับฮาคุประมาณว่า ตอนนั้นเธอดูแลฉันแล้ว ตอนนี้ฉันจะดูแลเธอเองนะ 

               จากเด็กตัวกระเปี๊ยกวิวัฒนาการสู่พ่อเลี้ยงเดี่ยว

               แอคงาน (@hourizuha)

                ถ้าชอบก็อย่าลืมให้กำลังใจ กดเฟบนิยายเรื่องนี้พร้อมคอมเม้นด้วยนะคะ จะได้ไว้อ่านตอนนั่งแต่งนิยาย ♡´・ᴗ・`♡
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×