ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Jujutsu Kaisen fiction - คนสวยขา ( megumi x oc )

    ลำดับตอนที่ #13 : 12 - คำพูด

    • อัปเดตล่าสุด 16 ต.ค. 64





    Jujutsu Kaisen fiction - คนสวยขา
    - megumi x oc 
    คำเตือน ; มีคำพูดเชิงไล่ไปตายในเนื้อหาตอนนี้



               ช่วงนี้ฟุชิงุโระแปลกไป , เขาคิดและสังเกตเห็นตั้งแต่วันนั้น บิชามอนไม่อยากสงสัยแต่ก็อดไม่ได้ที่จะลอบสังเกต ถามว่าแปลกมากแค่ไหน ก็คงมากขนาดที่ว่าโนบาระยังตงิดใจ —บางครั้งเด็กหนุ่มก็มักจะเหม่อมองมือตัวเองเสมอ ก่อนจะเงียบขรึมตามเดิมราวกับปกปิดบางอย่าง แววตาเองก็ใช่ว่าจะสงบดั่งเก่าก่อน แฝงความเหนื่อยล้าเอาไว้ หลายความรู้สึกจนบิชามอนยังนึกไม่ออก

               แต่เขาก็ไม่มีว่าคนอื่นได้เต็มปากนักหรอก

               เด็กสาวหนึ่งเดียวหลุบตามอง ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจเมื่อเห็นสภาพเพื่อนข้างห้องที่เหมือนจะย่ำแย่ทุกวัน เจอกันครั้งแรกก็มักจะฝืนยิ้มอยู่เสมอจนเธอไม่เคยเข้าใจว่าทำไม ร่องรอยใต้ตาที่มักจะมีแต่มากขึ้นทุกวันส่งผลให้ใบหน้าเขาไม่สดใสตามเคย เธอไม่อยากจะพูดถึงฟุชิงุโระอีกคน ทว่ารายนั้นยังเป็นผู้เป็นคนมากกว่าคนตรงหน้าเธอเสียอีก 

               โนบาระถอนหายใจ


               "คิดจะทรมานตัวเองไปถึงไหนน่ะ ?"น้ำเสียงเจ้าอารมณ์ราวกับดูหาเรื่องทำให้เด็กหนุ่มเงยมอง ดวงเนตรสีอำพันที่โนบาระเคยคิดในใจว่าสวยดั่งอัญมณีกำลังสะท้อนใบหน้าเธอ แต่แววตากลับว่างเปล่าจนไม่ต่างของประดับราคาแพง ไร้ซึ่งชีวิตชีวาเหมือนแต่ก่อน แต่แล้วมุมปากที่เคยอ้างว้างของเด็กหนุ่มก็ยกขึ้นวาดรอยยิ้มอย่างสวยงาม

               "คุงิซากิไปกินข้าวเช้าด้วยกันไหม ?"

               และเปลี่ยนเรื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบ

               "อย่าเมินคำถามฉันนะยะ"ความเกรี้ยวกราดเริ่มแฝงในน้ำเสียงมากขึ้น เห็นแก่ที่เอ็นดูใบหน้าน่ารักทำให้โนบาระไม่กล้าขึ้นเสียงมากนัก แต่เธอดันลืมไปหน่อยว่าคนตรงหน้านั้นเปลี่ยนเรื่องเก่งมากพอ ๆ กับความเฉยเมยของเด็กสาวอีกคนที่ล่วงลับไปแล้ว มองอีกฝ่ายที่กำลังหัวเราะด้วยเสียงแห้งแล้ง 

               "มันไม่เป็นไร"เขากล่าว ด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบและกังวานประหนึ่งปลอบตนเองและคนรอบข้าง "ผมแค่นอนไม่หลับ แล้วก็ลืมซื้อยานอนหลับด้วย เลยต้องนอนตาค้างทั้งคืนไงล่ะ"

               บางครั้งโนบาระก็เกลียดนิสัยของเขา

               "เออ— ซ้อมเสร็จวันนี้ก็ไปซื้อ ไปด้วยกันเลย"

               แต่เธอเกลียดรอยยิ้มของเขาตอนนี้มากกว่า



               ดวงตาสีอาร์กติกกะพริบ แสงไฟจากเพดานสว่างจ้าจนทุกอย่างพร่ามัว ริมฝีปากอ้าออกเพื่อโกยอากาศเข้าปอด สภาพดูน่าอนาถนักหลังฝึกสู้กับอิตาโดริ สำหรับเขาอาจจะเหมือนเป็นการยืดเส้นยืดสายที่ไม่ได้ออกกำลังกายมานาน แต่สำหรับเธอแทบไม่ต่างจากสงครามโดยมีอิตาโดริเป็นสัตว์ประหลาดคอยวิ่งตามหลัง พอซ้อมเสร็จก็สภาพอย่างที่เห็น อิตาโดริสบายดีขณะที่เธอกำลังจะปางตาย

               เด็กหนุ่มชะโงกหน้ามอง บดบังแสงไฟที่สาดส่องจนคูฮาคุสามารถโฟกัสได้ เห็นสีหน้าและได้ยินคำขอโทษจากเด็กหนุ่ม ก่อนจะถูกประคองตัวให้ลุกขึ้นด้วยสภาพทุลักทุเล , ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไปดั่งที่เคยเป็น เธอที่ต้องฝึกเรื่องร่างกายให้มีแรงและกล้ามเนื้อ หรือจะเป็นอิตาโดริที่ต้องควบคุมพลังไสยเวทในร่างกาย ไม่ว่าอย่างไหนพอฝึกเสร็จก็ล้วนสลบเป็นตายทั้งนั้น

               เธอเห็นคาเสะมักจะคอยมองอยู่ข้าง ๆ เสมอ เขาจะขมวดคิ้วทุกครั้งเมื่อเธอโดนสวนกลับหนึ่งครั้ง แววตาหรือบรรยากาศเข้มขึ้นเมื่อมีร่างกายเด็กสาวมีรอยช้ำ โชคดีที่คาเสะพยายามควบคุมอารมณ์เพื่อไม่ให้เป่าห้องฝึกหรือคนสอนให้ปลิวไปตามพายุ ถึงจะเปิดเผยเรื่องตัวตนคาเสะไปก็ใช่ว่าพวกเขาจะสัมผัสถึงตัวตนเท็งงุได้ อย่างมากก็อาจจะรู้สึกถึงสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนไปตามแรงอารมณ์ของเท็งงุ


               "ไม่ออกไปบินเล่นหรอ ?"เธอเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา ดวงตาสีอาร์กติกมองเด็กหนุ่มร่วมชะตากรรมที่กำลังนอนหลับ ไม่ได้พูดเบาเพราะเกรงใจทว่าเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าคาเสะกำลังอยู่ตรงนี้ ก่อนเคลื่อนสายตามองปีกสีดำที่กำลังเคลื่อนไหว ดูก็รู้ว่าอยากจะออกไปรับลมตอนกลางคืนแค่ไหน

               "ไม่ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าอยู่กับเจ้าเด็กนั่นสองคนหรอกนะ"เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเข้ม ดวงตาสีเฉดเดียวกันหรี่มองอย่างรู้ความหมาย "โดยเฉพาะอะไรบางอย่างที่อยู่ในนั้น"

               "นายกังวลไป ต่อให้เขาลุกขึ้นมาบีบคอแต่นายก็มาทันอยู่แล้ว"เสียงเรียบเรื่อยเอ่ยราวกับเป็นเรื่องปกติ ดวงตาต่างสะท้อนกันและกัน พร้อมกับประโยคเอ่ยซ้ำอีกครา "ใช่ไหม ?"

               เขาถอนหายใจ "ก็ได้ หากมีเรื่องอะไรก็เรียกข้า ต่อให้เจ้านั่นขยับตัวนิดเดียวเจ้าก็ต้องเรียกข้าเลย"


               เธอพยักหน้ารับอย่างไม่คิดอะไร คอยมองเท็งงุที่ค่อย ๆ เลือนหายเป็นสายลมพัดไปด้านนอก ขณะที่เธอพยักหน้าตอบรับคำขอทว่าก็แหกคำขอนั้นอย่างไม่คิดจะสนใจคำพูดของชายหนุ่มเท็งงุก่อนหน้า สองเท้าเปลือยเปล่าเดินเข้าไปใกล้ร่างเด็กหนุ่มที่กำลังหลับพริ้ม ดวงตาสะท้อนรอยแผลเป็นใต้ตาของอิตาโดริ คูฮาคุเลือกที่จะทิ้งตัวนั่งด้านข้าง

               อาจเป็นเพราะเหลือเธอคนเดียวที่ยังไม่หลับ บรรยากาศเลยเงียบงันจนได้ยินเสียงหายใจของคนสองคน อิตาโดริยังคงหลับลึกเหมือนเคย เด็กสาวสูดหายใจ สีหน้าแม้จะไร้อารมณ์แต่ก็ยังอดสั่นไหวไม่ได้ —ครั้งแรกที่เธอจะเรียกเขาออกมา หลังจากเห็นอะไรมากมายที่ได้มาจากผู้ที่กำลังมองอย่างตั้งใจในตัวเด็กสาว พาให้คูฮาคุเข้าใจในตัวตนและความหมายของชื่อตัวเองมากกว่าเดิม


               "สุคุนะ"เพียงแค่ชื่อเรียกที่เอ่ยออกมา ทั่วทั้งร่างของเด็กหนุ่มนั้นสั่นไหวจากคนภายในที่กำลังรับฟัง เธอยังคงมองแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง "ออกมาคุยกัน ในฐานะที่ครั้งหนึ่งเราเคยรู้จักกัน"

               ริมฝีปากเผยออกตรงแก้มพร้อมกับดวงตาสีแดงก่ำ เขาหัวเราะเหอะออกมาด้วยความเย้ยหยัน "จำข้าได้แล้วรึไงยัยหนู"

               "เพราะงั้นถึงเรียกมาคุยไงล่ะ"มองดวงตาสีแดงของราชาคำสาป เธอว่าต่อด้วยอารมณ์เรียบง่าย "ตอนนั้นฉันตายไปแล้วทำไมฉันถึงยังเป็นแบบนี้อยู่ล่ะ ?"

               "หึ เจ้าก็ยังคงโง่เหมือนเดิมตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้"เขาว่าด้วยน้ำเสียงเหน็บแหนม รอยยิ้มเยาะเย้ยถูกวาดด้วยริมฝีปาก ความรื่นเริงและความสนุกสนานอันแสนน้อยนิดที่เคยมีเริ่มกลับมาอีกครา ดวงตาสะท้อนใบหน้ายุ่งเหยิงของตัวปัญหาทำให้อารมณ์ที่เคยดิ่งเริ่มสุขสันต์อีกครา ทว่าเมื่อเขามีความสุข เธอกลับแสดงสีหน้ายุ่งยากกว่าเก่า

               เหมือนสมัยก่อน

               "ทวนเงื่อนไขคำสาปที่เจ้าได้รับมา"

               ถึงจะสงสัยมากแค่ไหน เธอก็เอ่ยออกมาอยู่ดี "เพื่อแลกกับทุกสิ่งที่เคยมีอยู่ ฉันก็จะต้องเสียทุกสิ่งไปเช่นเดียวกัน—อารมณ์ ตัวตน การเกิดและการตาย ไม่อาจเข้าสู่วัฏสงสาร ไม่อาจขึ้นสวรรค์หรือลงนรก"

               ครานี้พวกเขาต่างเอ่ยประโยคเดียวกัน

               "ไม่อาจเป็นมนุษย์ปกติ"

               "แล้วอะไรที่ทำให้เจ้าอยู่เหมือนมนุษย์แบบตอนนี้ล่ะ"น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยย้ำ ดวงเนตรสีแดงก่ำมองละเลียดใบหน้าที่เคยหยิบใช้ มองนางที่กำลังพินิจพิเคราะห์จนลืมสนใจสิ่งรอบตัว สุคุนะหัวเราะภายในใจ—ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย แม้กระทั่งความคิดหรือนิสัยบางส่วนที่เหมือนจะฝังลึกเกินกว่าจะแก้ไข 

               คูฮาคุขมวดคิ้ว , พูดคำตอบออกมาเสียงเบา

               "เงื่อนไขเปลี่ยนไป"

               แต่เพราะอะไรถึงเปลี่ยนล่ะ ? , ราวกับคาดเดาความคิดเด็กน้อยทันได้ สุคุนะเลือกจะยุติสถานการณ์อันแสนเพลิดเพลินนั้นไป "หมดคำถามของเจ้าก็ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวเจ้านี่ตื่นจะวุ่นวายเปล่า ๆ"

               "จะกลับไปแล้ว ?"

               "แล้วจะให้ข้าอยู่ต่อเพื่ออะไร ? คิดว่าข้ายอมตอบคำถามเจ้าเพราะว่าข้าใจดีรึไง"เขาหัวเราะ ดวงเนตรสีแดงหรี่ลง "อย่าหยิ่งผยองไปนักเลยยัยหนู"

               "โอเค ไว้จะมาคุยใหม่แล้วกัน"

               "คุยใหม่ ? ฝันเฟื่องหรือยังไง"

               "เพราะดูเหมือนนายจะเหงา"สีหน้าเรียบนิ่งเริ่มเผยรอยยิ้มกวนประสาทให้ได้ยลเห็น เป็นอารมณ์ที่พบได้น้อยนักในสมัยก่อนหรือจะบอกว่าไม่มีก็ยังได้ สุคุนะหัวเราะเหอะในลำคอ แสดงอาการไม่ยอมรับแต่นั่นก็เหมือนเป็นการยอมรับของราชาคำสาปที่อยู่มาแสนนาน ก่อนจะยอมกลับไปไม่วายทิ้งประโยคส่งท้าย

               "ปากกล้าขึ้นนี่"



    ♡´・ᴗ・`




               บิชามอนไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าสักเท่าไร ประสบการณ์การเข้าร่วมสังคมของเขามีน้อยจนน่าสงสาร มองผู้คนตรงหน้าที่สบสายตากัน บรรยากาศนิ่งเงียบเริ่มมาคุทีละน้อยจนทามาโมะกางพัดแล้วยิ้มอย่างรื่นเริง การอยู่เงียบ ๆ แบบไร้สีสันมาหลายวันทำให้มันเบื่อหน่ายนัก ตั้งแต่คูฮาคุไม่อยู่ ทามาโมะก็แทบจะไม่มีใครให้หยอกล้อด้วย

               จะหยอกล้อเด็กหนุ่มด้านข้างน่ะหรือ ?

               ให้มันไปตบตีกับเท็งงุตัวนั้นยังดีกว่า


               "สามคนนี้เป็นตัวแทนของอคคตสึกับพวกปีสามสินะ"บิชามอนกะพริบตา มองชายร่างโตกว่าเขาหลายเท่ากำลังใช้สายตาประเมิน ต่อให้เขาไม่สามารถสัมผัสพลังไสยเวทในตัวบุคคลอื่นได้ แต่ก็พอรับรู้จากกล้ามเนื้อและความถือดีที่ถือเอาไว้ อย่างไรก็เป็นคนมีความสามารถ เทียบกันกับคนด้านข้างดูจะแตกต่างนัก

               "เราตามครูใหญ่มาเพราะเป็นห่วงพวกเธอ"ถ้อยคำเหมือนจะหวังดีด้วยน้ำเสียงหวานหยด รอยยิ้มฉีกกว้างก่อนกล่าวประโยคต่อมา "เห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นตายไปแล้วนี่"

               "เศร้าหรือเปล่า หรือว่าไม่เลย ?"

               "อยากจะพูดอะไรกันแน่ครับ"สดับฟังประโยคนั้นด้วยหน้าเรียบนิ่ง ทว่าบรรยากาศรอบข้างหนักอึ้งกว่าที่เคยเป็น ดวงตาสีอำพันเรืองรองในทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น ถึงจะเป็นรุ่นพี่แต่เขาก็ไม่อยากจะเคารพนัก —ใครให้เธอดูถูกคนตายเล่า แล้วคนตายที่ว่ายังมีญาติของเขาเป็นผู้เสียชีวิตอีก 

               ต่อให้ปากเสียแค่ไหนก็ต้องรู้จักขอบเขตบ้าง

               "บางอย่างมันก็พูดยาก ฉันจะพูดแทนให้เอง"แววตาเหยียดหยามกับรอยยิ้มสนุกสนานวาดเต็มใบหน้า "คำว่าภาชนะมันก็ฟังดูดี แต่ถ้าจะให้พูดก็คือสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งคำสาปใช่ไหมล่ะ—ช่างโสโครกและไร้ความเป็นมนุษย์สิ้นดี"

               "แต่กลับเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ใช้คุณไสยเหมือนพวกเธอ คงจะรู้สึกขยะแขยงสินะ"

               "ตายไปได้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ"เธอยังคงกล่าวต่อราวกับไม่เห็นสีหน้าของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย "อ้อ—ยังมีอีกคนนี่เนอะ น่าสงสารจริง ๆ ที่ต้องตายไปพร้อมกับสัตว์ประหลาดตัวนั้นน่ะ"


               ทามาโมะหุบพัด ดวงตาเรียวรีแต้มสีชาดนั้นหรี่ลง มองไปยังเด็กสาวแฝงความไม่พอใจหลายส่วน แม้จะประทับใจฝีปากที่สามารถทำให้คนอื่นอารมณ์เสียได้ แต่การกล่าวหาอะไรแบบนี้แทบไม่ต่างจากเหยียดหยามตัวตนของเขาที่คล้ายคลึงคำสาปเลยหรือ ดวงหน้างดงามหันมอง สังเกตเห็นแววตาเย็นชาจากเด็กหนุ่มผู้ที่จะทำตัวยิ้มแย้มและแสดงด้านดีเสมอมา ชวนให้มันยกยิ้มอัดแน่นไปด้วยความตื่นเต้น

               อยู่กันมาตั้งหลายปี , อารมณ์ด้านอื่นใช่ว่ามันเคยเห็นเสียที่ไหน


               เสียงหัวเราะดังแทรกขึ้นมา  เฉกเช่นรอยยิ้มที่ไม่เข้าสถานการณ์วาดบนใบหน้า "คุณเองก็ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์เหมือนกันนะครับ ขนาดมนุษยธรรมที่ควรมีคุณยังมีไม่ได้เท่าครึ่งของอิตาโดริที่คุณเรียกเขาว่าสัตว์ประหลาดเลย หรือเพราะตระกูลเซนอิงนั้นสอนมาไม่ดีกันนะ ?"

               "อย่าได้ดูถูกคนตายเหล่านั้น เพราะไม่งั้นคุณก็แทบไม่ต่างจากคำสาปที่คุณรังเกียจ"

               "สำหรับผมแล้ว , คุณเองน่ะตายไปได้ก็ดีนะครับ"

               "แก—!"

               "ไม เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว"


               อารมณ์ที่เคยปะทุขึ้นอยู่ในอกเริ่มเบาบางลงเมื่อเด็กหนุ่มระบายแทนไปจนหมด ดวงตาสีอำพันยังคงจดจ้องไปยังเด็กสาวคนนั้นที่กำลังกัดฟันแน่น พวกเขาไม่เคยเจอตอนบิชามอนโกรธ และไม่เคยได้ยินวาจากระทบกระทั่งขนาดนี้ , เด็กหนุ่มสูดหายใจ พยายามเหลือเกินที่จะไม่เผาร่างเธอให้มอดไหม้ให้สมกับคำพูดที่อีกฝ่ายพูดไว้

               อดกลั้นต่อโทสะที่กำลังกลืนกิน พยายามที่จะไม่เรียกพลังเพื่อจุดไฟให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย กระนั้นแววตายังคงแข็งกร้าวและเย็นชา เจาะจงเป้าหมายไปยังไม โนบาระถอนหายใจ เอื้อมมือตบไหล่เพื่อเรียกสติ แม้จะไม่คืนเต็มร้อยแต่ก็พอรับประกันได้ว่าวันนี้คงไม่มีร่างมนุษย์ที่โดนเผาอย่างแน่นอน

               อ่า—หลังจากนี้เธอคงต้องแหย่เขาเบา ๆ แล้วสินะ




               ฟากอีกคนที่ไม่รับรู้เรื่องราว , ไม่คิดว่าหลังจากต้องอุดอู้ในห้องใต้ดินมานาน ในที่สุดภารกิจใหม่ก็เข้ามาเสียที อิตาโดริตื่นเต้นเสียจนแทบเผลอปล่อยมือจากตุ๊กตา (ผลคือโดนชกไปหนึ่งหมัด) ขณะที่คูฮาคุถอนหายใจเมื่อจะได้ออกไปเดินข้างนอกสักที สิ่งเดียวที่ดีควบคู่ตามกันมาก็คงเป็นอาจารย์ผมขาวไม่ได้ร่วมภารกิจในครั้งนี้ด้วย ทว่าจะส่งตัวแทนไปให้แทน

               นานามิ เคนโตะ , คูฮาคุค่อนข้างถูกใจเขามากทีเดียว ยิ่งกับคำว่าผู้ใช้คุณไสยที่จับคู่กับคำว่าห่วยแตกแล้ว คงไม่มีคำไหนเหมาะสมได้มากกว่าคำนี้อีก ถ้าหากให้เธอพูด เด็กสาวแน่ใจเลยว่านอกจากคำว่าผู้ใช่คุณไสยจะห่วยแล้ว เรียกได้ว่าโลกใบนี้ทั้งเฮงซวยทั้งห่วยแตกเลยก็ว่าได้ นอกจากความประทับใจนี้ ก็คงเป็นนิสัยเรียบนิ่งที่แตกต่างจากอาจารย์จนสังเกตเห็นได้ชัด

               ภารกิจครั้งนี้เกิดที่โรงภาพยนตร์ มีผู้เสียชีวิตสามราย การตายอันแสนประหลาดที่พอคาดเดาได้ว่าเกิดจากสิ่งใด เธอเดินตามอย่างไม่รีบร้อนแม้ว่าจะเกือบรั้งท้ายของกลุ่มก็ตาม หันมองซ้ายขวาด้วยดวงตาสีอาร์กติก กระทั่งหยุดตรงบริเวณที่เกิดเหตุ ใบหน้าเด็กสาวก็เกือบจะฝังลงตรงกลางหลังเด็กหนุ่มในทันที


               "เห็นหรือเปล่าครับ นั่นคือสิ่งตกค้างของพลังไสยเวท"ชายหนุ่มชี้นิ้วไปยังอีกฝั่ง ท่าทางคล้ายเห็นอะไรบางอย่างมากกว่าพรมเปล่า ๆ ที่เลอะเลือด อิตาโดริทำหน้างุนงง หันมองเธอใช้สายตาขอความช่วยเหลือ ขณะที่เธอลองเหล่มอง เพียงแค่ชั่วครู่ก็เห็นรอยเท้าปรากฏขึ้นมาราวกับซ่อนกล

               "รอยเท้าเหรอคะ ?"

               "ไหน ทำไมฉันไม่เห็นอะไรเลย"

               "เพราะไม่พยายามมองน่ะสิครับ , ปกติแล้วเราจะยืนยันคำสาปด้วยตาเปล่า การใช้คุณไสยจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ เราเรียกมันว่าสิ่งตกค้าง"เขาเงียบไป หันมองมาทางเด็กสาวที่สูงไม่ถึงไหล่ "สิ่งที่เกียวคุโระมองเห็นคือสิ่งตกค้างครับ ซึ่งจะมองได้ยากกว่าเมื่อเทียบกับวิญญาณคำสาป ลองมองดี ๆ สิครับ"


               เราเดินตามรอยเท้ากันมาจนถึงด้านนอกอาคาร , เม็ดฝนกำลังโปรยปรายพร้อมกับบรรยากาศมืดครึ้ม คูฮาคุเอื้อมมือรับร่มพลางกางออก ระหว่างทางที่แลกเปลี่ยนความคิดว่าใครเป็นคนร้าย เปอร์เซนต์สูงมากก็คงเป็นคำสาป ไม่คิดว่าออกมาได้ไม่ถึงสิบก้าว กลิ่นเจือจางของคำสาปก็แล่นปะทะเข้าจมูกจนเธอย่นคิ้ว มองแต่ละตัวที่เริ่มโผล่ออกมาให้ได้ยลเห็น

               บางทีปริศนาครั้งนี้อาจจะยากกว่าครั้งที่แล้วก็ได้







               Talk with คนแต่ง

               แง เข็นออกมาได้แล้ว คำพูดของไมกับบิชามอนแนะนำว่ายังไงก็อย่าไปพูดตามเชิงแบบนั้นเลยนะ การไล่คนอื่นไปตายนี่มันไม่ดีด้วย รวมถึงคำพูดของตัวละครที่แสดงออกมาเช่นกัน จริง ๆ เราก็กำหมัดตอนนั่งดูฉากไมพูดแบบนี้แหละ งงเหมือนกันว่าทำไมถึงพูดแบบนี้ออกมาได้ (แต่ก็คิดว่าเพราะสภาพแวดล้อมที่โตมาด้วยแหละ) อารมณ์เหมือนสมควรแล้วล่ะที่คนนี้ตายไป คือมันไม่ได้อ่า ต่อให้ยูจิเป็นภาชนะแต่เขาก็คือมนุษย์คนนึงที่เคยเป็นมนุษย์มาก่อนอะ

               ก็เลยคันมือเขียนบิชามอนฉะไปหนึ่งฉาก เนื่องด้วยไมไม่ได้เคารพคนที่ตายไป แถมยังบอกว่าที่ฮาคุตายก็เพราะโชคร้ายเองนั่นแหละที่อยู่กับยูจิ ก็เลยตุบตับกันอย่างที่เห็นนั่นแหละ ส่วนคสพ.ของฮาคุกับสุคุนะก็เหมือนคนที่เคยรู้จักกัน ถ้าให้นิยามแบบเบื้องต้นก่อนล่ะนะ พอได้ความทรงจำที่เคยเกิดขึ้นก็เลยทำให้ฮาคุสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงตายแล้วมาเกิดใหม่งี้ ทั้งที่ไม่ตรงกับเงื่อนไขสักอย่าง เอาจริงก็สงสัยตั้งแต่ตอนตายแล้วแหละว่าตายได้ไง

               บทต่อไปเรานั่งซับน้ำตาล่ะ

               แอคงาน (@hourizuha)

                ถ้าชอบก็อย่าลืมให้กำลังใจ กดเฟบนิยายเรื่องนี้พร้อมคอมเม้นด้วยนะคะ จะได้ไว้อ่านตอนนั่งแต่งนิยาย ♡´・ᴗ・`♡
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×