ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Chronicle of Siren

    ลำดับตอนที่ #6 : 5th Record: Missing Piece of History

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 51


       20 พฤษภาคม UA 57 10.00 นาฬิกาตามเวลามาตรฐานโลก ห้องซิมูเลเตอร์ ยานเซฟาลอส

       "แหลกซะ! อ้าว? เอ๋?" หน้าจอขึ้นตัวอักษรFAILสีแดงทันทีที่เรนิสยิงทำลายศัตรู

       "บอกแล้วไงครับ ฟอร์เมชันนี้เรนิสเป็นตัวไล่ ไม่ใช่ทำลายเป้าหมายน่ะ" เทียนหลงอธิบาย

       "ก็แค่ทำลายศัตรูได้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอคะ" เรนิสออกจากซิมูเลเตอร์

       "การแหกแผนโดยไม่มีเหตุจำเป็นทำให้คนอื่นอยู่ในอันตรายได้นะ" มาร์คขัด

       "แต่ถ้าทุกคนปลอดภัยก็ไม่เป็นไรนี่คะ"

       "พูดง่ายแต่ทำยากนะครับ ว่าแต่จะเลิกแล้วเหรอ?" เทียนหลงแปลกใจ ปกติแล้วเรนิสจะฝึกจนกว่าจะถูกอุมิโกะเรียกหรือมีคนบอกให้พัก

       "ไม่ได้เหรอคะ?"

       "ได้สิครับ พักสักวันก็ไม่เป็นไรหรอก" เทียนหลงกดปิดซิมูเลเตอร์ เรนิสออกจากห้องไปแล้ว

       "ท่าทางจะอารมณ์ไม่ดีนะ ปล่อยให้ไปตามใจแบบนี้คิดดีแล้วเหรอ?" มาร์คพูด

       "ถ้าฝึกโดยที่ไม่ตั้งใจก็ไม่มีประโยชน์นะครับ ได้พักซักวันอาจจะสบายใจขึ้นก็ได้"

       "ถ้าเป็นงั้นก็ดีสิ...ว่าแต่เจ้าอิทซึกิมันหายไปไหนเนี่ย?"

       "วันนี้ยังไม่ออกจากห้องเลยนี่ครับ ปกติแล้วแบบนี้ก็คงกำลังต่อโมเดลในระดับที่พลาดไม่ได้เลยอยู่มั้ง ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าถ้าศัตรูบุกมาตอนนี้เค้าจะยอมออกจากห้องมั้ย?"

       "...ไม่แน่ใจแฮะ..."


    บทสนทนาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ไอคอม

    I-COM > ว่าแต่เรื่องมนุษย์ต่างดาวนี่...จะให้ทำยังไงรึ?
    MIKA > ตอนนี้เก็บไว้เป็นข้อมูลลับก่อนก็แล้วกัน เข้ารหัส"ลับสุดยอด"เอาไว้เลย
    I-COM > ระบบราชการนี่ยุ่งยากแท้เน้อ...
    MIKA > คู่หูของนายยังไม่รู้เรื่องนี้สินะ
    I-COM > ยายนั่นท่าทางอารมณ์ไม่ดีน่ะ ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยมั้ง
    MIKA > ยังไงก็เถอะ ห้ามบอกจนกว่าจะได้รับอนุญาตจากกัปตัน เข้าใจนะ?
    I-COM > ลูกเรือคนอื่นๆล่ะ?
    MIKA > นอกจากคนที่กัปตันเห็นว่าไว้ใจได้แน่ๆแล้ว ส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้เรื่องน่ะ ถึงจะมีอะไรพิลึกๆตั้งแต่ออกมาจากวีนัสริงก็เถอะ
    I-COM > เอ...นี่หมายความว่าเธอคิดว่าชั้นไว้ใจได้รึ?
    MIKA > ...พอได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกว่าคิดผิดแล้วสิ...
    I-COM > อ้าว

       "เธอ...มาที่นี่อีกแล้วเรอะ?" ชาล็อตทักเมื่อเห็นเรนิสเดินเข้ามาบริเวณห้องควบคุมนักโทษอีก

       "...อืม..." เด็กหญิงตอบเบาๆ

       "เดี๋ยวเจ๊กัปตันนั่นก็เข้ามาว่าหรอก"

       "...อืม..." เรนิสนิ่งเงียบ ใช้เพียงสายตามองอีกฝ่าย

       "มองแบบนั้น ที่นี่เป็นสวนสัตว์รึไงน่ะ?"

       "สวนสัตว์น่ะมันอะไรเหรอ?"

       "ก็...เป็นที่ที่เค้าเอาสัตว์ไปไว้ในกรงให้คนดูน่ะ" ชาล็อตตอบตามที่เคยรู้มา เธอเองก็เคยเห็นสวนสัตว์บนโลกจริงๆซะที่ไหน

       "...ที่แบบนั้นมันน่าไปตรงไหนน่ะ?"

       "ไม่รู้สิ ชาวโลกก็ทำอะไรแปลกๆแบบนั้นล่ะ"

       "ใช่มั้ยล่ะ...ชาวโลกน่ะ..."

       รู้สึกตัวแล้วสินะ ไซเรน42
       ใช่ เธอยังไม่ตายหรอก
       ตอนนี้ในตัวเธอมีนาโนมาชีนไหลเวียนอยู่ เป็นเลือดเนื้อของเธอไงล่ะ
       ท่าทางจะเป็นนาโนมาชีนอิมแพลนท์ที่สมบูรณ์แล้วสินะ ใช้ให้คุ้มค่าหน่อยล่ะ เพราะนั่นน่ะ...

       "เป็นอะไรไป?" เสียงชาล็อตดึงเธอกลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง

       "เปล่า เอ่อ...คุณ..."

       "ชาล็อต"

       "คุณชาล็อต ทำไมถึงมาเป็นทหารของออเดอร์ล่ะ?"

       "มันเรื่องของชั้น" ชาล็อตขึ้นเสียง

       "...ก็จริงนะ ขอโทษที่ถาม..." เรนิสทำท่าจะออกไป

       "เดี๋ยวก่อน ยายเปี๊ยก" ชาล็อตหยุดเรนิสไว้ วูบหนึ่งเมื่อครู่เธอเห็นแววตาของเรนิส แววตาที่ขาดความมั่นใจ สับสน และนั่นก็เกินพอที่เธอจะลดความเป็นศัตรูลง

       "เธอบอกว่าเป็นนักบินสินะ ขอถามตรงๆ...เคยฆ่าใครรึเปล่า?"

       ฆ่ามันซะ! ทำอะไรของเธอ?! ไซเรน42! ยิงมันสิ!
       เธอจะให้ทุกคนที่นี่มาตายเพราะเธองั้นเรอะ?! เหมือนที่เธออยู่ได้เพราะเลือดเนื้อของพี่น้องของเธองั้นเรอะ?!
       คิดซะว่ามันไม่ใช่คนสิ! มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของเครื่องจักรนั่นเท่านั้นล่ะ! ทำลายมันซะ!!

       "...เคย..." เรนิสหลุดปากออกมาหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาของชาล็อตดูออกมาท่าทางนิ่งเฉยของเธอเป็นแค่การปิดบังความรู้สึกที่กำลังปั่นป่วน และเป็นหน้าฉากที่เปราะบางเสียด้วย แค่กระเทาะเบาๆอีกสักหน่อยก็คงแตกกระจายแล้วสินะ...

       "เมื่อกี้ถามชั้นว่าทำไมมาเป็นทหารของออเดอร์ใช่มั้ยล่ะ?" ชาล็อตตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง การรังแกเด็กไม่ใช่นิสัยของเธอหรอก

       "การรู้จักศัตรูมากไปน่ะ ไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ"

       "ก็จริงมั้ง" อิทซึกิเข้ามาในห้อง ในมือมีพลาสติกโมเดลขนาด1/144ของเรย์ไฟเตอร์อยู่

       "ร้อยโทอิทซึกิ? เข้ามาที่นี่ทำไมเหรอคะ?" เรนิสถามพลางมองโมเดล

       "เธอนั่นแหละมาที่นี่ทำไมมิทราบ? แต่ช่างมันเทอะ คือห้องของยานลำนี้มันหรูกว่าปกติก็จริง แต่มันก็ยังแคบสำหรับชั้นอยู่ดี มิกะจ๋าเปิดประตูห้องDให้หน่อย"

       ประตูลูกกรงห้องDเปิดออกช้าๆ เรนิสเพิ่งเห็นว่ามีตู้ขนาดเล็กที่มีโมเดลหลากขนาดวางอยู่เต็ม

       "ชั้นก็เลยย้ายตู้เก็บโมเดลมาไว้ที่นี่ไงล่ะ จริงๆแล้วชั้นว่าจะมานั่งต่อที่นี่เลยนะ แต่ยายอุมิโกะต้องแกล้งปิดประตูขังชั้นเล่นแหงๆ แหม...แกดูเท่ไม่หยอกเลยนะ ไอ้เพื่อนยาก..." อิทซึกิวางโมเดลของเรย์ไฟเตอร์ลงไปก่อนล็อกตู้

       "มันก็น่ากลุ้มอยู่ตอนยานโดนยิงนั่นล่ะ ชั้นก็กลุ้มว่าถ้าสั่นมากๆไอ้พวกนี้จะแตกหักบ้างรึเปล่า"

       'เวลาแบบนั้นใครเค้าห่วงของแบบนี้ล่ะ' เรนิสกับชาล็อตคิดตรงกัน

       "แต่ได้ยินเรื่องน่าสนใจพอดี ถ้าไม่รังเกียจให้ชั้นนั่งฟังด้วยคนได้มั้ยล่ะ ชาล็อตจัง" อิทซึกินั่งที่เก้าอี้ซึ่งตัวเองยกมาเมื่อวาน

       "ก่อนจะถามใคร เล่าเรื่องตัวเองก่อนดีกว่ามั้ง?"

       "ไม่มีปัญหา แต่ยายนั่นให้ตีตั๋วเด็ก ไม่ต้องเล่าซะคนนึง"

       "ฮึ เอางั้นก็ได้"

       "เมื่อกี้เธอว่าการรู้จักศัตรูมากไปน่ะ ไม่ใช่เรื่องดีใช่มั้ย" ชาล็อตพยักหน้ารับ

       "ชั้นคิดอีกแบบแฮะ ทั้งที่พวกเราต่อสู้กัน บางครั้งก็ดับดิ้นไปข้าง แต่กลับไม่รู้จักอีกฝ่ายเลย...มันน่าเศร้าออกนะ"

       "หือ?"

       "อย่างเมื่อวาน...จะเป็นพวกสหพันธซีเวลรึพวกเธอ...ที่ชั้นทำมันก็แค่ดึงคันโยก กดปุ่ม เปรี้ยง" อิทซึกิยกมือขึ้นประกอบคำพูด

       "...เรียบร้อย ชีวิตที่อุตส่าอยู่รอดมาได้ถึงป่านนี้ก็จบไปอีกหนึ่ง มันง่ายเกินไป ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าแท้ๆ แต่เวลาถูกทำลายมันไม่ต่างจากพิกเซลบนจอคอมพิวเตอร์เลย ในสนามรบ...มันเหมือนกับว่าพวกเราไม่ต่างจากชิปอีกตัวที่ใช้ควบคุมAMเท่านั้นเอง ทั้งที่เธอ ชั้น แล้วก็ยายเปี๊ยกนี่ ต่างก็เป็นมนุษย์แท้ๆ" อิทซึกิตบบ่าเรนิสเบาๆ

       "ร้อยโทอิทซึกิ..."

       "เพราะงั้นชั้นก็อยากรู้จักเธอในฐานะมนุษย์ด้วยกันน่ะ อ๊ะ! ในฐานะทหารอาชีพ เวลาเจอกันเป็นศัตรูชั้นก็ยิงเธอทิ้งได้อยู่ดีล่ะ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก สบายใจได้เลย"

       "นายนี่ท่าจะเพี้ยน...ไม่เอาแล้ว ขืนฟังเรื่องของนาย ชั้นมีหวังติดเชื้อบ้าไปอีกคนเปล่าๆ"

       "อ้าว?"

       "เอาเป็นว่า นายรู้จักยานลากัสต้าสินะ" ชาล็อตถามหยั่งเชิงอิทซึกิ

       "...มันเกี่ยวกับเธอเหรอ?" อิทซึกิมีท่าทางซีเรียสขึ้นทันที

       "23 ธันวาคม ปี 55...ชั้นนั่งยานลำนั้นไปเตรียมฉลองคริสมาสต์บนดวงจันทร์กับครอบครัวน่ะ..." อิทซึกิถอนใจเฮือกใหญ่ เขาพอจะเดาเรื่องทั้งหมดออกแล้ว...

       "รู้สึกเหมือนเคยอ่านนะคะ เที่ยวบินนั้นโดนก่อวินาศกรรมด้วยแก็สพิษ หน่วยพิเศษของไดเร็กเตอร์ปฏิบัติการผิดพลาดทำให้ผู้โดยสารส่วนใหญ่เสียชีวิต เป็นการก่อวินาศกรรมที่สะเทือนขวัญที่สุดก่อนจะเริ่มสงครามครั้งนี้"

       "เธอก็คงรู้แค่นั้น แต่มันก็มีคำร่ำลือว่าหน่วยพิเศษของไดเร็กเตอร์จงใจทำลายยานลำนั้นน่ะนะ ก็ไอ้การทำลายยานลำนั้นทิ้งแล้วแก้ข่าว โยนความผิดให้ผู้ก่อการร้ายไปเต็มๆด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงมันง่ายกว่าพยายามช่วยคนบนยานด้วยเป็นไหนๆ" อิทซึกิพูดหน้าตาเฉย

       "นายน่ะ พูดตรงไปตรงมาดีนะ" ชาล็อตทึ่งที่เห็นทหารกองทัพโลกพูดตรงไปตรงมาแบบนั้น

       "มันเป็นเรื่องที่ตอนนี้ไม่มีใครสนแล้วล่ะว่ามันจริงรึเปล่านี่นา แล้วก็...ชั้นเป็นทหารกองทัพโลกก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเห็นด้วยกับทุกเรื่องหรอกนะ"

       "แต่...คุณชาล็อตก็รอดมาได้ไม่ใช่เหรอคะ? โอ๊ย!" อิทซึกิเขกหัวเรนิส ในใจคิดว่าคงต้องติวเข้มมารยาทสักทีแล้ว

       "...ชั้นก็จำไม่ได้แน่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นนะ พอรู้ตัว...ชั้นก็อยู่ในแคปซูลหลบภัยอันสุดท้ายกับคนอื่นๆแล้ว...แต่คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย"


       สะพานเดินเรือ เสียงในห้องควบคุมตัวดังได้ยินชัดเจนจากการกระจายเสียงของมิกะ

       "เพิ่งมาถามเอาป่านนี้ผมก็รู้สึกยังไงๆอยู่นะครับ แต่ออเดอร์มีกองทัพขนาดไหนแน่?" โซลที่ยืนอยู่ด้วยถามขึ้นมา

       "ส่วนหนึ่งก็เป็นทหารเดนตายของโอลิมปัสที่ยังต่อสู้กับกองทัพโลกมาตลอดน่ะค่ะ แล้วก็มีกองกำลังย่อยๆที่มาเข้าร่วมด้วยทีหลังอีกไม่รู้เท่าไหร่ ที่สำคัญก็มีกลุ่มปลดปล่อยแอฟริกา Africa Liberation Militia กับเรดคาวาเลียร์ที่เป็นกลุ่มปฏิบัติการบนโลกแถบเอเชียกลาง" วารีอธิบาย

       "แต่กองกำลังหลักของออเดอร์ก็เป็นอาสาสมัครจากอาณานิคมต่างๆน่ะนะ ตั้งแต่เริ่มสงครามมานี่ มีอาณานิคมที่หันไปให้การสนับสนุนออเดอร์แล้วก็มีที่ถูกยึดไปด้วยกำลังอีก รวมๆแล้วก็ซักหนึ่งในสี่ได้มั้ง ถ้าเทียบกำลังกันกองทัพโลกก็ยังเหนือกว่าประมาณเท่าตัว" อุมิโกะเสริมให้

       "ก็ว่าแปลกอยู่ที่องค์กรขนาดนั้นเกิดขึ้นมาได้เพราะรายงานฉบับเดียวนะครับ แต่ท่าทางจะมีอะไรมากกว่าที่คิดเยอะเลย..."

       "จะว่าไปมันก็เยอะนะคะ ทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชน อธิปไตย เศรษฐกิจ...รายงานของอาเธอร์ เคนท์ก็แค่เครื่องมือที่ใช้ประกอบคำปลุกระดมอีกชิ้นเท่านั้นล่ะค่ะ"

       "พวกนั้นเอาทฤษฏีวิวัฒนาการมาประกอบ อ้างว่าจากรายงานฉบับนั้นเป็นหลักฐานว่าชาวอาณานิคมเป็นเชื้อสายที่ธรรมชาติเลือกสรรค์แล้ว การปกครองของไดเร็กเตอร์-สายพันธุ์อันล้าหลังและรอวันสูญพันธุ์-เป็นสิ่งที่ฝืนต่อเจตจำนงค์ของจักวาล และมีแต่จะนำไปสู่การสูญสิ้นของมนุษย์ มีแต่อธิปไตยของกลุ่มอาณานิคมเท่านั้นที่จะนำมนุษยชาติไปสู่ความก้าวหน้าได้... รู้สึกว่ากลุ่มต่อต้านบนโลกจะไม่สนใจเรื่องนี้แต่ร่วมกับออเดอร์เพื่อล้มไดเร็กเตอร์อย่างเดียวน่ะนะ"

       "แล้วก็เรื่องต่างๆอย่างกรณียานลากัสต้าก็เป็นเหมือนเชื้อไฟชั้นดีที่ทำให้กลุ่มอาณานิคมไปเข้ากับออเดอร์สินะครับ...ทั้งๆที่ตอนนี้มีอันตรายที่ใหญ่หลวงกว่ามาเยือนแท้ๆเลยน้า..."

       "ว่าแต่ยานเปี๊ยกนั่นหยุดพัก ใครก็ได้ไปเอาเค้กช็อกโกแล็ตในครัวมาทีซิ"

       "กัปตันคะ" วารีขัดเรียบๆ ก่อนเดินมาจิ้มท้องอุมิโกะเบาๆ

       "ขึ้นมากิโลครึ่งในสองเดือน ชั้นเดาถูกใช่มั้ยล่ะคะ"

       "ยายน้ำ!"

       "เรียกชื่อเล่นชั้นแบบนี้แปลว่าถูกเผง ตอนนี้กัปตันยังสวยอยู่นะคะ แต่ถ้ายังกินจุกจิกแบบนี้คุณอิทซึกิก็น่าสงสารแย่"

       "แล้วเธอล่ะ ไอ้ตรงนี้มันก็ไม่ได้งอกเงยมาตั้งแต่สมัยมอปลายไม่ใช่เรอะ!" อุมิโกะจิ้มหน้าอกวารีคืนบ้าง

       "ว้าย! ทำอะไรน่ะคะ กัปตัน!" วารียกมือกอดอก หน้าแดงด้วยความอาย

       "ก็เธอมาวิจารณ์เอวชั้นก่อนไม่ใช่เรอะ?"

       "นั่นมันเรื่องสุขภาพนะคะ หน้าอกเป็นพันธุกรรมต่างหาก"

       "นั่นก็คือชั้นไดเอ็ทเมื่อไหร่ก็ลดน้ำหนักได้สบายมาก แต่หน้าอกเธอน่ะหมดหวัง"

       "อะแฮ่ม...แถวนี้มีผู้ชายอยู่ด้วยนะครับ" ดิมิคัสเตือน ในใจคิดว่าสองคนนี่บางครั้งก็เหมือนเด็กๆ

       "เออใช่! โซลคุง แถวบ้านนายเค้านิยมผู้หญิงอกใหญ่กันรึเปล่า?" อุมิโกะชี้มาทางโซล

       "เอ๋? เอ่อ...จู่ๆถามแบบนี้มันก็..." โซลเลิ่กลั่ก จู่ๆเจอคำถามแบบนี้เขาก็อายเหมือนกัน

       "ตอบมาตามความจริง ให้มันรู้กันไปเลยว่ามาตรฐานเหมือนๆกันทั้งจักวาลนั่นแหละ"

       "เรื่องหน้าอกเนี่ยนะ?" ดิมิคัสรู้สึกว่าผู้บัญชาการตัวเองช่างเข้าใจยากจริงๆ

       "เอ่อ...คือผมไม่ค่อยสนใจเรื่องนั้นน่ะครับ" โซลเลี่ยงคำถาม

       "อะไรกัน ลูกผู้ชายซะเปล่า! งั้นถามตรงๆเลย นายคิดยังไงกับยายอกกระดานนี่ฮะ?"

       "กัปตันคะ!" วารีพยายามห้าม

       "เอ่อ...คือว่า...คุณวารีก็...น่าระ-แอ๊ก!"

       "อย่าบ้าตามกัปตันสิคะ! ชั้นกลับไปทำงานดีกว่า!" วารีทุบโซลเข้าหนึ่งป้าบก่อนเดินกลับไปนั่งที่ประจำตัว หยิบหูฟังออกมาสวมทำเป็นไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

       "โอ๊ะโอ๋...ท่าทางจะเขินมากๆเลยนะนั่น" อุมิโกะว่า ท่าท่างระริกระรี้

       "แล้วทำไมผมต้องโดนทุบด้วยล่ะคร้าบ..."



       "...ร้อยโทอิทซึกิคะ ทำไมเราถึงต้องต่อสู้กับออเดอร์ล่ะคะ?" เรนิสถามอิทซึกิระหว่างทางไปโรงเก็บหุ่น

       "เชือดไปก็ไม่น้อย เพิ่งมาคิดเรื่องนั้นตอนนี้เองเหรอ"

       "เอ่อ..."

       "ล้อเล่นน่า รู้จักคิดแบบนี้แสดงว่าเธอน่ะโตขึ้นอีกหน่อยแล้วล่ะ" อิทซึกิลูบหัวเรนิสแสดงความเอ็นดู

       "...ก็ก่อนหน้านี้ ชั้นรู้จักพวกออเดอร์จากคนอื่นๆที่เดดาลัสนี่คะ ว่าเป็นพวกชั่วร้าย เสียสติ คิดว่าตัวเองเหนือกว่ามนุษย์ด้วยกันเอง ถ้าเป็นศัตรูแบบนี้นล่ะก็ ถึงจะฆ่าไปซักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร ตอนที่ฟรีวินด์ถูกทำลาย ชั้นก็ไม่ได้คิดอะไรนอกจากว่าพวกนี้เป็นศัตรูที่ต้องกำจัดเท่านั้น"

       "พยายามล้างสมองเต็มที่เลยแฮะ" นึกดูดีๆแล้ว อิทซึกิก็แปลกใจที่เด็กคนนี้ท่าทางปกติเกินกว่าจะเป็นทหารเด็กที่ถูกล้างสมองให้ทำตามคำสั่งอย่างเดียว

       "แต่ตอนนี้ชั้นรู้แล้วว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิคะ คุณชาล็อตก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกับพวกเรา แล้วทำไมล่ะ?... ทำไมเราต้องต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกันด้วยล่ะ? เข่นฆ่ากัน เกลียดชังกัน แล้วก็ฆ่ากันต่อไปไม่มีจบสิ้น... มันไม่มีเหตุผลเลย..."

       "อันนั้นไม่ใช่เรื่องที่สอนกันได้นะ"

       "เอ๋?"

       "เหตุผลที่ต้องสู้น่ะไม่เหมือนกันหรอก ชั้นบอกเหตุผลของชั้นไปก็ไม่ใช่ว่าเธอจะเจอเหตุผลของเธอเองหรอกนะ แต่ชั้นมั่นใจว่าเธอมีเหตุผลของตัวเองอยู่แล้วนี่นา ที่ถามแบบนี้แค่ไม่แน่ใจอะไรนิดหนอย ถูกป่ะ?"

       "ไม่รู้สิคะ...ชั้นคิดอะไรไม่ออกแล้ว"

       "งั้นก็เลิกเป็นนักบินซะดีกว่า การฆ่าใครตามคำสั่งน่ะแย่พออยู่แล้ว แต่ถ้าเธอไม่มีเหตุผลในการปลิดชีวิตคนอื่นล่ะก็ มันแย่ยิ่งกว่าซะอีกนะ"

       "ไม่ได้หรอกค่ะ! ชั้นน่ะ...มีชีวิตถึงตอนนี้ได้...ก็ต้องสละชีวิตอื่นไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ถ้าเลิกซะตอนนี้ ชั้นก็...ชั้นก็..." เรนิสเงียบไป

       "เรนิสจัง?" อิทซึกิก้มลงมอง ถึงได้เห็นน้ำตาของเด็กหญิงหยดลงมาตามแก้ม

       "หวา! หยุดร้องนะ! ชะ..ชั้นพูดอะไรผิดไปรึเนี่ย?!" ชายหนุ่มไม่ค่อยถูกโรคกับน้ำตาของผู้หญิงนัก ยิ่งเป็นเด็กตัวเล็กๆแบบนี้ยิ่งทำอะไรไม่ถูก

       "เปล่าค่ะ...ชั้นมันไร้ประโยชน์เอง...ดีแต่ทำให้คนอื่นลำบากแท้ๆ...แง!" เรนิสเริ่มร้องไห้มากกว่าเดิม

       "เสียงอะไรน่ะ? ชะเอ๊ย..." อิทซึกินึกได้ว่าทั้งคู่เกือบถึงโรงเก็บหุ่นอยู่แล้ว การที่ใครจะได้ยินเสียงร้องของเธอจึงไม่แปลก... และคนที่มาเห็นก็คือ...

       "แย่แล้วเจ้าค่า! อีตาอิทซึกิกระทำมิดีมิร้ายหนูเรนิสแล้วค่า!" เสียงของหลิงดังลั่น

       "เวรแล้วไง!"

       "อ๊ะ! โลลิคอนมาทางนั้นแล้วล่ะ!" เสียงลูกเรือคนนึงดังทันทีที่อิทซึกิกับเรนิสไปถึงโรงเก็บหุ่น

       "เห็นทำตัวเป็นเมคาโอทาคุไม่สนใจสตรีแบบนั้น จริงๆแล้วมันเป็นตัวอันตรายนี่หว่า!"

       "มิน่าล่ะ ชอบแซวว่าคนอื่นเป็นโลลิคอน จริงๆแล้วตัวเองเป็นเองรึนี่"

       "เอ่อ...ทุกคนเข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ"

       "เปล่า...ไอ้พวกนี้ไม่ได้เข้าใจผิดหรอก ก็แค่อยากเล่นมุขกัดชั้นให้สาแก่ใจเท่านั้นล่ะ" อิทซึกิพูดอย่างปลงๆ

       "นี่เรนิส ไม่ต้องกลัวอีตาวิปริตนี่นะ แค่บอกมาว่ามันแกล้งเธอยังไง พวกเราจะให้กัปตันขังลืมมันให้เอง" หลิงเข้ามาพูดด้วย

       "อีตาวิปริตเลยเรอะ?"

       "แค่นั้นยังน้อยไปย่ะ ว่าแต่มานี่มีธุระอะไรเรอะ?"

       "มาดูว่าฮอรุสของยายชาล็อตซ่อมเสร็จรึยังน่ะ วารีจังบอกว่าติดต่อขอแลกตัวเชลยกับการหยุดยิงชั่วคราวระหว่างลงดาวอังคาร ทางโน้นตอบตกลงมาแล้ว"

       "งั้นก็เรียบร้อย นอกจากอาวุธแล้วก็ใช้งานได้เต็มที่เลยล่ะ แต่พอมาคิดว่าซักวันพวกเราอาจต้องยิงมันทิ้งเองก็รู้สึกแปลกๆอยู่นะ"

       "เอ่อ...คุณหลิงคะ แล้วนี่มันอะไรน่ะคะ?" เรนิสชี้ไปที่แปลนที่หลิงวางไว้ ที่เธอสะดุดตาก็คือรูปของแองเจลิก้าที่อยู่บนนั้นด้วย

       "หือ...ก็ออปชั่นของแองเจลิก้าน่ะนะ พอได้ข้อมูลการใช้งานแล้วมันคันไม้คันมืออยากดัดแปลงขึ้นมาน่ะ แต่จะใช้ได้มั้ยต้องรอพี่เลี้ยงเธอลงความเห็นอีกที"

       "จริงสิ ยายนั่นเป็นไงบ้างล่ะ?" อิทซึกิถาม

       "ไปเยี่ยมมาตอนเช้า ผื่นหายหมดแล้วค่ะ แต่คุณหมอให้นอนพักอีกวัน" เรนิสตอบ

       "ดีมาก รู้จักเป็นห่วงคนอื่นด้วย เป็นเด็กดีแบบนี้ต่อไป อย่าให้โลลิค่อนมาหลอกให้เสียคนนะจ้ะ" หลิงชม

       "ก็บอกว่าเข้าใจผิดไงคะ"

       21 พฤษภาคม UA 57 15.23 นาฬิกา

       หน่วยมาร์สเรเดอร์ กองกำลังออเดอร์ออฟแอสเซนชั่นแม้จะไม่สามารถควบคุมดาวอังคารไว้ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะก่อกวนการทำงานของไดเร็กเตอร์บนดาวอังคารมาตลอด

       "ร้อยโทมัลลิแกน แฟนนิ่งรายงานตัวครับ" มัลลิแกนทำความเคารพผู้บังคับบัญชา

       "ตามสบายเถอะ ร้อยโทมัลลิแกน การได้เอซอย่างคุณมาเสริมกำลังรบก็นับเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว"

       "ผมมีธุระกับเซฟาลอสเท่านั้นล่ะครับ แต่ระหว่างนั้นก็เชิญใช้งานผมได้เต็มที่เลย"

       "ยานรุ่นต้นแบบของไดเร็กเตอร์สินะ รายงานวันที่9 มันยังอยู่ที่วีนัสริงก์เลยนี่นา แล้วทำไมแค่สองวันถึงไปเจอคุณที่อีกฟากของระบบสุริยะได้?"

       "เรื่องนั้นผมเองก็สงสัยเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่ว่าเมื่อสองวันก่อนหน่วยตามหา'ออร์แกนิค'จะไปเจอมันกับAMรุ่นใหม่แบบเดียวกันล่ะก็ ผมคงคิดว่าโดนพวกมันเล่นตลกแล้วล่ะ ว่าแต่มันผ่านแนวป้องกันของเราไปได้ยังไงรึครับ?"

       "ทางนั้นทำเรื่องขอแลกตัวเชลยกับการหยุดยิงชั่วคราวจนกว่าจะลงจอดบนดาวอังคารได้เรียบร้อยน่ะ ค่อยรอจังหวะโจมตีเหมาะๆทีหลังแล้วกัน ถือโอกาสทดสอบโอซิริสซะเลยก็ดี"

       "เชลยเหรอครับ?"

       "สิบเอกชาล็อต โรบินของหน่วยตามหาออร์แกนิคนั่นแหละ สอบสวนแล้วไม่พบพิรุธอะไรนะ AMที่ขับกลับมาก็ไม่มีอะไรผิดปกติ"

       "ก็ดีครับ...ยังไงก็เถอะ...ผมจะจัดการมันที่ดาวอังคารนี่แหละ!"



       ณ สถานที่ซึ่งไกลออกไปจากโลก เครื่องจักรขนาดมหึมาที่แลดูเหมือนสงบนิ่ง รูปลักษณ์ของมันประกอบด้วยชิ้นส่วนต่างๆเชื่อมโยงกันด้วยสานและกลไกเป็นลักษณะที่คงไม่มีมนุษย์เข้าใจการทำงานได้ รายรอบห้องโถงก็คือมอนิเตอร์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่ฉายภาพต่างๆนาๆ ตั้งแต่ภาพมหานครที่เต็มไปด้วยผู้คน ดวงดาวที่รกร้าง สงคราม...

       ชายคนหนึ่งเข้ามาในห้อง ผมสีดอกเลาสั้นและริ้วรอยบนใบหน้าแสดงถึงชีวิตที่ผ่านประสพการณ์มานาน แต่กระนั้น ชายผู้นี้ก็ยังมีท่าทียำเกรงเครื่องจักรขนาดยักษ์นั่น

       "รูเคียซัลฟ์ พวกเราทำลายโดรนที่ถูกพวกเอาต์คลัสเตอร์จับไปได้แล้ว"

       เครื่องจักรนั้นยังสงบนิ่ง

       "ตอนนี้แผนการณ์โจมตีเอาต์คลัสเตอร์กำลังเข้าสู่ขั้นที่สอง เราคงจะเริ่มทำการโจมตีเต็มรูปแบบได้เร็วๆนี้"

       "ช้ามากนะ" เครื่องจักรนั้นส่งเสียงออกมา แผ่นโลหะส่วนหนึ่งเปิดออกให้เห็นส่วนลำตัวของหุ่นยนต์

       "นั่นเป็นเพราะการต่อต้านของดาวทรอน ตอนนี้เราควบคุมทุกอย่างไว้ได้แล้ว"

       "แต่ก็ยังมีพวกมันที่หลบไปถึงที่นั่นได้ ถ้าพวกเอาต์คลัสเตอร์ใช้วิทยาการของเราได้...ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้นอีก" แผ่นโลหะอีกด้านเปิดออก ก่อนที่จะมีแขนกลยื่นออกมาเชื่อมชิ้นส่วนใหม่เข้ากับรูเคียซัลฟ์ แท้จริงแล้วภายในสิ่งนี้การสร้างชิ้นส่วนใหม่ๆและนำออกไปประกอบกับตนเอง กลายเป็นการ"เติบโต"อย่างช้าๆ

       "ระ...เรื่องนั้น"

       "เผ่าพันธุ์ที่อยู่นอกการควบคุมและในประวัติมีแต่สงครามแบบนั้น กำจัดทิ้งไปซะย่อมจะดีกว่าอยู่แล้วใช่มั้ย?"

       "...ใช่...เพื่อเผ่าพันธุ์ของเรา...จะมาเสี่ยงกับอันตรายไม่ได้"

       เครื่องจักรนั้นกลับไปสู่สภาพสงบนิ่งอีกครั้ง การชี้นำเพียงเท่านั้นก็พอแล้ว


       ตัวแปรมากเกินไป...
       เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพท์ที่ปราถนา...ต้องกำจัดตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้ทิ้งซะ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×