ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : สิ่งที่พบเจอ
เวลานี้คนที่ยังยืนอยู่ที่หน้าผามีเพียงชายชราและชายผมดำเพียงสองคนเท่านั้น เมื่อทุกหายลับไปจากสายตาชายแก่จึงหันกลับมามองที่ชายหนุ่มผู้เป็นลูกน้อง ที่ตอนนี้ยังไม่ยอมขยับไปไหนเลย
" พาข้าไปซิ " เสียงคำสั่งที่ราบเรียบนั้นเอ่ยออกมาทำลายความเงียบที่ปกคลุมอยู่และทำให้เกิดวี่แววแห่งความสงสัยขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มที่ถูกสั่ง
ผู้ออกคำสั่งส่ายหน้าเบาๆอย่างเหนื่อยใจ
" นี่เจ้าคิดว่าข้าโง่ขนาดไม่รู้เลยรึไงว่าเจ้ากำลังปิดบังอะไรข้าอยู่ "
เมื่อได้ฟังดังนั้นชายผมดำก็ก้มหน้ามองพื้นอย่างสำนึกผิfเค้าไม่คิดหรอกว่าจะปิดบังผู้บังคับบัญชาตรงหน้าได้แต่มันก็คุ้มที่จะเสียงเพราะสิ่งนั้น
" งั้นก็พาข้าไปซะ " แม้ในใจจะไม่อยากเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ไม่ว่าจะอยากเอาความรู้สึกตัวเองมาเป็นที่ตั้งสักแค่ไหนแต่คำสั่งของผู้บัญชาการถือเป็นสิทธิขาด
ชายหนุ่มทำความเคารพก่อนที่จะเดินลงจากเขาไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับเชิงผาผู้ออกคำสั่งเดินตามแม้ต้องใช่ไม้เท้าในการพยุงตัวแต่ว่าก็สามารถเดินได้ในความเร็วที่พอๆกับคนหนุ่มเส้นทางที่ผู้เป็นลูกน้องพาไปนั้นเป็นเส้นทางที่ไม่น่าจะมีใครสัญจรผ่านเท่าใดนัก เพราะมันรกทึบและแคบเสียจนดูท่าแล้วคนร่างใหญ่คงจะผ่านไปไม่ได้แน่นอน
ทั้งลูกน้องทั้งหัวหน้ากว่าจะเดินผ่านได้ก็แทบแย่เหมือนกัน
สุดทางก็คือถ้ำขนาดเล็กซึ่งถ้าไม่สังเกตให้ดีแล้วละก็จะไม่มีทางเห็นได้เลยแต่มันก็เป็นเพีงถ้ำขนาดเล็กที่คนทั้ง 2 เดินลึกเข้าไปไม่นานก็ถึงทางตัน
กำแพงหินนั้นเป็นสีดำสนิทต่างจากหินธรรมาชาติทั่วไปเพราะมันมีประกายแปลกประหลาดราวกับสร้างไว้ด้วยนิลเนื้อดีมาประกอบกันเป็นถ้ำทำให้เป็นประกายแสงที่งดงามเมื่อกระทบกับแสงจันทร์ราวกับวิหาร และดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่ถ้ำที่เกิดจากธรรมชาติเนื่องจากมันมีการเรื่องตัวของเนื้อหินที่เป็นระเบียบเกินไป
ถ้าดูจากลักษณะภายนอกแล้วนำมาคิดรวมกันมันก็คิดได้สิ่งเดียว คือ....
ซ่อนของสำคัญ
แม้ว่าเพียงลักษญะของถ้าจะทำให้ประหลาดใจได้มากแล้วยังมีอีกสิ่งที่ทำให้ตกใจได้อีกสิ่งหนึ่ง โขดหินรูปร่างปกติดูไม่แตกต่างจากโขดหินอื่นๆมากนักแต่มันกลับวางห่อผ้าสีดำได้อย่างพอดิบพอดีราวกับวัดขนาดไว้พร้อมเมื่อทั้ง 2 คนเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นได้ชัดเจนว่าในห่อผ้านั่นคือเด็กน้อยตัวเล็กๆคนหนึ่ง
เด็กนั้นหลับสนิทแม้จะอยู่ในสภาพอากาศอันหนาวเหน็บเช่นนี้ ทุกอย่างแทบจะกลายเป็นน้ำแข็งไร้ชีวิตชีวาแล้วนั้น เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่เด็กตัวเล็กๆนี่สามารถอยู่รอดได้เด็กคนนี้น่าจะอยู่ในอายุราว 2 ปี เป็นอย่างน้อย ถึงภายนอกจะดูเป็นเด็กธรรมดาไม่ต่างจากเด็กปกติทั่วไปเท่าไรนักแต่บรรยากาศโดยรอบนั้นไม่ใช่อย่างแน่นอนมันทำให้รู้สึกอึดอัดได้อย่างน่าประหลาดและนี่เองก็เป็นเหตุผลที่ทำให้คนกลุ่มนี้ออกค้นหาพลังประจำตัวที่สูงไม่ต้องแม้แต่จะใช่เครื่องวัดแต่ทำไมถึงมาอยู่ในร่างของเด็กตัวเท่านี้กันนะ
" ตอนแรกที่ข้าพบก็นึกว่าตายเสียแล้วล่ะขอรับ " ชายผมดำผู้ที่พบเอ่ยบอก ระหว่างที่ฟังอยู่นั้นชายชราก็อุ้มเด็กน้อยคนนั้นขึ้นมาจากโขดหินอย่างเบามือ เพราะกลัวว่านางจะตื่นร่างกายของเด็กน้อยนั้นสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมา แสดงว่าคนที่ทิ้งนางไว้นั้นไม่ต้องการให้นางตายอย่างแน่นอน
ชายแก่ส่งเด็กหญิงให้กับลูกน้อง ชายผมดำรับเด็กนั้นไปไว้ในอ้อมแขนและมองนางอย่างอ่อนโยน
" ทำไมเจ้าต้องปิดบังข้า " ชายชราเริ่มตั้งคำถาม
ผู้ที่ได้ฟังสะดุ้งเฮือกนั้นคือคำถามที่ไม่อยากจะเจอมากที่สุด แต่ก็คงต้องตอบ
" ข้ากลัวครับ " ชายหนุ่มตอบสั้น
ใช่นั่นคือความรู้สึกที่แท้จริงของเค้า ไม่จำเป็นต้องอธิบายใดๆผู้เป็นหัวหน้ารู้ดีว่าชายหนุ่มลูกน้องนั้นกลัวสิ่งใด
เด็กหรือใครที่ถูกค้นพบไม่ว่าจะเป็นใครจะต้องถูกเลี้ยงในสถานะที่ไม่น่าจะเรียกได้ว่าคนไม่ว่าจะหญิงหรือว่าชาย งานหลักของเด็กประเภทนี้ก็คือ เครื่องมือฆ่าคน ยิ่งเป็นพวกที่มีพลังสูงด้วยแล้ว จะถูกสั่งสอนให้ไร้จิตใจ ความรู้สึกนึกคิด
คิดได้เพียงอย่างเดียงคือคำสั่งทุกอย่างคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
ทำงานโดยไร้ซึ่งคำค้าน ไม่ต่างอะไรกับสุนัขรับใช่
แต่นี่คือกรณีเล็กน้อยมันยังไม่หนักหนาเท่ากับ
การถูกนำไปเป็นตัวทดลองที่สถานวิจัยอย่างแน่นอน
นั้นคือเรื่องโชคร้ายที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่อยากที่จะเผชิญแน่นอน ร่างทดลองไม่มีสิทธิที่จะได้รับรู้สิ่งใดในโลกทั้งสิ้นเมื่อถูกกำหนดให้เป็นร่างทดลอง ก็จะถูกว่างยาสลบชนิดร้ายแรงไม่มีสิทธิตื่นขึ้นมาอีก
มีชีวิตก็เหมือนไม่มีชีวิต
ร่างนั้นจะถูกผ่าทดลองตรวจภายในอย่างละเอียดเพื่อหาแหล่งกำเนิดพลังในตัวเพื่อนำไปใช่เป็นพลังสำรองในเครื่องประดิษฐ์ต่างๆ จนถึงลมหายใจสุกท้ายแห่งชีวิตที่ขาดสะบั้นลงและนั้นคือสิ่งที่ชายผมดำคิดว่าเด็กน้อยคนนี้จะต้องเจออย่างแน่นอ ถึงแม้ว่าการปกปิดจะไม่สำเร็จแต่ชายหนุ่มก็คิดไว้ว่าระดับของเค้าคงจะช่วยเด็กน้อยคนนี้ได้
สีหน้าของชายหนุ่มหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
" นี่เจ้าคิดว่าข้าใจร้ายขนาดจะส่งเด็กๆเล็กๆนี่ไปทดลองอย่างนั้นเหรอ " ราวกับอ่านใจได้ชายชราก็เอ่ยขึ้นพลางมองเด็กน้อยในอ้อมแขนของชายหนุ่ม
คนที่คิดเช่นนั้นจริงๆก็เหงื่อตกอย่างรู้สึกไม่สบายใจแต่เค้าก็ยังร็สึกได้ถึงความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนั้นใบหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นตกตะลึงระคนดีใจดวงตาสีดำเป็นประกายด้วยความหวัง
" จริงเหรอครับ หัวหน้าอิชิดะ " ผู้เป็นลูกน้องถามเพื่อความแน่ใจว่าเข้าใจไม่ผิดชายแก่คลี่ยิ้มจางๆให้กับผู้ถามอย่างสื่อความหมายว่าชายหนุ่มเข้าใจไม่ผิดหรอก ดวงหน้าที่เคยสลดหดหู่เมื่อครู่เปลี่ยนไปจนเหลือเค้าเดิมถ้าไม่ติดเรื่องรักษาภาพพจน์ต่อน้าหัวหน้าละก็ชายหนุ่มคงจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจไปแล้ว
" แต่ข้าว่าข้าคงเลี้ยงเองไม่ได้ " ชายชราเปรยขึ้นแล้วจ้องมองไปที่ลูกน้อง
"ก็คงต้องเป็นหน้าที่เจ้าแล้วล่ะจิโตเสะ " หนี้ท่ใหม่ถูกยัดเยียดให้ชายหนุ่มผมดำทันทีแต่ก็ไม่เป็นไรเมื่อตัวจิโตเสะเองก็ต้องการแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้วเช่นกัน
" ครับ " ชายหนุ่มรับคำสั่งและบทสนทนาก็จบลงเพียงแค่นั้นเมื่อเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนเริ่มขยับตัวกำลังจะลืมตาตื่นขึ้นมา
ชายทั้ง 2 เงียบกริบเมื่อเห็นปฏิกริยานั้นดวงตาของเด็กน้อยเริ่มกระพริบปริบๆก่อนจะลืมตาอย่างเต็มที่ตาคู่นั้นของเด็กน้อยเป็นสีฟ้าราวกับผลึกน้ำแข็งที่เป็นประกายไร้เดียงสาตามประสาเด็ก แต่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อจ้องสบไปให้ลึกลงไปแล้วจะร็สึกถึงความเย็นยะเยือกและความกลัวบางอย่างที่บอกไม่ถูกและแทนที่จะร้องไห้โฮตามปรสาเด็กทั่วไปพึงกระทำนางกลับมองผู้ที่เคยเจอหน้ากันครั้งแรกอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะหลับตาลงไปอีกครั้งรากับว่านางได้แสดงความไว้ใจแก่คนทั้ง 2
ถึงจะแปลกประหลาดแต่จะเอาอะไรมากมายกับเด็ก
" ก่อนอื่นต้องตั้งชื่อ " ในที่สุดอิชิดะก็เอ่ยปากถึงสิ่งสำคัญออกมา จิโตเสะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ชื่ออะไรที่จะเข้ากับเด็กที่ใช่เวลานานกว่าจะพบตัว
ชื่ออะไรที่จะหมาะกับเด็กในหิมะที่หนาวเหน็บ
ชื่ออะไรที่จะสมกับความสามารถที่ไม่อาจหยั่งถึงนี้
ชื่ออะไรที่มันจะมีความหมายดีพอให้กับดวงตาคู่สวยคู่นี้
" โยคุ " จิโตเสะเอ่ยเสียงเบาๆ ไม่รู้ทำไมว่าในสมองของเค้าถึงได้เอ่ยชื่อนี้ออกมา ชายชราที่ได้ฟังก็ลูบเครายาวๆของตนเองอย่างครุ่นคิด
" ก็ดีนี่ ต่อไปนี้เจ้าชื่อ อาซาซึกิ โยคุ "
เมื่อตัดสินใจกันได้เรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องกลับกันเสียที
" ถึงเรื่องนี้ยังไม่รู้ถึงหูเบื้องบนแต่สักวันก็ต้องรู้ แม้เวลานี้เจ้าจะเป็นผู้รับเลี้ยงนางเจ้าเองก็รู้สินะว่ากฏก็ต้องเป็นกฏเมื่อมีคำสั่งจะต้องมาพา มารายงานตัวที่สภา เมื่อเวลานั้นมาถึงฐานะที่เป็นหลานของข้าจะช่วยนางไว้ได้มากฉะนั้นจงบอกใครๆว่านางเป็นหลานข้าแต่มาฝากเจ้าเลี้ยงไว้ ที่สำคัญ.....เตรียมใจไว้บ้างก็ดีนะ " สิ้นคำบอกเล่า ความเงียบก็ได้เข้ากลืนกินบรรยากาศโดยรอบ
ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นราวกับว่าเด็กคนนี้กำลังจะหายไปไม่มีสิ่งใดเล็ดรอดออกจากปากของชายหนุ่มนามจิโตเสะ เค้าเพียงแต่พยักหน้ารับเท่านั้นชายชราถอนหายใจยาว ในที่สุดก็จบเรื่องเสียที
" โชคดีนะ อาซาซึกิ จิโตเสะ " คำอวยพร ให้กำลังใจเอ่ยออกมาก่อนที่อิชิดะจะเดินจากไปเค้ารู้ดีว่าลูกน้องต้องการเวลาทำใจไม่มากก็น้อย
จิโตเสะยืนนิ่งยังไม่ขยับไปจากจุดนั้นกับเด็กน้อยที่กำลังหลับสบายในอ้อมแขน
ความรู้สึกเดียวดายเกิดขึ้นจากส่วนลึกของจิตใจ แต่อย่างน้อยก็ยังมีสายลมหนาวคอยเป็นเพื่อน ผมสีดำยาวประบ่านั้นปลิวไสวไปตามแรงลมราวเกลียวคลื่นในมหาสมุทร
ทำไมกันนะทั้งๆที่เจอกันเป็นครั้งแรกแท้ๆชายผมดำถึงได้รู้สึกถึงความผูกพันที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนี้มากมายจนไม่อาจที่จะตัดขาดได้
ถึงจะรู้สึกผูกพันแต่ยังไงก็ต้องแยกจาก
อาจจะอยู่ด้วยกันประมาณ 10 ปี ไม่สิ สูงสุดอาจจะเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้นเองก็ได้ชายหุน่มคลี่ยิ้มบางๆให้กับเด็กน้อยที่ยามนี้คงจะมองไม่เห็น แต่ก็ไม่เป็นไร
รอยยิ้มนี้นั้นแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนและอบอุ่นอย่างเต็มเปี่ยม ไม่ว่าความร็สึกนั้นจะเป็นเช่นไรโชคชะตาจะกำหนดมาให้โหดร้ายแค่ไหน ในเมื่อเค้าตัดสินใจแล้วก็จะไม่มีวันเปลี่ยนได้อีกนับจากวันนี้เป็นต้นไปเค้าคือพี่ชายที่เป็นญาติเพียงคนเดียวของเด็กคนนี้ ฝ่ามือขาวนวลนั้นลูบลงบนแก้มนุ่มของเด็กหญิงในอ้อมกอดเด็กน้อยที่ได้นามว่าโยคุขยบัหนีจากมือของจิโตเสะ จนเค้าตกใจคิดว่าจะตื่นแต่ก็เปล่า
...น่ารักดีแฮะ... ชายผมดำคิดอย่างขบขัน
จิโตเสะหันหลังให้กับถ้ำเดินกลับออกสู่ทะเลหมู่ไม้เบื้องนอกอีกครั้ง
กลับไปยังสถานที่ ที่เรียกว่าบ้าน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น