คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1
บทที่ 1
หมู่บ้านบุชแมน, คาราฮารี, ประเทศซิมบับเวย์, ค.ศ.2006
แสงแดดจ้าทอประกายทาบทับร่างสันทัด สะท้อนบางส่วนของผิวสีดำมะเมื่อมที่โผล่พ้นออกมานอกเสื้อยืดแขนสั้นสีแดงซีดๆสอดชายไว้ใต้กางเกงยีนส์เก่าไร้ยี่ห้อ วีก้าลากเท้าเปล่าจมพื้นทรายนุ่มระอุอุ่นด้วยไอร้อนจากแสงตะวัน มือทั้งสองข้างกุมสายเป้สีกระตุ่นฝุ่นเกรอะ ก้มหน้าก้มตาเดินตรงมายังแผงลอยของพ่อที่สวมเสื้อยืดกางเกงขายาวขะมุกขะมอมไม่แพ้กัน
แผงขายของที่นี่ทำขึ้นแบบง่ายๆด้วยการตอกแท่งไม้สองแท่งไว้กับพื้นทรายแทนเสา และขึงราวระหว่างท่อนไม้ทั้งสอง คล้ายราวตากผ้า ใช้แขวนข้าวของที่จะขายบนนั้น ภาพของพ่อที่ก้มๆเงยๆจัดสร้อยลูกปัดบนแผงช่างเป็นภาพที่คุ้นตา วีก้าเห็นมันมาตั้งแต่เขาเริ่มจำความได้ จนรู้สึกราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเสียแล้ว
ถึงแม้พ่อจะเป็นพ่อค้าที่ขยันขันแข็ง ทั้งล่าสัตว์และเก็บของป่ามาขายไม่เว้นแต่ละวัน ทว่ารายได้ของพ่อก็ไม่เคยคงที่ เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับนักท่องเที่ยวเท่านั้น
“วู๊ วีก้าเว๊ย”
เสียงกู่เรียกของพ่อทำลายความเงียบ มือข้างหนึ่งยกป้องปากตะโกน อีกมือกวักอยู่หยอยๆ
“วู๊ ไอ้วีก้า เร็วหน่อยซิเว๊ย นักท่องเที่ยวกำลังจะมากันแล้วเว๊ย”
ชายหนุ่มก้มลงมองเงาของตัวเองเพื่อดูว่าดวงตะวันคล้อยไปทางไหนแล้วและเขาก็รู้ว่าพ่อพูดถูก ดวงตะวันไม่เคยหลอกเรื่องเวลาและนักท่องเที่ยวก็มาที่นี่ตรงเวลาเสมอ ...แล้วทำไมมันไม่เคยมาสายกันเลย เพราะพวกมักคุเทศน์จัดคิวให้แบบแน่นเอียด รึว่าพวกฝรั่งเป็นคนตรงต่อเวลา รึบางทีอาจจะเป็นเพราะรัฐบาลกำหนดเวลาเปิดปิดหมู่บ้านที่นี่เหมือนสวนสัตว์เปิดซาฟารีก็ได้มั๊ง
“วีก้า! ข้าบอกให้เร็วหน่อยไงละเว๊ย”
เสียงพ่อทลายกำแพงภวังค์ กระชากเขาออกมาจากห้วงสมองที่แล่นไปเรื่อยเปื่อย เป็นผลให้ชายหนุ่มเปลี่ยนฝีเท้า จากทอดน่องมาเป็นจ้ำอ้าว สองสามพรวดก็มาถึงจุดที่พ่อยืนอยู่
ในทันทีที่มาถึงพ่อรีบยื่นหนังสัตว์ที่มีขนฟูฟ่องรูปสามเหลี่ยมให้ และโดยไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง วีก้าปลดเป้ลงจากหลังและรับขนสัตว์ในมือพ่อมาผูกสายไว้รอบเอว กะให้ส่วนกะเปาะรูปสามเหลี่ยมบดบังอวัยวะสำคัญพอดิบพอดี แล้วจึงถอดเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ โยนเข้าไปหลังพุ่มไม้ใกล้ๆ
ความจริงชุดนี้เป็นชุดของชนเผ่าซาร์ด ชายชาวซาร์ดสวมแค่เตี่ยวที่ปิดบังเฉพาะของสงวนที่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังเปิดแก้มก้นสีดำนวลท้าสายตา ไม่มีอะไรปกปิดเอาไว้เลย ในผู้ใหญ่หรือผู้อาวุโสสามารถสวมเครื่องแต่งกายได้มากกว่าเตี่ยว นั่นก็คือหมวกที่ทำจากกะโหลกสัตว์ ตัดเฉพาะส่วนใบหน้าออกมาและผูกเชือกหนังไว้ด้านหลังคล้ายหน้ากากกระดาษที่พวกเด็กๆสวมเล่นกันในเมืองใหญ่ เสียแต่ว่าเขาไม่ได้สวมมันปิดหน้า เพียงแต่คาดมันไว้บนหัว เหมือนกับพวกนักท่องเที่ยวที่ชอบคาดแว่นกันแดดไว้บนศีรษะ
ครั้นเห็นลูกชายเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ผู้เป็นพ่อก็กล่าวออกมาสั้นๆแค่
“ข้าไปแต่งองค์ทรงเครื่องของข้าบ้างละ”
ชายชราว่าพลางหลบเข้าหลังพุ่มไม้ ได้ยินแต่เสียงขยุกขยุยขยุ้มขยับจนใบไม้ไหวกรับอยู่แกรกแกรก ระหว่างนั้นวีก้าหยิบเอาหน้ากากกะโหลกสัตว์และคันธนูออกมาจากกระเป๋าเป้ จัดแขวนมันไว้กับแผง แล้วตวัดแขนเหวี่ยงเป้ไปด้านหลังด้วยความเคยมือ
ตุ้บ!
“โอ๊ย!”
เสียงใครบางคนร้องออกมาจากด้านหลังไม้พุ่มเตี้ย จนชายหนุ่มสะดุ้ง หันกลับไปดูก็เห็นพ่อในชุดคาดเตี่ยวตัวเดียวเดินดุ่ยทำหน้ามุ่ยออกมา พร้อมสองมือที่วางพะไว้บนหัว
“เอ็งนี่ โยนกระเป๋าเข้ามาได้ไม่ดูตาม้าตาเรือเลย” พ่อยกมือเตรียมให้มะแหงก วีก้าเอนตัวหลบ แต่ปากก็ยังเถียงออกไปว่า
“ผมไม่รู้นี่ว่าพ่อจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หลังพุ่มไม้”
“อ้าว เปลี่ยนเสื้อผ้ามันก็ต้องไปเปลี่ยนหลังพุ่มไม้ให้มันลับหูลับตาคนหน่อยซิ ข้าไม่ได้ประเจิดประเจ้อเหมือนอย่างเอ็งนี่”
ผู้เป็นลูกเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วหันมองหลังพุ่มไม้ มันเป็นกระพุ่มของเถาไม้สูงไม่เลยหัวคน ทรงพุ่มกว้างประมาณวาเดียว ตั้งโด่เด่อยู่กลางผืนทรายโล่งกว้าง
...แล้วมันมิดชิดตรงไหนหว่า เปลี่ยนที่หน้าหรือหลังพุ่มไม้แทบไม่ต่างอะไรกัน
“เอ้า มัวแต่ยืนเอ้อละเหยลอยชายอยู่ได้ ตะพายธนูนี่เร็ว” พ่อพูด พร้อมกับหยิบคันธนูขึ้นมาคล้องกับแขนของเขา พยายามดึงให้ขึ้นไปอยู่บนบ่า แต่วีก้าออกท่าขัดขืน
“แล้วมันเรื่องอะไรผมต้องสะพายธนูด้วยละพ่อ ผมไม่ได้จะออกไปล่าสัตว์สักหน่อย” เขาค้าน
“เอ็งนี่ไม่รู้อะไร เอามาตะพายไว้แบบนี้จะได้เตะตานักท่องเที่ยว แล้วก็จะได้ขายออกเยอะๆไงล่ะ ที่เมืองนอกเขายังต้องมีหุ่นใส่เสื้อผ้าตะพายกระเป๋าเอาไว้ล่อลูกค้าเลย”
“พ่อรู้ได้ไง พ่อไม่เคยไปเมืองนอกซะหน่อย” วีก้าย้อน
“ก็ดูจากทีวีซิวะ เอ็งนี่โง่จริง ไม่รู้มาเกิดเป็นลูกคนฉลาดๆอย่างข้าได้ยังไง”
พ่อพูดพลางหยิบหมวกที่ทำจากกะโหลกสัตว์บอกตำแหน่งผู้อาวุโสขึ้นมาสวม ทั้งๆที่ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในหมู่บ้าน ทำเอาลูกชายต้องหันมาหลิ่วตามอง
“มองอะไรหือ” ผู้เป็นพ่อถาม ครั้นเห็นลูกชายก้มหน้านิ่ง จึงว่าต่อ “เดี๋ยวถ้าขายดีเป็นเทน้ำเทท่าขึ้นมาละเอ็งเอ๊ย ข้าจะขนเอาลุงป้าน้าอาเอ็งมายืนครอบหมวกใส่งอบกันให้หมดเลย”
ผู้เป็นลูกฟังแล้วก็ได้แต่เสไปหยิบจัดข้าวของบนแผง ในใจคิดอยู่แต่ว่าพ่อจะขนใครมาใส่อะไรโชว์คนอื่นเขาก็ตามใจเถอะ แต่อย่าสัปดนให้ไอ้วีก้าสวมสร้อยลูกปัดล่อใจนักท่องเที่ยวก็พอแล้ว ไม่งั้นพวกเพื่อนๆคงต้องล้อไอ้วีก้าไปจนวันตายแน่ๆ เพราะของพรรค์อย่างนี้มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นแหละที่สวม
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะบ่นกระปอดกระแปดในใจเสร็จดี ก็ปรากฏเสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มขึ้นที่เนินทรายข้างหน้า พร้อมกับฝุ่นฟุ้งตลบมาตามทาง เป็นสัญญาณให้วีก้าและพ่อขยับมายืนหลังแผง คอยให้ขบวนรถเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา และไม่ช้าก็มีรถกระบะโฟร์วิลไดร์ฟคันหนึ่งปรี่มาจอดตรงหน้าพวกเขา กระจกด้านคนขับถูกไขลงมา เผยให้เห็นฝรั่งวัยกลางคนร่างท้วมบนที่นั่งคนขับ บนเบาะด้านข้างมีเด็กชายอายุประมาณเจ็ดแปดขวบนั่งอยู่ บนตักน้อยๆมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุขนาดกระดาษ A4 กำลังฉายภาพยนตร์ฮอลีวูดส์เกี่ยวกับคนป่าในแอฟริกาอยู่
ฝรั่งวัยกลางคนผู้นั้นยื่นหน้าออกมานอกรถ พร้อมกับตะโกนว่า
“How much is that hat หมวกนั่นราคาเท่าไหร่”
วีก้าเอียงคอ ทำหน้างง ก่อนจะเดินเข้าไปเกาะขอบหน้าต่างรถ
“อุ้มบ้า อุ้มบ้า บ้า เด๊าะ” เขาพูด
“I want to buy that hat. ผมอยากซื้อหมวกนั่น” ฝรั่งร่างอ้วนว่าพลางยกมือจับบนหัวตัวเอง แล้วชี้โบ๊ ชี้เบ๊ไปยังหมวกกะโหลกสัตว์ที่พ่อสวมอยู่ วีก้าเหลือบเห็นพ่อแอบยิ้ม แถมยังกอดอกยืดคออย่างภูมิใจในแผนสวมหมวกโชว์ของตนที่ได้ผลอย่างเหลือเชื่อ แต่วีก้าก็ยังไม่ยอมขายง่าย
“อุ้ม เด๊าะ อุ้มบ้าบ้า” เขาขยับไหล่ขึ้นๆลงๆตามจังหวะที่พูด
คราวนี้ฝรั่งคนนั้นเหลือกตาสีน้ำข้าวขึ้นมองฟ้าอย่างเอือมระอา และเขาคงจะขับรถออกไปแล้วถ้าเด็กน้อยข้างๆไม่พูดออกมาว่า
“I do want that hat, daddy, please, daddy, please ผมอยากได้หมวกนั่นจริงๆนะแดดดี้ น๊า นะครับแดดดี้”
เมื่อถูกลูกชายตัวน้อยอ้อนเช่นนั้น ฝรั่งร่างอ้วนก็ทำใจแข็งไม่ไหว หันมาเจรจากับวีก้าต่ออีก
“I mean a hat, that hat. ผมหมายถึงหมวก หมวกนั่นน่ะ”
เขาพยายามพูดช้าและชัดที่สุด แต่พอเห็นหน้าตาเหรอหราของวีก้า ทำเอาทนไม่ไหวต้องเปิดประตูย้ายพุงพลุ้ยๆลงมาจากรถ ชี้นิ้วแทบจะจิ้มหมวกบนหัวพ่อ
“How much? One dollar, o.k.? เท่าไหร่น่ะ หนึ่งดอลล่าร์ ตกลงไหม”
“อุ้มบ๊ะ อุ้มบ้า อู้” วีก้าพูดภาษาประหลาดออกมาอีก จนฝรั่งพุงโตถอนหายใจพร้อมกับทิ้งมือลงอย่างสุดจะเซ็ง ในเวลานั้นเองเด็กชายน้อยๆก็เปิดประตูรถโผล่ร่างออกมาครึ่งตัว และปล่อยเสียงเล็กๆออกมาว่า
“Speak their language, daddy. How can they understand you. แดดดี้พูดภาษาเขาซี่ ไม่งั้นเขาจะเข้าใจได้ไงล่ะ”
“Ok.” ฝรั่งคนนั้นทำตามลูกชายอย่างเสียมิได้ “Umba a hat ok? Umba? Umba ok? อุ้มบ้า หมวกน่ะ โอเค๊ อุ้มบ๊า อุ้มบ้าโอเค๊”
วีก้าแทบหลุดรอยยิ้มออกมา แต่ก็ยังกลั้นเอาไว้ แล้วกำมือขยับแขนขึ้นลงเหมือนไก่กำลังตีปีกขัน สองขาขยับซ้ายขยับขวา ปากก็ร้อง
“อู้ยะ อุ้มบ้า อู้ อู้วะอู้ยะอู้”
“Dance like him, daddy. Dancing is their art, the art of communication. เต้นเหมือนเขาซิแดดดี้ เต้นรำเป็นศิลปะของพวกเขานะ ศิลปะในการสื่อสารไง”
ได้ฟังลูกชายพูดจามั่นเหมาะแบบนี้ ฝรั่งร่างอ้วนก็ขยับแขนตีปีกกระโดดหยองแหยงตามวีก้าบ้าง
“Umba a hat one dollars Umba? อุ้มบ้า หมวกน่ะ หนึ่งดอลล่าร์เถอะนะ อุ้มบ้า”
เขาพูดพร้อมกับหอบหายใจฮืดฮาดเพราะแบกพุงกระเพื่อมไปกระเพื่อมมาก็หลายกิโลอยู่ แต่วีก้าไม่สนใจ ก้มตัวกระโดดลากเท้าบนผืนทราย พาฝรั่งคนนั้นให้เต้นแร้งเต้นกาตามกันไปยกใหญ่ จนชายวัยทองหน้าแดงก่ำเหงื่อแตกซิกด้วยอากาศที่ร้อนระอุผสมกับการขยับเขยื้อนร่างกายที่เขาไม่เคยทำมากไปกว่าการอบป๊อบคอร์นมานั่งกินหน้าทีวี
“How about three. Umba, three dollars ok? สามเป็นไงอุ้มบ้า สามดอลลาร์ตกลงไหม” เขาพูดระคนหอบเหนื่อย
“อุ้มยะ อุ้มบ้า อู้วะบ้าบ้า” วีก้าหยุดกระโดด ทำท่าประหลาดด้วยการหดและยืดคอเข้าๆออกๆไปตามจังหวะที่พูด แต่ฝรั่งวัยทองหมดอารมณ์ทำตาม
“Ok that’s enough. Let’s money talks. Five dollars and that’s it! โอเค พอกันที ให้เงินพูดแทนก็แล้วกัน ห้าดอลล่าร์ ขาดตัว!”
เขาพูดพลางหยิบแบงค์ดอลล่าร์สหรัฐออกมาโบกไหวๆ และยื่นออกไปตรงหน้าพ่อที่แทบจะดึงหมวกออกมายัดใส่มือฝรั่งคนนั้นในทันที เสียแต่วีก้ายุดข้อมือพ่อเอาไว้ได้ทัน
“อู้ยะ อู้หวะ อู้”
วีก้าพูดพลางยกนิ้วขึ้นมาสิบนิ้ว เป็นเชิงบอกให้รู้ว่าเขาจะขายในราคาสิบดอลล่าร์ นักท่องเที่ยวคนนั้นชะงักยืนเล็งหมวกอยู่ คงต้องมีใครบอกหมอนี่มาแน่ๆว่าให้ต่อเยอะๆ ไม่รู้จะต่อราคากันไปทำไมหนักหนา ค่าเงินตัวเองก็แข็งจะแย่อยู่แล้ว สิบดอลล่าร์ไม่ทำให้อเมริกันคนไหนขนหน้าแข้งร่วงหลอกน่า
ฝรั่งวัยกลางคนยืนแบกพุงเก้ๆกังๆ ดูทีดูท่าน่าจะยังสองจิตสองใจ คงจะกลัวถูกคนพื้นเมืองหลอกให้เจ็บใจเล่นเสียมากกว่าเสียดายเงิน จึงได้แต่ถือแบงค์ดอลล่าร์ค้างไว้ ไม่ทันที่จะตกลงราคากันเสร็จดี กลับมีเสียงเครื่องยนต์กรีดกระหึ่ม พร้อมกับรถจี๊ปสีเขียวหัวเป็ดไร้ประทุนฝ่าฝูงฝุ่นมาหยุดเทียบข้างรถกระบะโฟวิลที่เด็กชายน้อยๆหดกายหับประตูเปิดหนังเกี่ยวกับชนเผ่าแอฟริกาดูเล่นเป็นการฆ่าเวลา ในระหว่างที่คอยแดดดี้ของตนส่งภาษากับคนป่าอยู่
บนรถจี๊ปสีเขียวปรากฏร่างชายหนุ่มวัยประมาณสามสิบเศษ ผมสีทองยาวทิ่มต้นคอกับหนวดเคราเฟิ้มบอกให้รู้ว่าไม่ได้โกนหนวดตัดผมมาหลายวัน ดวงตาสีฟ้าเข้มภายใต้ผิวเกรียมแดดและเสื้อผ้าอมฝุ่นทราย แสดงให้เห็นชัดว่าเขามาอยู่ในซิมบับเวย์นานเกินกว่าจะเป็นการท่องเที่ยวธรรมดา
ชายหนุ่มผมทองกระโจนแผล็วลงมาจากรถ พูดภาษาอังกฤษ สำเนียงอเมริกันใส่ชายหนุ่มผิวดำแบบเร็วจี๋
“Vega! Dr. Lagnerson wanna meet you right now. วีก้า! ดร.แลคเนอร์สันต้องการพบนายเดี๋ยวนี้เลย”
“Now? Why? เดี๋ยวนี้เหรอ ทำไมล่ะ”
ผู้ถูกเรียกหันไปตอบด้วยภาษาอังกฤษชัดแจ๋วจนฝรั่งพุงโตต้องอุทานเชิงประท้วงออกมาว่า
“You speak English! คุณพูดอังกฤษนี่!”
แต่ไม่มีใครสนใจคำพูดของเขา ในทางตรงกันข้ามชายผมทองตะโกนข้ามหัวฝรั่งพุงโตไปราวกับว่าเป็นหัวหลักหัวตอก็ไม่ปาน
“Come. You gonna find out, Vega. มาเถอะน่า เดี๋ยวนายก็รู้เองแหละ วีก้า”
“But I have to - แต่ผมต้อง...”
วีก้าพูดได้แค่นี้และถูกตาแก่อ้วนขัดจังหวะขึ้นอีก
“Hey, you speak English! เฮ้ แกพูดอังกฤษนี่!”
“Of cause, I speak English. What do you think I’m speaking? ก็ใช่น่ะซิ ผมพูดอังกฤษ แล้วคิดว่าผมกำลังพูดภาษาอะไรอยู่ล่ะ”
วีก้ากล่าวกับตาแก่อ้วนเพียงเท่านั้น และความสนใจของเขาก็ถูกดึงไปอยู่กับเพื่อนชาวอเมริกันผมทองที่พูดแทรกขึ้นมาว่า
“You’d better come with me. Hurry! มากับกันดีกว่าน่า เร็ว!”
“No, Robert, I’m helping my dad for his business here. Unless my dad sells one of this stuff, I’ll go nowhere. ไม่ละ โรเบิร์ต กันกำลังช่วยพ่อทำธุรกิจอยู่ ถ้าพ่อกันยังขายของไม่ออกสักชิ้นหนึ่ง กันก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
คำตอบของวีก้า ทำให้ผู้ที่ถูกเรียกว่าโรเบิร์ตต้องหันไปทางพ่อค้าผิวหมึกและกล่าวด้วยภาษาซาร์ด แบบชัดถ้อยชัดคำไม่มีผิดเพี้ยน
“เอาละ พ่อครับ ช่วยขายไปง่ายๆได้ไหม”
“พ่อกะจะขายอยู่แล้ว คุณเขาให้ตั้งห้าดอลล่าร์ แต่ไอ้วีก้ามันไม่เอา จะเอาสิบ” พ่อพูด
“What! - อะไรนะ!” โรเบิร์ตหันมาอุทานใส่วีก้า “It’s U.S. Dollars, man. Take it! นี่มันดอลล่าร์สหรัฐเชียวนะเพื่อน รับไว้เถอะน่า”
พูดยังไม่ทันจบดี โรเบิร์ตก็ดึงเอาธนบัตรใบเขียวๆออกมาจากมือขาวอ้วนและยัดใส่มือหยาบหนาดำมะเมื่อมของวีก้า แทบจะในเวลาเดียวกับที่พ่อปลดเอาหมวกบนศีรษะส่งให้อย่างกระหยิมยิ้มย่อง ฝรั่งวัยทองรับหมวกมายืนทำหน้างง สายตาของเขาไม่ได้จ้องจับอยู่ที่หมวกกระโหลกสัตว์ แต่เป็นร่างของชายหนุ่มผมทองที่หายลับเข้าไปหลังพุ่มไม้ และกลับออกมาพร้อมกับหอบผ้ากองหนึ่ง โรเบิร์ตกระแทกหอบผ้าเข้ากับแผ่นอกของเพื่อนชาวซาร์ด บังคับให้วีก้าต้องกอบเสื้อผ้าไว้ในวงแขนอย่างช่วยไม่ได้
“Get dress. We gotta go. แต่งตัวซิ เราต้องไปกันแล้วนะ”โรเบิร์ตกระตุ้นเตือน
ชายหนุ่มคลี่เสื้อยืดสีแดงออกมาสวมเข้าทางศีรษะ ตามปกติธรรมดาแบบที่ทำอยู่ทุกวัน โดยลืมคิดไปว่าชายอเมริกันวัยทองยืนจ้องเขม็งอยู่ตรงนั้น
“It’s T-shirt! นั่นมันเสื้อยืดนี่!” ฝรั่งพุงโตอุทาน
วีก้าไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรได้แต่หยิบกางเกงยีนส์ขึ้นมาสวมใต้เตี่ยวหนังสัตว์ ก่อนที่จะแก้สายผูกเตี่ยวออกส่งให้พ่อ และตาแก่อ้วนพุงโตก็ร้องออกมาอีกว่า
“and jeans? แล้วก็ยีนส์เหรอน่ะ”
‘ใช่ เสื้อยืดกับยีนส์ ไม่เคยเห็นรึไง’ วีก้าได้แต่คิดอยู่อก แต่ไม่ได้เอ่ยปาก ตั้งใจแค่ว่าจะเดินตามโรเบิร์ตขึ้นรถจี๊ปไปอย่างเงียบสงบ หากตาแก่นั่นไม่เอ่ยออกมาเสียก่อนว่า
“Everything here is fake. ทุกอย่างที่นี่จอมปลอมไปหมดเลย”
เท้าเปล่าบนผืนทรายหยุดกึก พร้อมกับที่เจ้าของเท้าหันกลับมาชี้มือไปที่เตี่ยวซึ่งพ่อกำลังเก็บลงเป้ และพูดกับฝรั่งนั่นว่า
“It’s national suit, sir. And it’s not fake. นี่มันชุดประจำชาติครับผม และมันไม่ปลอม”
“Like Japanese girls. They do ware their Kimono all time, not. เหมือนสาวญี่ปุ่นไง พวกนั้นสวมกิโมโนตลอดเวลาเสียที่ไหนล่ะ”
โรเบิร์ตตีหน้าทะเล้นสำทับ แล้วรั้งแขนเพื่อนเผ่นขึ้นไปนั่งบนรถ แต่ตาแก่พุงโตยังตามมายืนเทียบข้างยานพาหะนะและถามต่ออย่างไม่ลดละ
“And what about Umba Umbaba. แล้วอุ้มบ้า อุ้มบ้าบ้าล่ะ”
วีก้าอมยิ้มบางๆ ทั้งที่ความจริงอยากจะหัวร่อเสียให้งอหาย ก่อนจะเฉลยออกไปว่า
“Oh, that’s fake. That is completely fake. No one speaks like that, except Tarzan. นั่นล่ะปลอม นั่นล่ะปลอมสุดๆเลย ไม่มีใครพูดแบบนั้นหรอก นอกจากทาร์ซาน”
“Yeah Tarzan. I don’t surprise why teenager today speaks weird language. Too much T.V. for them. อ้อ...ทาร์ซาน ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวัยรุ่นสมัยนี้ถึงได้พูดแต่ภาษาวิบัติ ก็เล่นดูทีวีกันบรมเลย”
โรเบิร์ตหันมาพูดกับชายวัยทองพลางสตาร์ทเครื่องรถและไม่ลืมที่จะเปิดหมวกพร้อมทั้งทิ้งท้ายอย่างสุภาพว่า
“Keep your eyes on your child while he watches T.V. sir. Have a nice day. คอยดูแลลูกคุณตอนดูทีวีให้มากนะครับ ขอให้เจอแต่เรื่องดีๆตลอดทั้งวันครับ”
“How could it be when you two just destroyed it. ก็เจอแต่เรื่องดีๆจนมาเจอพวกแกสองตัวนี่ล่ะวะ”
ตาแก่นั่นสวนกลับทันควัน เสียแต่ว่าโรเบิร์ตเหยียบคันเร่ง พารถจี๊ปทะยานออกไปข้างหน้า ทิ้งไว้แต่ฝุ่นทรายฟุ้งกระจายไปตามทาง
รถจี๊ปสีเขียวหัวเป็ดที่ถูกฝุ่นแดงเกราะกรัง แล่นตัดเวิ้งทรายเข้าสู่เขตทุ่งสวันนา ที่มีหญ้าต้นสั้นๆขึ้นหรอมแหรม นานๆจะมีไม้ยืนต้นตั้งเด่ขึ้นมากลางพื้นดินเสียต้นหนึ่ง ทั้งหมดเป็นผลงานของความแห้งแล้ง ที่ทำให้ทั้งพืชและสัตว์ต้องปรับตัวอย่างยิ่งยวดให้สามารถอดทนกับการขาดน้ำเป็นเวลานาน สายพันธ์ไหนที่ทำไม่ได้ ก็ต้องอพยพหรือไม่ก็สูญไปเสียจากแถวถิ่นนี้
สายลมอุ่นปะทะใบหน้าชายหนุ่มผิวดำที่นั่งอยู่ที่เบาะด้านข้างคนขับ เขาหลับตาปล่อยจิตใจให้เคลิบเคลิ้มไปกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงพร้อมกับตะวันที่ยอแสง ทว่าสัมผัสของเขากลับต้องขาดห้วงลงเมื่อกลิ่นหอมประหลาดของเศษหญ้าที่ผ่านการย่อยลอยมาโอ้โลมฆานประสาท
วีก้ารู้ดีว่ามันเป็นกลิ่นมูลช้างแอฟริกา ระบบย่อยของมันทำให้สิ่งที่ถ่ายออกมายังคมอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารให้เหล่าแมลงได้ขนกันไปกินจนอิ่มแป้ และแม้ว่าสำหรับคนเมืองแล้วมันคงจะไม่ได้สื่ออะไรนอกกลิ่นทารุณจมูก แต่สำหรับวีก้ากลิ่นเย้ายวนของมูลสดนี้บอกอะไรให้เขารู้หลายอย่าง
“มันกินกระถินป่าแน่เลย”
ชายหนุ่มผิวดำกล่าวออกมาด้วยภาษาอังกฤษชัดถ้อยชัดคำ พร้อมกับสอดส่ายสายตาหาโขลงช้าง จวบจนเห็นร่างใหญ่ หนังหนาสีเทา หลบแดดใต้ร่มเงาไม้แฝดที่ตั้งโด่อยู่สองต้น พวกมันอยู่ไกลริบเสียจนเขามองเห็นได้ไม่ถนัดตา
“นั่นโขลง B3 ใช่ไหมน่ะ”
และโดยไม่รอคำตอบ วีก้ารื้อเอากล้องส่องทางไกลออกมาจากลิ้นชักหน้ารถ ยกขึ้นประทับกับดวงตา ส่องดูก็เห็นช้างพังตัวเขื่องกำลังกระทืบเท้าลงบนพื้นทราย
“B3 จริงๆด้วย นั่นป้าโซฟี แกกำลังหาน้ำให้โขลง”
เสียงของวีก้าช่างเลื่อนลอย ในขณะที่อนุสติของเขาจดจ่ออยู่ที่โขลงช้าง ป้าโซฟี กระทืบเท้ากระแทกผืนดินตรงที่เคยเป็นแอ่งน้ำในฤดูน้ำหลาก ในต้นฤดูแล้งบางทีก็จะมีน้ำซึมออกมาพอชุ่มดิน แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ ฤดูแล้งยาวนานเกินกว่าจะเหลือน้ำหยดใดๆในพื้นทรายร้อนระอุ สิ่งที่ป้าโซฟีกระทุ้งขึ้นมาจึงมีแต่ฝุ่นดินแห้งๆ
วีก้าเลื่อนกล้องส่องทางไกลจับอยู่ที่ช้างน้อยที่ยืนด้อมๆมองๆป้าโซฟีอยู่ มันมีแผ่นป้ายสีส้มอันเล็กกระจิดริดติดอยู่ที่ใบหู บอกให้รู้ว่ามันเพิ่งเกิดมาได้ไม่กี่เดือน
“ทนหน่อยนะ เจ้าหนูเช็คสเปียร์ เดี๋ยวก็จะเข้าฤดูน้ำหลากแล้ว” วีก้าบ่นพึมพำ แต่โรเบิร์ตกลับกล่าวค้านออกมาด้วยสีหน้าราบเรียบว่า
“นั่นโมซาร์ด ไม่ใช่เช็คสเปียร์”
“นั่นเช็คสเปียร์ กันจำได้ นายอย่ามาอำกันเลย” วีก้าเถียงโดยไม่ยอมลดกล้องส่องทางไกลลง แต่โรเบิร์ตยังยืนยันคำเดิม
“นั่นโมซาร์ด ดร.แลคเนอร์สันเปลี่ยนชื่อเจ้าหนูนั่นเป็นโมซาร์ดแล้ว”
“ว่าไงนะ” วีก้าอุทาน พร้อมกับลดกล้องส่องทางไกล หันมามองดวงหน้าของเพื่อนสนิท “อาจารย์จะทำยังงั้นกับกันได้ไง กันเป็นคนตั้งชื่อโขลง B3 นะเพื่อนแล้วกันก็ชอบบทละครโรมิโอกับจูเลียตมากกว่าดอนฮวนด้วย”
“เพราะงั้นไง คือ โขลง B1 มีแม่พังชื่อจูเลียตจำได้ไหม มันเพิ่งตกลูกมา ดร.แลคเนอร์สันเลยให้ชื่อว่าเช็คสเปียร์ จะได้แลดูว่ามีเทือกเถาเหล่ากอเดียวกันไง ส่วนตัวนี้ของนาย ไม่ได้มีญาติโกโหติกาที่มีชื่อเป็นตัวละครของวิลเลี่ยม เช็คสเปียร์ ก็เลยต้องชื่อโมซาร์ดไปตามระเบียบ”
“โมซาร์ดเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลย” หนุ่มเผ่าซาร์ดส่ายศีรษะช้าๆเพราะไม่ชอบชื่อนี่เอามากๆ
“ช่วยไม่ได้นี่หว่า นายอยากลาพักร้อนเองทำไมล่ะ”
ชายผมทองกล่าวไปตามประสาคนที่ชอบกวนประสาทชาวบ้าน ซึ่งเพื่อนผิวดำนั้นรู้นิสัยดี จึงกล่าวออกไปอย่างคนคอเดียวกันว่า
“นั่นดิ่ ที่นี่ก็ร้อนตับแลบตลอดทั้งปีอยู่แล้วไม่เห็นต้องลาพักเลย คราวหน้าลาพักฝนดีกว่า จริงม๊ะ”
แล้วทั้งสองก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน เพียงครู่เดียวเท่านั้นวีก้าก็เป็นฝ่ายเงียบเสียงลงก่อน เมื่อเห็นโขลงช้างกำลังจะเลื่อนลับไปด้านหลัง
“เข้าไปใกล้หน่อยซิ กันจะเก็บขี้มัน”
หนุ่มซาร์ดออกคำสั่ง แต่แทนที่คนขับจะชะลอรถกลับกดคันเร่งส่งให้รถแล่นฉะลิ่วเร็วกว่าเดิมอีกหลายเท่า ครั้นวีก้าอ้าปากเตรียมหาเรื่อง เพื่อนรักก็อธิบายขึ้นว่า
“กันเก็บตัวอย่างไว้ให้แล้ว อยู่บนโต๊ะทำงานนาย กันรู้อยู่แล้วว่านายต้องอยากได้แน่”
ได้ฟังเช่นนี้พ่อหนุ่มชาวซาร์ดก็ยิ้มออก พลางตบไหล่เพื่อนรักแรงๆ แทนการบอกให้รู้ว่าเขาประทับใจแค่ไหนที่มีเพื่อนรู้ใจขนาดนี้ ทว่าโรเบิร์ตกลับเอ่ยออกมาว่า
“แต่เชื่อเหอะ พอนายไปถึงก็จะลืมเรื่องขี้ๆนี่ไปเลย”
“จริงเหรอ ทำไม มันมีอะไรกันแน่” วีก้าถามด้วยความอย่างรู้เสียเต็มทน และพ่อเพื่อนรักก็ตอบแค่
“อะไรที่นายเดาไม่ออกไง”
ได้ฟังเท่านี้ สีหน้าของวีก้าปรากฏความตื่นเต้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด จิตใจขอเขาจินตนาการไปต่างๆนาๆ มันเรื่องอะไรกัน อะไรกันที่อาจารย์ต้องเรียกตัวเขากลับมาด่วนนักด่วนหนา
... รึว่า....
“อาจารย์! อาจารย์ครับ!”
วีก้าตะโกนเรียกตั้งแต่ยังไม่ทันที่รถจะจอดสนิทดี
บริเวณที่รถจี๊ปสีเขียวหัวเป็ดค่อยๆแล่นเข้ามาเทียบนั้นเป็นเต็นท์ขนาดใหญ่ประมาณ 4 ตารางวาเห็นจะได้ หน้าเต็นท์มีต้นไม้มหึมาแผ่กิ่งก้านสาขาร่มเย็น ที่ใต้ต้นมีเก้าอี้ผ้าใบที่ใช้กางนอนริมชายหาดสามสี่ตัววางลอมรอบโต๊ะเตี้ยๆ บนโต๊ะมีแก้วค็อกเทลสองใบพร้อมมากาเร็ตต้าติดก้นแก้ว หนึ่งในภาชนะนั้นปรากฏรอยลิปสติกสีน้ำตาลแดงประทับอยู่ริมขอบแก้ว
“อาจารย์! อาจ๊ารย์!”
หนุ่มซาร์ดร้องเรียกโหวกเหวกราวกับลิงบาบูถูกรุกที่ สองเท้าสาวพรวดๆเข้าไปในเต็นท์ จนแทบจะชนเข้ากับชายคนหนึ่งเข้า
เขาเป็นคนรูปร่างสูงแผงอกและหน้าท้องมีคลื่นกล้ามพองาม ผิวขาวที่กลับเกรียมและผมสีดำที่กลับกลายเป็นสีน้ำตาลแดงด้วยฤทธิ์แดดแรงกล้าบอกให้รู้ว่าเขาเป็นคนประเภทที่ชอบลุยงานภาคสนามมากกว่ายืนพูดอยู่บนเวทีวิชาการ และความแข็งแรงกระฉับกระเฉงของเขาก็ทำให้ดูอ่อนกว่าอายุจริงอยู่มาก
“วีก้า มาแล้วเหรอ” เขาร้องทัก ทั้งๆที่ในมือถือขวดน้ำอัดลมและที่เปิดขวดค้างอยู่ “ดื่มน้ำอัดลมก่อนไหม”
ชายคนนั้นยื่นขวดที่มีน้ำอัดลมสีดำสนิทอยู่ข้างในให้เขา แต่วีก้าปัดมันออกเบาๆ
“ไม่ละครับ มันก่อตะกอนในเลือด อาจารย์ก็รู้” เขาพูดพลางรุกรี้รุกรนคว้าเอกสารบนโต๊ะใหญ่ตรงกลางห้องมาพลิกดูอันนั้นทีอันนี้ที ปากก็ถามว่า
“มันอยู่ไหน อยู่ไหนล่ะอาจารย์”
“อะไรอยู่ไหนหรือ” ดร.แลคเนอร์สันถามกลับด้วยความงุนงง
“ก็อาจารย์เรียกผมมาเรื่องอะไรล่ะ ผลดีเอ็นเอใช่ไหมอาจารย์ แล็บที่ไคโรส่งผลมาแล้วใช่ไหม โขลง A ในคองโก้เป็นพวกเดียวกับโขลง B ในซิมบับเวย์ใช่ไหมอาจารย์ ไหนผลมันอยู่ไหน”
วีก้าพูดไปคุ้ยเอกสารไป โดยไม่สนใจดร.แลคเนอร์สันที่ยืนอยู่ด้านหลัง จนเขาเอ่ยปากขึ้นว่า
“ผลตรวจยังไม่มาหรอกวีก้า”
“งั้นเรื่องอะไรละอาจารย์” และโดยไม่คอยให้ดร.แลคเนอร์สันตอบ วีก้ารีบพูดขึ้นมาว่า “ผมรู้แล้วเรื่องกระถินป่าใช่ไหม”
หนุ่มซาร์ดผลุนผลันไปยังโต๊ะเล็กที่วางเครื่องไม้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เรียงติดริมด้านหนึ่งของเต็นท์ บนโต๊ะนั่นมีกล่องฝาเกรียวบรรจุก้อนสีเขียวขี้ม้าระคนใบไม้กับทั้งยอดหญ้าที่ผ่านการย่อยมาแล้ว เขาถลาคว้าเอากระจกสไลด์ปาดมูลช้างอย่างคล่องแคล่ว จัดการปิดกระจกทับอีกชั้นหนึ่ง พร้อมกับวางมันลงบนถาดของจุลทรรศน์ และปล่อยคำออกมาในยามที่สอดส่องสายตาผ่านเลนส์
“ปกติพวกมันไม่กินกระถินป่า แต่บางที...อาจจะเพราะปีนี้แล้งมาก ดูซิครับ แทบไม่มีความชุ่มชื้นในนี้เลย”
ดร.แลคเนอร์สันถอนหายใจเบาๆ กระดกเครื่องดื่มสีดำเย็นเฉียบซ่าบาดใจลงไปในคอ พร้อมกับคลี่ยิ้มให้กับความกระตือรือร้นของลูกศิษย์ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้
“วีก้า” ดร.แลคเนอร์สันเรียก พลางวางมือบนไหล่แสดงอาการแกมบังคับให้เขาต้องถอยออกมาจากกล้องจุลทรรศน์ หันมาโฟกัสที่ใบหน้าเกรียมแดด
“ผมไม่ได้เรียกคุณมาเรื่องช้าง แต่มีคนอยากจะให้คุณรู้จัก”
ดร.แลคเนอร์สันค่อยๆผินหน้ามาทางมุมเต็นท์อีกด้านหนึ่งและวีก้าก็ทำตาม สายตาของเขาประสบกับเงาร่างของใครบางคนที่ซ่อนกายอยู่ในหลืบลับเร้นแสงตะวัน ใครคนนั้นอยู่ที่นี่มาตลอด เพียงแต่เขาไม่ได้รับรู้
วีก้าไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าสายตาที่คุ้นเคยกับแสงแดดจ้าจะพร่ามัวในที่มืดเสียจนแม้กุหลาบสีชมพูชูช่อเด่นโดดท่ามกลางรัตติกาลอันอ้างว้าง...เขา....ก็ยังมองไม่เห็น...
ความคิดเห็น