ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักนาย my boyfriend. (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #29 : Chapter 24 : คาราโอเกะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.77K
      44
      17 เม.ย. 55




                สัมผัสกึ้ด ๆ เสียวแปลบ ๆ ผ่านข้อเท้าขวาผมไป  ประสบการณ์แปลกใหม่จากการตัดไหมมันเร้าใจใช้ได้  ผมลองลงเดินดูแม้ความรู้สึกจะยังไม่ปกตินัก  แต่ก็ดีกว่าเดิมเยอะ 

     

    เมิงเดินไหวรึเปล่า  ให้กรูช่วยพยุงมั้ย  เสียงไอ้กิงถามขณะที่ผมกำลังเดินอย่างสนุกสนานร่าเริงในทางเดินหอ

    ไหว ๆ  แค่นี้สบายมาก ผมหันไปยิ้มเต็มหน้า  อิสระจากไม้ค้ำมันดีแบบนี้นี่เอง  เหลือเพียงร่องรอยแผลอีกไม่มากนัก  ผมก็จะกลับมาคืนพื้นที่อีกครั้ง 

     

                ล่วงเข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายของปี  ทุกอย่างกำลังผ่านไปด้วยดี  โปรเจคของผมเหลือเพียงแค่ขั้นตอนทำโมเดลเท่านั้น  ปีใหม่ที่สดใสไฉไลก็จะมาถึง  ถ้าไม่มีอะไรมาขัดจังหวะอีกนะครับ

     

    ว่าไงกิง  กลับมาแล้วเหรอ  เสียงหวานใสเรียกค้างไว้ซะผมสะดุดกึก  มือที่กำลังจะเอื้อมไปยังลูกบิดประตูถึงกับค้างงัน  หันกลับไปเจอภาพสาวน่ารักข้างห้องผม  ที่ร้อยวันพันปีเธอไม่เคยจะทักหรือทำความรู้จักผมเลย  แม้ผมจะอยากแอบทำความรู้จักเธอบ้าง  แต่นี่ไอ้กิงไปแอบรู้จักสนิทสนมกันตอนไหน  สองมาตรฐานชัด ๆ 

     

    ไอ้กิงอมยิ้มรับมีแววเจ้าชู้  ทั้งสองคนเริ่มสนทนากัน  รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไขมันส่วนเกิน

    “เอ่อ  กรูเข้าห้องก่อนนะ”  ผมยิ้มแห้ง ๆ แล้วหลบฉากไป พยายามไม่หวั่นไหว  ธรรมดาของกิงคนเริงเมือง 

     

    ผมคาดว่าการพูดคุยไม่น่าจะกินเวลามากนัก  แต่ทว่าจากนาทีเป็นชั่วโมง  จากชั่วโมงเป็นสอง สาม สี่ชั่วโมง

    “เฮ้ย! อะไรวะ  ไปเตะบอลกันรึไง”  ผมเสียสมาธิจากการทำโมเดลตรงหน้า  ด้วยความพะว้าพะวง

    แกร๊ก  ในที่สุดมันก็กลับมา  แต่มันไม่มาเปล่า  ไอ้กิงมีกลิ่นจาง ๆ ของแอลกอฮอล์  ใบหน้าขึ้นสีเลือดพอประมาณ  ผมเหลือบเวลาไปดูนาฬิกาเกือบจะห้าทุ่มแล้ว

     

    “ไปไหนมาวะ” 

    มันเสมอง  “ไปร้านเหล้ามา” 

    “กับใครวะ” 

    “กับ...”  ไอ้กิงกำมือชูนิ้วโป้งไปยังตำแหน่งข้างห้องผม  ยักไหล่เล็ก ๆ สีหน้ากวนส้น

    “เฮ้ย! อะไรวะ เมิงนึกจะไปก็ไป  ไม่บอกกรูบ้างวะ”  ผมรู้สึกจุกอย่างไรไม่ทราบได้ 

    “ทำไมวะ เมิงอยากไปด้วยเหรอ”  ไอ้กิงขมวดคิ้วตอบด้วยคำถาม

     

    “....”  ผมมองหน้ามัน  อย่างไม่เข้าใจการกระทำของมัน  พ่อคุณจะมาไม้ไหนอีก  บทจะหักมุมมันก็หักกันง่าย ๆ แบบนี้เลย

     

    ตื้ด ตื้ด ตื้ด  เสียงโทรศัพท์ของไอกิงดังทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นครู่นึง

    อืม ถึงห้องแล้ว   ต้องโทรมาด้วยเหรอ  ห้องก็ติดกัน  หึหึ  ไอ้กิงคุยหยอกล้อท่าทางมีความสุข  เดาได้ไม่ยากว่าคุยกับใคร  คนสองคนพัฒนาความสัมพันธ์กันอย่างรวดเร็ว  มือผมกำคัตเตอร์สำหรับตัดโมเดลไว้เสียแน่น  อยากจะกรีดเหงือกมันเสียจริง    

     

    เร  เป็นไรไปวะ  มันคงสังเกตเห็นความเงียบจากผม

    ไม่เป็นไรมั้ง

    มันขมวดคิ้วเหมือนสงสัย  มันเดินเข้ามาใกล้ผมที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน  ผมถือโอกาสลุกขึ้นไปเผชิญหน้ามัน

    เมิงทำไรอยู่วะกิง  อารมณ์ผมฉุนเฉียว

    ทำอะไร  กรูทำอะไรวะ  มันตอบหน้านิ่ง

    ก็ที่เมิงออกไปกินเหล้ากับคนข้างห้องกรู

    กรูออกไปกินเหล้า  แค่นี้

    ใช่แค่นั้น  เมิงไปกับเขา  แล้วกรูล่ะ  ผมคิดว่าผมมีสิทธิ์ถาม  มีสิทธิ์แสดงความรู้สึก

     

    ไอ้กิงนิ่งเป็นคำตอบ  หน้าตามันดูขัดข้องใจมาก  ปฏิกิริยามันสะกิดติ่งผมสุด ๆ  ผมย่ำเท้าไปหา  เอื้อมมือนึงไปจับแขนมันไว้ 

    กรูก็ไม่อยากถามหรอก  แต่ที่เมิงทำมันไม่เกินไปหรือวะ

    เกินไปยังไงวะเร  เรื่องแค่นี้  เมิงต่างหากเกินไปรึเปล่าวะ  ไอ้กิงเริ่มหงุดหงิด

    เกิน  กรูหรือวะที่เกิน  เมิงหรือกรูกันแน่ที่เกินไป  ทำไมเมิงทำตัวแบบนี้วะ  ใช่กรูจะไม่รู้สันดานเมิงไอกิง  วันนี้เมิงแค่ไปกินเหล้า  แล้ววันหน้าเมิงจะแค่ไหน  ผมสาดใส่มันไม่ยั้ง  เพิ่มน้ำหนักมือที่จับแขนมันมากขึ้น

     

    เฮ้ย!  ไอ้กิงขึ้นเสียงเพียงแผ่วเบา  มือหนายันไหล่ผมออกไป  เมิงเป็นอะไร  ซักไซร้อะไรนักหนาวะ  กรูจะออกไปไหนกับใคร  แล้วทำไมวะ  สีหน้าไอ้กิงดูเหมือนไม่พอใจยิ่งกว่าผมในตอนนี้เสียอีก  แต่...

    อ้าว  ทำไมเมิงพูดแมวแมวแบบนี้วะ  เมิงทำเหมือนไม่เห็นหัวกรู  เมิงข้ามหัวกรู  เหมือนผมลืมตัวอะไรไปสักอย่าง

    กรูไปข้ามหัวอะไรเมิงวะเร  เมิงเป็นอะไรกับกรูรึไง  สายตามันจ้องตอบผมด้วยความจริงจัง  จนผมนึกได้แล้วว่า  ผมลืมตัวอะไรไป  มือผมที่คว้าจับแขนมันไว้อยู่หมดแรงหล่นมาโดยไม่รู้ตัว  สมองเหมือนมีอาการชา  ไอ้กิงก้าวถอยหลังออกไป  ถอนหายใจเบา ๆ

     

    ความเงียบก่อตัวขึ้นภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ สร้างความอึดอัดทรมานจนแทบหายใจไม่ออก

     

    เรเมิงพอเดินเองได้แล้วใช่มั้ย  วันนี้กรูกลับบ้านเลยแล้วกัน  ไอ้กิงพูดห้วน ๆ พร้อมก้าวผ่านตัวผมที่ยืนนิ่งอยู่ 

     

    ผมหันตัวมองไปตามพฤติกรรมของมัน ขณะที่ไอ้กิงเก็บโน้ตบุ๊คและข้าวของส่วนตัวบางอย่าง ผมลองทบทวนอารมณ์ของตัวเองว่ากำลังเข้าใจอะไรผิดรึไง  ผมกำลังเข้าใจว่าทุกอย่างมันกำลังเป็นไปด้วยดี พัฒนาการของพวกผมมันไปในทางบวกไม่ใช่หรือ ความเคยตัวตลอดช่วงที่บาดเจ็บทำให้ผมเผลอตัวไป  ผมควรมีสิทธิ์มีเสียงแสดงอารมณ์ได้บ้างสิ  ผมก้มลงมองตัวเอง  มองรอยแผลที่มีผ้าก๊อซสีขาวปิดไว้อยู่ 

     

    เดี๋ยวไอ้กิง  ผมเรียกหยุดมันไว้  ก่อนมันจะก้าวออกจากห้องไป

    เมิงมีอะไรอีก

    กรูอยากจะคุยกับเมิงให้รู้เรื่อง  ผมไม่อยากให้อะไรค้างคาในความเคลือบแคลงนี่

    เรื่องไหนวะ  ไอ้กิงหยุดสบตาผม

    เรื่องของกรูกับเมิง  หัวใจผมเต้นรัวเร็ว 

    แต่กรูไม่มี  มันปฏิเสธเย็นชา  และนั่นมันทำให้ผมฉุนขาด

     

    พลั่ก ผมผลักอกมันไปเต็มแรง  ขึ้นเสียงดัง  เมิงเป็นบ้าอะไรวะกิง  เมิงแม่งจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากทำไมวะ  มาพูดกันให้รู้เรื่องได้มั้ยเมิง

    ไอ้กิงขมวดคิ้วขึง  เรเมิงเองต่างหากเป็นบ้าอะไร  ช่วงนี้เมิงก็ไม่ปกติเหมือนกัน  ทำตัวน่ารำคาญ  มันคว้าข้อมือผมที่ผลักอกมัน  แล้วยันตัวผมถอยกลับมา 

    น่ารำคาญ  เออนี่กรูน่ารำคาญมาก เมิงเลยเลือกไปให้พ้น ๆ กรูใช่มั้ย 

    เมิงพูดไม่รู้เรื่องว่ะเร  ไอ้กิงเสียงเครียด  สีหน้าไม่พอใจ  มันตัดสินใจหันหลังจะออกจากห้อง 

     

    ผมในตอนนี้มีหลายความรู้สึกตีกันเหลือเกิน  ที่แน่ ๆ ผมเลือกที่จะหยุดอดทนแล้ว

    ไอ้กิง  กรูรู้ว่ากรูไม่ปกติ  กรูน่าเบื่อ  น่ารำคาญ  แต่เมิงช่วยฟังกรูหน่อยได้ไหม 

    ไอ้กิงหยุดตัวเองกลับมาเผชิญหน้ากับผมอีกรอบ  หน้ามันเหมือนไม่อยากรับรู้อะไร

    ผมไม่รู้ว่าตัวเองดูอ้อนวอนแค่ไหนในสายตามัน  แต่ผมคิดว่านี่เป็นโอกาสแสนดีที่แย่ที่สุดแล้วสำหรับเรา  ไม่ต้องคิดหาข้ออ้างอะไรอีก  ผมควรต้องทำตามใจตัวเอง  ผมตั้งสติสบสายตามันไม่ไหวติง 

    ที่กรูงี่เง่าแบบนี้  เป็นเพราะกรูชอบ

     

    เมิงจะพูดอะไรเร  เมิงคิดให้ดีว่าเมิงจะพูดอะไร

    เมิงก็หยุดฟังกรูก่อนได้มั้ย  ผมจะไม่ยอมให้อะไรมาขัดผมอีก  ผมกับมันอาจจะทะเลาะกันเพราะอารมณ์พาไป 

     

    กรูไม่ฟัง  เสียงมันชัดเจนจนผมพูดต่อไม่ได้  เมิงจะคิดอะไรกรูไม่รู้หรอกว่ะ  กรูไม่สนใจ  เมิงอาจสับสนอะไรอยู่ ช่วงนี้เมิงก็คิดให้ดี ๆ ก็แล้วกัน  แล้วเจอกันว่ะเร

     

    ผมได้แต่เพียงมองบานประตูที่ปิดลงไปแล้วเท่านั้น  เหมือนมีก้อนขนาดใหญ่มาจุกที่ลำคอของผม  ไม่มีแม้แต่เสียงเบา ๆ เล็ดรอดออกมา  ไอ้กิงจะให้ผมไปคิดอะไรได้อีก

    .

    .

    .

    .

    ผ่านปีใหม่มาแล้ว  มีวันหยุดให้พวกผมได้พักผ่อนจากสอบมิดเทอม 2-3 วันตามปฏิทิน  วันหยุดที่ผ่านมาผมไม่ได้เจอกับไอ้กิงสักเท่าไหร่  ด้วยเหตุผลที่พอเข้าใจได้  ห่างกันสักพัก  ห่างกันสักพัก  เพื่อจะทบทวนตัวเองมากกว่า   ผมแอบเปลี่ยนเนื้อเล็กน้อยตามสถานการณ์

     

    เฮ้!  ไอ้เร  ว่าไงวะ  เสียงไอ้ป๋องทักมาไกลจากมอเตอร์ไซค์  ผมนั่งทอดอารมณ์อยู่ตรงลานไทร  หันไปยิ้มน้อย ๆ ให้มัน  ตามด้วยเพื่อนอีกหลาย ๆ คนในห้องผมเริ่มทยอยมากันแล้ว  เพื่อเตรียมตัวเรียนวิชาแรกรับศักราชใหม่  เสียงคุยจอแจดังขึ้นรอบตัว  พลอยทำให้ผมมีอารมณ์ที่แช่มชื่นขึ้นบ้าง 

     

    อ้าวไอ้กิง  พาใครมาด้วยวะ  สิ้นเสียงทักจากโจ  ผมพลันหันตามไปมอง  ปรากฎภาพไอ้กิงเดินลงมาจากรถพร้อมสาวสวยไม่ทราบชื่อ  เธอคนนั้นเดินคล้องแขนไอ้กิงยิ้มหวานไม่แพ้สายตาของมันเอง  โต๊ะม้าหินอ่อนที่พวกผมนั่งอยู่มีแววตื่นเต้นเล็กน้อย  เสียงแซวดังเป็นระยะ  เวลากี่อึดใจกันนะที่จู่ ๆ เธอคนนี้นั่งลงตรงหน้าผม  โดยไอ้กิงยืนคุยกับเพื่อนคนอื่นอยู่ไม่ห่างมากนัก

     

    น้องคนนี้ใครวะกิง  หน้าคุ้น ๆ ว่ะ  เสียงเพื่อนสักคนถามมัน

    ชื่อแพรค่ะ  เสียงหวานใสตอบคำถามแทนไอ้กิง  รอยยิ้มสวยกับลักยิ้มที่แก้มนั่นทำเอาหลาย ๆ คนเคลิ้มไปตามกัน

    แล้วไปไงมาไง  มาด้วยกันได้นี่  น้องเรียนที่นี่เหรอครับ  ทำไมพี่คุ้นหน้าคุ้นตาน้องจัง  เพื่อนผมถามไถ่สนใจ  ผสมสีหน้าอิจฉาอีกเล็กน้อย 

    ค่ะแพรเรียนที่นี่ค่ะ  เรียนคณะวิศวะค่ะ  ติด ๆ กันกับคณะพี่ ๆ ไงคะ  คุ้นหน้าบ้างคงไม่แปลก  น้องแพรตอบคำถามสอดรู้สอดเห็นด้วยความสดใสมั่นใจ  เสียงซุบซิบ ๆ ดังอยู่รอบตัว  สักพักนึงโจก็เคาะโต๊ะเหมือนนึกอะไรออก

    น้องแพร  น้องแพรที่เป็นมิสยูลีกปีล่าสุดใช่ป่ะ  พี่เคยเห็นหน้าน้องในทีวี  รู้ว่าอยู่มหาลัยเรา  แต่นึกไม่ออกเป็นน้องเองเหรอ  ความคุ้นหน้าคุ้นตาเฉลยออกมาแทนความสงสัย  โห  ไอ้กิงเดี๋ยวนี้เมิงอัพเกรดจากดาวมหาลัยเป็นมิสยูลีกแล้วเหรอวะ  ร้ายกาจ  โจกล่าวชื่นชมอยู่ในที  แล้วนี่อย่าบอกนะว่า  เพิ่งเจอกันระหว่างทาง  เมิงเลยจะพาน้องเขาไปส่งคณะน่ะกิง  โจหันไปถามไอ้กิงที่พาสาวมาให้เพื่อนริษยาเล่น 

     

    แพรเขาเป็นแฟนกรูน่ะ  ไอ้กิงตอบเรียบ ๆ  แต่น้องแพรยิ้มเขินอายอยู่ในที หันไปค้อนไอ้กิงนิดหน่อย 

    ว้าว  หายไปปีใหม่ไม่กี่วัน  เมิงทำได้ไงวะกิง  เออ  จะว่าไปเมิงเองก็โสดอยู่ตั้งนานนี่หว่า  มารอบนี้เมิงแรงกว่าเดิมสามเท่าเลยว่ะ  ฮ่า ๆ  เพื่อนผมขำแซวไอ้กิงไป  แต่ในน้ำเสียงแอบน้อยเนื้อต่ำใจอยู่หน่อย ๆ

     

    เอ่อ  กรูไปห้องน้ำก่อนนะ  คำพูดแรกของผม  ไอ้กิงเพียงหันมาสบตาเท่านั้น

     

     

    สึนามิมา พายุเข้า  แผ่นดินไหว  ภูเขาไฟระเบิด น้ำมันแพง ค่าแรงต่ำ น้ำท่วมใหญ่  ไฟดับ  ถ่ายไม่ออก  ก่อการร้าย ภัยแล้ง โรคระบาด สัตว์สูญพันธุ์ โอ๊ย! คิดสิวะเร  คิดสิวะ  คนในโลกที่เจอเรื่องร้าย ๆ มันมีมากกว่าเอ็งอีกเยอะนะเว้ยไอ้เร  คิดสิวะ  ผมท่องกับตัวเองซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ  พยายามคิดเรื่องแย่ ๆ เข้าไว้  แต่คนเรามันช่างเห็นแก่ตัวสิ้นดี  ในเมื่อตอนนี้เราเห็นแต่ความทุกข์ของตัวเองสำคัญกว่าเรื่องอื่นทั้งหมด

     

    ซ่า  เสียงน้ำไหลจากก๊อกกระทบอ่างล้างหน้าดังก้องไปทั่วบริเวณ  กระจกผืนใหญ่บานกว้างเต็มผนังนั้นส่องสะท้อนภาพผมในชุดนักศึกษาชายเต็มยศ  เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตากับกางเกงยีนส์สีเข้ม  ผมไม่รู้ว่าระหว่างนั้นสีหน้าผมเป็นอย่างไรบ้าง  แต่ตอนนี้หน้าผมดูไม่ค่อยได้เอาเสียเลย  บางทีคำถามว่า ทำไมมันถึงไม่ยอมรับความรู้สึกผม ไม่ให้ผมได้ผูกมัดมัน ให้หยุดทุกอย่างไว้แค่คำว่าเพื่อนกัน  คำตอบนั้นมันดันง่ายกว่าที่คิด  คำตอบที่ผมมองข้ามมันไป  ทำเป็นไม่นึกถึง  ทั้ง ๆ ที่มันก็อยู่กับตัวเองตลอดเวลา  ตราบใดที่ผมยังเข้าห้องน้ำชายสินะ  ตราบใดที่ผมกับมันเป็นเพศเดียวกันใช่ไหม  หรือที่โหดร้ายกว่ามันอาจไม่เคยรู้สึกกับผมได้มากเกินกว่าคำว่าเพื่อนเลย

     

    ไอ้เร  เสียงแผ่วเบาเรียกผม เหมือนเกรงว่าผมจะวิ่งไปไหน

    มีอะไรป๋อง  ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ 

    เมิง  เมิงไหวมั้ย  ไอ้ป๋องเดินเข้ามาจับแขนผมไว้  สีหน้ามันดูหวาดวิตก

    กรูไหว  กรูไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย  ผมยิ้มให้มันแบบที่คิดว่าพยายามที่สุดในชีวิต  สัมผัสหยดน้ำไหลผ่านต้นคอทำให้ผมรู้สึกตัวว่าผมล้างหน้าโดยยังไม่ได้เช็ดให้แห้งเลย  ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเอง  เมื่อไหร่จะแห้งสักทีวะ  ผมบ่นไปถูหน้าตัวเองไป  ลงน้ำหนักมือให้มันแรงขึ้นเผื่อความชื้นนี่มันจะหายไป

    ไอ้เร  ไอ้เร  พอเหอะ พอได้แล้ว  หน้าเมิงสะอาดแล้ว  ไอ้ป๋องจับหยุดมือผมไว้ 

    บรรยากาศนิ่งสนิท  ผมละสายตาจากไอ้ป๋อง จากกระจก จากตัวเอง ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ  มีเพียงสัมผัสจากของเหลวที่ไหลอาบแก้มผม  เหมือนตัวเองค่อย ๆ จมลงไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ

    .

    .

    .

    “ความรักต้องพังลงไป อนาคตที่สุดก็ผ่านพ้นไป เหลือเพียงหัวใจที่ยับเยิน บาดแผลลึกเกินเยียวยา

    ตื่นจากฝันเพราะถูกปลุกด้วยน้ำตา ทุรนทุรายหัวใจเหนื่อยล้า.......”

    ตอนนี้ผมเปลี่ยนตัวเองเป็น เร บอดี้สแลม สิ่งเดียวที่ผมนึกออกหลังเรียนเสร็จคือ คาราโอเกะ

    “เร ๆ ขอกรูร้องบ้าง เพลงนี้กรูขอ” กานต์เรียกผมที่โหยหวนอยู่หน้าทีวี  ผมเพียงปรายตามองมันแล้วหันกลับไปร้องเพลงต่อ

    “มันผิดที่ฉันเองที่เฝ้ารัก  จนทำให้เธอนั้นมองข้ามไป  มันผิดที่ฉันเองที่ง่ายนัก  ของตายก็มีความหมายแค่นั้นนนนนนนน”  ผมโหนเสียงราวกับมีพี่โตมาประทับทรง

     

    “เรเมิง  ซิลลี่ฟูลส์กรูอ่ะ”  กานต์ตัดพ้อน้อยใจ ไอ้ป๋องหันไปสะกิดแขนเบา ๆ ทำนองว่าปล่อย ๆ มันไป

    “ต่อ ไป เพลง เรา น้า เร” จีนทวงถามอีกคน

    แน่นอนว่าผมกระชับไมค์ในมือแน่น จีนค่อย ๆ เอาตัวเองจมไปกับโซฟา อย่างรับรู้ชะตากรรม

    “ผีกาก้า ผีกาก้า ผีกาก้า ผี ๆ กาก้า  แชมเปี้ยนลีกเขาว่าทำยาก ทีมกาก ๆ เขาให้หลบไป ทีมอ่อน ๆ อย่าคิดชิงชัย เขามอบให้ทีมเทพเข้าชิง...”  หงส์เมิงก็ไม่ได้ไปแชมเปี้ยนลีกนะจีน

     

    “อีเรเมิงเป็นแมวน้ำอะไรยะ  เมิงร้องมาชั่วโมงนึงแล้ว ขอคนอื่นร้องบ้างซี้ อารมณ์เสีย”  แพนขึ้นเสียงสูงประท้วง

    “เออ  ร้องคนเดียวกรูให้จ่ายคนเดียวนะเมิง” ไอโจว่าผมเสร็จ ก็ตักยำสามกรอบเข้าปาก

     

    ใช่ครับขณะนี้  ผมเป็นผีเฝ้าไมค์  สิ่งเดียวที่กำลังเป็นที่ระบายของผม  สมองผมตื้อจนเรียบเรียงอะไรไม่ถูก  สิ่งที่ดีที่สุดคือไม่ต้องคิดอะไรและตะโกนมันออกมา แม้มันจะทำให้เพื่อน ๆ ของผมเหมือนตกอยู่ในความทรมานก็ตามที  ทุกคนจึงทำได้แค่จิ้มกับแกล้มเข้าปากดูมินิคอนเสิร์ตต่อไป

     

    “แกร๊ก”  เสียงเปิดประตู  พร้อมแขกไม่ได้รับเชิญ  

     

    สถานการณ์เป็นใจเชี่ย ๆ ผมตัดพ้อ  ไอ้กิงกับแฟนมันน้องแพรและเพื่อนผู้หญิงหน้าตาน่ารักเดินสมทบเข้ามาในห้องคาราโอเกะจนดูแน่นขนัดทีเดียว  ไม่ต้องเดานานว่าใครเชิญ

    “ไอ้กิง เข้ามา ๆ”  ไอ้โจพยักเพยิดท่าทางสดใส  หวังเคลมเพื่อนแฟนไอ้กิงล่ะสิ  ผมรู้ทันอยู่ในใจ

    “ชิ ชะนี”  เสียงแพนจิ๊จ๊ะขัดใจเบา ๆ

    ไอ้กิงกับแฟนใหม่มันเลือกนั่งบนโซฟาขนาดพอดี  ส่วนน้องผู้หญิงอีกสองคนเลือกนั่งบนโซฟายาวตัวใหญ่  ทุกคนเริ่มทักทายทำความรู้จักกัน  จีนแอบทำหน้ามีความสุขเบา ๆ  เป็นไอป๋องที่ทำหน้ามึนอยู่ช่วงนึงมองผมสลับไอ้กิงไปมา 

     

    เมนูอาหาร  เมนูเพลงถูกหยิบยื่นจากไอ้กิงสู่น้องแพร  การเทคแคร์ดูแลที่ผมคิดว่าดีไม่ใช่น้อย  ไอ้กิงเอนหลังสบายบนโซฟาอมยิ้มนิด ๆ เมื่อน้องแพรชี้ชวนร้องเพลงนู่นนี่  มันส่ายหัวเล็กน้อยในเชิงปฏิเสธ  ก่อนจะสัมผัสผมสวยของน้องแพรเบา ๆ พยักหน้ารับเหมือนบอกให้สาวเจ้าเลือกตามสบาย

     

    “กรี๊ดดด  อีเร  ถึงคราวกรูแล้วย่ะ  เพลงกรูแล้ว  อีนี่เอาไมค์มา”  เสียงแผดขึ้นของแพนทำให้ผมผงะ  ละจากภาพตรงหน้า  ดึงสติกลับมาอีกครั้ง  จอโทรทัศน์ฉายภาพสาวสวยเอื้อนเอ่ยเนื้อเพลงออกมา

     

    “ก็ไม่เห็นจะเสียดายผู้ชายห่วย ๆ อย่างเธอทำไม  คบกันไม่รู้จะพาชีวิตฉันไปทางไหน เสเพลมันไปวัน ๆ  ถ้าเผลอเป็นนอกใจ ไม่เห็นต้องเป็นอะไร แค่เสียผู้ชายห่วย ๆ อย่างเธอ”  อย่าเรียกมันว่าการร้องเพลงเลยครับ  ผมราวกับท่องอาขยานเพลงนี้  สายตาผมล็อคโฟกัสไปยังสิ่งมีชีวิตห่วย ๆ ตัวนึง จนเกือบลืมไอแพนที่โวยวายด่าว่าผมอยู่    ไอ้กิงมองผมไม่แสดงความรู้สึกอะไร 

    “พี่เรร้องเพลงมีสเน่ห์ดีนะคะ”  น้องแพรกล่าวชื่นชมผมหน้าตาทะเล้น  ผมว่าน้องเขามนุษยสัมพันธ์ดีทีเดียว

     

    แต่

    “กรูปวดขี้  กรูขอกลับก่อนนะ”  ผมหยิบกระเป๋าขึ้นพาดไหล่  ควักตังค์ออกมาวางบนโต๊ะ  ท่ามกลางความงุนงงของคนทั้งห้อง

    “อีห่าเร  เมิงจะกลับก่อนกรูไม่ว่าหรอกนะ  แต่เมิงตั้งตังค์ไว้ห้าสิบบาท  ทั้งที่เมิงร้องคนเดียวทั้งชั่วโมงเนี่ยอ่ะนะ  อีเร้  อีบ้า”  เสียงด่าไล่หลังผมทันทีที่ผมออกจากห้อง  แต่เวลานี้ผมจะสนใจอะไรอีกทำไม

     

     

    “ตึก  ตึก  ตึก”  เสียงย่ำเท้าเดินเร็ว ๆ ตามผมที่หน้าร้านคาราโอเกะ

    “ไอเร”  เสียงเรียกของคนที่ผมไม่ได้อยากยินเสียงที่สุดในขณะนี้หยุดผมไว้  ผมหันหน้าไปมองมันไม่มีสักเสียงออกจากปากผม  ผมเลือกจะเดินไปป้ายรถเมล์ต่อ  ร้านที่พวกผมเลือกมาอยู่ไกลจากมหาลัยระยะหนึ่ง 

    “เฮ้ย”  เสียงเรียกดังเมื่อเห็นผมไม่สนใจ  จนกลายมาเป็นแรงคว้าแขนผมไว้  ผมเซไปตามแรงดึง  หันหลังไปหามัน

    “ปล่อยกรู”  มันเงียบเป็นคำตอบ  ผมสะบัดแขนแรงขึ้นเพื่อให้หลุดจากมัน  “บอกให้ปล่อยกรูไงเล่า”  เสียงผมเริ่มดังขึ้น  จนคนแถวนั้นเริ่มหันมามอง

    “ให้กรูไปส่งเมิง”  ไอ้กิงบอกผมหน้านิ่ง

    “ห๊ะ??”  งงเถอะครับ  และจังหวะงงนั่นเอง  ที่มันลากผมมาถึงลานจอดรถข้างร้านคาราโอเกะ  บรรยากาศรอบ ๆ ค่อนข้างเงียบ  มีเพียงรถที่จอดอยู่ทั่วไป  ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปสักพักนึงแล้ว  แสงจากโคมไฟส่องสว่างให้เห็นเส้นทาง

     

    “ขึ้นรถมาสิ”  ไอ้กิงบอกจากอีกฝั่งรถ 

    ผมเพียงยืนมองหน้ามัน  ไม่พูด ไม่ตอบ ไม่ขยับ

    “เร”  เสียงมันเคร่งขึ้น  แต่มันก็ทำให้ผมยืนเฉย ๆ อยู่ดี  คิ้วมันขมวดเข้าหากัน  ผมตัดสินใจกระชับกระเป๋าและเดินออกมา 

    “เฮ้ย  ไอเร” 

    “กรูกลับเองได้  เมิงจะไปส่งกรูทำไมวะ  ไปดูแลแฟนเมิงนู่นไป”  ผมหันไปบอกมันเสียงจริงจัง

    “ให้กรูไปส่ง  ไม่นานหรอก” 

    “พอเถอะเมิง  กรูกลับเองได้  อย่ามายุ่งกับกรู  เมิงอยากจะทำอะไรเมิงก็ทำไปเถอะว่ะ”  ผมขอร้องมันจากใจ  ไอ้กิงเดินเข้ามาใกล้จนเผชิญหน้ากัน หลายวันแล้วสินะที่ผมไม่ได้อยู่ใกล้มันขนาดนี้

    “ก็กรูอยากไปส่งเมิง”  เป็นขสมก.รึไงวะ 

     

    ทิ้งสายตาจากมัน  ผมก้มหน้าหลบซ่อนอะไรหลายอย่าง  หลายอย่างจริง ๆ 

    “ฟังนะ  กรูมาเองได้  กรูก็กลับเองได้  ทำไมกรูต้องมาเถียงกับเมิง ด้วยเรื่องส่งไม่ส่งอะไรนี่ด้วย”  ผมเงยหน้าไปสบตามันอีกครั้ง

    “เมิงเป็นอะไร  เรื่องแค่นี้  เมิงจะปฏิเสธทำไม แค่ขึ้นรถให้กรูไปส่ง ไม่เห็นจะยาก”  ไอ้กิงก็ยังคงเป็นไอ้กิงที่ไม่เคยรับรู้อะไรเลย

    “ใช่ มันเรื่องง่าย ๆ แต่เมิงช่วยไปอยู่ไกล ๆ กรูหน่อยได้ไหมตอนนี้”  ผมไม่รู้ว่าเสียงผมสั่นเครือแค่ไหน

    “นี่เมิงยังไม่ปกติอีกเหรอวะ  อารมณ์เสียอะไรนักหนา”  หน้ามันสงสัยจริง ๆ

    “ใช่กรูไม่ปกติ  แต่เมิงก็ไม่ปกติ  แฟนเมิงก็มีแล้ว  เมิงก็ไปดูแลไปเอาใจใส่เค้านู่นไป  จะมาสนใจ จะมายุ่งอะไรกับกรูอีก”  ผมพูดรัวเร็วและเสียงดัง 

    “ไม่  ทำไมกรูจะดูแลเมิงอีกไม่ได้”  ไอ้กิงปฏิเสธไม่รู้สึกรู้สา  และนั่นทำให้ผมเหลืออด

    “ทำไม ทำไม ทำไม  เออนั่นสิทำไมวะ  แล้วทำไมกรูต้องให้เมิงไปรับไปส่งหรือดูแลอะไรนักหนา  มันไม่จำเป็น  ตกลงมั้ยเมิง  ระหว่างกรูกับเมิงมันไม่จำเป็นอีกแล้ว  เมิงอยากจะทำอะไร  อยากจะไปไหน  เมิงก็ทำได้เลย  กรูไม่ห้ามไม่ว่า  ดังนั้นเมิงก็ควรจะเลิกยุ่งกับกรู  ทำอะไรที่มีเหตุผลได้แล้ว  จะเอาอะไรต้องการอะไรจากกรูอีก  ปล่อยกรูไปซะ”  ผมต้องอดกลั้นสีหน้าอารมณ์ทุกอย่าง ปล่อยให้มีเพียงคำพูดเท่านั้นที่แสดงความรู้สึกออกมา

     

    ไอ้กิงนิ่งเพียงชั่วครู่  สีหน้ามันดูเคร่งคิด สายตามันจ้องผมจริงจัง  ผมเผลอตัวกำสายสะพายกระเป๋าเสียแน่น  “เมิงเป็นอะไรวะ  ทำตัวปกติ ๆ ไม่ได้หรือไงวะเร  เดี๋ยวเมิงก็อารมณ์เสีย  เดี๋ยวเมิงก็โวยวาย  เมิงทำตัวให้เหมือนเดิมไม่ได้เหรอวะ”  มันเริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้วเช่นกัน

    “เหมือนเดิม  เหมือนเดิมแบบไหนวะกิง  เหมือนก่อนหน้านี้  เหมือนตอนปีหนึ่งปีสองปีสาม  หรือตอนไหน  เลิกเอาแต่ใจได้แล้ว  กรูกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว  เมิงก็รู้  ตัวเมิงเองก็ด้วย  กรูกับเมิงเหมือนเดิมได้อีกเหรอ”  ผมคาดว่าสิ่งที่ผมกลั้นไว้มันจะไม่ล้นออกมา  สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมทำได้ตอนนี้ 

    ไอ้กิงนิ่งหน้าตามันฉุนเฉียวอย่างเห็นได้ชัด  มันเอื้อมมือมาจับไหล่ผมทั้งสองข้าง  สัมผัสของมันเองก็ใช่จะเหมือนเดิม  “ได้สิวะ  ทำไมจะไม่ได้  กรูเพื่อนเมิงนะ”  น้ำเสียงมันชัดเจน

    ผลั่ก!!’  ผมผลักแขนทั้งสองข้างของมันให้ออกจากไหล่ผมอย่างสุดแรง  ก้าวเท้าถอยร่นมาโดยไม่รู้ตัว  ผมเผลอเม้มริมฝีปากแน่น  พยายามเกร็งทุกอวัยวะบนใบหน้า

    “ฮ่า ๆๆๆ” หัวเราะออกมาทั้งที่ไม่ได้ขำเลย “เออ ใช่ เมิงพูดถูก เมิงเป็นเพื่อนกรู  กรูเป็นเพื่อนเมิง  ถ้าเมิงคิดแบบนั้นจริง ๆ  กรูขอถามเมิงหน่อยเถอะว่ะ  ที่ผ่านมาเมิงทำเหมือนว่าห่วง เหมือนหวง เหมือนหึง  เหมือนว่าเมิง........ โธ่เว้ย!  ผมคิดว่าผมจบเรื่องนี้ได้แล้ว แต่ไอ้กิงก็กระตุ้นให้ผมรู้สึกขึ้นมาอีก ....แล้วเมิงมานอนกับกรูทำไมวะ   ทั้งหมดนี้เมิงทำไปเพื่ออะไรวะกิง  ผมรู้ดีว่าถ้าพูดออกไปเรื่องของผมกับผมคงจบลงได้เสียที

     

    มันยืนนิ่งเงียบ  แสงไฟจากดวงโคมส่องให้เกิดเงาตกกระทบสีเข้มบนใบหน้ามัน  เสี้ยวสายตาที่จ้องมองผมมาในระยะห่างอันแสนใกล้  จู่ ๆ ก็ดูเย็นชาประหลาด

    กรูก็แค่สนุก  เมิงเองก็สนุกกับมันไม่ใช่หรือวะเร น้ำเสียงมันเรียบเฉย

    ...สนุกหรือ  เมิงคิดว่ากรูสนุกหรือ  ผมแทบหมดแรงยืน

    ใช่  กรูเห็นเป็นแบบนั้น  กรูไม่เคยบังคับเมิงนะเร  เมิงเต็มใจเอง  ริมฝีปากไอ้กิงเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์  ไร้ความอบอุ่นในแววตา  มือหนามันเอื้อมมาจับแก้มผม  สัมผัสเย็นชืดจนเผลอสะดุ้ง  กรูกับเมิงยังสนุกด้วยกันอีกได้นะไอเร

                                      

    ทันทีที่สิ้นน้ำคำจากมัน  ทำให้ได้รับรู้ว่าจริง ๆ แล้วทุกอย่างเป็นจินตนาการเพ้อฝันของผมเอง  นี่คือคำตอบที่ผมเฝ้าหาเอง  ผมเลือกที่จะฟังเอง  ผมหน้าชา ตัวชาเหมือนคนขาดวิตามิน  ไม่มีอะไรที่ผมต้องคุยกับมันอีกแล้ว  เหลือเพียงคำสุดท้าย

     

    “ไป ตาย ให้ หนอน แดก ซะ ไอ้ ควาย กิง”  ผมพูดเสียงดังช้า ๆ ชัด ๆ ใส่หน้ามันไป ปัดมือมันออกอย่างแรง ในทันทีผมจึงสืบเท้าออกมาอย่างเร็วจากที่ตรงนั้น  ถนนเส้นไม่ใหญ่ข้างลานจอดรถ  สบจังหวะผมยกมือขึ้น

    “พี่วิน”  ผมโบกเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้าง  อาศัยจังหวะไอ้กิงยืนอึ้งทำหน้าเครียด  ผมโดดขึ้นซ้อนท้ายรับหมวกกันน็อคมาสวมไว้อย่างรวดเร็ว  ที่บ้านสอนมาดีครับ  ทุกสถานการณ์ต้องมีสติ

    “ไปเลยพี่  บิดเท่าไหร่ได้ บิดไปเลยพี่”  พี่วินทำหน้างงเล็กน้อยแล้วออกตัวรถไปตามสั่ง  สิ่งที่ผมอดทนอดกลั้นมาทั้งหมดมันมาถึงจุดระเบิดแล้ว  สบสายตาไม่เจออะไรนอกจาก  ศีรษะที่สวมหมวกกันน็อคของพี่วินมอเตอร์ไซค์

     

    “พี่ครับ ฟังผมหน่อยครับพี่  พี่เห็นไอ้เสาตกมันตรงนั้นมั้ยพี่” ไม่ว่าเปล่า ผมชี้นิ้วไปยังตำแหน่งที่ไอ้กิงยืนอยู่ ซึ่งตอนนี้เห็นเพียงลิบ ๆ แล้ว

    “ครับน้อง” พี่วินพยักหน้ารับ

    “มันเหี้ยครับพี่  มันยืมเงินผมไปแล้วไม่คืน  ยืมแล้วยืมอีก  พอผมเห็นว่าแม่งชักจะยืมเงินบ่อยไปแล้วนะพี่  ผมก็ขอให้มันทำสัญญากับผม  ผมจะได้มีหลักฐานเผื่อไอ้สลอดหมดอายุนั่นมันจะชิ่งไม่คืน  แต่รู้มั้ยพี่นอกจากมันจะไม่ยอมทำสัญญากับผม  ไอ้วัณโรคนั่นมันทำไงรู้มั้ยครับพี่”  ผมสาดไม่ยั้ง ขึ้นเสียงแข่งกับเสียงลมที่ตีเข้ามา

    “ยังไงครับน้อง”  พี่วินเขาดูใส่ใจผู้โดยสารใช้ได้

    “ไอ้หินโสโครกนั่นมันไปทำสัญญากับคนอื่นครับพี่  แต่ แต่ แต่ไอ้เกลือบูดมัน มันก็ยังหน้าด้านมายืมเงินผมอีก  ทั้งที่มันไม่ยอมทำสัญญากับผม  มันยังจะเรียกร้องห่าเหวอะไรอีกก็ไม่รู้  พี่ดูมันสิครับพี่”  ผมระบายไปทั้งหมด  ขอบตารื้นขึ้นมา  ผมพยายามกลั้นใจกลืนน้ำลายลงคอเรียกของเหลวกลับเข้าร่างกายไปด้วย

    “แล้วน้องทำยังไงล่ะครับ” 

    “ทำยังไง  ผมจะทำยังไงได้ล่ะครับพี่  ผมจะเลิกยุ่งกับมัน มันก็ไม่ยอม”

    “อ้าว ทำไมล่ะครับน้อง  ถ้าน้องไม่พอใจ น้องก็เลิกคบได้นี่  ไม่เห็นว่าน้องต้องยอมเขาเลย” พี่วินพูดจุกอกเข้าอย่างจัง 

    มือสองข้างผมกำแน่น  เงยหน้ามองฟ้ามืด “ก็เพราะผมชอบมันไงพี่”  ผมเปล่งไปสุดเสียง คำที่น่าจะบอกมัน กลับกลายมาเป็นบอกคนอื่นแทน  ความรู้สึกเหมือนพิเศษ เหมือนชอบ เหมือนหวง เหมือนหึง เหมือนห่วงที่มันให้ผมนั้น  กลายเป็นอะไรสักอย่างที่จับต้องไม่ได้เลย  การกระทำของมันชัดเจนกว่าคำพูด ชัดเจนจริง ๆ

     

     

    ทันทีที่ผมถึงหอพัก  ผมเดินอย่างไร้วิญญาณไปยังระเบียงห้องรับอากาศเย็นจาง ๆ ของช่วงเวลาต้นปี  ผมขำตัวเองเล็กน้อย  นอกจากเสียใจแล้วผมยังเสียตังค์อีกด้วย  เพราะความรีบเร่งโบกมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาเสียตั้งไกล  แต่คุ้มค่าพอดูได้ระบายไปบ้าง  มันก็เท่ไม่หยอกอกหักแล้วนั่งวินมอเตอร์ไซค์ มิวสิควีดีโอตัวไหนอยากเอาไปทำผมก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะครับ

     

    มือผมไพล่ไปบนราวระเบียง  ทอดสายตาไปไกล  เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ตรงนี้ผมยังมีมันอยู่เลย 

    “หึ หึ ไอ้เรเป็นไงล่ะเมิง วินนิ่งเกมส์นี้เมิงแพ้ตั้งแต่เริ่มเล่นแล้ว”  ผมเยาะใส่ตัวเอง 

    สถานการณ์ดูหยุดนิ่ง  ผมสูดอากาศหายใจ  ภาพในวันนี้ย้อนฉายซ้ำ ๆ ในหัวผม ไล่อย่างไรก็ไม่หลุด  หัวใจผมว่างเปล่า 

     

    ตื้ด ตื้ด ตื้ด  เสียงโทรศัพท์มือถือเรียกผมให้ออกจากความเงียบ  ผมเหลือบมองชื่อคนโทรเข้า  ริมฝีปากเผลอยกยิ้ม  บางทีเราก็ลืมคนที่เขาคิดถึงเราที่สุดไปได้  ในเวลาแบบนี้

     

     “เร เป็นไงบ้างลูก”  ปลายสายส่งเสียงทักก่อนที่ผมจะพูดอะไรเสียอีก

    “สบายดีครับแม่  แม่ไม่รอให้เรพูดก่อนอ่ะ  ถ้าคนอื่นรับสายขึ้นมาจะว่าไง  หน้าแตกแย่ อายเขาตาย”  เหมือนมีความสดใสเล็ก ๆ เข้ามาในชีวิตผม 

    “โธ่  นี่แม่ก็โทรมาเบอร์ลูกแล้วนะ  อย่าแกล้งแม่สิลูก”  แม่ผมตัดพ้อเล็กน้อย

    “ครับ ๆ เรแกล้งเพราะรักหรอก  แล้วแม่มีอะไรหรือ โทรมาทำไม”

    “ไม่มีอะไรก็โทรหาลูกไม่ได้รึไง”  แม่ผมแอบงอน และนั่นทำให้ผมยิ้มได้จากใจเป็นครั้งแรกของวัน  “เป็นไงบ้างเร  ลูกไปตัดไหมมาเรียบร้อยรึยัง  เจ็บอะไรอีกมั้ย”

    ผมเหลือบไปมองรอยแผลที่หลงเหลืออยู่บนข้อเท้าขวาอย่างลืมมันไป  “หายแล้วแม่  เรหายแล้ว...”

    “จริงหรือลูก  ทำไมเสียงแปลก ๆ  ไม่สบายรึเปล่า” 

    “ป่าวแม่  นี่เรเพิ่งสอบกลางภาคเสร็จ  เพิ่งส่งงานด้วยแม่ ไม่ได้นอนนิดหน่อย แต่เรสบายดี”  ผมซื้ดเอาเสียงคัดจมูกเข้าไปข้างใน  

     

    “เหนื่อยมั้ยลูก”  เสียงหวานห่วงใยระคนความอ่อนโยนจากปลายสาย

    “......”

    “เร  เรได้ยินแม่มั้ย” 

    ผมกลืนน้ำลายฝืนน้ำเสียงท่ามกลางน้ำตา  “แม่  เรคิดถึงบ้าน”  ผมยกฝ่ามือมาปาดขอบตาทั้งสองข้าง

    “โธ่  แม่นึกว่าลูกเป็นอะไร  บ่นคิดถึงบ้านอีกแล้ว  ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ  ใกล้ปิดเทอมแล้ว  เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้วนะลูก  ตั้งใจเรียนมาก ๆ  พอกลับมาเดี๋ยวพ่อเขาจะเตรียมกับข้าวที่ลูกชอบไว้ให้  นี่พ่อลูกก็บ่นนะ  ว่าไม่มีคนมาชิมกับข้าวใหม่ ๆ แม่ล่ะเบื่อ”  เป็นแม่ผมเองที่พูดยาวเหมือนผมเป็นเด็ก ๆ เสียเอง

    “หึ หึ” ผมขำอย่างมีความสุข “ตกลง ๆ   เรไม่บ่นแล้ว  แม่ก็เลิกบ่นพ่อด้วย”

    “เข้าข้างพ่ออีกแล้ว” แม่ผมน้อยใจ “ลูกไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะลูก”

    “คร้าบ  จริง ๆ คร้าบ” ผมลากเสียงยาว  “สบายดีที่สุดในสามโลกจริง ๆ ครับ” 

    “จ้า ๆ แม่เชื่อก็ได้  ดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก  แล้วแม่จะโทรมาหาใหม่นะ  เราน่ะไม่โทรหาแม่บ้างเลย”  แม่ผมบ่นตามประสาอีกเล็กน้อยก่อนจะวางสายไป

     

    ผมทอดสายตาพร่ามัวไปยังเบื้องหน้า  สองมือกำเครื่องมือสื่อสารที่ยังอุ่น ๆ อยู่  ผมปล่อยให้น้ำตาไหลเป็นครั้งที่สองของวัน  โดยไม่ฝืนมันไว้อีกแล้ว  ความอบอุ่นเข้ามาอาบหัวใจที่ยังเหนื่อยล้าของผม ต้องขอโทษด้วยนะครับที่วันนี้ผมอาจฮาไม่ออก  วันนี้ผมยังหมดแรง  วันนี้ยังดูไร้ทางออก  ผมเพียงยิ้มเศร้าให้กับตัวเอง

     

    “ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ”  เร บอดี้สแลม

     

    -----------------------------------------------------------

     

    TBC.


    สองคำค่ะ

    ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ  และ  ขอโทษจริง ๆ ค่ะ…….. 

    เอาล่ะค่ะงั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลย (แถสดเปื่อยได้เร็วมาก ฮ่า ๆ)  มีนักอ่านหลาย ๆ ท่านเข้าใจผิดว่าเรื่องใกล้จะจบแล้ว คงเป็นเพราะว่างอธิบายไม่ชัดเจนเอง  ขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยค่ะ  อันที่จริงกิงเรและผองเพื่อนก็ดำเนินเรื่องมายังไม่ใกล้จบค่ะ  แต่ก็ไม่ไกลแล้วเช่นเดียวกัน  หลาย ๆ คนอาจจะตั้งคำถามว่าอีนี่มันจะหายไปเป็นชาติอีกรึเปล่า  ฮ่า ๆ  ว่างคงให้สัญญาไม่ได้ค่ะ (อีนี่เลวจริง ๆ ยอมรับค่ะ)  แต่ว่างต้องพยายามค่ะ  การเขียนนิยายให้จบกลายเป็นอีกเป้าหมายนึงในชีวิตไปแล้ว  อ่า มาได้น้ำเน่าแปลก ๆ มาก ๆ ว่างวน  ขอบคุณจริง ๆ ค่ะที่มาร่วมอ่านร่วมสนุกด้วยกัน....

     

    สุดท้ายนี้เช่นเดิมค่ะ  ติชมได้ตามสะดวก พบคำผิดบอกได้นะคะ

    ขอบคุณ(อีกแล้ว)ที่มาอ่าน มาเม้นท์ มาแอด มาโหวตกันนะคะ   อีกนิดนึงค่ะเด็กดีเปลี่ยนไปเยอะเชียว  หรือว่า  ว่างแก่แล้ว (อันนี้จริงที่สุด ฮา)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×