NC

คำเตือนเนื้อหานิยาย

นิยายเรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหานิยาย

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Diabolik lovers] White Rose กุหลาบขาวของเหล่าแวมไพร์ (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #2 : White Rose 01 : ความฝันและเวลาที่ผ่านไป [Re]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.19K
      829
      17 ต.ค. 65

    White Rose 01

    ความฝันและเวลาที่ผ่านไป


    รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


           TW : Mentioned Rough sex (กล่าวถึงการมีเซ็กส์แบบรุนแรง) , Mentioned Unsafe sex (กล่าวถึงการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน) , Physical Abuse (การทำร้าย การใช้ความรุนแรงทางร่างกาย) , Mentioned Cheating (กล่าวถึงการนอกใจ ในที่นี้สามีนอกใจน้องสาวของตัวเอกไปมีความสัมพันธ์กับตัวเอก) , Mentioned of Domestic Violence (กล่าวถึงความรุนแรงในครอบครัว) , Self-Esteem issue (ตัวละครมีปัญหาเกี่ยวกับคุณค่าในตนเอง) , Mental Illness (ตัวละครมีอาการป่วยทางจิต) , Self-Hated (การเกลียดตัวเอง)



               เวลาที่ล่วงเลยมาหลายปีเสมือนความฝัน และมันยังคงเป็นห้วงแห่งความฝันที่ยาวนาน...

     

     

    เปลือกตาของผมลืมขึ้นอย่างเชื่องช้าด้วยความอ่อนเพลีย แสงสว่างส่องผ่านหน้าต่างทำเอาผมรู้สึกแสบตาเล็กน้อย ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่แวมไพร์ไม่ค่อยถูกกับแสงจากดวงอาทิตย์เพราะมันทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดลงถึงแม้ว่าพวกเราสามารถไปไหนมาไหนตอนกลางวันได้ก็ตามที

     

     

    ผมควานหานาฬิกาพกบนใกล้โต๊ะบริเวณหัวเตียงเปิดฝาตลับดูเวลาด้วยความงัวเงียเล็กน้อย อืม...6 นาฬิกากับอีก 3 นาที สายไปนิดสำหรับพ่อบ้านแต่ทำอย่างกับว่าผมสนอย่างนั้นแหละก็ในเมื่อ...

     

     

    ไม่ๆ อย่าไปนึกถึง 'ไอ้ปีศาจไร้หัวใจ' นั่นเด็ดขาด! 

     

     

    ยิ่งนึกถึงผู้ชายคนนั้นมากเท่าไหร่ผมยิ่งรู้สึกรังเกียจ ขยะแขยง และสมเพชในความอ่อนแอมากเท่านั้น ผมยอมรับว่าตัวผมในตอนนี้อ่อนแอและน่าสมเพชมากแค่ไหนที่ไม่มีพลังอำนาจต่อกรกับผู้ชายคนนั้น ทำได้แค่โกรธเกลียดและเก็บซ่อนความคลุ้มคลั่งที่ทำให้ร่างกายแทบจะแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

     

     

    แต่เหนือกว่าสิ่งใด การ 'ปกป้อง' ครอบครัวของผม คือสิ่งสำคัญและจุดมุ่งหมายในชีวิตของผม 

     

     

    ถ้าหากไม่มีมันผมคงไม่ได้รับการอภัยจากบาปที่ผมเคยทำเอาไว้เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่เป็นแน่...

     

     

    เมื่อผมขยับตัวลงจากเตียงเพื่ออาบน้ำผมต้องกัดฟันกรอดเมื่อความเจ็บปวดจากช่วงล่างแล่นพรวดอย่างรวดเร็วจนแทบทรุด อดทนกลืนเสียงร้องของตนเองลงไปเพื่อไม่ให้มีแวมไพร์ตนไหนได้ยินก่อนพยายามลากสังขารตนเองออกจากเตียงที่ยับยู่ยี่เข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระกายให้สะอาด

     

     

    ผมเดินไปเปิดก๊อกน้ำบนอ่างและในขณะที่รอน้ำประมาณครึ่งอ่างผมเห็นภาพสะท้อนในกระจกที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับผม 

     

     

    ภาพที่กระจกสะท้อนออกมาเห็นร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มผมยาวสีขาวปลอดค่อนข้างยุ่ง ดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์ฉายแววเหนื่อยล้าอ่อนแรง ตามเนื้อตัวของเขานั้นมีทั้งรอยจ้ำและรอยกัดสีแดงประปรายจนดูน่ากลัว มันจะน่ากลัวกว่านี้แน่ถ้ากระจกฉายด้านหลังตรงบริเวณสะโพกที่มีรอยช้ำเป็นรอยมือ

     

     

    ทำเวลาไหนไม่ทำมาทำเอาตอนคืนเดือนมืดซะได้ แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะในเมื่อช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่แวมไพร์อ่อนแอและเป็นโอกาสเดียวที่จะ 'ฆ่า' ราชันย์แห่งแวมไพร์อย่างคาร์ลไฮนซ์ได้ซึ่งนั่นก็คือหนึ่งในเป้าหมายของผม

     

     

    แต่ถึงจะบอกแบบนั้นแต่ผมก็พลาดมาหลายครั้งในคืนเดือนมืดราวกับอีกฝ่ายรู้ทันความคิดของผมและสุดท้ายผมก็ถูกคาร์ลไฮนซ์ 'ลงโทษ' จนมีสภาพน่าอเนจอนาถอย่างที่เห็นในกระจก

     

     

    อันที่จริงแวมไพร์อย่างพวกเรามีความสามารถในการฟื้นฟูบาดแผลได้อย่างรวดเร็วแต่ดูเหมือนว่าไอ้แก่ตัณหากลับนั่นทำอะไรบางอย่างกับร่างกายผมทำให้แผลหายช้าเกินกว่าที่ควรจะเป็น

     

     

    ยิ่งเป็นคืนเดือนมืดยิ่งไม่ต้องพูดถึง สภาพที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้เหมือนถูกคนถูกทารุณกรรมและถูกทิ้งขว้างไม่มีใครเห็นใจหรือสนใจใยดีแม้แต่น้อยจนมีสภาพน่าสังเวชแบบนี้

     

     

    เหนื่อยล้า อ่อนแรง บอบช้ำ แตกสลายราวกับดอกไม้ใกล้ตายที่กำลังโรยรากลับลงสู่ผืนดินอย่างนั้นอย่างนั้น...

     

     

    "สกปรก..." สายตาที่ผมมองตนเองในกระจกเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ สมเพชในความอ่อนแอ และรังเกียจตนเองที่ถูกผู้ชายคนนั้นเหยียบย่ำศักดิ์ศรีได้อย่างง่ายดายจนแทบอยากหาอะไรมาขว้างใส่กระจกให้แตกเพื่อไม่เห็นเงาสะท้อนตัวตนอันอัปลักษณ์เหล่านี้ ตัวของผมนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคาร์ลไฮนซ์ที่ทำร้ายและบดขยี้หัวใจคริสต้าน้องสาวของผมให้แหลกสลายไม่มีผิด

     

     

    ลองคิดดูสิว่าพี่ชายที่ตนเองรักและเคารพไปมีความสัมพันธ์กับสามีของตนเองถ้าไม่เจ็บปวดจนกลายเป็นบ้าก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรแล้ว...

     

     

    ผมพยายามนับตัวเลขภายในใจสูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ที่กำลังพลุ่กพล่านให้สงบลงจากนั้นผละออกจากกระจกหย่อนเรียวขาที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบขึ้นประปรายก้าวลงไปในอ่างอาบน้ำ

     

     

    เรื่องพวกนั้นเอาไว้ก่อนเพราะว่าวันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมจะต้อง...

     

     

    "รับศึกหนักกับผู้หญิงสองคนนั้นอีกแล้วเหรอเนี่ย? เฮ้อ..." ผมถอนหายใจเบาๆ อย่างเหนื่อยหน่ายขณะอาบน้ำชำระกาย ยามนึกถึงผู้หญิงตัวปัญหาสองคนนั้นทีไรผมรู้สึกห่อเหี่ยวใจขึ้นมาทันทีหนักกว่าคริสต้าที่ถูกคุมขังในหอคอยก็ภรรยาทั้งสองคนของราชาแวมไพร์เจ้าเล่ห์นั่นแหละ จ้องหาเรื่องผมไม่เว้นวันทันทีที่พบเจอจนผมเอือมระอาเต็มทนแล้ว

     

     

    สองคนนั้นน่ะวันๆ หนึ่งถ้าไม่หาเรื่องผมนี่จะตายให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ดูเหมือนวันนี้จะโชคดีแฮะที่ไม่ได้เจอกับผู้หญิงสองคนนั้นน่ะ...

     

     

    ความจริงวันนี้ผมต้องตื่นเช้าจัดเตรียมโต๊ะอาหารพร้อมคอยบริการภรรยาทั้งสองของคาร์ลไฮนซ์รวมไปถึงบรรดาลูกชายทั้งหกคนของเขาด้วยแต่เพราะวันนี้ผมตื่นสายก็เลยขอให้พ่อบ้านคนอื่นมาคอยทำหน้าที่แทนผมแล้วถึงมันจะดูไร้ความรับผิดชอบแต่สังขารผม ณ ตอนนั้นมันไม่ไหวแล้วจริงๆ ผมหยิบนาฬิกาพกประจำตัวออกจากกระเป๋าดูเวลาเพื่อตรวจดูตารางเวลาในการทำงานแต่ละวันของผม

     

     

    ตอนนี้ก็ใกล้เวลาเรียนของอายาโตะแล้วสินะ...

     

     

    เมื่อนึกถึงเด็กชายตัวเล็กผมแดงคนนั้นทีไรผมรู้สึกสงสารเขาจริงๆ ที่ใช้ชีวิตอยู่กับกองหนังสือแทนที่จะได้เล่นกับคนอื่นตามประสาเด็กธรรมดาทั่วไปแถมโดนกรอกหูจากแม่ของเขาตลอดเวลาจะว่าต้องเป็นที่หนึ่งห้ามแพ้ใครเป็นอันขาด พอเขาไม่ชนะหรือดื้อกับแม่ของตนเองทีไร 'คอร์เดเลีย' หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นภรรยาคนแรกของคาร์ลไฮนซ์และแม่ของอายาโตะมักจะลงโทษเขาด้วยวิธีการที่โหดร้ายเสมอ

     

     

    อย่างเช่นจับขังคุกใต้ดินปล่อยให้อดอาหารเป็นเวลาหลายวัน คอยคุมเขาให้อ่านหนังสือโดยไม่ให้หลับไม่ให้นอนพอทำท่าจะหลับก็ทำร้าย ล่าสุดก็จับโยนลงทะเลสาบทั้งที่เขาว่ายน้ำไม่เป็นเลยและดูเหมือนเจ้าหล่อนจะชอบวิธีนี้เลยใช้เป็นบทลงโทษบ่อยครั้ง เดือดร้อนผมกระโจนไปช่วยเขาเกือบทุกครั้งยามผ่านทางตลอดและแน่นอนว่าผมก็โดนผู้หญิงคนนั้นเกลียดไปตามระเบียบ

     

     

    อันที่จริงผมทำเป็นไม่สนเขาก็ได้แต่เพราะผมมีศักดิ์เป็นอาของเขาทำให้ผมปล่อยวางเขาไม่ได้ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่อาของเขาโดยตรงเหมือนกับริชเตอร์ก็ตาม

     

     

    "อีก 10 นาทีข้างหน้ารถม้าของนิโคลัสคงจะมาถึงลัดไปทางสวนก็แล้วกัน" นิโคลัสที่หมายถึงคืออาจารย์สอนพิเศษของอายาโตะที่คอร์เดเลียจ้างวานมาและแน่นอนว่าก็เป็นหนึ่งในบรรดาชู้รักของคอร์เดเลียเช่นกัน เพราะเป็นคนของผู้หญิงคนนั้นเลยเป็นหนึ่งในคนที่ไม่น่าเคารพเท่าไหร่นักสำหรับผม

     

     

    ผมเดินออกข้างนอกพยายามปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงสว่างเพราะนอกปราสาทมันเป็นที่โล่งทำให้แสงสว่างเยอะกว่าและอย่างที่ผมเคยบอกว่าแวมไพร์ไม่ค่อยถูกกับแสงแดดเพราะมันทำให้ความสามารถในการมองเห็นของพวกเรานั้นลดลงตามไปด้วย

     

     

    เพราะผมมัวแต่ปรับสายตาตนเองหรือเพราะบุคคลที่สามไม่มองทางกันแน่ทำให้ผมกับเขาปะทะกันเต็มๆ ซึ่งฝ่ายนั้นถอยผงะออกมาทั้งที่ผมยังคงยืนตรงคาดว่าคนตรงหน้านี้แรงน้อยกว่าผมแน่นอน เมื่อผมปรับสายตาตนเองได้แล้วจึงก้มมองดู

     

     

    บุคคลปริศนานั้นเป็นเด็กชายผมสีบลอนด์สวมเสื้อนอกเนื้อดีสีฟ้าแบบลูกขุนนางซึ่งดวงตาสีฟ้ากลมโตนั้นแดงก่ำเต็มไปด้วยคราบน้ำตาซึ่งสีผมและสีตาของเขานั้นเหมือนกับภรรยาคนที่สองของคาร์ลไฮนซ์ 'เบียทริกซ์' ไม่มีผิดเพี้ยน

     

     

    "นายน้อยชู เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?" ผมย่อตัวลงอยู่ในระดับสายตาของเด็กคนนี้ถามเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนส่งยิ้มบางให้เขาเป็นการปลอบประโลม

     

     

    "เบียคุยะ ละ...ลูกหมา..." ลูกหมา?

     

     

    "ละ...ลูกหมาที่เอ็ดการ์มอบให้ผมถูกท่านแม่สั่งให้เอาไปทิ้งแล้ว" เด็กชายที่ผมเรียกว่านายน้อยชูนั้นกำมือแน่นพยายามกลั้นน้ำตาตนเองไว้ ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าสามารถนำลูกหมาตัวนั้นกลับมาได้หรือไม่เพราะคนรับใช้คนนั้นเป็นคนรับใช้ของเบียทริกซ์ต่อให้พูดจากันด้วยหลักเหตุและผลมากแค่ไหนสุดท้ายคำสั่งของเบียทริกซ์นั้นเหนือกว่าทุกสิ่ง

     

     

    และเบียทริกซ์เองก็เป็นผู้หญิงใจแข็งใช่เล่นอยู่เหมือนกัน ดังนั้นต่อให้ผมยกเหตุผลร้อยแปดมามากแค่ไหนตราบใดที่เบียทริกซ์ไม่คิดจะให้ก็อย่าหวังว่าจะให้อย่างเด็ดขาด

     

     

    "แล้วลูกหมาหน้าตาเป็นอย่างไรขอรับ?" ผมถามชูพยายามลูบศีรษะคอยปลอบเขาแน่นอนว่าชูตอบลักษณะของลูกหมาตัวนั้น เท่าที่ผมฟังแล้วลูกหมาตัวนั้นน่าจะเป็นเยอรมัน เชพเพิร์ด ซึ่งเป็นหมาสายพันธุ์ที่ทนทรหดและค่อนข้างดุอยู่พอสมควรเลยทีเดียว 

     

     

    "มันจะตายไหม?" เด็กชายถามผมจึงส่ายหน้าเป็นคำตอบให้แก่เขา

     

     

    "เยอรมัน เชพเพิร์ดน่ะเป็นสุนัขที่แข็งแรงว่องไวและเฉลียวฉลาดมาก ดังนั้นมันไม่ตายง่ายๆ หรอกขอรับ นายน้อยชู"

     

     

    "จะ...จริงๆ นะ! เบียคุยะห้ามโกหกนะ!!" ชูเริ่มยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความรู้สึกใจชื้นเมื่อรู้ว่าสุนัขของเอ็ดการ์เด็กชายเพื่อนสนิทของเขานั้นไม่ตายง่ายๆ

     

     

    "จริงขอรับ กระผมเองจะคุยกับพ่อบ้านคนนั้นให้ขอลูกหมาตัวนั้นมาขอรับ" อันนี้ผมไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะพ่อบ้านรับใช้ของเบียทริกซ์ไม่มีทางให้ลูกหมากับผมแน่นอนยิ่งเป็นคนที่เจ้านายเกลียดเข้าไส้ด้วยแล้วยิ่งไม่อยากเสวนากับผมใหญ่เลย

     

     

    แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้หรอก ถ้าเกิดการเจรจาล้มเหลวขึ้นมาสิ่งที่ผมทำได้มากที่สุดก็แค่ตามหาลูกหมาที่ถูกพ่อบ้านคนนั้นเอาไปทิ้งไว้แล้วส่งกลับคืนให้เอ็ดการ์เท่านั้นเพราะเท่าที่ดูจากลักษณะนิสัยของแล้วเบียทริกซ์ไม่น่าใจไม้ไส้ระกำฆ่าลูกหมาตัวนั้นได้ลงคอเหมือนคอร์เดเลียหรอก

     

     

    รายนั้นน่ะอำมหิตของแท้ขนาดโยนลูกตัวเองลงทะเลสาบแล้วปล่อยทิ้งไว้ได้ลงคอถึงแม้จะรู้ว่าลูกตนเองนั้นไม่มีทางตายด้วยเรื่องแบบนี้ก็ตามกับแค่ลูกหมาตัวหนึ่งจะเหลือหรือ?

     

     

    "ตะ...แต่ว่าท่านแม่...แล้วก็เอ็ดการ์..." ชูเริ่มมีสีหน้าวิตกกังวลเล็กน้อยเมื่อนึกถึงใบหน้าอันเย็นชาแสนน่ากลัวของแม่ตนเองและใบหน้าผิดหวังเอ็ดการ์เพื่อนสนิท

     

     

    "ไม่ต้องห่วงขอรับ ผมไม่ได้บอกว่านำมันมาให้นายน้อยเสียหน่อย เรื่องลูกหมาตัวนั้นกับเอ็ดการ์ผมจะจัดการให้เองไม่มีอะไรต้องกังวลไป บางทีเอ็ดการ์อาจจะหาบ้านใหม่ที่ดีให้กับมันก็ได้และเมื่อถึงตอนนั้นนายน้อยก็แอบไปหามันอย่างลับๆ ไม่ต้องบอกให้ใครรู้ เป็นความลับระหว่างเราสองคนดีไหมขอรับ?" ผมว่าแล้วขยิบตาให้เล็กน้อยสะท้อนถึงความขี้เล่นภายในตัว จากนั้นดวงตาสีฟ้าของชูเป็นประกายวาวกลับมาสดใสเหมือนท้องฟ้าอีกครั้งทันทีก่อนพยักหน้ารัวๆ เห็นด้วยกับความคิดของผม

     

     

    สำหรับชู ผมเป็นคนที่ค่อนข้างให้อิสระกับเขามากเลยทำเดียวทำให้เวลาอยู่กับผมเขารู้สึกอบอุ่นและไว้ใจ เป็นตัวของตนเองมากที่สุดซึ่งสังเกตได้จากการที่ชูเรียกผมว่าเบียคุยะด้วยน้ำเสียงสดใสโดยไม่มีการเติมคุณหรือสรรพนามอะไรก็ตามที่ทำให้รู้สึกห่างเหิน 

     

     

    ถึงแม้จะดูไม่สุภาพสำหรับการพูดแบบนั้นกับผู้อาวุโสกว่าแต่ทางผมเองก็ไม่ค่อยใส่ใจอะไรมากนักที่หลานตัวเองไม่ได้เรียกผมอย่างสุภาพเพราะภาพลักษณ์ภายนอกของผมเป็นชายอายุยี่สิบกว่าๆ ได้ทั้งที่จริงอายุผมปาไปหลายร้อยกว่าปีแล้ว

     

     

    และที่สำคัญทุกคนในปราสาทไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของผมนั้นคือใครดังนั้นไม่แปลกใจว่าทำไมเขาและพี่น้องคนอื่นถึงยังคงเข้าใกล้ผมอยู่...

     

     

               อ้อ...แต่ก็ยกเว้นบางคนที่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของผมนั้นคือใครน่ะนะ

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    สูงเหนือจากพื้นดินขึ้นไปนั้นเป็นทางเดินกุหลาบขาว...

     

     

    เหตุที่เรียกว่าทางเดินกุหลาบขาวนั้นเพราะทางเดินทั้งสองฝากนั้นเต็มไปด้วยกุหลาบขาวทอดยาวไปจนถึงหอคอยสูงแห่งหนึ่งส่งกลิ่นหอมหวานอบอวลเมื่อสายลมพัดผ่านพากลิ่นหอมพร้อมกลีบดอกไม้สีขาวแสนบริสุทธิ์ล่องลอยไปตามสายลม ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นทิวทัศน์ที่งดงามยามตะวันและทวีความงามยิ่งกว่าเมื่อยามราตรี

     

     

    ทว่าความงดงามทิวทัศน์เหล่านั้นหรือจะสู้ความงามของอิสตรีผู้ถูกขนานนามว่า 'กุหลาบขาว' ของเหล่าแวมไพร์

     

     

    คล้ายเรื่องเล่านิทานปรัมปราของมนุษย์...เจ้าหญิงผู้เลอโฉมถูกราชาปีศาจจับขังไว้ในหอคอยโดยมีมังกรยักษ์อันแสนชั่วร้ายน่าเกรงขามคอยเฝ้าหอคอยนั้นเอาไว้ เจ้าหญิงผู้แสนบอบบางนั้นได้แต่รอความช่วยเหลือแล้วทันใดนั้นเองก็มีเจ้าชายขี่ม้าขาวที่ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ เพื่อมาช่วยเจ้าหญิง จนในที่สุดเจ้าชายก็โค่นล้มราชาปีศาจช่วยเหลือเจ้าหญิงออกมาและครองคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป

     

     

    แต่ว่านั่นน่ะมันก็แค่นิทานเพ้อฝันของมนุษย์ที่กล่อมให้เด็กนอนหลับฝันดี สิ่งที่เกิดขึ้นและความจริงอันโหดร้ายนั้นถ้าจะให้นิยามตามแบบเรื่องเล่านิทานนั้นก็คงเปรียบเสมือนนิทานของสองพี่น้องตระกูลกริมม์อย่างไม่ต้องสงสัย

     

     

    เป็นความจริงที่เด็กชายผมสีขาวบริสุทธิ์นั้นเกลียดมากที่สุด...

     

     

    ดวงตาสีแดงกลมโตอันเศร้าสร้อยราวกับทัมทิมอันหม่นหมองมองไปยังข้างบนตรงหน้าต่างติดลูกกรงอย่างแน่นหนา พลันนั้นเองสิ่งที่ปรากฎออกมาเป็นร่างอันบอบบางของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้านั้นแทบจะเป็นสีขาวราวกับกุหลาบที่ปลูกตามข้างทาง ถ้าหากไม่มีดวงตาสีแดงทับทิมเฉกเช่นเดียวกับเด็กชายและชุดกะโปรงยาวที่มีสีดำตัดกับเนื้อผ้าสีขาว เธอผู้นั้นคงจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพุ่มกุหลาบขาวตามทางเดินเป็นแน่

     

     

    หญิงสาวผู้งดงามราวกับกุหลาบนั้นคือ 'คริสต้า' ผู้มีศักดิ์เป็นภรรยาคนที่สามของคาร์ลไฮนซ์และแม่ของเด็กชายคนนั้น

     

     

    ดวงตาสีแดงอันเรียบนิ่งไร้ซึ่งวิญญาณเหม่อมองมายังเด็กชายแค่แวบเดียวจากนั้นก็เดินกลับเข้าไปข้างในราวกับบนทางเดินข้างล่างนั้นไม่เคยมีใครอยู่เลยตั้งแต่แรก

     

     

    เด็กชายก้มหน้าลงด้วยความเศร้าสลดจากนั้นมีดเงินแกะสลักลวดลายสวยงามที่อยู่ในมือนั้นตกลงบนพื้นส่งเสียงเล็กน้อยก่อนเสียงนั้นถูกกลืนหายไปพร้อมกับสายลม

     

     

    ทำไม่ได้...ผมขอโทษที่ทำตามความต้องการของท่านแม่ให้ไม่ได้...

     

     

    เด็กชายอยู่ภายในห้วงภวังค์ความคิดชั่วขณะ คำพูดเหล่านั้นวนเวียนอยู่ภายในหัวของเขาวนไปวนมาราวกับถูกกรอเทปเล่นซ้ำๆ หลายหน เป็นการตอกย้ำถึงความไม่เอาไหนและความไร้ค่าของเขาที่ทำตามความต้องการของคนที่เขารักไม่ได้

     

     

    แต่ถ้าจะแย่กว่าเด็กชายคนนั้นก็คงเป็นตัวผมเองที่ทำให้คริสต้ากลายเป็นแบบนี้...

     

     

    "สุบารุ..." เสียงของผมเอ่ยเรียกชื่อของเด็กชายทำให้เขากลับออกมาจากวังวนแห่งภวังค์ ดวงตาสีแดงทับทิมเฉกเช่นเดียวกับคริสต้าน้องสาวฝาแฝดจ้องมองมายังดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์แล้วจากนั้นมองมาที่มือของผมซึ่งมีมีดเงินที่เขาทำตกเอาไว้

     

     

    "ถึงสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ปลิดชีวิตแวมไพร์ก็จริงแต่ก็เป็นของสำคัญของแม่เธอนะอย่าทำมันหล่นง่ายๆ แบบนั้นสิ สุบารุ"

     

     

    "ท่านลุงมิไฮนซ์..." สุบารุ ลูกชายของ 'คริสต้า' ภรรยาคนที่สามของคาร์ลไฮนซ์และน้องสาวฝาแฝดของผมเอ่ยนามแท้ของผมออกมาก่อนรับมีดกลับไป

     

     

    และนี่ก็คืออีกคนนอกจากคาร์ลไฮนซ์ที่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของผมคือใคร...

     

     

    ผมรู้ดีว่าการที่มีคนรู้ตัวตนที่แท้จริงของผมนั้นมันอันตรายมากแค่ไหนหากคาร์ลไฮนซ์จับได้ว่าผมแอบบอกชื่อและตัวตนที่แท้จริงออกมา ผมรู้ว่าคาร์ลไฮนซ์จะต้องไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ผมทำอะไรนอกลู่นอกทางหรือทำอะไรที่อยู่เหนือเกินความคาดหมายเขาแบบนี้ซึ่งเดิมทีผมมันก็เป็นตัวป่วนแผนการของเขาอยู่แล้ว

     

     

    แต่ครั้งนี้ต่างออกไป...คาร์ลไฮนซ์มีคริสต้าและสุบารุเป็นตัวประกันบวกกับเจ้านั่นทำพันธะโลหิตกับผมซึ่งแน่นอนว่าเป็นพันธสัญญาที่คาร์ลไฮนซ์ยัดเยียดมาให้ผมโดยที่ผมไม่เต็มใจซึ่งพันธสัญญานี้ทำให้ผมเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยสมบูรณ์จนผมไม่สามารถเคลื่อนไหวอะไรได้มากนัก

     

     

    ผมจำรสชาติเวลาคาร์ลไฮนซ์ใช้พันธะโลหิตนั้นลงโทษผมได้อย่างดีเมื่อตอนที่ผมแอบลักลอบไปยังปราสาทแห่งหนึ่งที่คุมขังพวกเฟิร์สบลัดหรือเรียกอีกอย่างว่าพวก 'ต้นตระกูล' เอาไว้ เพื่อทำลายบาเรียและคิดจะเจรจากับพวกเขาให้มาโค่นล้มคาร์ลไฮนซ์

     

     

    แต่สุดท้ายตอนที่ผมใกล้จะแก้เวทมนตร์เพื่อทำลายบาเรียสำเร็จแล้วเขาจับผมได้และแน่นอนว่าผมโดนพันธะโลหิตลงโทษไปตามระเบียบ

     

     

    ตอนนั้นน่ะเจ็บปวดเจียนตาย ร่างทั้งร่างของผมเหมือนถูกสัตว์ร้ายรุมกระหน่ำกัดกินผมทั้งเป็น ก้อนเนื้อในอกซ้ายของผมถูกบีบรัดและทิ่มแทงคล้ายมีหนามกุหลาบพันรอบนอกของหัวใจอย่างแน่นหนา ไม่ว่าผมกรีดร้องระบายความเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ไม่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้เลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

    ผมนั้นทั้งเจ็บปวดทั้งกรีดร้องจนแทบจะไม่มีแรงดิ้นทุรนทุรายและแทบจะไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาทำได้แต่นอนขดตัวงอคล้ายทารกที่อยู่ในครรภ์มารดากุมอกซ้ายตนเองแน่นพยายามลืมความเจ็บปวด จนในที่สุดผมหมดสติไปด้วยสภาพที่ไม่น่ามองนัก

     

     

    สิ่งที่ผมจำได้ติดตาไม่มีวันลืมก็คือรอยยิ้มอันพึงพอใจของคาร์ลไฮนซ์...

     

     

    ถึงเจ้าราชาแวมไพร์โรคจิตนั่นสั่งให้ผมห้ามบอกใครเรื่องตัวตนที่แท้จริงของผมก็เถอะแต่ว่าผมไม่ใช่คนที่อยู่ในโอวาททำตัวเป็นเด็กดีเชื่อฟังคำสั่งหมอนั่นแบบหน้ามืดตามัวเหมือนเบียทริกซ์หรือปีศาจรับใช้ตนอื่นเสียหน่อย ที่สำคัญเด็กคนนี้คือลูกชายของน้องสาวที่ผมรักและเป็นสายเลือดทางฝั่งผมมากกว่าทางฝั่งของหมอนั่น ดังนั้นอย่าแปลกใจเลยว่าทำไมผมถึงขัดคำสั่งของคาร์ลไฮนซ์ได้อย่างง่ายดายถึงแม้ว่าการร่วมรักกันระหว่างเครือญาตินั้นจะเป็นสิ่งที่ผมรังเกียจและรับมันไม่ได้มากที่สุดก็ตามที

     

     

    ก็ตัวผมน่ะไม่ใช่ 'หมารับใช้' ผู้ซื่อสัตย์แต่เป็น 'อสรพิษ' ที่แว้งกัดเจ้าของได้ทุกเมื่อของคาร์ลไฮนซ์นี่นา

     

     

    "ท่านลุงไม่ใช่ว่าต้องไปรับครูสอนพิเศษของอายาโตะหรอกเหรอ?" เด็กชายถาม

     

     

    "แค่ไปต้อนรับหน้าประตูก็ถือเป็นเกียรติสำหรับเขามากพอแล้วที่เหลือให้คนอื่นจัดการเอาเอง คนๆ นั้นน่ะไม่มีค่าพอให้ลุงเสียเวลาอยู่นานด้วยหรอก" ผมพูดจากใจจริง ผู้ชายของคอร์เดเลียน่ามันน่ารังเกียจกันทั้งนั้นไม่มีความน่าเคารพเอาซะเลยพอๆ กันกับเจ้าหล่อนที่ทำตัวเหมือนผึ้งนางพญามีผู้ชายรายล้อมเอาอกเอาใจอยู่เรื่อย

     

     

    อ้อ...รวมไปถึง 'ริชเตอร์' ผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายของราชาแวมไพร์และเป็นลูกพี่ลูกน้องอีกคนของผมด้วยรายนั้นน่ะหนักเอาการอยู่เหมือนกันที่ยอมเป็นชู้ลับกับภรรยาพี่ชายตนเองลับหลังอยู่แบบนี้

     

     

    แต่ถ้าถามว่าใครน่ารังเกียจมากที่สุดในสายตาของผม ผมตอบได้เต็มปากเลยว่า 'คาร์ลไฮนซ์'

     

     

    "แต่ว่า..."

     

     

    "ไม่มีแต่สุบารุ ถ้าหากลุงอยากเอาเวลาไปใช้กับอะไรมากที่สุดลุงอยากตอบว่าอยากใช้เวลากับครอบครัวของลุงให้มากที่สุด ทั้งคริสต้า ชู เรย์จิ อายาโตะ คานาโตะ ไลโตะ รวมไปถึงสุบารุ หลานสุดที่รักของลุงด้วยนะ" ยอมรับว่าการเรียกตัวเองว่า 'ลุง' มันรู้สึกจี๊ดๆ เหมือนรู้สึกว่าตัวเองแก่หงำเหงือกยังไงก็ไม่รู้ 

     

     

    แต่ทำอย่างไรได้ล่ะก็ในเมื่อเด็กชายผมขาวตรงหน้าผมนี้รักผมกับคริสต้ามากกว่าพ่อของเขาเยอะเลยทำให้เขานับญาติทางฝ่ายแม่มากกว่าทางฝ่ายพ่อซึ่งทางฝั่งแม่ผมมีศักดิ์เป็นลุงของเขาแต่ถ้าทางฝั่งพ่อก็มีศักดิ์เป็นอาของเขาและลูกคนอื่นๆ ของคาร์ลไฮนซ์

     

     

    "แต่ผม...ผมน่ะมัน 'สกปรก' ผม..." ก่อนที่สุบารุจะพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับตนเองไปมากกว่านี้ นิ้วชี้ของผมหยุดอยู่ตรงริมฝีปากบอกเป็นนัยให้เขาเงียบ ผมส่ายหน้าให้เขาอย่างเชื่องช้าดวงตาสีอะเมทิสต์ของผมลืมตาขึ้นสบมองตรงกับดวงตาสีแดงทับทิมสวยงามซึ่งถอดแบบมาจากคริสต้าไม่มีผิดเพี้ยน

     

     

    "ลุงบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าพูดแบบนี้ นั่นคือมโนภาพแห่งตัวตนที่หลานมองเห็นตัวเองเป็นแบบนั้นเหรอ? หลานคิดว่านั่นคือตัวตนที่เป็นจริงของหลานเหรอ? หรือว่าเป็นตัวตนที่หลานมองเห็นกันแน่? ลองคิดพิจารณาถามใจตนเองดูก่อนที่จะตอบ" ผมกล่าวออกไปพร้อมผละนิ้วมีออกจากปากของเด็กชายเป็นเชิงอนุญาตให้เขาพูดต่อ

     

     

    "ผมไม่เข้าใจที่ท่านลุงพูดเลย..." สุบารุถามด้วยความไม่เข้าใจ บางที...วิชาจิตวิทยาของมนุษย์เป็นเรื่องที่เข้าใจยากสำหรับแวมไพร์ก็ได้ล่ะมั้ง?

     

     

    "สิ่งที่คิดอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น สิ่งที่เป็นไม่อาจใช่สิ่งที่ทำ สิ่งที่ทำอาจไม่ใช่สิ่งที่คิด คาร์ล โรเจอร์..." สุบารุเอียงคองุนงงด้วยความสงสัยว่า คาร์ล โรเจอร์ ที่ผมกล่าวถึงนั้นหมายถึงใครซึ่งเป็นภาพที่น่ารักมากสำหรับผมเลยทีเดียวที่หลานชายสุดที่รักของผมจะทำแบบนี้ 

     

     

    นานๆ ทีสุบารุจะทำท่าทางแบบนั้นเพราะส่วนใหญ่ผมมักจะเห็นเขาเศร้าสร้อยและเหม่อลอยคล้ายใจไปอยู่ที่อื่นเวลาอยู่คนเดียวโดยไม่มีผมอยู่เคียงข้างซึ่งแน่นอนว่าผมทราบดีว่าใจของเขาไปอยู่ที่ใครเพราะใจของผมเองก็ไปอยู่ที่นั่นเหมือนกัน

     

     

    "มันก็เหมือนกับการที่เราพูดว่าเรารักใครหนึ่งและมันจะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าคนผู้นั้นไม่ได้ทำ การบอกรักจะไร้ค่าถ้าปราศจากการเอาใจใส่ การแสดงออกที่มั่งคง คำๆ นั้นน่ะจะมีความหมายเมื่อผ่านการแสดงออกไม่ใช่เพียงแค่รำพึงรำพันถึงมัน"

     

     

    สุบารุนิ่งเงียบไปคล้ายจะรอฟังผมพูดต่อและผมก็พูดต่อตามที่เด็กชายผู้มีศักดิ์เป็นหลานชายของผมนั้นต้องการ

     

     

    "หลานน่ะอย่าให้ใครมาตัดสินเอาเองว่าหลานนั้นสกปรกจนเก็บมาเป็นตัวตนที่หลานมองเห็นซึ่งตัวตนที่มองเห็นนั้นอาจจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ได้ หลานจะเจ็บ จะรู้สึกผิดก็ได้แต่อย่าให้มันมาลดคุณค่าในตนเองของหลานเด็ดขาด คำว่า 'สกปรก' มันจะไม่มีความหมายเลยถ้าคนผู้นั้นไม่ได้ทำ"

     

     

    พูดไปก็เจ็บไปอยู่เหมือนกัน...ทฤษฏีบุคลิกภาพของคาร์ล โรเจอร์ทำร้ายผมมากตอนที่อ่านมันครั้งแรกแต่ผมก็ยอมรับว่ามันก็จริงอย่างที่ผมกล่าวน่ะนะ 

     

     

    คำว่า 'สกปรก' มันจะไม่มีความหมายเลยถ้าคนผู้นั้นไม่ได้ทำ...แปลว่าผม 'สกปรก' ของจริงใช่ไหมนะ ถ้าหากสุบารุบอกว่าตนเองนั้นสกปรกแล้วอย่างผมจะเหลือเหรอ ผมน่ะยอมรับว่าผมสกปรกยิ่งกว่าสุบารุที่โทษตนเองเสียอีก 

     

     

    เพราะแบบนั้นผมถึงยอมใช้คำพูดที่ทำให้ตนเองนั้นเจ็บก็เพื่อสุบารุ ครอบครัวที่ผมรักอีกคน

     

     

    "หลานอาจจะยังไม่เข้าใจในตอนนี้แต่ภายภาคหน้าหลานจะต้องเข้าใจแน่ เอาเป็นว่า...หลานอยากจะฟังลุงเป่าโอคาริน่าไหม? โอคาริน่าเพื่อหลานรักของลุง"

     

     

    "ครับ! ท่านลุง" สุบารุหลานรักกลับมายิ้มอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมองไปทีไรทำให้ผมนึกถึงคริสต้าน้องสาวฝาแฝดสุดที่รักของผมเวลาเธอยิ้มเหมือนครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่พวกเรายังเด็กและมีความสุขมากกับการที่ได้เป็นพี่น้องกัน ผมมักจะเป่าโอคาริน่าทุกครั้งตามที่เธอร้องขอโดยเฉพาะเวลาเข้านอน

     

     

    "ถ้าอย่างนั้น...ไปยัง 'สถานที่ลับ' ของพวกเรากันเถอะ"

     

     

    ผมจับมือจูงหลานชายของตนเองเดินออกจากหอคอยสูง ผมแอบชำเลืองมองอีกฝ่ายเล็กน้อย สุบารุนั้นทั้งดวงตาทั้งริมฝีปากของเขานั้นยกยิ้มขึ้นออกมาคล้ายรู้สึกภูมิใจในตนเองว่าตนนั้นเป็นคนพิเศษสำหรับผมไม่มีใครมาแทนที่ได้รวมไปถึงลูกคนอื่นที่เหลือของคาร์ลไฮนซ์พ่อของตน 

     

     

    อันที่จริงผมก็ใส่ใจหลานคนอื่นๆ อยู่เหมือนกันแต่เพราะสุบารุเห็นด้านอ่อนโยนและผ่อนคลายของผมมากกว่าก็เลยคิดแบบนั้นแต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก

     

     

    ถ้าแค่สุบารุมีความสุขผมก็ดีใจแล้ว นั่นเท่ากับว่าผมทำตามคำสัญญาของคริสต้าก่อนที่จะกลายเป็นบ้าเป็นจริงได้เสียที

     

     

    เพราะผมมัวแต่สนใจเรื่องสุบารุและเพลงที่จะเป่าโอคาริน่าให้เขาฟังเพื่อเป็นการปลอบประโลมจิตใจ ทำให้ผมไม่ทันสังเกตเลยว่ามีดวงตาที่จับจ้องมองไปยังร่างของผมกับสุบารุจากที่ไกลด้วยความรู้สึกริษยาที่ปะทุขึ้นมาในจิตใจจากสายสัมพันธ์ที่ผมกับสุบารุนั้นมี

     

     

    ทำไม...เบียคุยะต้องให้ความสนใจสุบารุมากกว่าด้วย

     

     

    นั่นคือความรู้สึกของพี่น้องอีกห้าคนถึงแม้จะคนละนิสัยและฐานะแต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือความอิจฉาริษยาเมื่อคนที่ตนรักและอยากให้สนใจตนเพียงแค่คนเดียวนั้นสนใจน้องคนสุดท้องมากกว่าพวกเขาเพียงเพราะพวกเขาเห็นด้านอีกด้านของเบียคุยะน้อยกว่าสุบารุ

     

     

    และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของความบ้าคลั่งรูปแบบใหม่ในภายภาคหน้านั่นเอง...  

     

     

    ....................................................


    Let's Talk with Writer : 

    กลับมาลงตอนรีไรต์อย่างไวความจริงก็รีไรต์ตอนไว้ล่วงหน้าเป็นบางตอนแล้วล่ะก็เลยมาลงเร็วส่วนของ RAW ก็จะลงพร้อมๆ กันตอนเวลาประมาณ 5 ทุ่ม 15 นาทีทั้งสองตอนเลย (บทนำกับบทที่ 1) สำหรับตอนนี้ก็เป็นช่วงสมัยเด็กของบ้านซาคามากิตรงกับในอนิเมะตอนที่ 7 เป็นตอนที่ยุยเห็นอดีตของซาคามากิวัยเด็กซึ่งห่างกับตอนมิไฮนซ์คุงเป็นเด็กยาวมากแต่ก็มีลงสลับกับอดีตของเด็กๆ บ้านซาคามากิ

    สำหรับเรื่องนี้ก็จะติด TW เอาไว้ทุกตอนเพราะมันอาจจะมีมากกว่าที่ติดในแนะนำเรื่องก็เป็นได้ตรงส่วนแนะนำเรื่องเป็น TW ที่เราหามาทำเท่าที่จะหามาได้และครอบคลุมมากพอที่สุดแล้วล่ะ สำหรับเรื่องนี้จะไม่มีการ Romantize และ Normalize การกระทำผิดกฎหมายและผิดศีลธรรม เราจึงกำหนดให้มิไฮนซ์ 'เกลียด' คาร์ลไฮนซ์มากจนเข้ากระดูกดำจนอยากฆ่าให้ตายเลยทีเดียว ชนิดที่ว่าถ้ามีโอกาสลงมือฆ่าเมื่อไหร่มิไฮนซ์ก็จะทำอย่างไม่ลังเล สืบเนื่องมาจากวีรกรรมที่คาร์ลไฮนซ์ทำเอาไว้นั่นแหละแค่นั้นก็ทำให้มิไฮนซ์แค้นมากแล้ว 

    สิ่งที่มิไฮนซ์พูดกับสุบารุนั้นอิงจิตวิทยามาด้วยบางส่วนเพราะว่าเราเคยเรียนวิชาจิตวิทยาเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ซึ่งยอมรับว่ามันน่าสนใจ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Self-esteem หรือภาษาไทยคือ 'คุณค่าในตนเอง' นั่นเอง ซึ่งพี่น้องซาคามากินั้นมี Self-esteem ต่ำกันทุกคน คนที่มี Self-esteem ต่ำ มักจะต้องการพิสูจน์ตนเองหรือวิจารณ์คนอื่น ใช้คนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง บางคนอาจจะหยิ่งหรือดูถูกผู้อื่น ไม่มีความมั่นใจในตนเองว่าตัวเองมีจะคุณค่า หรือความสามารถ รวมไปถึงการยอมรับนั่นเอง กรณีสุบารุคือไม่มีความมั่นใจในตนเองว่าตนเองมีคุณค่าส่วนของมิไฮนซ์นั้นก็มองว่าตัวเองอ่อนแอเกินไปจนแพ้คาร์ลไฮนซ์เป็นสาเหตุที่ทำให้คริสต้าน้องสาวตัวเองกลายเป็นบ้าแถมมองว่าตนเองได้สร้างตราบาปให้ทั้งคริสต้าและสุบารุอีก 

    มิไฮนซ์น่ะเป็นคนที่มีความขัดแย้งในตัวอยู่เหมือนกันและเชื่อว่าหลายๆ คนก็มีความขัดแย้งในตัวเองแต่ก็นั่นแหละคือเสน่ห์ นี่คือการตีความแบบของเราอาจจะไม่ตรงกับที่คนอื่นคิดก็ได้เพราะมุมมองของคนๆ หนึ่งไม่สามารถตัดสินว่าคนนั้นจะต้องเป็นแบบนั้นจริงๆ ถ้าผิดพลาดประการใดเราจะพยายามปรับปรุงแก้ไขใหม่ให้มันดีขึ้นค่ะ

    สุดท้ายนี้ก็ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ^^

    TB
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×