NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Diabolik lovers] White Rose กุหลาบขาวของเหล่าแวมไพร์ (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #13 : White Rose 10 : ภาพลวงตา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.01K
      417
      15 พ.ย. 64

    White Rose 10

    ภาพลวงตา




    "กาลเวลาและความทรงจำในอดีตเป็นสิ่งหล่อหลอมให้คนๆ หนึ่งกลายเป็นคนในแบบที่ทุกคนเห็นจนถึงทุกวันนี้ ต่อให้อยากหลบหนีความทรงจำอันแสนเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่สุดท้ายมันจะย้อนกลับมากลายเป็นเงามืดตามหลอกหลอนคนผู้นั้นจนกระทั่งวันตาย..."



              ครั้งแรกที่สุบารุนั้นรู้ว่ามิไฮนซ์คือลุงแท้ๆ ของตนเองนั้นก็คือตอนที่เขาทำร้ายลุงของตนเอง



              ตัวเขาในวัยเด็กเขาจำได้แค่ว่าท่านแม่ของเขานั้นเป็นหญิงสาวที่งดงามดั่งกุหลาบขาวบริสุทธิ์ ในสายตาของสุบารุนั้นไม่มีอะไรงดงามเทียบเท่ากับท่านแม่คริสต้าของเขาแล้ว ท่านแม่ที่น่ารักและแสนใจดีที่มองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนยามถ่ายรูปคู่กับเขาและพ่อของเขาผู้มีศักดิ์เป็นราชาของเหล่าแวมไพร์ทั้งปวง คาร์ลไฮนซ์



              แต่แล้ววันที่กุหลาบขาวอันแสนงดงามนั้นร่วงโรยก็มาถึง ท่านแม่ของเขากลายเป็นบ้าอาละวาดไปทั่วจนต้องถูกขังไว้บนหอคอยอย่างเดียวดายเพราะผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของเขา สุบารุมักได้ยินท่านแม่พร่ำเพ้อคร่ำครวญหาถึงชายที่ไม่เคยแม้แต่จะเหลียวแลมองเธอเลยแทบใจจะขาด คำว่า 'รัก' ที่มาจากคำโป้ปดของชายคนนั้นเปรียบดั่งยาพิษเรื้อรังที่ออกฤทธิ์อย่างช้าๆ ทว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งยาพิษนั้นกลายเป็นยาพิษร้ายแรงฆ่าคนผู้นั้นให้ตายทั้งเป็น



              อ้อมกอดที่เคยกอดเขาด้วยความรัก น้ำเสียงอ่อนโยนที่เอ่ยออกมาด้วยความห่วงใย กลายเป็นมือที่ผลักไสไล่ส่งเขาออกไปด้วยความชัง น้ำเสียงที่เคยได้ยินกลายเป็นน้ำเสียงกรีดร้องคร่ำครวญด้วยความรวดร้าวเรียกร้องหาความตายเพื่อที่จะไม่ต้องเจ็บปวดทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็นแบบนี้อีก



              ตั้งแต่วินาทีนั้นสุบารุกลายเป็นแกะดำของบ้านไปโดยปริยาย...



              ในขณะที่พี่น้องคนอื่นมีแม่คอยอยู่กับพวกเขากันทุกคนยกเว้นเพียงเขาคนเดียวที่มีก็เหมือนไม่มีและเพราะเหตุนี้ทำให้เขาตกเป็นเป้าในสายตาของคนอื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะไปที่ไหนสุบารุมักจะได้ยินเสียงนินทาว่าร้ายไม่ก็สงสารแกมสมเพชที่เขามีแม่เป็นผู้หญิงบ้าส่วนพ่อก็ไม่สนใจใยดีเขาหลังจากที่แม่ของเขากลายเป็นบ้าทั้งที่ตนเองเป็นสาเหตุ คำพูดเหล่านั้นเขาได้ยินมาตลอดลับหลังตั้งแต่คนรับใช้หรือไม่ก็แม่ของพี่น้องคนอื่นโดยเฉพาะคอร์เดเลียภรรยาคนแรกของคาร์ลไฮนซ์ซึ่งคนนี้พิเศษหน่อยตรงที่หล่อนเยาะเย้ยถากถางแม่ของเขาตลอดทั้งต่อหน้าแล้วก็ลับหลัง 



              เขาโกรธเกลียดคนพวกนี้มาก อยากจะด่า อยากจะอาละวาด อยากจะทำร้ายคนที่นินทาว่าร้ายท่านแม่ของเขาทั้งที่คนพวกนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับท่านแม่



              แต่ที่โกรธยิ่งกว่าก็คงเป็นตัวเขาเองที่อ่อนแอไร้ซึ่งพลังทำให้ไม่สามารถปกป้องหรือทำอะไรเพื่อท่านแม่ได้เลย...


      

              "นายน้อยสุบารุ อาหารเย็นเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วขอเชิญนายน้อยไปรับประทานอาหารเย็นที่ห้องรับประทานอาหารด้วยขอรับ"



              ขณะอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดตอนเหม่อมองหน้าต่างบนหอคอยสูงพลันนั้นก็มีน้ำเสียงอันคุ้นเคยเรียกเขามาจากด้านหลัง คนที่อยู่ด้านหลังของเขาเป็นชายหนุ่มผมสีขาวปลอดดุจหิมะขาวโพลนที่ภายนอกดูอายุประมาณยี่สิบห้าปีได้ทั้งที่ความจริงอีกฝ่ายอายุมากกว่านั้น ดวงตาสีม่วงคล้ายอัญมณีเม็ดงามและรอยยิ้มนุ่มนวลที่ประดับบนใบหน้าทั้งยังอยู่ในชุดพ่อบ้านที่ดูแตกต่างจากคนอื่นเล็กน้อยทำให้เขารู้ได้ในทันทีเลยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร



              พ่อบ้านคนโปรดของท่านพ่อ นางามิตสึ เบียคุยะ...



              "อาหารเย็นเพิ่งทำเสร็จร้อนๆ เลย ถ้าไม่รีบไปกินเดี๋ยวมันจะเย็นไม่อร่อยเหมือนตอนทำใหม่ๆ นะขอรับ"



              "แล้วทำไมฉันจะต้องไปด้วยล่ะในเมื่อคนพวกนั้นไม่เคยเห็นหัวฉันมาตั้งแต่แรกแล้ว จะไปเพื่อเป็นตัวตลกในสายตาของพวกเขาหรือยังไง?" สุบารุกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองพร้อมวางมาดร้ายมองอีกฝ่ายเป็นศัตรูใส่ เขาไม่รู้ว่าชายคนนี้ต้องการอะไรแต่การที่อีกฝ่ายทำดีกับเขาตลอดอย่างที่ไม่ควรจะเป็นทั้งที่คนรับใช้คนอื่นต่างพากันหลบเลี่ยงไม่ก็นินทาเขาอยากสนุกปากแต่กลับกันคนๆ นี้ไม่ทำแบบนั้นอีกทั้งยังพยายามเข้าใกล้คอยดูแลเขาเป็นอย่างดี 



              เพราะแบบนี้มันทำให้เขาไม่ไว้วางใจอีกฝ่ายมากกว่าปีศาจรับใช้ที่อยู่ที่นี่เสียอีก



              ท่านพ่อของเขาก็เป็นแบบนั้นโกหกหลอกลวงอ้างว่ารักท่านแม่มองท่านแม่ด้วยสีหน้าอ่อนโยนทว่าความจริงแล้วเป็นคนเย็นชาโหดเหี้ยมและอำมหิตมากที่สุดทั้งยังเป็นคนผลักท่านแม่ตกนรกทั้งเป็นกับมือจนกลายเป็นบ้าร้องขอความตายเพื่อปลดปล่อยตัวเธอเองจากความทุกข์ทรมานที่ได้รับอยู่ตอนนี้



              ขนาดเจ้านายนิสัยแบบนี้กับคนใช้คนสนิทก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก...



              "ไม่ใช่แน่นอนขอรับ ตอนกลางวันนายน้อยสุบารุยังไม่ได้กินอะไรเลยถ้าปล่อยให้ท้องว่างแบบนี้มันไม่ดีนะขอรับ" เบียคุยะตอบปฏิเสธทั้งยังมองเขาด้วยความเป็นห่วงและความปรารถนาดี



              "อย่ามามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น! คิดว่าทำแบบนี้แล้วตัวเองจะสูงส่งกว่าคนอื่นหรือยังไงทั้งที่พวกแกทุกคนก็เหมือนกันหมด ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉันจะไปไหนก็ไปเลย!" สุบารุตวาดเสียงกร้าวไล่อีกฝ่ายไปอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ เดิมทีเขารู้สึกค่อนข้างเฉยชากับผู้ชายคนนี้ทว่านับตั้งแต่วันที่ท่านแม่กลายเป็นบ้าส่วนตัวเขาถูกทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวปีศาจรับใช้ที่เคยดีกับเขาและท่านแม่พากันเอาใจออกห่างมีท่าทีหมางเมินเขาซ้ำยังแอบเอาเขากับท่านแม่มานินทาลับหลังอีก



              คนเราจะเผยธาตุแท้ออกมาก็ตอนที่เราอยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุด...



              ด้วยความเชื่อแบบนี้บวกกับสิ่งที่เขาเผชิญมาด้วยตนเองทำให้สุบารุไม่ไว้ใจอีกฝ่ายยิ่งมีฐานะเป็นคนโปรดของคาร์ลไฮนซ์ท่านพ่อของเขาแล้วยิ่งไว้ใจไม่ได้ใหญ่เลย



              "แต่ว่า..."



              ฟึบ!



              "อย่าเข้ามานะ! ถ้าก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียวล่ะก็ฉันจะเอามีดนี่แทงแกให้ตายคาที่ แน่จริงก็เข้ามาสิ!" 



              เมื่อเห็นผู้ชายคนนั้นทำท่าจะเดินเข้ามาหาเขา สุบารุหยิบมีดเงินของท่านแม่ที่เก็บเอาไว้เสื้อนอกขึ้นมาข่มขู่ใส่อีกฝ่ายทันทีประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงดุดันเพื่อสื่อเป็นนัยว่าถ้าเข้ามาอีกเขาเอาจริงอย่างแน่นอน ทันทีที่ดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์เห็นมีดเงินดังกล่าวก็เบิกกว้างเล็กน้อยคล้ายตกตะลึงบางอย่างแต่ก็กลับมาเป็นแบบเดิมอย่างรวดเร็วก่อนพูดคำว่า



                "ทำสิขอรับ" เบียคุยะพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ทำเอาสุบารุมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา



                ไอ้หมอนี่มันเป็นบ้าหรืออย่างไร?! แกควรจะกลัวสิ! นี่เป็นมีดเงินที่ทำร้ายแวมไพร์ได้ถึงตายเลยนะ



               วิธีการฆ่าแวมไพร์นั้นมีอยู่สองอย่างด้วยกันถ้าไม่ตัดหัวให้ขาดกระเด็นไปเลยก็ทำร้ายร่างกายให้บาดเจ็บสาหัสเกินกว่าที่พลังฟื้นฟูของแวมไพร์จะรักษาให้ทัน ถ้าไม่ใช่แวมไพร์ต่อสู้ด้วยกันเองแล้วสิ่งที่สามารถใช้ต่อกรกับแวมไพร์ได้ก็คือแร่เงินซึ่งพวกนักล่ามักชอบใช้หล่อหลอมเป็นอาวุธมาจัดการกับแวมไพร์



               ทั้งที่มีของอันตรายอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงยังนิ่งได้อีก?



               "กระผมไม่กลัวนายน้อยและก็ไม่คิดว่านายน้อยจะฆ่ากระผมให้ตายจริงได้หรอกขอรับ" เบียคุยะว่าแล้วก็เดินเข้ามาใกล้สุบารุเป็นการยืนยันว่าเขาไม่กลัวสุบารุทำร้ายเขาเหมือนอย่างที่กล่าวเอาไว้ สุบารุเมื่อเห็นดังนั้นจึงรู้สึกตัวสั่นเดินถอยหลังออกไปอย่างช่วยไม่ได้เพราะที่เขากล่าวมาทั้งหมดก็แค่ขมขู่ไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาเท่านั้นแต่ไม่นึกว่านอกจากอีกฝ่ายไม่กลัวแล้วยังกล้าเข้ามาใกล้เขาอีก



               "...ยะ อย่าเข้ามานะ ถ้าเข้ามาอีกฉันเอาจริงนะ!"



               "นายน้อยสุบารุ กระผม..."



               "ก็บอกว่าอย่าเข้ามาอย่างไรเล่า!"



               ฟึบ!



               เบียคุยะชะงักทันทียามได้สัมผัสความเจ็บแปลบบนฝ่ามือของเขาขณะย่อตัวตอนที่เขาอยู่ใกล้อยู่สุบารุและกำลังเอื้อมมือหยิบมีดเงินออกจากมือของเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างช้าๆ ด้วยความใจเย็น ทางด้านเด็กน้อยที่ถูกกล่าวถึงนั้นนิ่งอึ้งมองดูสิ่งที่ตนทำด้วยความสั่นกลัวทันทียามที่เขาใช้มีดเงินปาดไปที่มือของอีกฝ่ายซึ่งนั่นเป็นการทำร้ายคนครั้งแรกของเขา มันทำให้เขาตกใจกลัวเป็นอย่างมากจนมีดเงินหลุดจากมือไปแต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือกลิ่นเลือดของอีกฝ่าย



               ทำไมอีกฝ่ายมีกลิ่นเลือดเหมือนของท่านแม่ได้ล่ะ...?!



               ตรงจุดนี้สุบารุพูดไม่ออกทันที กลิ่นของเบียคุยะนั้นจางมากถ้าใครจมูกไม่ดีก็แทบไม่ได้กลิ่นออกมาเลยแต่ทว่ายามที่เลือดออกมานั้นกลิ่นหอมฟุ้งของกุหลาบขาวลอยออกมาจากบาดแผลทันทีซึ่งกลิ่นนั้นเป็นกลิ่นที่สุบารุจำได้เป็นอย่างดีและไม่มีวันลืมอย่างเด็ดขาด กลิ่นกุหลาบขาวที่เป็นเอกลักษณ์ของท่านแม่ทำไมคนตรงหน้าถึงมีมันได้ล่ะ



               "สุบารุ ขอโทษนะที่ทำให้หวาดกลัว...สุบารุไม่ผิด อย่าได้หวาดกลัวในสิ่งที่ทำลงไปเลยนะ" เบียคุยะว่าแล้วใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้มีบาดแผลลูบแก้มของเขาอย่างอ่อนโยนปลอบประโลมเขาให้หายหวาดกลัวจากสิ่งที่เขากระทำเมื่อครู่ สัมผัสของอีกฝ่ายนั้นอบอุ่นและนุ่มนวลเหมือนท่านแม่ไม่มีผิดเพี้ยน


     

               "ทั้งกลิ่นทั้งสัมผัสที่เหมือนกันแบบนี้ หรือว่าคุณคือ..."



               เบียคุยะพยักหน้าเพื่อเป็นการยืนยันคำตอบ "ใช่แล้ว คริสต้า แม่ของเธอเป็นน้องสาวฝาแฝดของผมเอง สุบารุเป็นหลานแท้ๆ ของผมนะ ขอโทษนะที่ปิดบังเอาไว้และปล่อยให้เธอต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวตลอดเวลาที่ผ่านมานี้"



               "สุบารุ เธอน่ะไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ"



               เมื่อได้ยินคำพูดนั้นออกมาจากของเบียคุยะ ความทุกข์ทรมานที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้างที่เก็บเอาไว้ในส่วนลึกพลันระเบิดออกมาราวกับได้รับการปลดปล่อยด้วยสิ่งที่ตนโหยหามาตลอด สุบารุสัมผัสได้ถึงหยดน้ำที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาไหลผ่านลงมายังใบหน้าของเขาลงบนฝ่ามือของอีกฝ่ายก่อนที่เข้ากอดครอบครัวอีกคนของเขาแน่นปลดปล่อยความรู้สึกเจ็บปวดที่มีออกมาทั้งหมดผ่านทางน้ำตาที่ไหลรินอยู่ตลอดนี้



               "ท่านลุง ผมขอโทษ...ผม ผมไม่ได้ตั้งใจทำร้ายท่านลุง ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้วท่านลุง..." สุบารุก้มหน้าร้องไห้ลงบนบ่าของเบียคุยะจนเสื้อผ้าเนื้อดีเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาแต่เบียคุยะนั้นหาได้รังเกียจแต่อย่างใดซ้ำยังกอดเขากลับเพื่อเป็นการปลอบโยนทั้งระวังไม่ให้มือข้างที่บาดเจ็บเปื้อนเสื้อผ้าของหลานชายสุดที่รักของตนเอง


        

               "ไม่...สุบารุ เธอไม่ผิดเลยสักนิดเดียวเป็นลุงที่ผิดที่ไม่สามารถบอกความจริงได้จนเธอต้องมาทุกข์ทรมานแบบนี้ ขอโทษนะ ที่ปล่อยให้ทั้งเธอและแม่ของเธออยู่อย่างเจ็บปวดรวดร้าวแบบนี้โดยที่ลุงทำอะไรเพื่อพวกเธอไม่ได้เลย สิ่งที่ลุงทำได้มากที่สุดก็มีแค่นี้ขอโทษที่ลุงไม่สามารถทำเพื่อเธอและแม่ของเธอได้ไปมากกว่านี้อีกแล้ว"



               "ตะ แต่ท่านลุง...ท่านลุงบาดเจ็บ ผม...ผม..."



               "ไม่เป็นไรหรอก บาดแผลแค่นี้รอฟื้นฟูสักพักมันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว สุบารุยังไม่ทานอะไรเลยตั้งแต่ตอนกลางวันแล้วท้องว่างแบบนี้มันไม่..." ยังไม่ทันพูดจบ สุบารุผู้เป็นหลานผละตัวออกจากอ้อมกอดของเบียคุยะจากนั้นยกมือข้างที่บาดเจ็บขึ้นมาใช้ลิ้นน้อยๆ ของตนเลียบนบาดแผลที่เกิดจากมีดเงินสร้างความตระหนกตกใจให้กับฝ่ายที่ถูกเลียไม่ใช่น้อย



               "สะ สุบารุ! ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นก็ได้ทิ้งไว้สักพักมันก็หายเองแล้ว" เบียคุยะกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นๆ



               "ถ้าท่านลุงไม่ยอมให้ผมรักษาผมก็ไม่ยอมไปกินข้าวเด็ดขาด" สุบารุกล่าวอย่างหนักแน่นด้วยความเอาแต่ใจ



               เมื่อเห็นทั้งสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นดื้อรั้นพร้อมที่จะเอาจริงของหลานชายตัวน้อยทำเอาผู้เป็นลุงของเด็กชายไม่กล้าปฏิเสธเหมือนก่อนหน้านั้น ทำให้เบียคุยะถอนหายใจออกมาสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่สามารถใจร้ายกับหลานของตนเองได้ลงจึงปล่อยให้หลานชายของเขาทำในสิ่งที่เขาอยากทำ


     

               นี่เขาคงไม่ได้ตามใจหลานของตนเองมากไปใช่ไหม...?



               สุดท้ายแล้วเขาก็ปล่อยให้สุบารุเลียบาดแผลของตนจนกระทั่งมันหายดีแล้วก่อนจะพากลับไปรับประทานอาหารเย็นย้อนหลังต่อในห้องครัวด้วยกันกับเขาเนื่องจากเวลานี้มันเลยช่วงเวลารับประทานอาหารเย็นแล้วพวกปีศาจรับใช้เก็บจานเอาไปล้างหมด ถ้าจะรับประทานอะไรก็มีแต่ต้องทำอาหารเองเท่านั้นเว้นเสียแต่เจ้าของบ้านหรือภรรยาและลูกของเจ้าของบ้านจะสั่ง 



               ถึงแม้ว่าสุบารุจะเป็นนายน้อยคนหนึ่งของปราสาทหลังนี้แต่ตำแหน่งนายน้อยของเขานั้นเป็นตำแหน่งที่กลวงเปล่าไม่มีอะไรเลยเนื่องจากเขาไม่มีทั้งบารมีของพ่อกับแม่คอยคุ้มครองเหมือนพี่น้องคนอื่นที่ยังมีบารมีของแม่พวกเขาคอยคุ้มครองอยู่ ทำให้ปีศาจรับใช้ไม่อยากยุ่งกับเขามากนักทำให้เป็นการยากที่ปีศาจรับใช้พวกนั้นยอมทำอาหารให้สุบารุกินทีหลัง



               สุบารุคิดว่าบางทีตำแหน่งกลวงๆ ไม่มีอะไรเลยแบบนี้มันก็ไม่เลวเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้รับประทานอาหารเย็นร่วมกับครอบครัวของเขาเป็นครั้งแรกแถมเขายังเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องของเบียคุยะเป็นคนแรก สองอย่างนี้ทำให้สุบารุรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมากจนรู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นคนพิเศษสำหรับเบียคุยะ



               เด็กชายคิดดังนั้นพลันยิ้มออกมาเดินผ่านสวนกุหลาบขาวที่ปลูกตามระเบียงอย่างมีความสุข


       

               ทั้งที่คิดว่าแบบนั้นแล้วแต่ทำไมท่านลุงถึงทิ้งพวกเราไปหาคนอื่นล่ะ...?



               วินาทีที่ได้ยินเรื่องราวจากปากของคอร์เดเลียภรรยาคนแรกของท่านพ่อของเขา ณ ตอนนั้นตัวเขาราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหินแล้วโดนสายฟ้าฟาดผ่าลงมาจนหินนั้นแตกกระจัดกระจายเป็นเสี่ยงๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เชื่อเรื่องที่ออกจากปากนางอสรพิษร้ายที่คอยระรานตัวเขากับท่านแม่อย่างผู้หญิงตรงหน้าเขา



               ไม่จริง! ไม่จริง! ไม่จริง! ไม่จริง! ไม่จริง! ไม่จริง! ไม่จริง! ไม่จริง! ไม่จริง! 



               ท่านลุงไม่มีวันทิ้งท่านแม่อย่างแน่นอน ท่านลุงน่ะเป็นพี่ชายฝาแฝดของท่านแม่และเป็นครอบครัวที่แท้จริงของเขาที่ยังคงเหลืออยู่นะ การที่อยู่ๆ บอกว่าทิ้งไปเพราะมนุษย์ผู้หญิงมันฟังดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ต่อให้ท่านลุงมีผู้หญิงคนอื่นจริงท่านลุงไม่มีวันทิ้งเขากับท่านแม่ให้อยู่ในนรกแห่งนี้เพียงลำพังหรอก



               ไหนจะเรื่องต้นตระกูลแล้วก็เรื่องสัญญาที่ทำไว้กับท่านพ่ออีก ท่านลุงเป็นพี่ชายของท่านแม่ไม่มีทางเป็นพวกของต้นตระกูลอย่างแน่นอนตรงส่วนนี้เขารู้ดีว่าคอร์เดเลียโกหกเพื่อขยี้หัวใจลูกชายของตนเองแต่กับเรื่องสัญญาฆ่าของท่านลุงกับท่านพ่อนี่มันอย่างไรกันแน่ หรือที่ทุกคนไม่เคยรับรู้ว่าท่านแม่มีพี่ชายฝาแฝดอยู่คนหนึ่งก็เพราะสัญญานั่นกัน



               ตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! ตอนนี้เขาสับสนจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรไปหมดแล้ว!!



               เด็กชายในตอนนี้เหมือนเรือที่ลอยเคว้งคว้างในห้วงมหาสมุทรอันเชี่ยวกรากด้วยลมพายุ ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างสับสนอลหม่านทั้งยังมีเรื่องหลายเรื่องที่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว สุบารุคิดว่าเขารู้จักท่านลุงมิไฮนซ์ดีแล้วแต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้รู้จักท่านลุงมิไฮนซ์ดีพอซึ่งตอนนี้ท่านลุงกลายเป็นเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับเขาไปแล้ว



               ปิดบังเรื่องตัวตน ปิดบังเรื่องมนุษย์ผู้หญิงคนนั้น ปิดบังเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับท่านแม่รวมไปถึงท่านพ่อ ความสัมพันธ์ที่พันกันจนยุ่งเหยิงระหว่างสามคนนี้ตกลงมันอย่างไรกันแน่?



               ถึงเขาจะไม่เข้าในใจเรื่องนี้แต่สิ่งที่เขาเข้าใจในตอนนี้คือพี่น้องทุกคนกลายเป็นตัวตลกที่โง่เขลาไปเรียบร้อยแล้ว


       

               สุบารุพยายามหาเหตุผลที่โน้มน้าวใจว่าท่านลุงไม่มีทางทิ้งพวกเขาไว้ข้างหลังแน่แต่มันก็อดน้อยใจไม่ได้ที่ท่านลุงปิดบังทุกอย่างและกีดกั้นพวกเขาออกมาทำราวกับเขาเป็นเด็กไม่รู้ความอย่างใดอย่างนั้น ปล่อยให้พวกเขากลายเป็นตัวตลกที่โง่เขลาซึ่งเป็นที่ขบขันในสายตาของคนอื่น



               ทั้งๆ ที่พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแต่ทำไมกลับมีความลับที่ต้องปิดบังกันไว้มากขนาดนี้...



               ถ้าไม่ใช่เพราะท่านลุงมิไฮนซ์รักพวกเขามากเกินไปจนต้องทำแบบนี้ก็ต้องไม่เคยเชื่อใจพวกเขามาตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเขามีศักยภาพและความสามารถพอที่จะช่วยเหลือและปกป้องครอบครัวได้...


      

               ไม่เคยเชื่อใจมาตั้งแต่แรกอย่างนั้นหรือ...



               นี่เขาเป็นเด็กที่อ่อนแอไร้ความสามารถที่ต้องการให้คนคอยปกป้องดูแลขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรือ เขาเองก็อยากเป็นฝ่ายปกป้องท่านแม่กับท่านลุงนะแต่ทำไมต้องถูกกีดกั้นออกมาทุกครั้งเลย เพราะเขาอ่อนแอเกินไปอย่างนั้นหรือ?



               เจ็บใจ...รู้สึกเจ็บใจจริงๆ ที่ตนเองไม่เก่งกาจมีความสามารถเหมือนพี่น้องคนอื่นเลยแม้แต่น้อยจนไม่อาจให้ความช่วยเหลือท่านลุงเลยแม้แต่น้อย เพราะแบบนี้หรือเปล่าท่านลุงถึงไม่เคยบอกเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับท่านแม่และตัวท่านลุงเอง เพราะมองว่าเขาเป็นเด็กหรือคนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างนั้นสินะ...



               แต่ไม่เป็นไรเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นแล้วรอท่านลุงกลับมาหาจากนั้นพวกเราจะช่วยท่านแม่ออกจากนรกแห่งนี้เอง ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรเขาจะเชื่อท่านลุงรอคอยเขากลับมาหาอีกครั้งต่อให้เจ็บปวดสักเพียงใดก็ตาม ก็ท่านลุงน่ะเป็นครอบครัวสายเลือดเดียวกันของเขานี่นาไม่มีทางทิ้งพวกเขาแล้วหายไปแน่นอน



               ท่านลุงรีบกลับมาเร็วๆ นะ สุบารุกับท่านแม่ยังคงรอท่านลุงอยู่เสมอ...

    .

    .

    .

    .

    .

    .

               "สุบารุคุง เหม่ออะไรอยู่เหรอ? ยกภาพวาดเอาไปเก็บตรงนั้นได้แล้ว ถ้าไม่อยากอยู่ได้ชั่วโมงอยู่กับผมเพิ่มก็อย่าพังภาพวาดของเพื่อนนักเรียนคนอื่นเหมือนคราวที่แล้วล่ะ"



               สุบารุที่เพิ่งหลุดออกจากภวังค์ความคิดชักสีหน้าสบถออกมาเบาๆ ด้วยความหงุดหงิดใส่อาจารย์ศิลปะชั้นปีที่สองคนใหม่ก่อนยกภาพวาดเอาไปเก็บในห้องเก็บผลงานศิลปะของอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้



               เหตุผลที่เขาถูกเกณฑ์ให้มาช่วยงานมันก็ไม่มีอะไรมากนอกจากอาละวาดจนเกือบทำลายทรัพย์สินของโรงเรียนเรียวเทย์ไปอีกรอบและคนที่ห้ามเขาเอาไว้ก็เป็นอาจารย์หน้าใหม่อย่างมัตสึริ เคย์กะ ซึ่งเป็นบุคคลต้องสงสัยว่ามีความเกี่ยวพันอะไรบางอย่างระหว่างเขาคนนั้นกับอิมิเลียหญิงสาวที่ขโมยหัวใจของเขาคนนั้นไป



               ถึงแม้ว่าหน้าตาของอีกฝ่ายไม่มีส่วนคล้ายกับมิไฮนซ์ ไม่สิ เรียกว่าหน้าไม่เหมือนกับมิไฮนซ์เลยถึงจะถูกถ้าบอกว่าหน้าตาได้ผู้หญิงคนนั้นมาเต็มๆ ก็ไม่ใช่ เขาเคยเห็นรูปถ่ายของผู้หญิงคนนั้นในช่องเก็บของลับที่อยู่ในห้องของมิไฮนซ์หรือก็คือ 'อดีต' ท่านลุงของเขาโดยบังเอิญหลายสิบกว่ารูป หลังจากดูรูปพิจารณาแล้วเขายอมรับว่าผู้หญิงคนนั้นสวยตามธรรมชาติในแบบที่มองแล้วชวนสบายตาบวกกับดวงตาที่ดูนุ่มนวลอ่อนโยน จนอดคิดไม่ได้ว่าบางทีเป็นคนรักในอุดมคติของมิไฮนซ์เป็นแบบนี้ก็เป็นได้?



               ยิ่งคิดยิ่งเจ็บแปลบที่หน้าอก...เขาที่คิดว่าตนเองพิเศษต่อมิไฮนซ์เหนือพี่น้องคนอื่นแล้วกลับไม่เคยรู้เรื่องนี้รวมถึงเรื่องอื่นๆ ของมิไฮนซ์เลยแม้แต่น้อย



               'อิมิเลีย นอร์วานสไตน์' คือชื่อที่อยู่หลังรูปถ่ายรูปนั้น



               เพื่อมนุษย์ผู้หญิงคนนี้ถึงกับแหกกฎทุกอย่างจากนั้นก็หายจากไปโดยที่ไม่ติดต่อกลับมาหาพวกเขาตั้งร้อยปีเลยหรือ?


       

               ยิ่งคิดว่าสาเหตุของเรื่องราวทุกอย่างเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้เพียงคนเดียวยิ่งทำให้เปลวเพลิงแห่งความโกรธเกรี้ยวลุกโชนขึ้นมาในจิตใจ ถ้าหากไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้มิไฮนซ์ก็อยู่กับเขาและท่านแม่ไปนานแล้ว ผู้หญิงคนนี้คือคนที่พรากมิไฮนซ์ไปจากเขาแต่ที่น่าเจ็บใจและโกรธยิ่งกว่าคือตัวมิไฮนซ์ที่ตามผู้หญิงคนนั้นแล้วหายไปเลยไม่เคยคิดที่จะติดต่อกลับมาหาพวกเขาเลยสักครั้งเดียว



               รวมถึงตัวเขาที่ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งตัวเขาเอาไว้ได้...



               ยิ่งมาอยู่กับใครก็ไม่รู้ที่มีความเป็นไปได้ว่าเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นและท่านลุงของเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งหรือขั้นหนักกว่าคือทายาทเลือดผสมของมิไฮนซ์กับผู้หญิงคนนั้น ยามนึกภาพท่านลุงกับผู้หญิงคนนั้นต่างฝ่ายต่างมองด้วยความรักใคร่แย้มยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขราวกับสายลมยามวสันตฤดูมันทำให้เขารู้สึกโกรธเกรี้ยวหงุดหงิดไม่พอใจราวกับถูกเปลวเพลิงแผดเผาอยู่ภายในอกจนต้องระบายออกมาเป็นความรุนแรงภายนอกเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดที่ตนนั้นได้รับ



               สุบารุชอบทำลายข้าวของทุกอย่างก็จริงแต่การปรากฎตัวของ 'มัตสึริ เคย์กะ' ทำให้นิสัยชอบทำลายนั้นรุนแรงและถี่มากกว่าเดิมอย่างที่ควรจะเป็นแม้กระทั่งในคฤหาสน์ซาคามากิก็ไม่เว้นเวลาที่มีคนในบ้านเอ่ยถึงมัตสึริ เคย์กะ



               เรียกได้ว่า มัตสึริ เคย์กะ คนนั้นคือระเบิดเวลาเดินได้ดีๆ นี่เอง...



               ดวงตาสีแดงทับทิมเหลือบมองดูท่าทีอีกฝ่ายซึ่งดูไม่แตกต่างจากมนุษย์ปกติมากนักกลิ่นเองก็แทบไม่มีกลิ่นอะไรออกมาเลยถ้าจะพิสูจน์ตัวตนของอีกฝ่ายก็คงมีแต่ต้องทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บก็เท่านั้น แต่ติดปัญหาอยู่ที่ผู้ชายคนนั้นระวังตัวแจอย่างกับอะไรดีเลยทำให้ไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนของอีกฝ่ายได้



               ถ้าแค่ทำให้อีกฝ่ายเลือดออกได้ก็สามารถพิสูจน์ความจริงนี้ได้แล้ว...



               ระหว่างที่สุบารุกำลังยกภาพวาดที่อยู่ทางขวาถัดไปเล็กน้อยพลันนั้นสายตาเขาสะดุดกับภาพวาดบนขาตั้งวาดรูปไม้ภาพหนึ่งเข้าจนละความสนใจจากภาพวาดที่ตนต้องยกไปเก็บ ดวงตาสีแดงทับทิมจ้องมองภาพบนผืนผ้าที่ยังไม่เสร็จดีและเมื่อพิจารณาจากอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแก้วน้ำ จานสี รวมไปถึงเกรียงกับพู่กันหลายขนาดที่ยังคงมีหยดน้ำเกาะอยู่แสดงว่าอาจารย์ศิลปะที่เพิ่งใช้งานตนนั้นหยุดพักวาดรูปตรงหน้ามาได้ไม่นานมานี้



               ภาพตรงหน้าเป็นภาพของเรือลำเล็กลำหนึ่งที่เผชิญกับคลื่นทะเลคล้ายเจอกับพายุส่วนลูกเรือที่อยู่บนเรือนั้นมีทั้งหมดสิบสี่คนด้วยกันซึ่งในบรรดาลูกเรือทั้งหมดมีลูกเรือในชุดสีน้ำตาลอยู่คนหนึ่งหันหลังคล้ายสวดภาวนาอะไรบางอย่างอยู่ซึ่งเป็นลูกเรือเพียงคนเดียวที่ทำแบบนั้นเพราะลูกเรือคนอื่นสาละวนอยู่กับเรือลำเล็กที่กำลังเผชิญคลื่นลม 



               ถึงแม้ภาพวาดยังวาดไม่เสร็จดีแต่ถึงกระนั้นการเล่นแสงเงาของภาพวาดนี้มันดึงดูดสายตาของสุบารุเป็นอย่างมากต่อให้ตัวสุบารุนั้นไม่มีความรู้ทางศิลปะก็ตาม



               ลักษณะการวาดรูปแบบนี้มัน...



               "ภาพพระเยซูผจญพายุในทะเลแกลิลีของแรมบรันต์น่ะ" 



               เสียงนุ่มทุ้มเรียกสติของเด็กหนุ่มร่างสูงให้กลับมาสู่โลกความเป็นจริงอีกครั้ง ดวงตาสีแดงมองอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มให้อย่างอ่อนโยนพลางวางมือบนภาพวาดตรงส่วนที่สีน้ำมันนั้นแห้งแล้วอย่างแผ่วเบาดุจดั่งแมลงปอสัมผัสบนผิวน้ำมองรูปวาดด้วยสายตาเฉกเช่นเดียวกับรอยยิ้มที่มอบให้เขา



               "แรมบรันต์ เป็นจิตรกรชาวดัตช์ที่มีชื่อเสียงในเรื่องเทคนิค Chiaroscuro (เคียอารอสคูโร) หรือก็คือการใช้แสงและเงาขับเน้นจุดเด่นของภาพซึ่งทำให้ภาพมีมิติความลึกเหมือนจริง การให้แสงและเงาของเขานั้นมีทั้งแบบสาดไปด้านใดด้านหนึ่งกับแบบที่มีแสงเฉพาะจุดตัดกับความมืดเหมือนไฟสปอตไลท์ที่ใช้ในละครเวที เทคนิคของเขานั้นโด่งดังมากจนถูกนำมาใช้เป็นวิธีการจัดแสงในภาพถ่ายที่เรียกว่า Rembrandt lighting เลยนะ ยิ่งถ้าถ่ายรูปขาวดำเทคนิคนี้ยิ่งโดดเด่นเข้าไปอีก"



               "ชิ! ฉันไม่ได้ถามแกสักหน่อย" เด็กหนุ่มสบถออกมาพร้อมสะบัดหน้าไปอีกทาง



               "ก็แหม เห็นเธอจ้องรูปเสียนานเลยนี่นาเลยนึกว่าเธอสนใจรูปนี้เสียอีก ผมอุตส่าห์ทุ่มแรงกายแรงใจวาดรูปนี้ขึ้นมาเลยนะถึงจะสู้ภาพของจริงที่ยังคงหายสาบสูญจากการโจรกรรมครั้งใหญ่ในปี 1990 ไม่ได้ก็เถอะ"



               "ใครมันจะไปสนใจกันล่ะ! ก็แค่รูป..." สุบารุหันกลับไปอีกพบกล่องกระดาษขาวขนาดกลางที่วาดลวดลายเป็นกิ่งดอกซากุระสวยงามซึ่งดูด้วยตาก็รูปที่วาดนี้เป็นรูปวาดเอง เมื่อพิจารณาลายละเอียดภายในรูปนั้นแล้วยิ่งพบว่ามันต้องใช้ความพยายามและเวลาสักพักใหญ่กว่าจะได้กิ่งดอกซากุระที่งดงามแบบนี้


     

               "ค่าแรงน่ะ ฉันไม่คิดจะใช้งานเธอแบบฟรีๆ หรอกนะ รับขนมนี่ไปสิ" มัตสึริ เคย์กะกล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่าพลางยื่นกล่องขนมทำมือให้แก่เด็กหนุ่มร่างสูงด้วยรอยยิ้มอันแสนสดใสเหมือนดั่งแสงอาทิตย์อันอบอุ่นยามฤดูใบไม้ผลิไม่ปานนั้น



               และรอยยิ้มนั้นมันซ้อนทับกับใครบางคนที่อยู่ในความทรงจำของซาคามากิ สุบารุ...



               ดวงตาสีแดงทับทิมเด็กหนุ่มเบิกกว้างเล็กน้อยชะงักไปชั่วครู่หนึ่งก่อนเปลี่ยนท่าทีกลับไปเป็นเหมือนเดิมทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาสบถเล็กน้อยคว้ากล่องขนมในมือเดินออกไปจากห้องศิลปะด้วยความหงุดหงิดไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นแค่คนแปลกหน้าที่ไม่น่าไว้ใจแท้ๆ แต่ทำไมกลับมาทำดีกับเขารวมไปถึงพี่น้องซาคามากิคนอื่นด้วย หรือว่าเป็นเพราะต้องการซื้อความเชื่อใจจากเขาเพื่อต้องการทำอะไรบางอย่าง?



               นอกจากตัวตนที่คลุมเครือไม่แน่ชัดว่าเป็นใครแล้วยังเข้ามาตีสนิทเหมือนหวังผลอะไรบางอย่างแบบนี้ แกต้องการอะไรจากพวกเรากันแน่ มัตสึริ เคย์กะ!



               เมื่อเห็นถังขยะอยู่ใกล้ทางเดินที่กำลังจะไปสุบารุจึงเร่งฝีเท้าของตนเดินเข้าไปใกล้จากนั้นยกกล่องขนมขึ้นเหนือหัวทำท่าจะโยนกล่องขนมทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ใยดี ถึงแม้ว่าทั้งตัวกล่องกระดาษลายกิ่งดอกซากุระและตัวขนมที่อยู่ข้างในนั้นถูกทำขึ้นมาโดยความพยายามและความตั้งใจของเจ้าของคนทำก็ตามแต่สำหรับสุบารุแล้วถ้าอะไรที่เป็นของผู้ชายคนนั้นเขาไม่มีวันเก็บไว้อย่างแน่นอน


     

               ทั้งสีหน้า ทั้งแววตา และรอยยิ้มนั่น หายไปซะ! หายไปให้หมดเดี๋ยวนี้!!



               "อย่านะ! สุบารุคุง!!" 



               ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีหลงเหลืออยู่สำหรับเจ้ากล่องกระดาษและขนมที่อยู่ข้างใน เสียงเด็กสาวดังขึ้นพร้อมกับรั้งแขนของเด็กหนุ่มไม่ให้โยนกล่องกระดาษและขนมที่อยู่ข้างในทิ้งไปอย่างไม่ใยดี 



               โคโมริ ยุยมองที่บังเอิญเดินผ่านห้องศิลปะพอดีแล้วเห็นสุบารุถือกล่องกระดาษขนาดกลางที่ดูเหมือนกล่องขนมเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทีหงุดหงิดอะไรบางอย่างเมื่อเธอแอบมองเข้าไปในห้องศิลปะพบว่าคนที่อยู่ข้างในเป็นอาจารย์มัตสึริที่มีท่าทีเศร้าสร้อยเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนท่าทีกลับไปเป็นเหมือนเดิมหันกลับไปเก็บอุปกรณ์วาดภาพของตนเข้าที่ทำให้เธอรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจนต้องเดินตามสุบารุมา



               และก็เป็นที่เธอสังหรณ์ใจไว้ไม่มีผิดจริงๆ



               เพราะแบบนั้นเธอถึงวิ่งเข้ามารั้งแขนของอีกฝ่ายแย่งกล่องขนมทำมือนั่นมาได้สำเร็จก่อนที่สุบารุโยนกล่องลายกิ่งดอกซากุระทิ้งอย่างไม่สนใจใยดีซึ่งการกระทำของเด็กสาวนั้นสร้างความไม่พอใจให้แก่เขาเป็นอย่างมาก



               "อย่ามายุ่ง! ยัยผู้หญิงงี่เง่า ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน!!" เด็กหนุ่มผมขาวตวาดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด



               "ทั้งกล่องทั้งขนมนั่นอาจารย์มัตสึริเขาตั้งใจทำมาให้สุบารุคุงนะ ถึงฉันไม่รู้ว่าพวกสุบารุคุงมีปัญหาอะไรกับอาจารย์มัตสึริแต่อาจารย์เขาหวังดีกับพวกสุบารุคุงมากนะ อย่างน้อยอย่าทิ้งกล่องขนมนั่นลงถังขยะแบบนี้เลยนะ"


      

               "เป็นแค่เหยื่อที่ไม่รู้ฐานะตัวเองแท้ๆ ยังกล้ามาเถียงฉันอย่างนั้นเหรอ?!"



               "ฉันก็แค่...ว้ายยยยยยยยยยยยยยยย!!" 



               โครม!!



               ยุยกรีดร้องพร้อมทั้งห่อตัวให้เล็กลงมองอีกฝ่ายด้วยความสั่นกลัวเหมือนกระต่ายตัวน้อยที่ถูกผู้ล่าคุกคามยามเมื่อสุบารุง้างหมัดชกเข้าไปที่กำแพงเต็มแรงจนกำแพงยุบเกิดรอยแตก แต่ถึงกระนั้นแขนทั้งสองของเธอกอดกล่องขนมลวดลายกิ่งดอกซากุระราวกับต้องการปกป้องมันอย่างถึงที่สุด



               "สีหน้าแบบนี้แหละ...สุดยอดไปเลยนะเธอนะ ในเมื่อทำหน้าแบบนี้คงต้องให้รางวัลสักหน่อยแล้ว" ว่าแล้วฝ่ามือแกร่งข้างหนึ่งของสุบารุจับท้ายทอยของเด็กสาวกันไม่ให้หันหนีไปไหนจากนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอบริเวณด้านข้างลำคอ สำหรับคนที่ต้องมาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของแวมไพร์มีอย่างโคโมริ ยุยมีหรือที่เธอจะไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้



               "ยะ อย่านะ! สุบารุคุงที่นี่มันโรงเรียนนะ" ยุยร้องห้ามด้วยความหวาดกลัว แต่มีหรือที่สุบารุนั้นจะหยุดจนกระทั้งปลายเขี้ยวแหลมของเขานั้นสัมผัสกับผิวขาวเนียนนุ่มของเด็กสาว



               "ไม่นะ!!!!"



               โครม!



               "พอแค่นั้นแหละ ซาคามากิ สุบารุคุง!"



               ก่อนที่เรื่องจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ซาคามากิ สุบารุนั้นถูกเรี่ยวแรงบางอย่างกระชากตัวเขาออกมาเหวี่ยงกระแทกกำแพงเข้าอย่างจังถึงแม้ว่ามันไม่แรงมากพอที่ทำให้รู้สึกเจ็บจนเกิดแผลฟกช้ำแต่ถึงกระนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกอึ้งและตกตะลึงเป็นอย่างมากเสียจนสวนกลับอีกฝ่ายไม่ทัน ด้วยแรงกระชากแบบนี้ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาทำได้อย่างแน่นอน



               ครั้นตวัดมองอีกฝ่ายด้วยความโกรธเกรี้ยวหลังจากถูกเหวี่ยงออกมา ดวงตาสีแดงทับทิมของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยยามเมื่อสบดวงตาของแขกที่ไม่ได้รับเชิญและเป็นประเด็นในการถกเถียงกันอย่างอีกฝ่าย



               ดวงตาที่ควรเป็นสีชมพูงดงามนั้นกลับกลายเป็นดวงตาสีม่วงอัญมณีอันแสนคุ้นเคย...



               ดวงตาแบบนั้นมันเหมือนคนๆ นั้นไม่มีผิด...



               เพียงแค่ครู่เดียวดวงตาสีม่วงอเมทิสต์กลับเป็นสีชมพูโรสควอตซ์อีกครั้งราวกับภาพที่เห็นเมื่อครู่เป็นภาพลวงตาท่ามกลางทะเลทรายอันแห้งแล้งที่ไม่มีอยู่จริง ดวงตาที่คล้ายภาพลวงนั้นไม่ได้มองเขาด้วยความโกรธหรือความรังเกียจแต่อย่างใดทว่ากลับมองด้วยความเศร้าสร้อยคล้ายน้อยเนื้อต่ำใจอย่างใดอย่างนั้นก่อนหันกลับไปมองที่เด็กสาวผู้เคราะห์ร้ายที่กำลังทรุดนั่งลงกับพื้นด้วยความเป็นห่วง



               "ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ? โคโมริซัง" อาจารย์หนุ่มเอ่ยถามพลางสำรวจบาดแผลข้างลำคอของเด็กสาว



               "มะ ไม่เป็นอะไรค่ะ อาจารย์มัตสึริ" เด็กสาวตอบ



               "พอไปที่ห้องพยาบาลให้อาจารย์เรนฮาร์ตทำแผลได้ไหม? อาจารย์มีเรื่องจะคุยกับซาคามากิ สุบารุคุงเขาหน่อย" เด็กสาวพยักหน้าตอบก่อนลุกขึ้นยืนเดินจากไปด้วยความหวาดกลัวระคนด้วยความกังวลเล็กน้อย การที่อาจารย์มัตสึริเรียกชื่อนามสกุลใครครบแปลว่าอาจารย์ต้องการเรียกคนๆ นั้นเพื่อตักเตือนและห้ามพฤติกรรมก้าวร้าวหรือไม่ก็อาจารย์มัตสึริกำลังอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ ซึ่งการเรียกชื่อในครั้งนี้นั้นเหมือนจะเป็นทั้งสองอย่าง



               เห็นอย่างนี้เวลาอาจารย์มัตสึริอารมณ์ไม่ดีแบบสุดๆ ก็น่ากลัวไม่แพ้อาจารย์คนอื่นเลยทีเดียว



               ยุยก็ได้แต่หวังว่าอย่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคนนี้เลย



               ตัดมาที่สุบารุอีกครั้งหนึ่ง...



               บรรยากาศระหว่างเด็กหนุ่มกับอาจารย์ศิลปะคนใหม่นั้นตึงเครียดเป็นอย่างมากราวกับมีมวลอากาศกดทับกันอย่างแน่นหนาจนแทบหายใจไม่ออกขนาดที่นักเรียนภาคกลางคืนที่กำลังจะเดินผ่านยังต้องถอยหนีไปทางอื่น บ้างก็พูดว่า 'เอาอีกแล้ว' ก่อนเดินหลีกหนีออกไปคล้ายบอกว่าการปะทะกันระหว่างอาจารย์มัตสึริกับพี่น้องซาคามากินั้นเป็นเรื่องปกติสามัญที่เกิดขึ้นในโรงเรียนเรียวเทย์แห่งนี้ไปแล้ว



               "ซาคามากิ สุบารุคุง ผมไม่รู้หรอกว่าเธอมีปัญหาอะไรกับโคโมริซังแต่ถึงขั้นลงไม้ลงมือทำร้ายกันแบบนี้ในฐานะผมที่เป็นอาจารย์ผมไม่ยอมอยู่เฉยหรอกนะ กลับไปคุยกับผมที่ห้องศิลปะเดี๋ยวนี้เลย" อาจารย์มัตสึริกล่าวเสียงเข้มคล้ายผู้ปกครองกำลังสั่งสอนเด็กที่ทำผิดแล้วถูกจับได้คาหนังคาเขา



               "พูดมากน่ารำคาญ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ถอยออกไปซะ!" เด็กหนุ่มผมขาวขู่เสียงกร้าว


        

               "ผมเคยตักเตือนเธอมาแล้วเรื่องทำลายทรัพย์สินโรงเรียนซึ่งนั่นผมก็ยังพอไกล่เกลี่ยปัญหาได้เพราะอย่างน้อยไม่มีนักเรียนคนไหนได้รับบาดเจ็บจากสิ่งที่เธอทำ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้มันรุนแรงมากกว่าครั้งไหนเพราะนอกจากทำลายทรัพย์สินของโรงเรียนแล้วเธอยังทำร้ายเพื่อนนักเรียนด้วยกันอีก ดังนั้นผมจำเป็นต้องแจ้งผู้ปกครองของเธอเรื่องกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ของโรงเรียนแล้วล่ะ"



               "ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน! หยุดเล่นละครตบตาแล้วบอกมาซะว่าแกเป็นใครและที่เข้าหาพวกเรามีจุดประสงค์อะไรกันแน่?!"



               ชายหนุ่มนิ่งครู่หนึ่งเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง "ผมก็คืออาจารย์สอนศิลปะชั้นปีสอง 'มัตสึริ เคย์กะ' ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น ซาคามากิ สุบารุคุง"



               "อย่ามาโกหก! ด้วยเรี่ยวแรงขนาดนั้นไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดานอกจาก...!"



               "ผมต้องขออภัยที่ดูแลคนในบ้านของผมไม่ดีครับ อาจารย์มัตสึริ ทางนี้จะจัดการในส่วนที่เหลือเอง"



               เสียงของบุคคลที่สามแทรกเข้ามาทำลายบรรยากาศอันแสนตึงเครียดโดยรอบ เป็นลูกชายคนรองของบ้านซาคามากิ 'ซาคามากิ เรย์จิ' มาห้ามทัพระหว่างน้องชายคนสุดท้องของตนและอาจารย์คนแปลกหน้าที่ตนนั้นเกลียดแสนเกลียด



               ให้ตายสิ...การที่ต้องมาก้มหัวขอโทษให้กับคนอย่างมัตสึริ เคย์กะที่เป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้แบบนี้นับว่าเป็นความอัปยศอย่างยิ่งยวดเลย



               เรย์จิคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้เพราะสุบารุนั้นเป็นฝ่ายผิดเต็มๆ



               "เรย์จิคุง..." ชายร่างโปร่งผู้เป็นอาจารย์ค่อนข้างแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตามปกติแล้วเรย์จิมักจะส่งสายตาที่ดูไม่เป็นมิตรกับตนแค่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับตน ถ้าไม่มีธุระหรือความจำเป็นอะไรก็จะไม่พูดคุยกับเขาอย่างเด็ดขาดหรือถ้าจะพูดก็มีแต่พูดจาเหน็บแหนมว่าเขาชอบยุ่งของเรื่องคนอื่น 



               นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่อีกฝ่ายพูดกับเขาแบบนี้แถมยังก้มหัวขอขมาอีก ตามด้วยนิสัยของเรย์จิแล้วคงแค้นฝังหุ่นเขามากเลยทีเดียว



               แต่ถึงอย่างนั้นทางคนที่กำลังถูกหมายหัวก็เผยรอยยิ้มอ่อนออกมา "ถ้าอย่างนั้นฝากแจ้งคุณซาคามากิ โทวโกเรื่องกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ของสุบารุคุงด้วยนะครับ"



               "ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ"



               "อา ราตรีสวัสดิ์นะทั้งสองคน"



               เมื่ออาจารย์หนุ่มผมสีซีดกล่าวบอกลา เด็กหนุ่มบ้านซาคามากิทั้งสองคนนั้นหันหลังเดินออกไปจากบริเวณนั้นโดยทันทีไม่คิดหันกลับมามองอีกฝ่ายแม้แต่น้อย



               แต่...ถ้าพวกเขาทั้งสองคนหันกลับมามองอีกฝ่ายก็จะพบว่าดวงตาสีชมพูนั้นกลับกลายเป็นสีอเมทิสต์ที่พวกเขาคุ้นเคยกันดีก่อนเปลี่ยนกับไปสีเดิม

    .

    .

    .

    .

    .

    .

               "ถ้าหากเจ้ายังอ่อนไหวกับพวกเขาแบบนี้ต่อไปสิ่งที่เจ้าทำมาทั้งหมดนี้ก็จะสูญเปล่า ทำการใหญ่ใจต้องนิ่งห้ามเอาอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล อย่าได้แสดงความผูกพันและความห่วงใยของเจ้าออกมาอย่างเด็ดขาด"



               "ผมรู้ตัวดี อีกอย่างที่ผมทำไปก็เพราะไม่อยากให้อีฟตื่นเร็วมากนัก" ผมตอบเสียงในหัวของตนเอง



               เพราะพลังที่ได้รับจากเสียงปริศนาทำให้ผมไม่จำเป็นต้องถูกดึงเข้าไปอยู่ในห้วงความฝันยามถูกอีกฝ่ายทำให้หลับเพื่อต้องการพบผม หรือก็คือเสียงปริศนาที่ผมชอบเรียกว่าคุณปู่นั้นสามารถติดต่อผมได้ทางโทรจิตไม่จำเป็นต้องใช้ความฝันเป็นสื่อกลางแล้ว



               ถึงผมจะรู้สึกเสียดายสถานที่สวยๆ นั่นเล็กน้อยก็เถอะ



                "แต่เจ้าก็ไม่สามารถปกป้องเด็กสาวคนนั้นได้ตลอดรอดฝั่งหรอก สักวันหนึ่งพลังของอีฟในตัวเด็กสาวนั้นต้องตื่นอยู่ดี" เสียงนั่นเน้นย้ำความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้



                "อย่างน้อยก็ช่วยประวิงเวลาได้บ้างตอนอยู่โรงเรียนก็แล้วกัน ใครใช้ให้คาร์ลไฮนซ์หัวหมอกางอาณาเขตกันไม่ให้ผมเข้าคฤหาสน์กันล่ะ ถ้าเข้าไปได้ล่ะก็ผมจะ..." ผมนิ่งเงียบเว้นไปชั่วอึดใจหลุบตาต่ำลงมองลงไปในแก้วกระเบื้องที่เต็มไปด้วยชาคาโมมายล์ที่หอมกรุ่นก่อนเอ่ยกล่าวคำพูดตอนท้ายให้จบ 



                "ช่างเถอะ มันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วล่ะ"



                "แสดงว่าเจ้าเสียใจที่เลือกช่วยผู้หญิงที่เจ้ารักแทนที่จะอยู่กับพวกเขาอย่างนั้นเหรอ?" อีกฝ่ายถามเสียงเรียบ ถึงแม้รูปประโยคฟังดูเหมือนคำถามที่มีความรู้สึกสงสัยแต่ถ้าวิเคราะห์จากตัวบุคคลที่พูดกับน้ำเสียงแล้ว เขาแค่ต้องการคำตอบที่เน้นย้ำถึงคำตอบที่อยู่ภายในหัวของผมเท่านั้น



                คล้ายกับพูดประชดตัวเองใช่ไหมล่ะ? แต่ก็นั่นแหละ ยาที่รักษาโรคเสียใจภายหลังน่ะมันไม่มีอยู่จริงหรอก   



                "เรื่องนั้นผมไมรู้หรอก ผมอยากช่วยอิมิเลียแต่ในขณะเดียวกับผมเองก็อยากช่วยหลานชายของผมด้วยซึ่งตอนนั้นมันก็แค่ความหยิ่งผยองโง่ๆ ที่คิดว่าตนเองสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องเสียใครสักคนไปแต่ผมก็คิดผิด ถ้าจะเลือกอย่างหนึ่งก็ต้องเสียอย่างหนึ่งไป ผมเลือกอิมิเลียผมก็ต้องเสียหลานชายของผม ผมเลือกหลานชายของผมผมก็ต้องเสียอิมิเลียไป ไม่ว่าเลือกทางไหนก็รู้สึกเจ็บปวดทั้งนั้นและที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าก็คือผมมักมาช้าไปก้าวหนึ่งเสมอ"



                "คำพูดที่ว่า 'มาช้าดีกว่าไม่มา' มันก็แค่ข้ออ้างเพื่อลดความรู้สึกผิดเท่านั้นแหละ เพราะสุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันสูญสลายไปยากที่จะกลับคืน"



                ผมว่าแล้วยกแก้วกระเบื้องดื่มชาคาโมมายล์ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ความอ่อนล้า และอาการนอนไม่หลับที่นับวันยิ่งสะสมมากขึ้นทุกวัน อาการนอนไม่หลับของผมนับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากที่หนีจากพี่น้องมุคามิมายังโลกมนุษย์เป็นเพราะว่าผมตัดสินใจเลือกพี่น้องซาคามากิ ทิ้งบาดแผลและความเจ็บช้ำไว้ในใจพวกเขาเหมือนที่ผมเคยทำกับพี่น้องซาคามากิตอนที่ผมเลือกหนีออกจากปราสาทไปช่วยอิมิเลียซึ่งความจริงแล้วผมไม่อยากทำแบบนั้นเลย 



                ถ้ามีทางเลือกที่ทุกฝ่ายไม่ต้องเจ็บปวดผมจะเลือกทางนั้นอยางไม่ลังเล แต่โลกนี้มันโหดร้ายเกินกว่าที่แนวคิดอุดิมคติเหล่านั้นกลายเป็นจริง



                และถึงแม้ว่ามันจะเป็นจริงแต่มันก็ไม่ยั่งยืน ความคิด ความรู้สึก ความปรารถนาที่แตกต่างกันของทุกชีวิตที่เกิดมาบนโลกใบนี้จะทำให้เกิดความขัดแย้งและความขัดแย้งจะไม่มีวันสิ้นสุดตราบใดที่เรามีอารมณ์ความรู้สึก



                ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะแต่ว่า...



                "ผมหันหลังกลับไม่ได้แล้ว ต่อให้ผมร้องไห้คร่ำครวญมากแค่ไหนสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็เกิดขึ้นไปแล้วมันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้ก็คือยอมรับผลลัพธ์ของมันและก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น ต่อให้ปลายของผมคือความโกรธแค้นและความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อผมจนยากที่จะให้อภัยก็ตามแต่เพื่อพวกเขาแล้วผมจะยอมรับความโกรธแค้นและความเกลียดชังด้วยความเต็มใจ"


         

                เสียงนั่นเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่งหลังจากฟังคำตอบของผมก่อนถอนหายใจออกมาให้กับความดื้อรั้นที่ยากเกินจะแก้ไขแต่ถึงกระนั้นก็ยอมรับการตัดสินใจของผมกลายๆ "ไม่ว่าทุกยุคทุกสมัยความรักทำให้คนตาบอดได้เสมอไม่เว้นแม้กระทั่งพระผู้เป็นเจ้าที่สร้างมนุษย์ขึ้นมาทั้งที่รู้ว่าสักวันมนุษย์อาจจะขบถต่อพระองค์"



                "แต่ในเมื่อเจ้ายืนกรานเช่นนั้น ข้าคงไม่ต้องมีอะไรจะพูดกับเจ้าเรื่องนี้อีก"



                ว่าแล้วการเชื่อมต่อก็ถูกตัดขาดไป ตอนนี้เหลือแค่ผมที่กำลังอยู่บนโซฟานั่งดื่มชาคาโมมายล์ภายในห้องคอนโดมิเนียมตามลำพังถ้าผมไม่ดื่มมันผมก็ไม่มีวันได้หลับอย่างสงบสุขอย่างแน่นอน บางทีเผลอๆ ผมคิดว่าอาจจะต้องเปลี่ยนมาพึ่งยานอนหลับด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่ผมหลับตาผมมักจะเห็นใบหน้าอันแสนเศร้าสร้อยที่แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาอันแสนโหดร้ายราวกับพายุหิมะโหมกระหน่ำของรุกิ ตามมาด้วยใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวและเสียใจของโคว ยูมะ และอาซึสะ 



                ผมทอดทิ้งพวกเขาเหมือนกับที่ผู้ใหญ่ใจร้ายทำกับพวกเขา รุกิมองว่าผมเหมือนแม่ของเขาที่ทิ้งเขาให้เผชิญความโหดร้ายเพียงลำพังบนโลกใบนี้ โควมองผมเหมือนพี่เลี้ยงเด็กที่ทอดทิ้งเขาไว้ในท่อระบายน้ำเพราะไม่สามารถดูแลเขาได้อีกต่อไปแล้ว ยูมะมองผมเหมือนเป็นเพื่อนแต่สุดท้ายแล้วก็จากเขาไปมิหนำซ้ำทิ้งความทรงจำที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายให้กับเขาอีก อาซึสะมองผมเหมือนสิ่งที่ยืนยันว่าตัวเขานั้นมีชีวิตและมีความหมายแต่สุดท้ายผมก็พรากมันไปด้วยการทรยศหักหลังด้วยการจากเขาไป



                ผมรู้ตัวว่าผมมันเป็นคนบาปต่อให้ตกนรกหรือโดนไฟชำระล้างก็ไม่อาจชดใช้ในสิ่งที่ผมทำกับพวกเขาได้ แต่ถ้าเพื่อช่วยเหลือพวกเขาจากแผนการอันบ้าคลั่งของคาร์ลไฮนซ์แล้ว...



                "...ต่อให้ผมไม่ได้รับการอภัยจากพวกเขาหรือแม้กระทั่งพระผู้เป็นเจ้าผมก็ยอม"  


        

    ....................................................


    Let's Talk with Writer : 

    มาอัพแล้วขอโทษที่ห่างหายเพราะ ณ เวลานั้นไรต์เตอร์ไม่รู้ว่าจะไปต่ออย่างไรแล้วก็ไม่มีอารมณ์จะอัพด้วยค่ะ ตอนนี้ไรต์เตอร์ฝึกงานในห้องแลปที่โรงพยาบาลแล้ว เย้ๆ >_< แต่ว่าไรต์เตอร์ก็ต้องระวังเรื่อง Covid-19 เพราะว่าไรต์เตอร์ฝึกงานอยู่ที่สมุทรสงครามซึ่งใกล้กับสมุทรสาครที่กำลังเป็นข่าวอยู่นั่นเอง บอกตามตรงว่างานเยอะมากตัวอย่างที่ส่งมาวันนึงตั้งหลายร้อยกว่ารายเลยทำเอากลับมาที่หอพักทีเหนื่อยเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

    ตอนนี้ก็เป็นของ(ไอ้ต้าว)สุบารุค่ะ จะย้อนอดีตที่ว่าทำไมสุบารุถึงรู้ว่ามิไฮนซ์คือลุงแท้ๆ ของตนเองและเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ จากประโยคที่ว่า "...เป็นลุงที่ผิดที่ไม่สามารถบอกความจริงได้จนเธอต้องมาทุกข์ทรมานแบบนี้" คือมิไฮนซ์อยากจะบอกนะแต่ก็บอกไม่ได้เนื่องจากคำสาปของคาร์ลไฮนซ์ทำให้ถึงอยากจะบอกมากแค่ไหนก็ทำไม่ได้ แต่ตอนสุบารุสงสัยในกลิ่นเลือดว่าทำไมกลิ่นมันเหมือนของแม่มันก็ได้ปลดล็อกบางอย่างเข้าให้เลยทำให้มิไฮนซ์สามารถบอกความจริงเรื่องนี้ได้โดยที่ไม่โดนคำสาปเล่นงาน เหมือนคำสาปมันจะปลดล็อกบางส่วนก็ต่อเมื่อมีคนรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเขา ก็คือต้องรู้ก่อนแล้วค่อยบอกความจริงทีหลังก็จะไม่โดนคำสาปเล่นงานนั่นเอง

    สำหรับเรื่องที่สุบารุโดนหมางเมินจากคนรอบข้างเราจินตนาการเอาเอง คือแม่กลายเป็นบ้าจนต้องถูกขังอยู่ในหอคอยส่วนพ่อก็ไม่ได้รักแม่แล้วก็ตัวเขา หัวเดียวกระเทียมลีบแบบนี้น่าจะโดนคนอื่นเอาเปรียบไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว กับพี่น้องคนอื่นถึงพ่อไม่แคร์แต่ก็ยังมีบารมีแม่คอยคุ้มครองอยู่แต่สุบารุไม่มีทั้งสองอย่างคิดว่าสมัยเด็กของเขามันไม่น่าอภิรมย์เลยทีเดียวผลที่ได้ก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ ถ้ารู้สึกว่าสุบารุ OOC ล่ะก็ขออภัยด้วยนะคะ

    ส่วนตัวมิไฮนซ์หรือเบียคุยะนั้นสำหรับบางคนอาจจะดูโง่และน่ารำคาญ ชอบรำพึงรำพันตอกย้ำถึงความผิดพลาดของตัวเองตลอด คิดว่าตัวเองมันอ่อนแอไม่ได้เรื่องอยู่ตลอด ทั้งที่ตนเองพยายามมองโลกในแง่ดีหรือมองด้านดีๆ ของคนอื่นเขา อาการที่มิไฮนซ์เป็นเขาเรียกว่า Toxic positivity เป็นอาการของคนที่มองแต่ด้านดี คิดบวกตลอดเวลา จนกระทั่งมองข้ามความรู้สึกด้านลบที่เกิดขึ้นของตัวเองทำให้เกิดปัญหาทางด้านร่างกายและจิตใจ ถ้ายกตัวอย่างเช่น เรารู้สึกเครียดกับงานมากเพราะงานที่ทำมันอาจไม่เหมาะกับเราแต่เราบอกกับตนเองว่า 'ทนๆ ไปเถอะ' ก้มหน้าทำงานต่อไปทั้งที่ใจมันไม่ไหวแล้ว ก็เหมือนกับเบียคุยะทั้งที่ตนเองรู้สึกแย่กับการโดนพี่น้องซาคามากิเกลียด รู้สึกผิดที่ทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายที่ไม่อาจแก้ไขได้แต่ก็ฝืนทนต่อไปเพื่อหยุดคาร์ลไฮนซ์และปกป้องคนที่เขารักทั้งที่ใจของเขาพังทลายลงไปเรื่อยๆ

    คนอาจจะบอกว่าการคิดบวกนั้นทำให้สุขภาพดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น การมองโลกในแง่บวกเป็นเรื่องดีนะ แต่ความจริงแล้วมันก็มีผลกระทบอีกแบบ คนที่พยายามคิดบวกแล้วบวกอีกแต่ไม่รู้สึกดีขึ้น พวกเขาจะตั้งคำถามกับตนเองว่าทำไมพวกเขาไม่สามารถมีความสุขแบบคนอื่นได้ล่ะ? ทำไมพวกเขาคิดบวกไม่ได้ล่ะ? พวกเขาพยายามไม่มากพอเหรอ? การบังคับให้ตนเองคิดบวกน่ะมันยิ่งทำให้เราเจ็บปวดเพราะเราปฏิเสธความรู้สึกที่แท้จริงของเรา อย่างเรารู้สึกเสียใจและเจ็บปวดแต่เราเลือกที่จะปกปิดมันเอาไว้ด้วยรอยยิ้มเพราะมองว่าอารมณ์ด้านลบเหล่านั้นมันไม่ดีนะ ทำให้เราติดกับความรู้สึกผิดที่ว่าเรามันอ่อนแอไม่เอาไหนที่ไม่เข้มแข็งพอที่จะมีความสุขหรือมองโลกในแง่ดี เป็นการบั่นทอนสุขภาพจิตดีๆ นี่เอง 

    ทางที่ดีที่สุดเราควรจะซื่อตรงกับความรู้สึกตนเองดีกว่าเน๊อะ ถ้าไม่ไหวก็บอกว่าไม่ไหว ถ้าเศร้าก็ร้องไห้มันออกมาเลย บางครั้งการยอมรับด้านลบเหล่านี้อาจจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นก็เป็นได้

    สุดท้ายนี้ก็ บ๊ายบาย สวัสดีค่ะ ^^

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×