NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Diabolik lovers] White Rose กุหลาบขาวของเหล่าแวมไพร์ (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #12 : White Rose 09 : แรกเจอ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.19K
      609
      15 พ.ย. 64

    White Rose 09

    แรกเจอ


    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ komori yui gif


    "ยามพบกับคนผู้นั้นเป็นครั้งแรก ทั้งที่ไม่เคยรู้กันมาก่อนแต่หัวใจของฉันกลับสั่นไหวร่ำร้องราวกับเคยพบเจอคนผู้นั้นมาแล้ว ความเจ็บปวดและความร้อนรุ่มราวกับเปลวไฟแห่งความเกลียดชังที่โชติช่วงภายในอกนี้มันคืออะไรกัน...?"



              โคโมริ ยุยมักฝันถึงชายผู้หนึ่ง...



              ยามก้าวมาที่คฤหาสน์คาซามากิ นับตั้งแต่ชะตาชีวิตของเธอนั้นพลิกพลันแบบไม่มีวันหวนกลับ ความจริงอันโหดร้ายถาโถมประดังกระเดเข้ามายากที่สาวน้อยธรรมดาคนหนึ่งจะรับไหว แต่ถึงกระนั้นเธอต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้าเพราะตัวเธอนั้นไม่สามารถหันหลังกลับไปได้อีกแล้ว



              และเพราะความจริงอันโหดร้ายเหล่านี้ทำให้ โคโมริ ยุย ฝันถึงผู้ชายคนหนึ่งอยู่หลายครั้ง



              ความฝันครั้งแรกของเธอนั้นเป็นห้วงฝันสีเทาหม่นชวนหดหู่ราวกับมีเมฆหมอกมาบดบังแล้วพลันนั้นเองร่างเงาสีขาวปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางท่ามกลางหมอกหนา ยามร่างนั้นย่างก้าวเพียงไม่กี่ก้าวโลกสีเทาหม่นนั้นพลันสว่างไสวขึ้นภายในพริบตาราวกับการปรากฏตัวของร่างนั้นขจัดความเศร้าหมอง ทิวทัศน์รอบตัวเปลี่ยนเป็นปราสาทขนาดใหญ่แสนงดงามหลังหนึ่งในยามค่ำคืนพร้อมกับสายลมที่พัดพาหยอกล้อกับกลีบดอกกุหลาบขาวทำให้บรรยากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกุหลาบที่ปลูกตามทาง



              ยุยเหม่อมองร่างนั้น ขาทั้งสองข้างของเธอขยับเดินเข้าไปหาเงานั้นโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเข้าใกล้รูปลักษณ์ของเงานั้นชัดเจนมากยิ่งขึ้นและเมื่อเธอเดินมาถึงพบว่าสีขาวที่เธอเห็นนั้นเป็นเส้นผมยาวสลวยของใครบางคนที่ยาวลงมามากราวกับเจ้าหญิงราพันเซลไม่ปานนั้นถึงแม้ว่าผมของอีกฝ่ายไม่ได้ยาวถึงขนาดทำเป็นเชือกปีนหอคอยสูงก็ตามที



              "คุณเป็นใครคะ?" ยุยถาม ร่างนั้นหันกลับไปทำให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้านั้นแต่ถึงกระนั้นเธอไม่จดจำใบหน้านั้นได้ทั้งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ ราวกับว่ามีบางอย่างไม่ต้องการให้เธอจดจำใบหน้าของคนผู้นี้ได้ สิ่งที่เธอรู้เพียงอย่างเดียวคือร่างที่อยู่ตรงหน้าของนั้นเป็นผู้ชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง



              ชายคนนั้นขยับปากบอกทว่าไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมาแม้แต่น้อย มือเรียวสวยของชายคนนั้นยกขึ้นมาลูบบนศีรษะของเธออย่างแผ่วเบาคล้ายปลอบประโลมจิตใจพร้อมส่งรอยยิ้มอ่อนออกมาราวกับต้องการบอกเธอว่าไม่เป็นอะไรแล้วนะ พลันนั้นเองหัวใจของเธอกระตุกวูบเผลอปัดมือนั้นออกไปถอยห่างจากชายคนนั้นกุมอกซ้ายที่เป็นตำแหน่งหัวใจของตนเองด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดเหมือนมีอะไรบางอย่างมาบีบรัดหัวใจดวงนี้



              ความรู้สึกเจ็บปวดและความรุ่มร้อนราวกับมีเปลวไฟแผดเผานี้มันคืออะไรกัน...?



              ทั้งที่คนตรงหน้านั้นให้ความรู้สึกเป็นมิตรและอ่อนโยนกับเธอมากแท้ๆ แต่ทำไมเธอสัมผัสได้ถึงความอิจฉาริษยา ความเกลียดชัง และความโกรธแค้นออกมาจากอกของเธอ ทั้งที่มันไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริงของเธอเลยสักนิดเดียวราวกับว่ามีใครบางคนแสดงความรู้สึกนี้ออกมาผ่านร่างของเธอ



              อึดอัด ทรมาน หายใจไม่ออก...คุณเป็นต้นตอของความรู้สึกที่อยู่ในอกนี้ใช่หรือไม่?



              ถ้าหากใช่แล้ว คุณเป็นใคร? คุณเป็นใครกันแน่...? 



              ทำไมฉันรู้สึกเจ็บปวดทรมานเหมือนมีคนมาจุดไฟเผาหัวใจให้ตายทั้งเป็นได้มากขนาดนี้...



              หลังจากนั้น โคโมริ ยุย ก็ตื่นจากความฝัน



              วันนี้เป็นอีกวันที่ต้องตื่นขึ้นมากลางคืนเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียนเรียวเทย์เพื่อเรียนภาคกลางคืน โรงเรียนมัธยมเรียวเทย์แห่งนี้เป็นโรงเรียนที่ออกจะแปลกกว่าโรงเรียนมัธยมตามปกติตรงที่มีการเรียนการสอนภาคกลางคืนซึ่งมันเป็นอะไรที่สะดวกสบายสำหรับอมนุษย์อย่างแวมไพร์ลูกชายเจ้าของบ้านที่เธอเข้ามาอาศัยอยู่ทั้งหกคน



              ใช่แล้ว...สมาชิกในบ้านซาคามากิ บ้านเพื่อนของพ่อเธอนั้นทุกคนล้วนเป็นแวมไพร์กันทั้งสิ้น



              เรื่องราวคล้ายนิยายรักประโลมโลกอย่างการที่หญิงสาวผู้เป็นมนุษย์กับชายหนุ่มผู้เป็นแวมไพร์ตกหลุมรักซึ่งกันและกันแต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้สวยหรูแบบนั้น การอยู่กับสิ่งมีชีวิตกระหายเลือดเอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างแวมไพร์นั้นก็เหมือนขาข้างหนึ่งอยู่ในโลงศพเป็นที่เรียบร้อยแล้วหากพลาดแม้แต่นิดเดียวเท่ากับชีวิตของเธอนั้นจบสิ้นหรือเรียกง่ายๆ ก็คือ 'ตาย' นั่นเอง



              โคโมริ ยุยยังไม่อยากตาย เธอยังต้องการพบกับ โคโมริ เซย์จิ พ่อของเธออีกครั้ง มีหลายคำถามมากมายที่อยากจะถามหาความจริงจากปากพ่อของเธอโดยตรง



              เพราะอยู่ในห้วงความคิดของตนเองบวกกับรีบเร่งหาเครื่องดื่มให้คานาโตะหนึ่งในพี่น้องบ้านซาคามากิทำให้ตัวเธอนั้นชนกับใครบางคนจนล้มเข้าอย่างจัง



              โครมมมมมมม!



              "อ๊ะ! ขอโทษค่ะ คุณเป็นอะไรไหมคะ?" เด็กสาวถามด้วยความเป็นห่วงยามเมื่อเห็นหนังสือและเอกสารหลายเล่มที่ร่วงระเกะระกะทำเอาเธอรู้สึกผิดขึ้นมาจากนั้นช่วยเก็บหนังสือและเอกสารเหล่านั้นให้ทางด้านอีกฝ่ายเองก็เก็บจนใบหน้าของทั้งสองคนเผลอเข้าใกล้จนเกือบจะชนกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ยามเมื่อสบมองกับคนที่ถูกชนทำให้ยุยรู้สึกตกตะลึงคล้ายอยู่ในภวังค์ชั่วครู่หนึ่งก่อน



              คนที่อยู่ตรงหน้าเป็นชายหน้าตาหน้าดีคนหนึ่งอายุประมาณ 25 ปีกว่าได้ ผมสีบลอนด์ออกซีดๆ ยามต้องแสงไฟหากมองไม่ดีก็สามารถมองว่ามันเป็นสีขาวได้เช่นกัน ดวงตาสีชมพูงดงามฉายประกายอ่อนโยนให้ความรู้สึกเหมือนแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าในฤดูใบไม้ผลิ ผิวขาวเนียนละเอียดเข้ากับโครงหน้าสวยได้รูป สวมสูทลำลองสีดำข้างในตัวเสื้อเป็นสีขาวดูเหมือนวัยรุ่นทันสมัยผิดกับหูข้างขวาที่สวมต่างหูรูปทรงหยดน้ำสีแดงเก่าๆ เพียงข้างเดียวซึ่งเป็นความขัดแย้งที่เห็นได้ชัด



              ช่างเป็นคนที่ดูดีอะไรแบบนี้นะ...นั่นคือความคิดของเด็กสาว



              "ไม่เป็นไรครับ ทางนี้เองก็ไม่ได้มองทางให้ดีเหมือนกันน่ะว่าแต่นักเรียนจะรีบไปไหนเหรอ?" ยามถูกอีกฝ่ายถามด้วยเสียงนุ่มทุ้มทำให้เด็กสาวหลุดจากภวังค์ การที่คนๆ แทนตัวเธอว่านักเรียนแสดงว่าคนตรงหน้าอาจจะเป็นอาจารย์ของโรงเรียนนี้ก็เป็นได้ แต่เธอจำไม่ได้ว่าเคยมีอาจารย์หน้าตาโดดเด่นและดูอ่อนเยาว์แบบนี้เลยสักครั้ง



              หรือว่าจะเป็นอาจารย์คนใหม่ตามที่เขาลือกัน?



              ก่อนหน้านั้นยุยได้ยินข่าวว่าจะมีอาจารย์สอนวิชาศิลปะที่เพิ่งจบใหม่มาที่นี่ ได้ยินว่าเป็นผู้ชายเสียด้วย ตอนแรกเด็กสาวไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักแต่ก็ไม่นึกว่าจะบังเอิญเจอกันแบบนี้



              "คือหนูจะไปซื้อเครื่องดื่มให้เพื่อนน่ะค่ะก็เลยรีบร้อนไปหน่อยต้องขอโทษจริงๆ ด้วยนะคะ"



              "ไม่หรอก ว่าแต่หนูจะซื้ออะไรให้เพื่อนอย่างนั้นเหรอ? บางทีผมอาจจะแนะนำให้ได้นะเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยเก็บเอกสารให้น่ะ" เป็นเพราะเสียงนุ่มทุ้มน่าฟังราวกับมีมนตร์สะกดหรือเพราะอะไรเด็กสาวจึงตอบอีกฝ่ายอย่างโดยดีไม่คิดปิดบัง



              "อืม...กาแฟอย่างนั้นเหรอ?" คนตรงหน้าเด็กสาวครุ่นคิด



              "ตามความเห็นของผมนะ ถ้าผมจะซื้อเครื่องดื่มให้ใครสักคนถ้าไม่รู้รสนิยมของเขาผมว่ากาแฟไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆ ที่อยากซื้อให้เขาหรอก"



              "เอ๋?" เด็กสาวสงสัย



              "รสขมน่ะ เมื่อเทียบกับรสอื่นแล้วมันต้องใช้เวลาในการทำความคุ้นเคยกับมันก่อนถึงจะกินได้กับบางคนเกลียดมันจนไม่อยากแตะก็ยังมี เธอน่ะคงไม่ได้เคี้ยวยาทุกครั้งก่อนกินเพื่อรสขมๆ นั่นหรอกใช่ไหม"



              "มันก็จริงนั่นแหละค่ะ" ยุยยิ้มหัวเราะให้กับอารมณ์ขันเล็กๆ ของอีกฝ่าย 



              "นอกจากนั้นผมไม่อยากแนะนำเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนสูงอย่างกาแฟเพราะบางคนกินแค่แก้วเดียวก็รู้สึกปวดหัวและใจสั่นแล้ว ถ้าเป็นไปได้อยากให้หาเครื่องดื่มที่กินง่ายๆ หน่อย เรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องที่สำคัญนะเพราะนั่นหมายถึงการเอาใส่ใจตนเองและผู้อื่นด้วย"



              "เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ" เด็กสาวโค้งคำนับขอบคุณอีกฝ่ายก่อนรีบเดินจากไปโดยไม่ทันสังเกตเลยว่าดวงตาสีชมพูคู่งามนั้นกำลังเธออยู่



              "กลิ่นหอมที่คุ้นเคยแบบนี้ เด็กคนนั้นสินะ...อีฟน่ะ"



              สามสิบนาทีต่อมา...



              เพราะคำแนะนำของอาจารย์ผมสีบลอนด์ซีดคนนั้นทำให้คานาโตะอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิมเลยทำให้ไม่อีกฝ่ายกลั่นแกล้งหรือระเบิดอารมณ์ใส่ ภายในห้องเรียนของเธอนั้นมีจำนวนนักเรียนค่อนข้างน้อยเพราะปกตินักเรียนส่วนใหญ่เลือกเรียนตอนกลางวันด้วยเหตุผลต่างๆ นานาแต่คาดว่าหนึ่งในเหตุผลนั้นคือไม่อยากเรียนในเวลาที่ควรเป็นเวลานอนซึ่งตัวเด็กสาวเองก็ไม่อยากเรียนกลางคืนแต่ก็ขัดใจพี่น้องบ้านซาคามากิไม่ได้เพราะเธอกลัวพวกเขา 



              การอยู่ร่วมกับแวมไพร์มันไม่มีความสุขเหมือนในนิยายหรือหนังสือการ์ตูนโรแมนซ์เลยสักนิดเดียว 



              เด็กสาววางกระเป๋านักเรียนของเธอบนที่แขวนกระเป๋าข้างโต๊ะจากนั้นหยิบสมุดการบ้านของวันออกมาทำเพราะเกรงว่าพอกลับไปแล้วไม่มีเวลาทำการบ้านเนื่องจากโดนพี่น้องบ้านซาคามากิก่อกวนเป็นแน่ โดยเฉพาะพี่น้องสามแฝดอย่างอายาโตะ คานาโตะ และไลโตะซึ่งเป็นตัวแสบประจำบ้านและประจำโรงเรียนมีแนวโน้มความเป็นไปได้มากที่สุด



              และมันก็เป็นอย่างที่เด็กสาวคิดเอาไว้จริงๆ 



              "เฮ้! ชิชินาชิโดดเรียนกันเถอะ"



              "อย่าเรียกฉันแบบนั้นสิ อายาโตะคุง ฉันไม่อยากโดนตัดคะแนนความประพฤติเพราะขาดเรียนหรอกนะอีกอย่างถ้ากลับไปฉันก็ไม่มีสมาธิทำการบ้านน่ะสิ"



              "หา? โดนตาแก่สี่ตานั่นล้างสมองหรือยังไงทำเป็นจริงจังไปได้" เด็กหนุ่มผมแดงทำหน้าเหยเกทันทีเมื่อนึกถึงพี่คนของรองบ้านซาคามากิ พี่คนรองของบ้านนี้น่ะเอะอะก็มารยาทอย่างนั้นมารยาทอย่างนี้จู้จี้จุกจิกขี้บ่นเหมือนคนแก่ยิ่งกว่าอะไรดีเลย



              "จะอะไรก็ช่างวันนี้ฉันหิวแล้วมากับฉันซะดีๆ" ว่าแล้วเด็กหนุ่มผมแดงจึงฉกสมุดการบ้านบนโต๊ะเพื่อแกล้งเด็กสาวที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำการบ้านอย่างขะมักเขม้นเหมือนมดงาน แต่ก่อนที่มือจะฉวยหยิบสมุดนั้นได้ก็ถูกหนังสือเล่มหนาฟาดใส่ด้วยแรงที่ไม่มากไม่น้อยแต่ก็ทำให้พลาดจากการฉกสมุดนี้ไป



              "ใครบังอาจมาขัดขวางฉันคน...!" ยังไม่ทันขาดคำสันหนังสือก็ฟาดลงไปกลางศีรษะทำเอาอีกฝ่ายกุมศีรษะร้องออกมาด้วยความเจ็บเล็กน้อยส่วนคนที่เหลือในห้องซึ่งมีอยู่น้อยนิดทั้งตกใจทั้งตกตะลึงเพราะไม่มีใครกล้าลงไม้ลงมือกับ ซาคามากิ อายาโตะ คนดังประจำห้องเลยแม้แต่น้อย



               ที่ดังนั้นหมายถึงดังในด้านการก่อปัญหาและความวุ่นวายภายในโรงเรียนน่ะนะ...



              พวกเขามองมายังคู่กรณีอีกฝ่ายทำเอาทุกคนโดยเฉพาะนักเรียนหญิงมองค้างพบว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีดูอ่อนเยาว์คนหนึ่งที่กำลังยิ้มอ่อนๆ ให้เด็กหนุ่มในมือถือหนังสือเล่มเดียวกันกับที่พวกเรากำลังจะเรียนในคาบต่อไป นักเรียนหญิงเมื่อเห็นหน้าของเขาชัดเจน



              "ถึงเวลาเรียนแล้วนักเรียนกรุณานั่งที่ด้วย"



              "หา? นี่แกเป็นใครกล้าดียังไงมาขัดขวาง...โอ๊ย!" นอกจากเด็กหนุ่มยังไม่สำนึกแล้วก็โดนสันหนังสือฟาดไปอีกทีหนึ่ง



              "สุภาพหน่อย ซาคามากิ อายาโตะคุง ชั่วโมงเรียนเริ่มแล้ว เธอคงไม่อยากให้ผมรายงานกับพฤติกรรมขาดเรียนบ่อยกับคุณพ่อของคุณคุณซาคามากิโดยตรงนะ"



              "ชิ!" เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกชื่อเต็มโดยตรงสบถออกมาด้วยความไม่พอใจยอมกลับไปนั่งแต่โดยดีก่อนที่เขาจะนั่งชั่วครู่วินาทีนั้นเขาสังเกตเห็นต่างหูของอีกฝ่าย เขาคงจะไม่แปลกใจกับต่างหูเก่าที่ไม่เข้ากับแฟชั่นสมัยใหม่ถ้าไม่ใช่เพราะรูปทรงของมันเหมือนกับต่างหูที่เขาเคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว



              ต่างหูทรงหยดน้ำสีแดงนั่นมัน...!!



              "แกได้ต่างหูนั่นมาจากไหนกัน?!" อายาโตะตวาดกร้าวขึ้นเสียงทันทีเมื่อพบต่างหูชิ้นนั้น


     

              ต่างหูทรงหยดน้ำสีแดงสำหรับเขาแล้วเป็นความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดที่อายาโตะอยากกลบฝังมันให้อยู่ส่วนลึกของหัวใจที่แหลกสลายในวันนั้นแต่นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีโอกาสพบกับต่างหูทั้งสีและรูปทรงนี้อีกครั้งหนึ่งกับคนแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้ที่ตัวเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยสักนิดเดียว



              "นักเรียนกลับไปนั่งที่ชั่วโมงเรียนเริ่มแล้ว" อายาโตะอยากจะเค้นคำตอบจากคนตรงหน้า นอกจากชายหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์คนนั้นจะไม่ตอบคำถามเขาแล้วยังคงทำเป็นเมินเฉยทำราวกับเขาเป็นธาตุอากาศเสียอย่างนั้น ยิ่งชายหนุ่มเดินตรงไปยังโพเดียมหน้าชั้นเรียนด้วยแล้วทำเอานักเรียนที่อยู่ในห้องลืมหายใจแทบทันโดยเฉพาะนักเรียนหญิงที่มองเขาด้วยตาเป็นประกาย บางคนถึงกับอุทานกรีดร้องออกมาเลยทันที



              และคนที่ตกใจมากที่สุดก็คงไม่พ้นโคโมริ ยุย 



              เธอรู้แค่ว่ามีอาจารย์วิชาศิลปะคนใหม่แต่ไม่นึกว่าจะเป็นอาจารย์วิชาศิลปะประจำชั้นปีของเธอแบบนี้



              "สวัสดีนักเรียนทุกคน ผมชื่อ 'มัตสึริ เคย์กะ' เป็นอาจารย์วิชาศิลปะของชั้นปีสองและอาจารย์ประจำชั้นชั่วคราวของพวกเธอ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ"



              ...แถมยังเป็นอาจารย์ประจำชั้นชั่วคราวที่มาแทนคนเก่าที่กำลังป่วยหนักอีก



              ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิและท่าทางสุภาพเรียบร้อย ทำให้นักเรียนส่วนมากค่อนข้างรู้สึกประทับใจในตัวเขายิ่งตอนปะทะกับซาคามากิ อายาโตะ ตัวแสบประจำห้องยิ่งดึงดูดความสนใจของนักเรียนทุกคนในห้องเพราะไม่มีอาจารย์คนไหนยุ่งกับพี่น้องซาคามากิโดยเฉพาะสามแฝดตัวแสบประจำชั้นปีที่สองแบบนี้



              ...นอกจากนักเรียนคนอื่นๆ ในชั้นแล้วสองในสามพี่น้องตัวแสบที่ถูกกล่าวถึงนั้นก็รู้สึกสนใจอาจารย์หนุ่มตรงหน้านี้อีกด้วย



              "คนๆ นี้ทั้งน่าสนใจและน่ารำคาญดีนะว่าไหม? เท็ดดี้" คานาโตะที่ไม่รู้ว่าโผล่มาตอนไหนเอ่ยขึ้นมาพร้อมก้มลงมาคุยกับตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ตัวโปรดในอ้อมกอดของเขาด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดา "...โดยเฉพาะต่างหูนั่น หมอนั่นเป็นใครกันนะ"



              อายาโตะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาครุ่นคิดซึ่งคาดเดาไม่ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ที่สองพี่น้องฝาแฝดในห้องเรียนนี้ต่างมีความเห็นเดียวกันว่า



               มัตสึริ เคย์กะ เป็นใคร? เกี่ยวข้องอะไรกับยัยมนุษย์โสโครกคนนั้นกันแน่

    .

    .

    .

    .

    .

    .

              นับตั้งแต่การปรากฏตัวของมัตสึริ เคย์กะ ในวันนั้นทำให้ผู้คนโดยเฉพาะนักเรียนรู้สึกตื่นเต้นจนกลายเป็นหัวข้อพูดคุยยอดนิยมและคาดว่าจะกลายเป็นหัวข้อที่พูดคุยกันไปอีกนานเลยทีเดียว



              โรงเรียนมัธยมเรียวเทย์ใช่ว่าจะไม่มีอาจารย์ที่หน้าตาดีมากที่ความสามารถแต่โดยส่วนใหญ่แล้วอาจารย์เหล่านั้นอายุห่างกับพวกเขามากถ้าเทียบกับอาจารย์สอนศิลปะคนใหม่อย่างมัตสึริ เคย์กะ ที่ดูมีชีวิตชีวาและความเป็นวัยรุ่นเข้ากับกันนักเรียนได้มากกว่าถึงแม้อายุของอีกฝ่ายไม่อาจนับว่าเป็นวัยรุ่นได้แล้วก็ตาม



              นอกจากรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนเยาว์กว่าอาจารย์ในโรงเรียน ลักษณะการแต่งตัวเองก็เป็นเอกลักษณ์อย่างการใส่สูทลำลองดูไม่เป็นทางการแบบอาจารย์ชายคนอื่นอีกทั้งยังใส่รองเท้าผ้าใบมาสอนหนังสืออีก บางวันก็เป็นเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์เมื่อรวมกับหน้าตาแล้วแทบจะขึ้นปกนิตยาสารเป็นนายแบบได้เลย 



              และด้วยลักษณะนิสัยการแต่งกายของเขาทำให้อาจารย์หัวเก่าที่ยึดติดกับกฏระเบียบแทบทุกคนไม่ชอบมัตสึริ เคย์กะกันทั้งนั้น นอกจากเรื่องการแต่งกายแล้วเหตุผลที่โดยเขม่นก็เพราะอายุอีกฝ่ายนั้นน้อยกว่าพวกตนนั่นเองเผลอๆ อายุรุ่นเดียวกันกับลูกของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ การที่ต้องเรียกคนรุ่นลูกว่า 'อาจารย์' มันค่อนข้างกระดากปากสำหรับพวกเขา



              แต่อาจารย์พวกนั้นก็แค่ส่วนน้อยเพราะอาจารย์ส่วนใหญ่นั้นชื่นชมมัตสึริ เคย์กะกันทั้งสิ้น



              นอกจากนิสัยที่อบอุ่นเป็นมิตรและเอาใจใส่นักเรียน มัตสึริ เคย์กะไม่เคยดุด่าหรือทำโทษนักเรียนอย่างรุนแรงเลยสักครั้งเดียวอย่างมากแค่ว่ากล่าวตักเตือนหรือไม่ก็สั่งงานเพิ่ม เวลานักเรียนตอบคำถามผิดก็แค่ยิ้มๆ บอกคำตอบที่ถูกต้องไปไม่ได้ต่อว่าหรือด่าอะไรนักเรียนแม้แต่น้อยซ้ำยังให้กำลังใจอีกตะหาก ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่พากันชอบมัตสึริ เคย์กะเป็นอย่างมาก 



              จะว่าเป็นอาจารย์ในอุดมคติเลยก็ว่าได้...



              เวลาเขาสอนคลาสไหนก็ไม่มีใครโดดเรียนยกเว้นสามแฝดซาคามากิตัวปัญหาประจำชั้นยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มนักเรียนที่เรียนภาคกลางวันเมื่อรู้ข่าวอาจารย์ศิลปะภาคกลางคืนก็แอบมาดูตอนอีกฝ่ายโดยเฉพาะนักเรียนหญิงต่างพากันรู้สึกเสียดายเป็นแถบๆ 



              ถ้ารู้ว่าอาจารย์ภาคกลางคืนคนใหม่เกรดพรีเมี่ยมขนาดนี้รู้อย่างนี้น่าจะเลือกลงเรียนภาคกลางคืนตั้งแต่แรกแล้ว



              สำหรับใครหลายคนอาจมองว่าอาจารย์ศิลปะคนใหม่นี้เป็นคนที่ดีเลิศน่าคบหา แต่ทว่าสำหรับใครบางคนนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง



              อย่างเช่นพี่น้องซาคามากิ...



              ถ้าจะเรียกให้ถูกก็หลานชายของผมทั้งหกคนเอง



              ยิ่งคิดยิ่งปวดใจ ทั้งที่ผมอยู่ใกล้พวกเขาแท้ๆ แต่ก็ไม่อาจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้ทำได้ ที่สำคัญผมไม่รู้ว่าทำไมในดวงตาของพวกชุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งความเกลียดชังอยู่ในนั้นราวกับเคียดแค้นผมมานานกับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแบบนี้



              ผมเตรียมใจพร้อมเผชิญหน้ากับความเกลียดชังของพวกเขาที่มีต่อผมแล้ว แต่ทว่าในใจลึกๆ ผมปวดหนึบกับความเกลียดชังของพวกเขาเหล่านั้น



              ผมนั่งเหม่อมองบนท้องฟ้ายามราตรีสักพักหนึ่งจากนั้นผมสัมผัสได้ถึงหยดน้ำเย็นๆ บนแก้มขวาของผม ผมจึงหันหลังกลับไปมองพบว่าเป็นชายผมสีบลอนด์ยาวคนหนึ่งที่ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้



              "เหนื่อยหน่อยนะครับ อาจารย์มัตสึริ"



              "อาจารย์เรนฮาร์ต" ผมเอ่ยทักเขาด้วยรอยยิ้มกลับไป 



              เรนฮาร์ต เป็นอาจารย์ประจำห้องพยาบาลซึ่งเป็นอาจารย์คนแรกๆ ที่ผมรู้จักเพราะเป็นคนอาสานำทางเดินสำรวจโรงเรียนเรียวเทย์แห่งนี้ จะนับว่าเป็นเพื่อนคนแรกในโลกมนุษย์ที่ผมห่างหายไปนานมากเลยก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่มาที่นี่ตอนแรกคนๆ นี้เป็นมิตรต่อผมมากที่สุดในโรงเรียน



              "กับพี่น้องซาคามากิก็แบบนี้พวกเขาแทบไม่เป็นมิตรกับอาจารย์ทุกคน รับชาหน่อยไหมครับ?" เขาว่าแล้วยื่นขวดชาให้



              "อ่า ขอบคุณครับ" ผมกล่าวขอบคุณรับชาจากเขามาดื่ม "โคโมริซัง หน้ามืดอีกแล้วเหรอครับ?"



              "โลหิตจางก็แบบนี้แหละครับผู้หญิงเป็นกันเยอะขึ้นอยู่กับว่าเป็นมากหรือเป็นน้อยก็เท่านั้นเอง"



              "งั้นเหรอ..." ผมพึมพำเบาๆ



             โคโมริ ยุย ตัวแปรสำคัญของแผนการแอปเปิลของอดัมที่รู้จักกันในฐานะ 'อีฟ' แกะน้อยผู้ไร้เดียงสาที่ถูกลากมาเกี่ยวข้องกับแผนการอันบ้าคลั่งนี้



              ...และหนึ่งในเป้าหมายการช่วยเหลือของผม



              ตอนแรกผมเองก็ยังสงสัยว่าอีฟคนนี้เป็นคนอย่างไร? รู้เรื่องแผนการนี้หรือไม่? และอีฟคนนี้เต็มใจที่ดำเนินแผนการหรือเปล่า?



              แต่พอมาคิดดูอีกทีมันไม่สลักสำคัญอะไรเพราะต่อให้มีส่วนรู้เห็นผมก็ต้องควักหัวใจเธอคนนั้นออกมาทำลายทิ้งอยู่ดีเพื่อทำลายแผนการนั่นแล้วเอาหัวใจใหม่มาใส่แทน บิดเบือนความทรงจำไม่ให้อีกฝ่ายจำได้แล้วเธอคนนั้นปล่อยไปก็แค่นั้น การให้ความสำคัญและสนิทสนมกับเธอคนนั้นมากไปรังแต่จะสร้างบาดแผลที่บาดลึก



              ชีวิตของมนุษย์นั้นงดงามแต่ทว่าเปราะบางเสียยิ่งกว่าแก้ว เพียงแค่ออกแรงนิดหน่อยก็แตกสลายหายไปดังเช่นหมอกควันไม่มีวันหวนกลับมา...นั่นคือบทเรียนที่ผมได้รับมาจากประสบการณ์ชีวิต



              บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมผมไม่ควักหัวใจของคอร์เดเลียออกมาทำลายตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว คำตอบนั้นช่างง่ายดายนั่นก็คือคอร์เดเลียเป็นแม่ของหลานชายฝาแฝดทั้งสามผม



              ผมไม่อยากพรากแม่ของพวกเขาไปเหมือนที่คาร์ลไฮนซ์พรากคริสต้าไปจากผมก็แค่นั้น



              คาร์ลไฮนซ์เป็นคนโหดเหี้ยมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกดูอ่อนโยนไม่เหมือนกับสิ่งที่เป็นอยู่ก็ตาม สำหรับคาร์ลไฮนซ์อีฟจะเป็นคนไหนก็ได้ขอเพียงแค่เป็นมนุษย์ผู้หญิงมีหัวใจของคอร์เดเลียก็พอ



              โคโมริ ยุย ก็ไม่ใช่อีฟคนแรกของคาร์ลไฮนซ์ ถ้าเธอพลาดเขาก็แค่ควักหัวใจเธอออกมาแล้วนำมาใส่ให้หญิงสาวผู้โชคร้ายคนต่อไปแล้วถวายพานใส่ให้พี่น้องซาคามากิไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ



              และผมจะไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด



              "อาจารย์มัตสึริ!" เสียงกระหืดกระหอบจากการวิ่งดังขึ้น ผมหันไปตามเสียงนั้นซึ่งเจ้าของเสียงเป็อาจารย์ร่างท้วมคนหนึ่งที่วิ่งมาแล้วหยุดตรงหน้าผมเขาพักหายใจก่อนแล้วค่อยพูดออกมา



              "ผมได้ยินว่าอาจารย์มีช่วงว่างแล้วก็เล่นเปียโนเป็น ผมเลยอยากขอร้องให้ช่วยสอนปี 3 แทนผมได้ไหมครับ อาจารย์ปี 3 ท่านอื่นไม่มีใครว่างเลย"



              "ผมเล่นเปียโนได้ก็จริงแต่ไม่เก่งเท่าอาจารย์ชิงุเระนะครับแล้วก็ดูไม่เหมาะสมด้วย ว่าแต่อาจารย์ชิงุเระจะรีบไปที่ไหนครับ?



              "ภรรยาผมจะคลอดลูกแล้วผมต้องรีบไปโรงพยาบาลโดยด่วนครับ ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมได้แจ้งอาจารย์คนอื่นๆ เอาไว้แล้วว่าผมขอร้องให้อาจารย์มัตสึริมาสอนแทนผมเอง ขอร้องล่ะครับ!" อาจารย์ชิงุเระว่าแล้วโค้งคำนับให้ผมจนผมทำอะไรไม่ถูกยิ่งเขามองด้วยผมด้วยสายตาที่อ้อนวอนปราศจากความเท็จบวกกับความรู้สึกที่กำลังได้เป็นพ่อคนของเขาแล้วมันทำเอาผมปฏิเสธอีกฝ่ายไม่ลง



              "...ก็ได้ครับ" ผมถอนหายใจตอบตกลงอีกฝ่าย



              "ขอบคุณ! ขอบคุณอาจารย์มัตสึริมากๆ นะครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ" ว่าแล้วอีกฝ่ายก็รีบวิ่งออกไปทันที



              "อาจารย์มัตสึริ แน่ใจแล้วเหรอครับ?" เรนฮาร์ตถามผมด้วยความเป็นห่วง



              "ทำอย่างไรได้ล่ะครับ ความรู้สึกที่กำลังได้เป็นพ่อคนของอาจารย์ชิงุเระทำเอาผมปฏิเสธไม่ลงจริงๆ"



              "อาจารย์มัตสึริใจดีจังนะ..." เรนฮาร์ตกล่าวยิ้มๆ ก่อนก้มมองดูนาฬิกาของตนเอง "อีก 45 นาทีคาบเรียนวิชาดนตรีของอาจารย์ชิงุเระจะเริ่มแล้ว อาจารย์มัตสึริรีบไปห้องดนตรีเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยจะดีกว่านะครับ"



              "ขอบคุณครับ อาจารย์เรนฮาร์ต ถ้าเจอกันคราวหน้าผมจะซื้อชาคืนให้นะครับ"



              "ไม่ต้องหรอกครับ ผมเต็มใจให้อาจารย์มัตสึริ แล้วเจอกันใหม่นะครับ" เรนฮาร์ตว่าแล้วก็กลับไปทำงานที่ห้องพยาบาลตามเดิม ถึงผมจะรู้สึกแปลกๆ กับเขาอยู่บ้างเหมือนมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวตนและท่าทีของเขาที่สะกิดใจผม แต่ผมเลือกที่จะไม่คิดอะไรมากอาจเป็นเพราะผมห่างหายกับสังคมมนุษย์มานานมากแล้วก็ได้ 



              ผมเดินไปยังห้องพักอาจารย์ชั้นปีที่สามขออนุญาตนำเอกสารประกอบการเรียนของอาจารย์ชิงุเระที่เตรียมให้แล้วมา อาจารย์บางส่วนพากันงุนงงเล็กน้อยที่อาจารย์ชั้นปีที่สองมาเอาเอกสารการเรียนที่ห้องพักของอาจารย์ชั้นปีที่สาม ทางด้านอาจารย์ที่รู้เรื่องระหว่างผมกับอาจารย์ชิงุเระก็อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาเข้าใจแต่ก็สงสัยในขณะเดียวกันว่าสอนข้ามปีแบบนี้ไม่เป็นอะไรแน่หรือ?



              แน่นอนว่าสำหรับผมแล้วไม่มีปัญหา เพราะผมมีชีวิตอยู่มานานมากแล้วจนบางครั้งมากเสียจนจำไม่ได้ว่าอายุจริงๆ ของผมมันเท่าไหร่แต่ก็นานพอทำให้เรียนรู้สิ่งต่างๆ บนโลกได้อย่างมากมายเลยทีเดียว



              ผมตรวจสอบเอกสารเมื่อเห็นว่ามันครบถ้วนแล้วถูกต้องแล้วผมส่งยิ้มก่อนโค้งคำนับกล่าวขอบคุณและบอกลาตามมารยาทก่อนเดินออกจากห้องไปที่ห้องดนตรีโดยเร็วทำให้ผมไม่ทันได้ยินในสิ่งที่พวกเขาพูดกันเลยแม้แต่น้อย



              "แน่ใจแล้วเหรอที่ไม่บอกว่าตอนนี้ซาคามากิ ชู เขายึดห้องดนตรีเอาไว้แล้วน่ะ?"



              "ในเมื่ออาจารย์มัตสึริเคยจัดการกับอายาโตะแล้วกับพี่คนโตของบ้านคงไม่น่าเป็นอะไรหรอกมั้ง? เผลอๆ เด็กคนนั้นหลับคาห้องปล่อยให้อาจารย์มัตสึริสอนเด็กนักเรียนคนอื่นด้วยซ้ำเพราะเด็กคนนั้นไม่สนอะไรอยู่แล้ว"



              "แต่ว่าพักหลังนี้ดูเหมือนอาจารย์มัตสึริโดนพี่น้องซาคามากิหมายหัวเอาไว้กันทั้งบ้านเลยค่ะ วันก่อนฉันเห็นอาจารย์มัตสึริและเรย์จิเดินผ่านทางกันโดยบังเอิญดวงตาของเขาตอนมองอาจารย์มัตสึริมันน่ากลัวมากและดูเย็นชายิ่งกว่าเขามองพวกเราที่เป็นอาจารย์อีก ขนาดเรย์จิที่ดูเป็นเด็กเรียบร้อยมากที่สุดยังเป็นขนาดนี้เลยแล้วที่เหลือจะขนาดไหนกัน"



              "ยิ่งพูดยิ่งน่ากลัวเป็นบ้า อาจารย์มัตสึริจะรอดไหมเนี่ยโดนทั้งอาจารย์หัวเก่าและพี่น้องซาคามากิตั้งแง่อยู่แบบนี้?"



              "เฮ้อ...ได้แต่หวังว่าอาจารย์มัตสึริอยู่รอดอย่างปลอดภัยจนกว่าพวกเขาเรียนจบน่ะนะ"



              ณ ห้องดนตรีของโรงเรียน



              ทะ...ทำไมชูถึงมานอนบนพื้นอยู่ที่ห้องดนตรีได้ล่ะเนี่ย?!



              ตอนผมเข้าห้องมาผมวางเอกสารประกอบการสอนแล้วตรวจสอบเครื่องดนตรีแล้วเห็นอะไรสักอย่างขยับตรงพื้นหน้าห้องเรียนพอเดินไปดูก็พบว่าเป็นหลานชายคนโตของผมซาคามากิ ชู เข้าเสียให้แถมยังนอนหลับทั้งที่ยังใส่หูฟังด้วย เล่นเอาผมแทบทำอะไรไม่ถูกเลยเพราะในบรรดาพี่น้องซาคามากิที่ผมเจอในโรงเรียนชูเป็นคนที่ผมพบน้อยครั้งมากที่สุดเรียกได้ว่าแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์อะไรเลย



              ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเปล่าที่ผมไม่เคยเห็นเขาส่งสายตาน่ากลัวเหมือนพี่น้องคนที่เหลือ



              "...นายต้องการอะไร?" อยู่ๆ เขาก็ถามผมด้วยน้ำเสียงเรียบเอื่อยทั้งที่หลับตาทำให้ผมแอบสะดุ้งเล็กน้อยแต่พอนึกได้ว่าประสาทสัมผัสแวมไพร์มันเฉียบคมกว่ามนุษย์ธรรมดาทำให้ผมไม่ค่อยตกใจอะไรมากนัก เขามองผมด้วยหางตาจากนั้นพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง "ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ออกไปซะ"



              "อีกยี่สิบนาทีผมต้องใช้ห้องดนตรีในการเรียนการสอนแล้ว เธอเองก็มีเรียนต่อจากนี้แล้วทำไมไม่ไปเข้าเรียนล่ะ? เดี๋ยวสายเอาไม่รู้ด้วยนะ"



              "โห...คิดจะไล่ฉันออกจากห้องอย่างนั้นเหรอ? ใจกล้าไม่เบา" ชูเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย



              "ก็ไม่เชิงหรอก อันที่จริงก็เป็นห่วงเธอเหมือนได้ยินว่าเธอโดนคุณพ่อของเธอทำโทษที่เรียนซ้ำชั้น ผมก็แค่ไม่อยากให้เธอโดนคุณพ่อของเธอลงโทษเธออีกก็แค่นั้น" ผมกล่าวกับเด็กหนุ่มผมบลอนด์ตรงหน้าด้วยความเป็นห่วงและความสัตย์จริงทำให้เขามองหน้าผมเล็กน้อยก่อนหลับตาลงเหมือนเดิม 



              "แล้วเธอฟังเพลงอะไรอยู่เหรอ?" ผมถามเปลี่ยนประเด็นอีกฝ่าย



              "..."



              หลานชายคนโตของผมไม่พูดพร่ำเพลงอะไรยื่นหูฟังมาให้ผม ถ้าให้ผมเดาต้องเป็นเพลงคลาสสิกอย่างแน่นอนเพราะผมจำได้เป็นอย่างดีเลยว่าชูชอบเพลงคลาสสิกเป็นอย่างมาก ผมยิ้มกริ่มด้วยความยินดีที่อย่างน้อยชูไม่มองผมเป็นศัตรูเหมือนกับพี่น้องคนอื่นหรืออาจจะมองแต่ว่าน้อยกว่าคนอื่นก็ได้ ไม่ว่าด้วยอะไรผมรู้สึกมีความสุขที่อย่างน้อยผมได้เข้าใกล้เขาอีกก้าวหนึ่ง



              ผมเสียบหูฟังข้างหนึ่งใส่หูคิดว่าต้องเป็นเพลงคลาสสิกของศิลปินชื่อดังที่ผมรู้จักสักคนหนึ่งอย่างแน่นอนอย่างพวกเบโธเฟน โมซาร์ท โชแปงหรืออะไรแบบนี้เลยไม่ได้เตรียมใจกับสิ่งที่ตัวเองฟังเลยแม้แต่นิดเดียว



              'อ๊ะ! อ๊าาาาา....อะ อ๊างงงงงงงงง!! อ๊างงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!'



              ว็อท เดอะ xxxx นี่มันอะไรกันเนี่ย?!



              วินาทีที่ได้ยินเสียงครวญครางของหญิงสาวผมเหมือนโดนสาปให้กลายเป็นหินแล้วมีฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาใส่ผมอย่างใดอย่างนั้น ผมรู้ว่าตลอดเวลาที่ผมหายไปนานหลายปีหลานชายของผมต้องเปลี่ยนไปมากอย่างแน่นอนกับพี่น้องคนอื่นผมเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนส่วนชูนั้นมองไม่ค่อยออกเท่าไรทำให้ผมนึกว่าเขาเปลี่ยนน้อยมากที่สุด 



              แต่ไม่คิดว่าเลยว่าเขาเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้?! ทันทีที่ผมรู้ว่าเขาเปลี่ยนไปแบบนี้รู้สึกเหมือนตัวเองกระอักเลือดออกมาแบบหนังกำลังภายในของจีนอย่างใดอย่างนั้น



              คาร์ลไฮนซ์ ฉันจะฆ่าแก ฉันจะฆ่าแกที่ทำให้หลานชายสุดที่รักของฉันต้องเป็นแบบนี้ 



              ใครก็ได้เอาหลานชายสุดน่ารักทั้งหกคนของฉันคืนมา!!



              "หืม...นิ่งเงียบแบบนี้ผิดคาดเลยแฮะ นายเองก็ลามกใช่เล่นเหมือนกัน"



              "คะ ใครลามกกัน?! คนที่ลามกมันเธอไม่ใช่เหรอโดดเรียนแล้วมานอนฟังเสียงโป๊แบบนี้มันใช้ไม่ได้เลยนะ รู้ไหม?!"



              "อย่าส่งเสียงดังนักสิ มันน่ารำคาญ" ชูกล่าวเสียงเรียบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ 



              "อีกอย่าง...ฉันจะโดดเรียนหรือฟังอะไรก็เรื่องของฉันนายไม่จำเป็นต้องสนใจหรอก"



              "ไม่ได้! ผมไม่สนเรื่องของเธอไม่ได้หรอกเพราะผมเป็นห่วงเธอมากนะ ชู!!"



              ตุบ!!



              โลกทั้งใบของผมพลิกกลับด้านแบบไม่ทันได้ตั้งตัวพอรู้สึกตัวอีกทีผมเห็นชูกลายเป็นทิวทัศน์ที่อยู่ข้างบนแทนที่จะเป็นเพดานห้องดนตรีไปเสียแล้ว ผมยกมือทั้งสองข้างเตรียมผลักเขาออกจากผมแต่ทว่าสองมือของผมนั้นถูกมือหนาขนาดใหญ่จับแล้วตรึงมันไว้กับพื้นห้องทำให้ผมพยายามดิ้นขลุกขลักเพื่อหลุดออกจากการคุมขัง แต่ทว่าความพยายามของผมต้องหยุดลงเมื่อเห็นประกายความเศร้าในดวงตาสีฟ้างดงามวูบหนึ่งก่อนหายไปเหลือแต่ความว่างเปล่า



              "ฉันจะไม่ทำในสิ่งที่ทำให้เกี่ยวข้องกับฉันอย่างเด็ดขาดรวมถึงการกระทำทั้งหมดของนายด้วย"



              "...หมายความว่าอย่างไร?" ผมถามเด็กหนุ่มที่กักขังผมเอาไว้



              "ทางที่ดีนายอย่ามายุ่งกับพวกเราจะดีกว่าโดยเฉพาะฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวฉันมักทุกทำลายเสมอไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ถ้ายังรักชีวิตของตนเองอยู่ก็เลิกยุ่งกับฉันซะ"



              ถึงแม้ว่าหลานชายคนโตของผมจะเปลี่ยนไปมากหลังจากที่ห่างหายกันไปนานแต่ลึกๆ แล้วตัวตนของเด็กน้อยที่แสนอ่อนโยนคนนั้นยังคงอยู่ในตัวหลานชายคนนี้ของผมเสมอไม่เคยเปลี่ยน การที่เห็นเด็กชายผู้แสนน่ารักและจิตใจดีในวันวานกลายเป็นเด็กหนุ่มที่แสนอ้างว้างและเดียวดายแบบนี้ ยิ่งมองดวงตาของเขามันยิ่งทำให้หัวใจของผมรู้สึกเจ็บปวดจนแทบรับไม่ไหวแล้ว


        

              นี่...ผมทำอะไรลงไป...?



               ผมเลือกอิมิเลียแล้วทิ้งพวกเขาไว้ข้างหลังเอาไว้แบบนี้ได้อย่างไร?



               ทำไมทุกครั้งที่ผมเลือกปกป้องสิ่งสำคัญทั้งสองอย่างต้องเสียไปทั้งสองอย่างด้วยนะ? แบบนี้ที่เขาเรียกว่าโลภมากลาภหายหรือเปล่านะ...เพราะโลภถึงต้องสูญเสียทุกอย่าง



               ยามมองหน้าชูหลานชายคนโตผมยิ่งหลบตาหนีไม่กล้ามองเขาด้วยความรู้สึกผิด สักพักหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในดวงตาของอีกฝ่ายคล้ายกับเบิกกว้างด้วยความตกใจถึงแม้ว่าภายนอกนั้นดูสงบนิ่งก็ตาม เด็กหนุ่มผมบลอนด์ยกมือซ้ายของเขาวางลงบนใบหน้าของผมอย่างแผ่วเบาราวกับสัมผัสแมลงปอบนผิวหน้า ใช้นิ้วโป้งของตนลูบบริเวณหางตาที่เปียกชื้นของผมซ้ำไปซ้ำมาด้วยสัมผัสที่อ่อนโยนราวกับการกระทำที่ผ่านมาเป็นเรื่องโกหกอย่างใดอย่างนั้น



               แล้วคำพูดหนึ่งหลุดออกมาจากปากของเขา ณ วินาทีนั้นร่างกายของผมชาวาบไปทั่วทั้งร่างเหมือนจมอยู่ในธารน้ำแข็งอันหนาวเหน็บแทบทันที



               "ดวงตาสีม่วง...นายเป็นอะไรกับเขาคนนั้นกันแน่นะ? มัตสึริ เคย์กะ"  


      

               ใจเย็นเข้าไว้...ถ้าแตกตื่นตอนนี้พวกเขาต้องจับได้แน่นอน 



               ต่อให้ผมอยากบอกมากแค่ไหนแต่มันยังไม่ถึงเวลาที่พวกเขาจะรับรู้ตัวตนของผม



               ผมฉีกยิ้มแกล้งเอียงคอทำท่าไร้เดียงสาใส่ชูพูดด้วยน้ำเสียงตามปกติ "มีคนทักบ่อยนะว่าตาของผมมันดูเหมือนสีม่วงเวลาเจอเงามืดๆ น่ะ สงสัยตอนนั้นเงาของเธอกับตาของผมมันอยู่ตำแหน่งเดียวกันพอดี"



               "ว่าแต่...เมื่อไหร่จะปล่อยผมสักทีผมต้องไปสอนหนังสือแล้วนะ"  



               ชูมองผมนิ่งๆ สักพักหนึ่งก่อนยอมปลอยผมออกมาจากนั้นเขาลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องพลางเอามือปิดปากหาวออกมายาว โชคยังดีที่เหมือนเขาจะเชื่อผมที่ตาเปลี่ยนสีเพราะเงาของเขาไม่เช่นนั้นโดนจับได้แน่ว่าผมคือมิไฮนซ์หรือถ้าโชคดีหน่อยอาจจะโกหกว่าเป็นญาติห่างๆ ของมิไฮนซ์ที่แม้แต่คาร์ลไฮนซ์ก็ยังไม่รู้จัก



                ภาวะตาเปลี่ยนสีของผมมันเกิดจากพลังของผมไม่เสถียรมากพอจากการที่ได้พลังกลับมาไม่ครบส่วนบวกกับผลกระทบทางจิตใจ ยิ่งผลกระทบทางจิตใจมากเท่าไรพลังของผมยิ่งปั่นป่วนจนผมไม่สามารถควบคุมการแปลงกายได้อีกต่อไป เรียกง่ายๆ ก็คือกลับสู่รูปลักษณ์เดิมอย่างที่ควรจะเป็นนั่นเอง



                เพราะปกติผมเป็นคนอ่อนไหวค่อนข้างง่ายและมีความเห็นอกเห็นใจค่อนข้างสูง การที่ได้เห็นความโดดเดี่ยวอ้างว้างของชูมันเลยกลายเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้พลังของผมมันไม่เสถียรมากพอที่คงรูปนี้ โชคยังดีที่เปลี่ยนแค่สีตาเท่านั้นถ้าเป็นใบหน้าเดิมผมคงแก้ตัวกับอีกฝ่ายไม่ออกต่อให้สีตาของผมยังคงเดิมก็ตาม



              ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ใช้สีผมกับสีตาเดิมล่ะ? คำตอบถือพลังผมกลับมาไม่ครบส่วนและไม่ค่อยเสถียรเท่าไรนัก ลองทำแล้วปรากฏว่าหน้าผมยังคงเป็นหน้าเดิมเฉยเลย ขนาดเลือกแค่อย่างใดอย่างหนึ่งหน้าก็เป็นเหมือนเดิม ลองเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ที่ไม่ตรงกับสีผมหรือสีตาแล้วลองเปลี่ยนอีกทีหน้าใหม่ของผมกลายเป็นหน้าเดิมทันที พอลองเปลี่ยนส่วนอื่นเหมือนหน้าเดิมผมทุกอย่างก็กลับมาเป็นหน้าเดิมอีก



              หรือก็คือถ้าผมเลือกลักษณะที่เหมือนรูปลักษณ์หน้าผมก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมตัดใจไม่เลือกผมสีขาวกับดวงตาสีม่วงแต่ไปเลือกเฉดสีที่ใกล้เคียงกันมากที่สุดสรุปก็คือผมสามารถใช้รูปลักษณ์หรือลักษณะที่ไม่ใช่มิไฮนซ์ได้เท่านั้นนั่นเอง



              จะทำอย่างไรได้ล่ะ...ก็ผมไม่ใช่คาร์ลไฮนซ์ที่สามารถเปลี่ยนร่างได้ตามต้องการสักหน่อยนี่นา 



              ส่วนเหตุผลที่ผมอยากเลือกสีผมกับสีตาที่แบบเดียวกับร่างเดิมนั้นอาจเป็นเพราะลึกๆ แล้วผมอยากให้พวกเขารู้ว่าผมคือมิไฮนซ์หรือเบียคุยะที่พวกเขาจงเกลียดจงชังมาตลอดก็เป็นได้...



               อันที่จริงผมเคยหาคอนแทคเลนส์มาใส่กันเหนียวเอาไว้แล้ว แต่ปรากฏว่าผมแพ้คอนแทคเลนส์เข้าอย่างจังซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าร่างนี้มันแพ้คอนแทคเลนส์อย่างหนัก ต่อให้ทำความสะอาดมันดีมากแค่ไหนก็ตามสุดท้ายผมก็ต้องรู้สึกระคายเคืองตาจนลืมตาแทบไม่ขึ้นกลับมาทุกครั้ง ผมเลยไม่ใส่คอนแทคเลนส์เจ้าปัญหานั่นอีกจนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย



               ถ้าเป็นร่างเก่าผมคงใส่ได้สบายๆ เลยทีเดียว...


     

               ถึงจะมีสุดท้ายพลังฟื้นฟูของแวมไพร์เข้าช่วยแต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ไม่ชอบความรู้สึกเจ็บเหมือนกับคนธรรมดาอยู่ดีนั่นแหละ เมื่อผมได้ยินเสียงฝีเท้าของนักเรียนกำลังใกล้เข้ามาผมก็หยิบเอกสารการสอนที่วางเอาไว้เดินไปยังโพเดียมหน้าชั้นเรียนกล่าวทักทายนักเรียนที่กำลังจะมาถึงนี้



               และนี่ก็เป็นอีกวันที่ผ่านไปของผม...

    .

    .

    .

    .

    .

    .

              ภายในรถลีมูซีนสีดำมีพี่น้องทั้งหกคนรวมไปถึงเด็กสาวอีกหนึ่งคนนั่งอยู่ภายในนั้น



              ทุกคนคล้ายเข้าสู่โลกส่วนตัวของตนเองทั้งสิ้นอย่างชูพี่คนโตกำลังนั่งหลับตาฟังเพลงในเครื่องเล่น MP3 เรย์จิอ่านหนังสือ อายาโตะทำท่าก่อความวุ่นวายจนเรย์จิต้องตักเตือน คานาโตะกอดตุ๊กตาหมีในอ้อมแขนทำท่าเหมือนเป็นเพื่อนคุย ไลโตะนั่งยิ้มเหมือนคิดอะไรบางอย่างในใจซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดี ส่วนสุบารุนั่งหันหน้ามองไปทางหน้าต่างด้วยท่าทางหงุดหงิดอะไรบางอย่างมา



             ยุยนั่งเงียบสอดส่องมองซ้ายขวาดูท่าทีของพี่น้องซาคามากิแล้วก้มหน้างุดไปตามเดิม



              ถึงท่าทางดูเหมือนเดิมแต่บรรยากาศกลับดูอึมครึมคล้ายมีเมฆพายุสีดำทมิฬก่อตัวขึ้นมาอย่างใดอย่างนั้นและคงไม่พ้นเรื่องอาจารย์ศิลปะคนใหม่ที่มาสอนได้ไม่กี่วันนี้



             มัตสึริ เคย์กะ...



              ตั้งแต่อาจารย์หนุ่มคนนั้นปรากฏตัว ท่าทีของพี่น้องคนอื่นเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็นถึงแม้แสดงออกต่างกันแต่ก็มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง



              ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจ



              ส่วนของเธอนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเป็นความเกลียดและความโกรธแค้นที่ปะทุขึ้นออกมาจากอกทั้งที่เธอไม่ได้เกลียดหรือโกรธอะไรอาจารย์มัตสึริเลยแม้แต่น้อย ออกจะชอบเขาด้วยซ้ำที่เป็นอาจารย์แสนดีคอยเอาใจใส่นักเรียนและไม่เคยดุด่าว่านักเรียนเลยสักครั้งเดียวต่อให้นักเรียนคนนั้นกล่าวร้ายหรือนินทาลับหลังก็ตาม



              ท่าทางอ่อนโยนใจดีเหมือนกับคนที่อยู่ในความฝันของเธอไม่มีผิดเพี้ยน



              เธอยังคงฝันถึงชายคนนั้นอยู่บ่อยครั้งในสถานที่เดิมเสมอเพียงแต่โผล่มาในช่วงเวลาที่ต่างกัน บางวันเป็นตอนเช้า บางวันเป็นตอนกลางวัน บางวันเป็นตอนบ่าย บางวันเป็นตอนเย็น และบางวันเป็นตอนกลางคืน สลับกันไปไม่ได้เรียงลำดับช่วงเวลาและอิริยาบถก็ต่างกันไปส่วนที่เหมือนเดิมคือความรู้สึกที่อยู่ในอกของเธอยังคงเป็นความโกรธแค้นและความเกลียดชังที่ลุกโชนขึ้นราวกับเปลวไฟที่แผดเผาหัวใจไม่ให้เป็นสุข



              มันไม่ใช่ความรู้สึกของเธอ มันคล้ายความรู้สึกของคนอีกคนที่แสดงออกผ่านทางเธอ



              แล้วคนๆ นั้นคือใครกันแน่นะ...?



              "นั่งเหม่อแบบนี้กำลังคิดถึงใครอยู่เหรอ? บิทช์จัง"



              อยู่ๆ ไลโตะที่ควรนั่งอยู่ด้านข้างของเรย์จิพี่ชายคนรองของบ้านนั่งย่อเท้าคางโผล่มาอยู่ตรงหน้าของเด็กสาวแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้เด็กสาวเผลอสะดุ้งร้องตกใจร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายขึ้นมา ยิ่งเห็นท่าทางน่ารักๆ ของเด็กสาวทำให้ไลโตะอดยิ้มไม่ได้จนโดนเรย์จิว่ากล่าวตักเตือนเรื่องมารยาทตามเคยทางไลโตะเองก็ยอมถอยให้กับเรย์จิเพราะถ้าทำมากกว่านี้ได้ถูกบ่นยาวอย่างแน่นอน



              "บ่นเป็นตาแก่ไปได้น่า เรย์จิ" อายาโตะบ่นอุบอิบเล็กน้อย



              "หึ...มารยาททางสังคมคงเหมาะกับคนที่มีรอยหยักบนสมองเท่านั้นจริงๆ นั่นแหละ" เรย์จิว่าพลางใช้นิ้วขยับแว่นตาขึ้น



              "เรย์จินี่แกหลอกด่าฉันอย่างนั้นเหรอ?!" อายาโตะโวยวายทันทีเมื่อรู้ว่าโดนอีกฝ่ายหลอกด่าตน



              "แต่ที่เขาว่ามันก็จริงนั่นแหละ เน๊อะ? เท็ดดี้" คานาโตะเสริมต่อ



              "นี่แกก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอ? เจ้าฮิสทีเรีย"



              "พวกแกน่ะเงียบๆ ไปเลย มันน่ารำคาญ!!" สุบารุที่กำลังหงุดหงิดอยู่ยิ่งฟังเจ้าพวกนี้ทะเลาะกันยิ่งรำคาญแทบจะเอากำปั้นชกไปที่หน้าต่างรถแต่โชคยังดีที่เรย์จิห้ามเอาไว้ทันไม่เช่นนั้นได้เสียค่าซ่อมกระจกรถเป็นแน่ ยิ่งเป็นลีมูซีนสีดำสุดหรูค่าซ่อมยิ่งแพงเข้าไปใหญ่และคนอย่างเรย์จิไม่ยอมเสียเงินให้กับเรื่องแค่นี้หรอก



              "เอาน่า~ อายาโตะคุง สุบารุคุง เรย์จิกับคานาโตะคุงก็แบบนี้แหละ อย่าไปใส่ใจอะไรมากนักเลย" ไลโตะกล่าวยิ้มๆ คล้ายห้ามทัพระหว่างพี่น้องด้วยกัน



              "ชิ!" อายาโตะสบถออกมาด้วยความหงุดหงิดหันหน้าไปอีกทางเช่นเดียวกับสุบารุที่หันกลับไปมองข้างนอกหน้าต่างอีกครั้ง



              ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นพี่น้องกันแต่ก็เป็นพี่น้องต่างมารดาอีกทั้งพวกเขาแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กันทำให้คำว่าพี่น้องเป็นเพียงแค่คำเรียกพวกเขาเท่านั้นไม่มีความหมายอะไรลึกซึ้งแบบคนธรรมดาทั่วไปที่นิยามกันนักกันหนาว่าดีแบบนู้นดีแบบนี้ หรืออาจจะเป็นเพียงแค่คำนิยามในหัวสมองของคนหรือนิยายโลกสวยเท่านั้นที่คิดได้เพราะพี่น้องบางคนไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไร 



              เผลอๆ พี่น้องบางครอบครัวแทบจะฆ่ากันเองด้วยซ้ำก็มี



              ยุยแอบมองเด็กหนุ่มผมขาวที่กำลังหงุดหงิดแวบหนึ่งก่อนกลับมาก้มหน้าเหมือนเดิม รู้สึกว่าที่หงุดหงิดเพราะอาจารย์มัตสึริไปยุ่งกับการทะเลาะวิวาทของเขาซึ่งเกือบจะทำลายทรัพย์สินของโรงเรียนเสียหายอีกทั้งหลังเลิกเรียนก็ต้องมาอยู่ช่วยงานอาจารย์เป็นการทำโทษถึงจะแอบหนีก็โดนลากกลับมาได้ทุกครั้งราวกับรู้ว่าสุบารุทำอะไรอยู่ที่ไหนอย่างใดอย่างนั้น การที่อยู่กับคนที่ไม่ชอบมันทำให้สุบารุหงุดหงิดมากและตัวเธอก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมสุบารุถึงไม่ชอบอาจารย์มัตสึริตั้งแต่แรกเจอด้วย



              ไม่สิ...ทุกคนเลยที่ไม่ชอบอาจารย์มัตสึริ



              ถึงจะมีไม่ชอบหน้าอาจารย์คนอื่นบ้างแต่มันไม่หนักเท่าอาจารย์มัตสึริเพราะสายตาและท่าทางเป็นศัตรูชัดเจนกว่าอาจารย์คนอื่น แม้กระทั่งชูจะดูมีท่าทีปกติมากที่สุดก็ยังเคยแสดงออกท่าทีรำคาญใจกับอาจารย์มัตสึริ ยุยยังคงจำวันแรกที่เจอกับอาจารย์มัตสึริได้ว่าอายาโตะดูตกใจมากกับต่างหูข้างหนึ่งของอาจารย์จนเผลอตวาดลั่นออกไป



              หรือบางทีพี่น้องซาคามากิอาจจะรู้จักกับครอบครัวของอาจารย์มัตสึริ?



              "เฮ้ย! ชิชินาชิถึงบ้านแล้วอย่ามัวแต่นั่งอืดอยู่ในรถ ลุกขึ้นมาเร็ว"



              เสียงอายาโตะเรียกสติของยุยกลับมาอีกครั้ง เด็กสาวกุลีกุจอลงจากรถลีมูซีนสีดำสุดหรูกลับเข้าไปในคฤหาสน์อีกครั้งจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อแล้วเข้านอนเพื่อเก็บแรงเอาไว้เรียนพรุ่งนี้ โรงเรียนภาคค่ำทำให้ตารางชีวิตของเธอผิดเพี้ยนไปหมดทำให้ช่วงแรกยุยเกิดอาการนอนไม่หลับเพราะความไม่คุ้นชินกับตารางชีวิตใหม่นี้



              เด็กสาวเห็นกล่องน้ำแครนเบอร์รี่วางเอาไว้บนโต๊ะจึงจัดการดื่มมันเข้าไปเพราะช่วงนี้เธอรู้สึกอ่อนเพลียจากภาวะโลหิตจางค่อนข้างบ่อยมากจนทั้งอาจารย์เรนฮาร์ตและอาจารย์มัตสึริคอยบอกให้นอนพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารจำพวกเนื้อสัตว์หรือบำรุงเลือดเยอะๆ แล้วออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ



              โดยเฉพาะอาจารย์มัตสึริที่เน้นหนักเน้นหนาให้อารมณ์เหมือนเป็นคุณแม่ขี้บ่นไม่มีผิด



              เด็กสาวอมยิ้มก่อนไปแรงฟันหลังจากดื่มน้ำแครนเบอร์รี่เสร็จแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรายามศีรษะถึงหมอนเพียงไม่กี่นาที...



              ภายในห้วงแห่งความฝัน



              โคโมริ ยุยยังคงกลับมาอยู่ในความฝันนี้อีกครั้ง ปราสาทหลังเดิม สวนกุหลาบที่เดิม และชายผมขาวคนเดิม เพียงแต่คราวนี้มีสิ่งที่แตกต่างจากเดิมอย่างที่มันควรจะเป็น



             เธอมองเห็นใบหน้าของชายปริศนาที่เธอฝันถึงมาตลอดแล้ว...



             ชายคนนั้นเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งอายุประมาณ 25 ปีหน้าตาดีผมสีขาวปลอดดั่งหิมะโปรยปรายถูกรวบด้วยผ้าผูกผมสีน้ำเงินเข้มหลวมๆ แต่ไม่ถึงกับหลวมมากจนเกินไปซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนเป็นชนชั้นสูงที่ปล่อยตัวตามสบายภายในคฤหาสน์ของตนเอง ดวงตาเป็นประกายสีม่วงงดงามดุจดั่งอัญมณีที่ถูกเจียระไนแล้วฉายแววออกมาอย่างอ่อนโยนให้ความรู้สึกนุ่มนวลและสบายใจ โครงหน้าเรียวได้รูปซึ่งไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีเสน่ห์ราวกับคนตรงหน้านี้ไม่ใช่มนุษย์สามัญอย่างใดอย่างนั้น ที่สำคัญ...



             ทำไมผู้ชายคนนี้หน้าคล้ายกับสุบารุคุง?



              ยิ่งมองยิ่งมีความคล้ายกันอย่างมากถ้าหากดวงตาเขาเป็นสีแดงและตัดผมให้สั้นลงแล้วทำผมออกมาดีๆ แล้วล่ะก็เขาสามารถปลอมเป็นสุบารุได้สบายเลยทีเดียว ยังดีที่มีความแตกต่างเรื่องความสูงทำให้เธอพอแยกออกได้ว่าใครเป็นใครไม่อย่างนั้นคงต้องใช้เวลาในการแยกเป็นแน่ถ้าหากคนสองคนนี้แต่งหน้าทำผมเหมือนกัน



              นอกจากชายคนนั้นแล้วเธอก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งถือช่อดอกกุหลาบขาวนั่งเป็นแบบวาดรูปให้ชายหนุ่มปริศนาคนนั้นซึ่งเธอเป็นคนสวยมากด้วย เส้นผมของเธอสีขาวยาวเช่นเดียวกับชายคนนั้นเพียงแต่เธอเกล้าผมบางส่วนเอาไว้ทางด้านซ้าย ใบหน้าเรียวสวยดั่งเทพธิดา ดวงตาสีแดงเป็นประกายดั่งทับทิมเม็ดงาม อีกทั้งชุดเดรสยาวสีขาวตัดกับผ้าลายเข้าหลามตัดสีดำอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวส่งเสริมให้เธองดงามเข้าไปอีก



           "ท่านพี่ น้องเมื่อยแล้วขอยืดเส้นยืดสายบ้างได้ไหม?" หญิงสาวกล่าว



             พี่? สองคนนี้เป็นพี่น้องกันอย่างนั้นเหรอ? ฝาแฝดสินะ...



              เด็กสาวคิดพลางมองดูอีกฝ่าย



              "เสร็จพอดีเลย OOO ลองมาดูรูปที่พี่วาดดูสิ อย่างสวยเลยนะ" ชายคนนั้นเอ่ยเรียกหญิงสาวแต่ทว่ายุยไม่ได้ยินเสียงตอนที่เขาเอ่ยชื่อหญิงสาวคนนั้นเลยแม้แต่น้อย



              "สวยมากเลย ท่านพี่OOOเก่งจัง" หญิงสาวเอ่ยชม



              "กว่าจะวาดรูปให้ดูเป็นผู้เป็นคนได้ลำบากแทบตายเลยทีเดียว นี่เป็นครั้งแรกเลยที่วาดภาพคนแล้วลงสี ที่ผ่านมาเป็นรูปปั้นปูนปลาสเตอร์ไม่ก็ภาพวาดของคนอื่นเขาทั้งหมดเลย"



              "เอ๋? ถ้าแบบนี้น้องกลายเป็นหนูทดลองของพี่น่ะสิ?!" หญิงสาวในชุดขาวแสร้งอุทานตกใจหยอกชายผู้เป็นพี่เล่น



              "ฮะ! ฮะ! ถ้าOOOเป็นหนูทดลองคงเป็นหนูขาวตัวน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูที่สุดจนใจร้ายไม่ลงเลยทีเดียว เผลอๆ อาจจะขุนให้อ้วนแล้วแล้วจิ้มพุงเล่นๆ ด้วยซ้ำ พุงของเจ้าหนูขาวOOOคงจะนิ่มน่าดู"



              "แหม! ท่านพี่ล่ะก็...น้องไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ!" หญิงสาวผู้เป็นน้องตบบ่าของชาวหนุ่มด้วยท่าทีขัดเขิน



              "แต่ก็ขอบคุณนะ น้องดีใจที่ได้ท่านพี่OOOเป็นพี่ชายของน้อง น้องมีความสุขมากเลยค่ะ"



              "พี่ก็ดีใจนะที่ได้OOOเป็นน้องสาวของพี่ พี่สาบานว่าพี่จะรักและดูแลน้องอยู่แบบนี้ตราบที่น้องต้องการจนกว่าน้องยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง"



              "ปกติต้องพูดว่าตลอดไปไม่ใช่หรือไง? พูดเหมือนน้องไม่ต้องการท่านพี่ไปได้" หญิงสาวกล่าวพลางพองแก้มตนเองจนทำเอาอีกฝ่ายอดใจไม่ไหวจิ้มแก้มหญิงสาวผู้เป็นน้องที่พองลมหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดีด้วยความเอ็นดู



              "คำว่าตลอดไปมันไม่มีจริงหรอก แต่ถ้าบอกตลอดชีวิตของพี่ตราบเท่าที่น้องยังต้องการให้อยู่ก็ว่าไปอย่างถ้าเป็นแบบนั้นพี่พอสัญญาได้น่ะนะ ถ้าน้องมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้วอย่าลืมส่งจดหมายชวนพี่มาเยี่ยมบ้านน้องก็พอ" ชายหนุ่มกล่าวพร้อมส่งยิ้มอ่อนให้



              "วันที่น้องไม่ต้องการพี่คงไม่มีวันนั้นหรอก ท่านพี่OOO ท่านพี่เป็นครอบครัวคนสุดท้ายที่มีสายเลือดเดียวกันที่เหลืออยู่ของน้อง อย่าได้จากน้องไปไหนนะ"



              "ตราบที้น้องต้องการเลย OOO"



              การสนทนาระหว่างพี่น้องทำให้เด็กสาวผู้เฝ้าสังเกตการณ์อยู่อดยิ้มไม่ได้ นอกจากความงามเหนือสามัญสำนึกของมนุษย์แล้วทั้งสองพี่น้องดูรักใคร่กลมเกลียวกันมากเสียจนยากที่จะแตกหักกับอีกฝ่าย ปราสาทหลังโตเก่าแก่ให้กลิ่นอายคลาสสิกและน่าค้นหา กลิ่นดอกกุหลาบขาวถูกพัดพาไปตามสายลมอ่อนยามเช้าตามด้วยเสียงเสียดสีของใบไม้ยามต้องลม แสงอาทิตย์อ่อนๆ ยามเช้า เสียงนกและแมลงขับขานบทเพลงทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสรวงสรรค์ยามเช้าอย่างใดอย่างนั้น



              ถึงแม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ตามแต่โคโมริ ยุย ชอบความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องนี้ เป็นครั้งแรกที่เธอไม่รู้สึกถึงความเกลียดชังภายในหัวใจราวกับความฝันนี้ต้องการปลอบประโลมฝันร้ายที่ผ่านมา ระหว่างสองพี่น้องคู่นี้มันเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและห่วงใยจนอดนึกถึงโคโมริ เซย์จิ พ่อของเธอไม่ได้



              เธอไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อของเธออยู่ที่ไหนหรือทำอะไร? แล้วเรื่องที่โบสถ์ของเธออยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จากปากของไลโตะนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องหลอกลวงกันแน่? 



              เธอก็ได้แต่หวังว่าพ่อของเธอจะมารับเธอกลับโดยเร็ววัน...



              ทว่าความสุขระหว่างพวกเขาหรือของใครบางคนต้องพังทลายลงเมื่อมีพ่อบ้านวัยกลางคนเดิมมาหาพวกเขาพูดอะไรบางอย่าง ใบหน้าหญิงสาวคนน้องเปื้อนรอยยิ้มกว้างที่มีความสุขพร้อมดวงตาที่เป็นประกายงดงามราวกับหญิงสาววัยแรกแย้มที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักต่างกับชายหนุ่มคนพี่ที่หุบยิ้มอย่างรวดเร็วดวงตาสีม่วงของเขาเย็นเยียบครู่หนึ่งก่อนกลับมาเป็นเหมือนเดิมยามน้องสาวของตนหันกลับมาทางตนราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเป็นภาพลวงตากลางทะเลทรายอย่างใดอย่างนั้น



              เด็กสาวยังอยากรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรต่อไปแต่ทว่าเธอไม่ได้ยินเสียงของพ่อบ้านคนนั้นรวมไปถึงการเคลื่อนไหวทุกอย่างรอบตัวเด็กสาวไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้าที่ลู่ตามลม นกเกาะอยู่บนกิ่งไม้คอยขับขานบทเพลง ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งราวกับกาลเวลาถูกแช่แข็งเอาไว้ทัศนียภาพโดยรอบกลายเป็นสีซีดราวกับภาพวาดที่ถูกระบายสีด้วยดินสอสีอ่อนๆ ไม่สวยสดเหมือนดังเคย รวมไปถึงหญิงสาวผู้เป็นแฝดน้องกับพ่อบ้านที่เข้ามาใหม่ด้วย



               มีเพียงชายหนุ่มผมยาวเพียงคนเดียวที่เด่นที่สุดในทิวทัศน์แห่งนี้



               เขาหันกลับมามองหน้ายุยที่เฝ้าสังเกตการณ์ดูพวกเขาอยู่ตลอดเวลาด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งปราศจากรอยยิ้มอันแสนนุ่มนวลเหมือนดังเคยก่อนเดินเข้ามาหาเธออย่างช้าๆ แล้ววางฝ่ามือเย็นลงบนใบหน้าอย่างบรรจงและแผ่วเบาให้ความรู้สึกเหมือนบรรจงสวมแหวนแต่งงานให้หญิงคนรักอย่างทะนุถนอมไม่ปานนั้น พลันนั้นเองดวงตาและรอยยิ้มอันแสนเศร้าสร้อยปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า



               "จงจดจำเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำที่ถูกทิ้งนี้ไว้และกลับเข้าสู่ห้วงแห่งความเป็นจริงซะ โคโมริ ยุย"



               "อ๊ะ!"



               เด็กสาวในชุดกระโปรงนอนสีชมพูอ่อนเกือบขาวสะดุ้งลืมตาตื่นจากความฝัน เธอยังคงรู้สึกถึงสัมผัสฝ่ามือเย็นของชายผมขาวคนนั้นบนใบหน้าของตนเองจนอดเผลอไม่ได้ที่ยกมือแตะลงบนแก้มของเธอ ถึงแม้จะมึนงงอยู่จากการตื่นนอนเล็กน้อยแต่สักพักหนึ่งยุยรู้สึกว่าเธอหายจากอาการอ่อนเพลียเนื่องจากภาวะโลหิตจางเป็นปลิดทิ้งเลย



               อาจเป็นเพราะเมื่อคืนเธอรู้สึกเหนื่อยล้าจากการเสียเลือดทำให้วันนี้เธอตื่นสายกว่าปกติเล็กน้อย เวลากลางวันเป็นเวลานอนสำหรับแวมไพร์ถึงแม้ว่าแวมไพร์ที่เธออาศัยบ้านพวกเขาอยู่เป็นสัปดาห์กว่าต่างจากแวมไพร์ในตำนานเรื่องเล่าหรือนิยายปรัมปราค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นสามารถเหาะเหินเดินอากาศ เคลื่อนย้ายตัวเองไปมาได้ ไม่แพ้แสงแดด กระเทียม หรือแม้กระทั่งไม้กางเขนอย่างที่มนุษย์เข้าใจกัน แทบไม่มีจุดอ่อนเลยด้วยซ้ำ



               ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอรู้มานั้นเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง ไม่สิ...ราวกับเธอใช้ชีวิตอยู่กับความโกหกหลอกลวงจนกระทั่งพบกับความจริงอันโหดร้ายเสียมากกว่า


       

               แต่ถึงอย่างนั้น...



               ยุยหยิบสร้อยไม้กางเขนของเธอกำมันไว้ในมือคล้ายสวดอ้อนวอนภาวนาต่อสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจที่เหลืออยู่ภายในโลกอันโหดร้ายก่อนลุกออกจากเตียงดำเนินกิจวัตรประจำวันของเธอต่อไป



    ....................................................


    Let's Talk with Writer : 

    แล้วก็สวัสดีอีกครั้งนะคะเหล่ารีดเดอร์ คราวนี้กลับมาอัพแล้วค่ะและขออภัยด้วยที่หายไปนาน ความจริงที่หายไปนี่โดนผีขี้เกียจ+ผีหมองตันสิงเอาค่ะเพิ่มเติมก็ไม่มีอารมณ์จะแต่งค่ะ เวลานี้เราติดเรื่อง J Club แล้วก็ต้องมีเรียนออนไลน์ต่ออีกเลยไม่ค่อยรู้สึกอยากแต่งเท่าไหร่นักเพราะมีเรื่องต้องทำแต่ก็พยายามเจียดเวลามาแต่งทีละนิด สำหรับตอนนี้พี่ชูรุกลูกเราแล้ว เย้!//จุดพลุ ถึงจะไม่แซ่บอีหลีอย่างที่คนคาดหวังเอาไว้แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับความแซ่บที่มาหลังจากที่พี่น้องซาคามากิรู้ว่า มัตสึริ เคย์กะ กับ มิไฮนซ์ เป็นคนเดียวกัน ถ้าชู OOC ก็ขออภัยด้วยเพราะเราไม่ได้เล่นเกม

    ชูกับลูกเรามีความเหมือนที่แตกต่าง ชูพยายามห่างจากทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเพราะกลัวว่าทุกอย่างถูกทำลายโดยมีตนเป็นสาเหตุ แน่นอนว่าสาเหตุหนึ่งคือเรย์จิแล้วก็มากรอกหูว่าชูมันไม่เอาไหน ชูไม่มีดีอะไรเลย ชูมันอ่อนแอปกป้องอะไรไม่ได้ได้สักอย่างแถมเป็นคนลงมือทำอีกตะหาก ทางมิไฮนซ์เองอยากปกป้องครอบครัว อยากปกป้องคนรัก อยากปกป้องสิ่งสำคัญทั้งหมด แต่สุดท้ายก็ปกป้องไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายหรือจิตใจ น้องสาวกลายเป็นบ้า อดีตคนรักถูกฆ่าตาย หลานชายหกคนเปลี่ยนไป ทิ้งพี่น้องมุคามิพร้อมกับบาดแผลทางจิตใจให้ฝ่ายนั้น ไม่ว่ามิไฮนซ์เลือกอะไรสุดท้ายต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทรมานบวกกับความที่มีปมเกี่ยวกับครอบครัวก่อนเกิดใหม่อยู่ด้วยแล้วกลายเป็นว่าเขาโทษตัวเองที่อ่อนแอ เหมือนกับชูที่โทษตัวเองจนกลายเป็นคนไม่สนโลกแล้วไม่ต้องการให้โลกมาสนด้วย

    คิดๆ ดูแล้วบ้านซาคามากิโคตรจะดราม่ามากที่สุดในเรื่องเลยแต่ก็นั่นแหละทำให้เราเมนบ้านซาคามากิเป็นหลักเช่นกัน บ้านมุคามิเป็นรองส่วนบ้านสึกินามินี่เราไม่อินเท่ากับสองบ้านนี้ถึงจะดราม่าเหมือนกันก็เถอะ เฮ้อ...ว่าแต่ทำไมตอนนี้ยุยดูมีบทมากกว่าพี่น้องบ้านซาคามากิอีก 555+ จากบ้านที่เด่นกลายเป็นตัวประกอบเฉยเลย//โดนแฟนๆ ตบ ไม่เป็นไรเดี๋ยวทยอยออกมา สปอยล์เล็กน้อยว่าเราจะวางให้เรย์จิรุนแรงกับมิไฮนซ์ในคราบมัตสึริ เคย์กะมากที่สุดในกลุ่มค่ะ

    สำหรับคนที่สงสัยเรื่องชื่อลูกเราเราจะสรุปย่อให้นะคะ ลูกเรามีชื่ออยู่สามชื่อตามนี้ค่ะ

    มัตสึริ เคย์กะ = ชื่อเก่าของลูกก่อนที่จะตายแล้วเกิดใหม่ใน Diabolik Lovers อดีตเป็นปริศนาแต่ที่แน่ๆ คือมีปมเรื่องครอบครัวทำให้ยึดติดกับครอบครัวซาคามากิเป็นพิเศษ(ยกเว้นคาร์ล คลอเดเลีย และเบียทริกซ์ที่ลูกขอบาย)

    มิไฮนซ์ = ชื่อของลูกตอนที่เกิดใหม่ใน Diabolik Lovers เป็นชื่อแท้จริงในตอนนี้

    นางามิตสึ เบียคุยะ = ชื่อที่คาร์ลไฮนซ์เป็นคนตั้งให้ เอาไว้ปกปิดตัวตนที่แท้จริงของลูกจากการเดิมพันระหว่างลูกกับคาร์ลไฮนซ์

    เอาเป็นว่าสุดท้ายนี้สวัสดีค่ะ

     
    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×