NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Diabolik lovers] White Rose กุหลาบขาวของเหล่าแวมไพร์ (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #5 : White Rose 04 : บทบรรเลง [Re]

    • อัปเดตล่าสุด 9 ม.ค. 66


    White Rose 04

    บทบรรเลง


    รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


    "ชีวิตของคนเราต่างจากนาฬิกามากนัก ยามเมื่อหยุดเดินแล้วนาฬิกานั้นสามารถซ่อมแซมกลับมาได้ใหม่ ทว่าชีวิตของคนเราหากหยุดเดินเหมือนดั่งนาฬิกาที่ตายแล้วนั้นก็ไม่อาจซ่อมแซมกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป"


     

           TW : Blood (เลือด) , Violence (ความรุนแรง) , Physical abuse (การทำร้าย การใช้ความรุนแรงทางร่างกาย) , Threats of violence (การคุกคามคนอื่นด้วยความรุนแรง) , Mental illness (อาการป่วยทางจิต) , Depression (ตัวละครมีอาการซึมเศร้า) , Character death (มีตัวละครตาย) , Self-Hated (การเกลียดตัวเอง) , Mentioned Cheating (กล่าวถึงการนอกใจ) , Mentioned Adultery (กล่าวถึงการคบชู้) , Manipulation (การโน้มน้าว ล่อลวง ปรับเปลี่ยน และปลูกฝังความคิดบางอย่างให้อีกฝ่ายเพื่อให้เป็นไปตามที่ต้องการ) , Slut shaming (การประณามคนอื่นโดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่ปฏิบัติตามความคาดหวังทางพฤติกรรมทางเพศตามกรอบสังคม ในที่นี้ขอรวมผู้ชายด้วยเพราะไม่รู้ว่ากับผู้ชายสามารถใช้คำนี้ได้หรือเปล่า)



    แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก!

     

     

    เสียงย่ำพื้นหญ้าแหวกแมกไม้ดังขึ้นท่ามกลางความมิดมืดของคืนเดือนมืด คืนที่เหล่าแวมไพร์อ่อนแอมากที่สุดง่ายต่อการตกเป็นเหยื่อของพวกนักล่า สองขาหนักอึ้งดั่งตะกั่วแทบไม่สามารถขยับได้ทว่าต้องฝืนสังขารอันบอบช้ำที่เต็มไปด้วยบาดแผลสาหัส เสื้อผ้าอย่างดีถูกชะโลมไปด้วยเลือดจนกลายเป็นสีคล้ำ บาดแผลไม่มีทีท่าสมานตัวใกล้เข้าปากเหวความตายไปทุกที

     

     

    ไม่...ผมจะตายตรงนี้ไม่ได้ ครอบครัวของผมรอผมอยู่...

     

     

    แสงไฟวูบวาบจากด้านหลังผมเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอันตราย ผมกัดฟันแน่นกุมบาดแผลตนเองเพราะบาดแผลสาหัสสากรรจ์จากของแสลงที่สามารถปลิดชีวิตแวมไพร์อย่างพวกเราได้อย่างกระสุนเงินนั้นทำให้ผมไม่อาจฝืนใช้พลังเคลื่อนย้ายตนเองได้ 

     

     

    หากใช้ผมคงไม่รอดจากพิษบาดแผลแน่และผมจะไม่มีวันยอมตายอย่างเด็ดขาด

     

     

    คริสต้า ชู เรย์จิ อายาโตะ คานาโตะ ไลโตะ สุบารุ...

     

     

    ยามผมนึกถึงใบหน้าครอบครัวคนสำคัญของผมทั้งหมดแล้วต่อให้ต้องเสียแขนขาเดินไม่ได้ผมจะต้องกลับไปหาพวกเขาให้จงได้!

     

     

    "แกหนีไม่รอดหรอก ไอ้ชาติชั่วทริสเมจิส!"

     

     

    "ไอ้สารเลว! ไอ้ตัวหายนะ! เพราะแก! ประเทศนี้ล่มจมเพราะแกคนเดียว!!"

     

     

    "ถ้าไม่มีแกอยู่ซักคนพวกเราคงไม่ต้องทุกข์ทรมานแบบนี้หรอก ไปตายซะ ไอ้ปีศาจ!!"

     

     

    กลุ่มคนที่ตามหลังผมมาสบถคำด่าสาปแช่งด้วยเกลียวคลื่นแห่งความเกลียดชังและความอาฆาตแค้นซึ่งคนที่ถูกสาปส่งนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากผมที่กำลังหนีตายโดยที่ผมไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ผมไม่ใช่ทริสเมจิสที่กลุ่มคนเหล่านั้นพูดถึงด้วย 

     

     

    ทุกอย่าง ทุกอย่างคล้ายถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าราวกับล่อล่วงผมให้มาติดกับไม่ปานนั้น

     

     

    ทริสเมจิสเป็นใครผมไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเดียวแต่ที่แน่นอนมากที่สุดก็คือคนๆ นั้นเป็น 'แวมไพร์' เพราะกระสุนเงินที่ยังคงฝังบนร่างผมคือหลักฐานยืนยันอย่างดีหากเป็นมนุษย์ปกติแค่กระสุนธรรมดาก็เพียงพอที่จะคร่าชีวิตคนๆ นั้นแล้ว ทว่ากลุ่มคนพวกนั้นยิงผมด้วยกระสุนเงินโดยตามหลักการแล้วมันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องฆ่าคนธรรมดาด้วยโลหะเงินซึ่งสิ่งที่สามารถปลิดชีพแวมไพร์อย่างผมได้นอกเสียจากว่าอีกฝ่ายเป็นแวมไพร์

     

     

    คนผู้นั้นอยู่เบื้องหลังทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้ประเทศนี้ล่มสลายทำให้คนตายเป็นจำนวนมาก 

     

     

    และ...เป็นคนทำให้ 'เธอ' คนนั้นต้องตาย

     

     

    ถ้าหากคนๆ นั้นมีความแค้นกับผมทำไมไม่ลงมาที่ผมคนเดียว ทำไมต้องลงที่คนอื่นที่ไม่รู้เรื่องด้วยโดยเฉพาะเธอคนนั้น เธอเป็นแค่คนธรรมดาไม่มีความผิดอะไรเลย...

     

     

    ดวงตาผมเริ่มปิดจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่เพราะเสียเลือดมากแทบจะทรงตัวไม่อยู่แล้วทัศนียภาพพร่ามัวยามราตรีที่ว่ามืดมนแล้วยามผสมกลิ่นเลือดกับความเหนื่อยล้าจากการเสียเลือดยิ่งมืดมนเข้าไปใหญ่ คล้ายมองเห็นปากทางเข้านรกไม่ปานนั้น 

     

     

    นั่นสิ...ตอนผมมีชีวิตอยู่ในฐานะ 'มนุษย์' ผมได้ทำในสิ่งที่ไม่อาจให้อภัยได้นี่นาแล้วตอนนี้ผมก็ไม่สามารถปกป้องครอบครัวของผมได้แม้แต่นิดเดียว ทำไมคนที่ผมรักและปกป้องทุกคนล้วนพบจุดจบที่ทุกข์ทรมานด้วยนะ

     

     

    ราวกับว่ามันเป็น คำสาป ที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เกิดอย่างใดอย่างนั้นเลย...

     

     

    กึก!

     

     

    ผมเดินเตะอะไรบางอย่างจนกลิ้งจากนั้นมันร่วงหล่นเข้าสู่ความมืดมิดจนมองไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียงมันอีกเลย หน้าผา? ดวงตาของผมพร่ามัวจนมองไม่เห็นหน้าผาขนาดนั้นเลยหรือ? แสดงว่าอาการผมแย่ลงขึ้นเรื่อยๆ ความตายกำลังมาเยือนหาผมอย่างเงียบงันทว่าน่าหวาดหวั่น หากหัวใจผมเต้นได้คงเต้นสั่นระรัวเหมือนมีคนมาตีกลองอยู่ข้างในเป็นแน่

     

     

    ผมหันหลังกลับไปอีกทางทว่าสุดท้ายกลุ่มแสงไฟโผล่มาต้อนผมให้จนมุม ทางเลือกมีไม่มากนอกจากโดดหน้าผากับโดนกลุ่มคนพวกนั้นยิงจนพรุนตายคาที่เท่านั้น

     

     

    ผมไม่อยากตายแต่ผมก็ไม่อยากทำร้ายคนพวกนี้เช่นกัน...

     

     

    พวกเขาล้วนเป็นคนได้รับผลกระทบจากคนที่ชื่อว่าทริสเมจิสทั้งสิ้นถึงแม้ว่าผมไม่รู้ว่าคนๆ นั้นเป็นใครก็ตาม ประเทศของพวกเขาเกิดการปฏิวัติใกล้จะล่มสลาย ครอบครัว คนที่รู้จัก และคนที่รักล้มตายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นไม่แปลกใจเลยว่าคนเหล่านั้นโศกเศร้าเสียใจจึงลงความโกรธแค้นมาที่คนผู้นั้นทว่าคนผู้นั้นมันไม่ใช่ผม

     

     

    ผมไม่อยากตายไปพร้อมกับความเกลียดชังที่ตัวผมนั้นไม่ได้ก่อ ผมมีสิ่งสำคัญที่ต้องปกป้องอยู่

     

     

    ระหว่างตัดสินใจกระโดดลงหน้าผาเป็นตายเท่ากันหรือว่าฝ่าฝูงชนที่มีกระสุนเงินเป็นตายเท่ากับอีกเช่นกันทางเลือกล้วนเหมือนกันทั้งสิ้นแต่ก็นะ...

     

     

    ผมไม่อยากฆ่าใครนอกจากผู้ชายคนนั้นอีกแล้วเพราะฉะนั้นผมเลยเลือกอย่างแรก... 

     

     

    ผมมองหน้าพวกเขาเพราะเลือดไหลเข้าตาทำให้ผมมองกลุ่มคนตรงหน้าไม่เต็มที่จากนั้นสิ่งยิ้มบางให้พวกเขา อภัยในสิ่งที่พวกเขากระทำต่อผมด้วยความไม่รู้อย่างอ่อนล้าจากนั้นผมเอนตัวโน้มไปข้างหลังร่วงหล่นลงไปยังหน้าผาอันมืดมิดแต่ด้วยดวงตาของแวมไพร์ที่สามารถมองเห็นได้ดีในความมืดมากกว่ามนุษย์ธรรมดาถึงแม้จะบาดเจ็บจนมองไม่ชัดไปบ้างแต่ผมก็ยังรู้ว่าหน้าผานี้มันสูงชันมากแค่ไหน

     

     

    สายลมปะทะร่างผมทว่าผมไม่มีแรงเหลือแม้แต่จะขยับตัวแล้วแต่ในขณะเดียวกันผมตั้งคำถามกับตนเองซ้ำไปซ้ำมาด้วยคำถาม

     

     

    ผมเกิดใหม่ในฐานะ 'มิไฮนซ์' เพื่ออะไรกันแน่...

     

     

    ผมหลับตาลงรอรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ด้วยความหนักอึ้ง โลกของผมก็มืดสนิทลงเหมือนจมลงสู่ใต้ท้องทะเลลึกอันหนาวเย็นไร้ซึ่งแสงสว่างนำทางในความมืดมิด...

     

     

    ทว่าสิ่งที่แตกต่างคือผมไม่สามารถว่ายน้ำขึ้นมาเพื่อไขว่คว้าแสงสว่างได้อีกต่อไป...

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    "ท่านเบียคุยะ จำนวนของที่สั่งส่งมาถึงแล้วขอรับ"

     

     

    "ช่วยตรวจดูจำนวนให้ดีอย่างละเอียดว่าของที่ได้มานั้นถูกต้องหรือเปล่า? จำนวนครบไหม? มีตำหนิตรงไหนหรือเปล่า? แล้วก็ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะ"

     

     

    "ไม่หรอกขอรับ กระผมเต็มใจช่วยท่านเบียคุยะ"

     

      

    ผมส่งยิ้มให้อีกฝ่ายขอบคุณตามมารยาทปล่อยให้ปีศาจรับใช้กลับไปทำงานของตนเองต่อจากนั้นกลับมานั่งทำงานในห้องของตนเอง ผมไม่รู้ว่าคาร์ลไฮนซ์นึกครึ้นอะไรถึงจัดงานเลี้ยงเต้นรำภายในปราสาทของตนเองคืนนี้อีกทั้งส่งบัตรเชิญชวนบรรดาแวมไพร์ชั้นสูงมาสนุกสนานรื่นเริงแบบนี้ แต่ก็อย่างว่าผมคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

    ทางด้านเบียทริกซ์ก็เหมือนเดิมเตรียมตัวพร้อมอย่างดีเพื่อให้สมกับฐานะภรรยาของราชันย์แวมไพร์ส่วนคอร์เดเลียหล่อนหัวเราะอย่างเริงร่าอารมณ์ดีเลือกสรรชุดราตรีของตนเองเพื่อเป็นดาวเด่นที่สุดในงานด้วยตรรกะป่วยๆ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากคาร์ลไฮนซ์อีกที

     

     

    แต่ก็ดีแล้วล่ะเพราะงานมันยุ่งทำให้ผมไม่ต้องไปเป็นสนามอารมณ์ให้พวกหล่อนนะระบายเล่น

     

     

    ผมนั่งตรวจสอบรายชื่อแขกที่มางานเลี้ยงเต้นรำที่ได้มาจากปีศาจรับใช้อีกที เท่าที่ตรวจดูแล้วไม่น่ามีปัญหาอะไรเพราะเหล่าตระกูลเก่าแก่แวมไพร์ล้วนยินดีที่ได้รับบัตรเชิญจากราชันย์แวมไพร์ทั้งสิ้นอีก ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่ก็เชื่อมสัมพันธ์ไมตรีระหว่างกันทั้งยังโอ้อวดอำนาจและฐานันดรของตนเองอีกด้วย

     

     

    ก็แหงล่ะ โอ้อวดตามประสาคนรวยไม่ว่ายุคสมัยไหนก็มีกันทั้งนั้นแหละ

     

     

    ก๊อก! ก๊อก!

     

     

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมเลยเอ่ยเชิญคนที่เคาะประตูเข้ามาข้างในได้ประตูไม่ได้ล็อกหลังจากนั้นลูกบิดถูกบิดประตูจึงถูกเปิดออกเผยให้เห็นเด็กชายผมบลอนด์สวมเสื้อนอกสีฟ้าเนื้อดีตามแบบลูกขุนนาง เขาแอบชำเลืองมองอย่างเลิกลั่กกลัวใครจับได้ก่อนรีบมาในห้องผมอย่างรวดเร็ว

     

     

    "มีอะไรหรือเปล่าขอรับ นายน้อยชู?" ผมเอ่ยถามอีกฝ่าย

     

     

    "คือ...เอ็ดการ์อยากเข้ามาร่วมงานเลี้ยงเพราะอยากรู้ว่าสังคมของชนชั้นสูงเป็นยังไง ผมตอบตกลงกับเอ็ดการ์ไปแล้ว เบียคุยะช่วยเรื่องเอ็ดการ์หน่อยนะ" ชูเอ่ยขอร้องผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนด้วยความไม่มั่นใจเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเห็นความเชื่อมั่นในดวงตาว่าผมต้องช่วยอีกฝ่ายเหมือนอย่างเคยแน่นอน

     

     

    แต่ผมทำลายความหวังของอีกฝ่ายทันที...

     

     

    "ไม่ได้ ผมไม่อนุญาตให้นายน้อยชูนำเอ็ดการ์มาที่นี่"

     

     

    ดวงตาสีฟ้าท้องนภาเบิกกว้างสั่นไหวมองผมอย่างไม่เข้าใจเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาผมโอนอ่อนคอยช่วยเหลือเขาตลอดเวลาแต่มายามนี้ผมกลับไม่ให้ความช่วยเหลือเสียอย่างนั้น "ทำไมล่ะ...? เบียคุยะคอยช่วยผมตลอดแค่นี้ไม่ได้เหรอ?"

     

         

    "ผมกำลังช่วยนายน้อยชูและเอ็ดการ์ด้วยความหวังดีอยู่นะขอรับ นายน้อยอย่าลืมสิว่าเอ็ดการ์เป็นมนุษย์ไม่ใช่แวมไพร์อย่างพวกเราการที่มนุษย์มาอยู่ท่ามกลางแวมไพร์มันอันตรายมาก ถ้าถูกจับได้เอ็ดการ์ได้กลายเป็นอาหารของแขกในงานเลี้ยงแน่ ผมปฏิเสธเพื่อตัวนายน้อยเองแล้วก็เอ็ดการ์ด้วย"

     

     

    ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพยายามอธิบายด้วยเหตุผลอย่างใจเย็นแก่แต่ดูเหมือนว่าหลานของผมคนนี้หัวดื้อใช่เล่น สีหน้าของเขาที่แสดงออกมันเด่นชัดมากเลยทีเดียว

     

     

    "ตะ แต่ว่าผมสัญญากับเอ็ดการ์ไว้แล้วนะ เบียคุยะทำเพื่อผมแค่นี้ให้หน่อยก็ไม่ได้เหรอ..." ชูพูดคล้ายไม่ยอมแพ้ต้องการยืนยันที่จะมาเอ็ดการ์มาที่นี่พร้อมใช้คำพูดและประโยคที่ทำให้ผมดูเหมือนคนใจร้ายเพื่อหวังให้ผมใจอ่อนยอมทำตามที่เขาต้องการ

     

     

    แต่แน่นอนว่าผมขอปฏิเสธ...

     

     

    การที่ผมยอมโอนอ่อนผ่อนผันให้ชูในหลายๆ เรื่องมันไม่ได้แปลว่าผมยอมเขาทุกอย่างเรื่องนั้นผมเคยบอกเขาแล้วแต่ดูเหมือนว่าหลานชายคนนี้จะผมจะลืมที่ผมพูดไปเสียสนิท แต่จะโทษใครก็ไม่ได้ในเมื่อผมเป็นคนทำให้เขาคิดว่าจะขออะไรก็ได้ตลอดเพราะที่ผ่านมาเขาก็ขอในสิ่งที่ผมสามารถทำให้ได้ตลอดเลยหลงคิดไปว่าผมยอมตามใจเขาทุกอย่าง

     

     

    ตั้งแต่นี้ต่อไปผมคงต้องทำตัวใจร้ายบ้างเพื่อไม่ให้ชูทำตัวนิสัยเสียอย่างการใช้คำพูดเพื่อทิ่มแทงและโน้มน้าวให้คนใจอ่อนมอบในสิ่งที่ตนต้องการให้กับคนอื่นแล้วล่ะ

     

     

    "คราวนี้ไม่ได้จริงๆ ถึงผมจะโอนอ่อนให้นายน้อยชูแต่ใช่ว่าผมจะยอมนายน้อยชูได้ตลอดนะขอรับ เรื่องบางเรื่องแม้แต่นายน้อยชูรวมถึงนายน้อยคนอื่นเองผมไม่สามารถช่วยเหลือได้ และเรื่องคราวนี้เองก็เช่นกันผมไม่อาจช่วยได้จริงๆ"

     

     

    "ตะ...แต่ว่า? ไหนเบียคุยะเคยบอกว่าจะคอยช่วยเหลือผมไง"

     

     

    "ผมคอยช่วยนายน้อยอยู่เสมอนะ แต่ว่าช่วยเท่าที่ช่วยได้เพราะตัวผมเองก็มีบางเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายและความสามารถของผมจนไม่สามารถช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่ และขอยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ยอมให้นายน้อยชูพาเอ็ดการ์มาที่ปราสาทเอเดนนี้อย่างเด็ดขาด"

     

     

    พอสิ้นคำพูด หยาดน้ำไหลออกมาจากดวงตาสีฟ้างดงามหากคนตรงหน้าเป็นมนุษย์มันคงร้อนผ่าวเปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันมากล้วนเป็นแน่ ผมพยายามเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้เขาคอยปลอบโยนให้เหมือนดังเคยแต่ทว่าผมโดนเด็กชายตรงหน้านี้ปฏิเสธกลับมา

     

     

    เพี๊ยะ!

     

     

    "ใจร้าย...เบียคุยะคนโกหก! อย่ามายุ่งกับผมอีกนะ!!"

     

     

    หลังจากชูปัดมือมองผมด้วยสายตาตัดพ้อน้อยใจวิ่งออกไปจากห้องของผมอย่างรวดเร็ว วินาทีที่ถูกปฏิเสธใจผมมันรู้สึกปวดร้าวมากเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดอยู่ในอกให้หัวใจแหลกสลายคามือยามถูกหลานชายปัดมือปฏิเสธ

     

     

    เพราะผมเลี้ยงดูสั่งสอนเขามาไม่ดีพอใช่ไหมเขาถึงปฏิเสธผมแบบนั้น

     

     

    ผมพยายามทำใจให้สงบลงมองในแง่ดีว่าเวลาจะทำให้ชูเข้าใจในสิ่งที่ผมพยายามจะสื่ออย่างแน่นอนว่าผมทำเพื่อเขาและเอ็ดการ์ก่อนกลับไปนั่งทำงานของตนเองอีกรอบ ตรวจสอบรายชื่อแขกที่มางานเลี้ยงเต้นรำนี้รวมถึงรายการสั่งของอย่างอื่นมาอย่างรู้หน้าที่ตนเอง

     

     

    ...และผมหวังภาวนาอย่างลึกๆ ว่าชูจะยอมทำตามที่ผมบอกไม่ทำอะไรบ้าๆ อย่างเอาเอ็ดการ์มางานเลี้ยงเต้นรำนี้อย่างเด็ดขาด

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    สารภาพตามตรงว่าผมเกลียดงานเลี้ยงเต้นรำนี้...

     

     

    ถึงแม้ว่าผมจะขอบคุณมันเพราะทำให้ผมไม่ต้องเจอกับภรรยาเจ้าปัญหาทั้งสองคนของราชันย์แวมไพร์โดยเฉพาะคอร์เดเลียมักจะมาราวีผมบ่อยๆ กล่าวหาว่าผมแย่งความรักความสนใจของสามีหล่อนทั้งที่ใจจริงผมอยากเอาความรักของสามีหล่อนประเคนคืนให้เต็มแก่แล้ว พวกล่อลวงผู้หญิงอย่างคาร์ลไฮนซ์นี่มันมีดีตรงไหนก็ไม่รู้

     

     

    ส่วนเหตุผลที่ผมเกลียดงานเลี้ยงเต้นรำน่ะหรือ? ก็เพราะว่า...

     

     

    "ใบหน้าของท่านเบียคุยะช่างงดงามราวกับเทพสร้างสรรค์เหลือเกิน...สมแล้วที่เป็นถึงข้ารับใช้คนสนิทที่ท่านคาร์ลไฮนซ์ภาคภูมิใจมากที่สุด"  

     

     

    "ช่างมีเสน่ห์เหลือร้ายยิ่งนัก อย่าลืมไปแนะนำตนเองกับเขาคนนั้นนะ แคทเทอรีน"

     

     

    "ไม่ว่าผ่านไปหลายร้อยปีท่านเบียคุยะยังคงสง่างามเหมือนเดิม ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเห็นท่านเบียคุยะเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว"

     

     

    "เฮ้อ...น่าอิจฉาท่านคาร์ลไฮนซ์ที่มีข้ารับใช้หน้าตาดีอีกทั้งยังสุภาพนุ่มนวลมากความสามารถอย่างนี้เสียจริงๆ คนรับใช้บ้านผมยังไม่ถึงครึ่งของเขาด้วยซ้ำ"

     

     

    "จริงที่สุด ระดับราชันย์แวมไพร์ต้องเลือกสรรข้ารับใช้ที่ดีที่สุดอยู่แล้วล่ะ" 

     

     

    "ว่าแต่...ทุกคนเคยคิดหรือไม่ว่ารูปร่างหน้าตาของท่านเบียคุยะกับท่านคาร์ลไฮนซ์นั้น 'คล้าย' กันไม่มีผิดเพี้ยนเลยแม้แต่นิดเดียว"

     

     

    ผมเกลียดประโยคนี้มากที่สุด

     

     

    เหตุผลที่ผมเกลียดงานเลี้ยงเต้นรำนี้ก็เพราะคนส่วนใหญ่มักเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์ผมตลอดทุกครั้งถ้าไม่ชมว่ามีหน้าตางดงามหมดจดก็ถูกจับโยงกับคาร์ลไฮนซ์ชื่นชมอำนาจบารมีที่อีกฝ่ายมีกันหมด เรื่องชมว่าผมรูปงามอย่างนู้นอย่างนี้ผมไม่ค่อยใส่ใจกับมันมากออกจากเบื่อๆ ด้วยซ้ำเพราะได้ยินมาหลายครั้งแล้ว แต่ว่าเรื่องที่ผมถูกจับโยงกับราชันย์แวมไพร์นั้นมันคนละเรื่อง

     

     

    ผมเกลียดมัน ผมเกลียดที่ถูกวิจารณ์เกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นตลอด...

     

     

    โดยเฉพาะเรื่องหน้าตาที่หลายคนมักจะสังเกตและเอ่ยออกมาทุกครั้งว่าผมหน้าตาคล้ายกับคาร์ลไฮนซ์มากที่สุดจนอดคิดไม่ได้ว่าเป็นญาติพี่น้องกันหรือเปล่า ทั้งที่ผมลงทุนพยายามเปลี่ยนทรงผมตนเองไม่ให้ซ้ำกับของเขาไม่ก็ทำผมยุ่งๆ ไม่ค่อยเป็นระเบียบกระทั่งผมเคยคิดที่จะตัดผมและย้อมสีผมใหม่เลยด้วยซ้ำ

     

     

    แต่สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็บังคับให้ผมไว้ผมยาวเหมือนกับเขาอีกทั้งไม่ยอมให้ผมย้อมสีผมของตนเองอีกตะหาก...

     

     

    ถึงแม้คนภายนอกจะรับรู้ว่าผมไม่ได้เป็นญาติพี่น้องหรือมีสายเลือดเดียวกับเขาแค่บังเอิญเกิดมามีใบหน้าคล้ายกันเท่านั้นก็ตาม แต่มันก็อดนึกรังเกียจตนเองไม่ได้ว่าผมมีสายเลือดใกล้ชิดกับผู้ชายที่ทำลายครอบครัวของผมจนย่อยยับและทำให้พวกเราสองพี่น้องต้องตกนรกทั้งเป็นแบบนี้

     

     

    นั่นมันแค่ส่วนหนึ่งของความเลวร้ายเท่านั้น ความเลวร้ายของคาร์ไฮนซ์นั้นมากมายกว่านี้อีกชนิดที่ว่าบรรยายหน้ากระดาษเดียวก็คงไม่พอ...

     

     

    คิดแล้วมันน่าถอนหายใจออกมาจริงๆ ถ้าผมหายใจแบบมนุษย์คงถอนหายใจอย่างแรงเลยทีเดียว เอาเป็นว่าตอนนี้อย่าเพิ่งฟุ้งซ่านคิดถึงชายคนนั้นทำหน้าที่ของตนเองให้เสร็จดีกว่า ขณะผมกำลังทำหน้าที่เสิร์ฟไวน์ช่วยเหลือคนรับใช้คนอื่นพลันนั้นผมได้กลิ่นไม่พึงประสงค์เข้าอย่างจังแตะปลายจมูกเข้า

     

     

    กลิ่นที่คุ้นเคยแบบนี้มันอย่าบอกนะว่าเป็น...

     

     

    "วะ...ว้าว! นี่มันงานเต้นรำของจริงนี่นา"

     

     

    ยามนัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์ของผมหันมองที่มาของกลิ่นและเสียงอันคุ้นเคยทันทีที่ผมเห็นดวงตาผมเบิกกว้างด้วยความตกใจระคนสงสัยทันที เอ็ดการ์?! ทำไมเอ็ดการ์ถึงมาที่งานเลี้ยงได้ล่ะ อย่าบอกนะว่าชูเป็นคนพาเอ็ดการ์มาที่นี่ทั้งที่ผมเตือนเขาไปแล้ว!

     

     

    ให้ตายสิ! หลานผมนี่หัวดื้อไม่ใช่เล่นเหมือนกันไม่รู้ว่าไปได้ความหัวดื้อมาจากใครกันก็ไม่รู้

     

     

    ผมจัดการส่งถาดแก้วไวน์ให้ปีศาจรับใช้ทำหน้าที่แทน ฉวยโอกาสตอนที่เอ็ดการ์แยกกับชูแล้วใช้พลังเคลื่อนย้ายตนเองมาข้างหลังเขาแบบไม่ทันให้รู้ตัวแล้วก็วางมือตบบ่าเขาจนสะดุ้งโยงค่อยๆ หันมามองผมที่ตอนนี้กำลัง 'โกรธ' แบบสุดๆ ด้วยสีหน้าหวาดกลัวไม่กล้าสู้หน้าผม ยามยิ่งฝ่ายตรงข้ามสบตาผมยิ่งไม่กล้ามองหน้าผมใหญ่เหมือนเด็กเวลาโดนพ่อแม่จับได้ว่าทำความผิดอย่างใดอย่างนั้น

     

     

    เหตุที่เป็นแบบนั้นเพราะว่าชูไม่เคยเห็นผม 'โกรธ' เขาอย่างจริงจังมาก่อน

     

     

    "ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมขอรับว่าที่นี่ไม่เหมาะสมกับมนุษย์อย่างเขาน่ะ นายน้อยชู" ผมเอ่ยเขาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบทว่ามันให้อารมณ์เหมือนเบียทริกซ์ตอนกำลังสั่งสอนเขาไม่มีผิด

     

     

    ที่แตกต่างก็คือเวลาผมโกรธผม 'น่ากลัว' กว่าเบียทริกซ์เยอะเลยซึ่งผมก็คิดว่าอย่างนั้นล่ะนะ...

     

     

    "ผม...ขอโทษ ผมแค่อยากตอบแทนเอ็ดการ์ที่สอนอะไรหลายๆ อย่างให้ผมตอนผมอยู่ข้างนอก" ชูกล่าวเสียงอ่อยรู้สึกผิดที่ทำอะไรลับหลังผมแบบนี้ 

     

     

    ผมเข้าใจว่าเอ็ดการ์เป็นเพื่อนมนุษย์คนสำคัญของเขา แต่ก็นะ...เรื่องนี้ผมปล่อยวางไม่ได้เด็ดขาด

     

     

    "โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของเขา?" ผมเลิกคิ้วถามเสียงนิ่ง ชูนิ่งเงียบตามไปด้วยไม่กล้าตอบผมเพราะมันเป็นความจริงที่ว่าเขาไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของเอ็ดการ์เลย

     

     

    "ฟังนะขอรับ ผมรู้ว่าเอ็ดการ์เป็นเพื่อนคนสำคัญของนายน้อยชูแต่ว่ามนุษย์ท่ามกลางเหล่าแวมไพร์ก็ไม่ต่างอะไรกับแกะที่อยู่ในดงหมาป่าแล้วนายน้อยชูคิดว่าตนเองสามารถปกป้องเขาได้หรือเปล่า? ถ้าได้ผมจะถือซะว่าเรื่องราวในครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแต่ถ้าไม่ผมจะส่งเขากลับทันที"

     

     

    "ผะ...ผม..." ชูอึกอักเล็กน้อยก่อนที่จะมีเสียงแทรกมาอีกเสียง

     

     

    "คุณเบียคุยะ! ไม่ได้เจอกันนานนะตั้งหลายวันเลยแหนะ" เด็กชายมัดผมหางม้าสีน้ำตาลในชุดออกงานของชูตรงมาหาผมพร้อมแก้วน้ำผลไม้ในมือสองแก้วคาดว่าน่าจะเอามาให้ชูมองผมด้วยดวงตากลมโตสีน้ำตาลเป็นประกาย "โอ้โห! คุณเบียคุยะใส่อะไรแล้วดูดีเป็นบ้าเลย ผมล่ะอิจฉาคนหน้าตาดีใส่ที่อะไรก็หล่อแบบคุณเบียคุยะจริงๆ"

     

     

    "ขอบคุณมากขอรับ" ผมส่งยิ้มบางให้อีกฝ่าย

     

     

    "ก็ต้องขอบคุณชูแหละเพราะชูทำให้ผมได้เปิดโลกใหม่เยอะเลย ที่นี่คนสวยๆ เพียบเลย ชุดก็อลังการมาก สุดยอดไปเลยล่ะ" เอ็ดการ์กล่าวอย่างมีความสุขพร้อมยิ้มกว้างตาเป็นประกายระยิบระยับยิ่งกว่าดาบบนท้องฟ้า พอเห็นแบบนี้แล้วผมไม่กล้าอบรมสั่งสอนชูต่อหน้าเขาจริงๆ

     

     

    แต่ถึงอย่างนั้นผมต้องตักเตือนเขาก่อนจะจากไป

     

     

    ผมก้มลงในระดับความสูงใกล้เคียงกับหลานชายคนโตกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่ได้ยินเสียงสองคนหมายตักเตือนผสมความเป็นห่วงอีกฝ่าย "ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้วนายน้อยชูต้องรับผิดชอบเอ็ดการ์ให้ถึงที่สุดนะขอรับถ้ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นให้เรียกผมทันที"   

     

     

    "..." ชูไม่ตอบแต่พยักหน้าเบาๆ

     

     

    ในเมื่อวางใจได้ในระดับหนึ่งแล้วผมหันหลังให้อีกฝ่ายเดินออกไปจากห้องโถงงานเต้นรำทันที จะเรียกว่าโดดงานก็คงไม่ผิดนักหรอกเพราะตอนนี้ผมยังไม่หายโกรธชู บางทีการเดินเล่นข้างนอกซักพักหนึ่งอาจจะทำให้อารมณ์เย็นขึ้นมาบ้างเอาเป็นว่าเรื่องของเอ็ดการ์ผมจะไปคุยกับเขาอีกทีหลังงานเลิกแล้ว

     

     

    ผมเดินออกไปโดยที่ไม่รู้เลยว่าดวงตาสีฟ้าอันงดงามเหมือนท้องนภานั้นหม่นหมองลง

     

     

    "เบียคุยะ ผมขอโทษ...ได้โปรดอย่าโกรธผมเลยนะ"

     .

    .

    .

    .

    .

    .

    ชั่วชีวิตของเธอนั้นไม่เคยเจอสีขาวที่สวยงามยิ่งกว่าหิมะเท่านี้มาก่อน...

     

     

    ท่ามกลางหิมะโหมแรงยามค่ำคืนเด็กสาวตัวน้อยในเสื้อคลุมขนสัตว์อย่างดีเดินหลงเข้าไปในป่าหาหนทางกลับไปยังที่ที่เธอจากมานั้นไม่เจอ ตัวเธอนั้นยังคงอ่อนต่อโลกไม่รู้เรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้นเพราะถูกฟูมฟักดูแลอย่างดีจากบิดาของตนหลังมารดาสิ้นไปแล้ว

     

     

    แต่เพราะการฟูมฟักเลี้ยงดูที่ดีเกินมิต่างไปจากไข่ในหินทำให้อิสระภาพของเธอนั้นถูกจำกัดเป็นดั่งนกน้อยในกรงที่บินวนเวียนอยู่อย่างนั้น

     

     

    คล้ายความอุ่นจากเสื้อคลุมขนสัตว์อย่างดีไม่อาจกันความเหน็บหนาวในค่ำคืนแห่งเหมันต์นี้ได้ เด็กสาวตัวน้อยกอดตนเองเพื่อเพิ่มไออุ่นของตนเอง ดวงตาเริ่มง่วงงุนจะเข้าภวังค์นิทราแต่พยายามฝืนตนเองให้ตื่นอยู่ตลอดเวลาเพราะตัวเธอรู้ดีหากหลับไปแล้วไม่อาจฟื้นคืนจากห้วงนิทราได้อีก

     

     

    ไม่น่าเลย...เธอไม่น่าหนีออกมาจากบ้านเลย...

     

     

    เพราะทุ่มเถียงกับบิดาของตนทำให้ตนต้องวิ่งหนีออกมาข้างนอกนี้จนหลงทางเข้าไปในป่าลึกท่ามกลางหิมะโหมกระหน่ำแบบนี้ เธอเพียงแค่ต้องการอิสระออกไปเล่นข้างนอกเหมือนกับเด็กคนอื่นไม่ใช่อยู่แต่ในบ้านพักตากอากาศเวลาออกไปข้างนอกก็ต้องมีคนติดตามดูแลไม่สามารถออกไปวิ่งเล่นได้เหมือนเด็กทั่วไป 

     

     

    เธอเกลียดตนเอง เธอไม่อยากเป็นเด็กขี้โรคแบบนี้เลยเพราะมันทำให้อิสรภาพของเธอถูกจำกัด ความงดงามของโลกใบนี้เธอมิอาจสัมผัสกับมันได้ก็เพราะมัน

     

     

    เด็กสาวหยุดนิ่งด้วยความเหนื่อยล้าอ่อนแรงตามประสาเด็กอ่อนแอขี้โรค ยกมือขึ้นอังใบหน้าอันอ่อนเยาว์เป่าลมร้อนจากปากน้อยๆ ของเธอจนเกิดละอองไอน้ำสีขาวอย่างเห็นได้ชัดสร้างความอบอุ่นเท่าที่มีก่อนออกเดินทางหาที่พักหลบพายุหิมะนี้

     

     

    ทว่ายังไม่ทันที่เด็กน้อยแสนอ่อนแอคนนี้ก้าวเท้าพญามัจจุราชก็มาเยือนต่อหน้าเธอเข้าเสียแล้ว...

     

     

    กรรรรรร...! 

     

     

    ดวงตากลมโตสีน้ำตาลดั่งคาราเมลเฉกเช่นเดียวกับเรือนผมมองข้างหน้าหาแหล่งที่มาของเสียงอันน่าหวาดหวั่น เด็กสาวในชุดขนสัตว์ตัวน้อยเห็นหมาป่าฝูงหนึ่งอยู่ตรงหน้าเธอแยกเขี้ยวขู่คำรามส่งสัญญาณว่าเธอเป็นเหยื่อของพวกมันและพวกมันพร้อมที่จะฉีกเนื้อเธอเป็นชิ้นๆ จนเหลือแค่เศษซาก

     

     

    เธอหวาดกลัวตัวสั่นระริกอยากวิ่งหนีออกไปให้ไกลจากฝูงสัตว์ร้ายเหล่านี้ทว่าความกลัวกลับครอบงำทั้งร่างของเธอ เธอก้าวขาไม่ออกคล้ายมีอะไรบางอย่างถ่วงน้ำหนักเอาไว้ยากที่จะขยับหนีจากพญามัจจุราชแต่เมื่อคิดอีกทีแล้วต่อให้เธอหนีพวกมันก็มีกันเป็นฝูงยากที่จะรอดจากคมเขี้ยวของมันได้

     

     

    กลัว กลัว กลัว ท่านพ่อช่วยลูกด้วย...ลูกสัญญาว่าจะไม่หนีออกจากบ้านอีกแล้ว

     

     

    เด็กสาวหลับตาภาวนาอย่างสิ้นหวัง เธอรู้ดีว่าสุดท้ายเธอต้องถูกฉีกกระชากกลายเป็นอาหารของหมาป่าแต่เธอไม่อาจทำใจยอมรับได้ว่าเธอนั้นต้องตายท่ามกลางความหนาวเหน็บและไม่มีโอกาสขอโทษท่านพ่อของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

    ทว่าในความมืดมิดของคืนพายุหิมะนั้นยังคงมีแสงสว่างหลงเหลืออยู่

     

     

    "ออกไป..."

     

     

    เด็กสาวตัวน้อยราวกับต้องมนตร์ทันทียามได้ยินเสียงทุ้มต่ำเรียบนิ่งอันแสนนุ่มนวลทว่าผิดกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เธอลืมตาขึ้นมาเผยให้เห็นนัยน์ตาสีคาราเมลอันกลมโตของเธอซึ่งตรงหน้านี้ไม่ใช่ฝูงหมาป่าทว่าเป็นเส้นผมสีขาวยาวสยายพลิ้วไหวตามแรงลมแทบจะกลืนไปกับหิมะถึงแม้ว่าพายุหิมะจะซาลงไปบ้างแล้วทว่ายังคงมีลมหนาวอยู่ดี

     

     

    ฝูงหมาป่าเริ่มหวาดระแวงกับการปรากฏตัวของคนตรงหน้าทว่ายังคงอยู่ เธอไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี้มีสีหน้าเช่นไรแต่คาดว่ามันน่าหวาดกลัวยิ่งเสียกว่าหมาป่าทั้งฝูงเป็นแน่

     

     

    "ออกไป...ถ้าหากพวกเจ้ายังรักชีวิตของตัวเองและครอบครัวของพวกเจ้า จงออกไปและอย่าได้กลับมาอีก"

     

     

    วินาทีนั้น หมาป่าตัวหน้าที่คาดว่าเป็นจ่าฝูงนั้นถอยหนีกลับไปเป็นตัวแรกตามด้วยหมาป่าตัวอื่นอีกหลายตัวยามเห็นท่าทีหวาดกลัวสุดจะหยั่งถึงต่อบุรุษตรงหน้านี้ 

     

     

    ยามเมื่อหมาป่าจากไปแล้วผู้มีพระคุณตรงหน้าของเด็กสาวนั้นหันกลับมามองเธอด้วยดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์อันงดงามทว่าเป็นความงามที่น่าหวาดหวั่นยามเรืองแสงท่ามกลางความมืดทำให้เธอรู้ว่าผู้มีพระคุณของเธอนั้นไม่ใช่มนุษย์ จากการแต่งตัวชาวคนนี้สวมเสื้อที่บางเบากว่าเธอเสียด้วยซ้ำเหมือนกับว่าหิมะอันหนาวเหน็บนี้ไม่สามารถทำอะไรบุรุษตรงหน้านี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

    จะมีหรือ? ที่มนุษย์ธรรมดาทนทานความหนาวเหน็บอันโหดร้ายนี้ได้นอกเสียจาก...

     

     

    คนผู้นั้นไม่ใช่ 'มนุษย์' ทว่าเป็นปีศาจร้ายนั่นเอง

     

     

    แต่ว่าถ้าคนตรงหน้านี้เป็นปีศาจร้ายจริงๆ แล้วทำไมปีศาจร้ายตนนี้ถึงได้อ่อนโยน งดงาม และน่าหลงใหลเช่นนี้...

     

     

    "เธอ...หลงทางอย่างนั้นหรือ?" เขาถามเธอพยักหน้า

     

     

    "แล้ว...เธอกลัวผมไหม?" เขาถามอีกครั้งเหมือนรู้ว่าเธอรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว 

     

     

    เด็กสาวนิ่งเงียบ มองหน้าของชายผู้ช่วยชีวิตเธอด้วยดวงตาสีน้ำตาลคาราเมลกลมโตของเธอคู่นี้จากนั้นส่ายหน้าอย่างช้าๆ มองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกยินดีปราศจากความหวาดกลัวแล้วยื่นมือให้คนผู้นั้นจับพาตัวเธอออกไปจากสถานที่อันหนาวเหน็บแห่งนี้

     

     

    คนตรงหน้าระบายยิ้มออกมา ยามพายุหิมะนิ่งสงบไปคล้ายการมาของชายผู้นี้พัดพาสิ่งเลวร้ายออกไป แสงจันทร์และดาราอาบไล่ร่างผู้มีพระคุณของเธอเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงให้เด่นชัดมากขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเด็กหญิงตัวน้อยเบิกกว้างตกตะลึงราวต้องมนตร์

     

     

    เรือนผมสีขาวยาวสลวยประดุจดั่งเส้นไหมสีขาวอันเลอค่า ดวงตาสีอัญมณีสดใสเปล่งประกายท่ามกลางความมืดมิด ใบหน้าอันงดงามเหนือจินตนาการดุจดั่งเจ้าชายที่หลุดออกมาจากเทพนิยายก่อนนอนยามที่บิดาของเธอนั้นเล่าให้ฟังก่อนนอนทุกคืน

     

     

    เป็นสีสันที่งดงามที่สุดมากกว่าที่เธอเคยพบและเป็นสีสันที่งดงามยิ่งกว่าอะไรบนโลกใบนี้ 

     

     

    คนผู้นี้ช่างน่าหลงใหลแค่คำว่างดงามมันยัง...

     

     

    "ไม่พอ..." เด็กหญิงเผลอหลุดปากออกมาเสี้ยวหนึ่งจนคนข้างตนนั้นสงสัย กว่าจะรู้สึกตัวแก้มของเด็กสาวนั้นแดงระเรื่อยิ่งกว่ากุหลาบแดงที่เบ่งบานยามฤดูใบไม้ผลิไม่ต่างอะไรจากเด็กสาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสาบนโลกที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความรัก

     

     

    "เป็นอะไรหรือเปล่า?" ชายคนนั้นถามด้วยความสงสัย

     

     

    "ไม่ ไม่เป็นไรขอบคุณที่ช่วยหนูเอาไว้นะคะ หนูชื่อ 'อิมิเลีย' แล้วคุณล่ะคะ...?"

     

     

    "ชื่อของผม...? อย่ารู้ดีกว่าเพราะผมไม่อยากให้คุณจดจำปีศาจร้ายอย่างผม" ปีศาจร้ายอย่างนั้นหรือ? แต่ว่าปีศาจร้ายที่ว่านี้กำลังกอบกุมมือเธออยู่ถึงแม้จะไร้ซึ่งความอบอุ่นแต่ก็สัมผัสได้ถึงความมั่นคงและปลอดภัยยามที่กอบกุมมืออันเย็นเยียบนี้

     

     

    เธอเลือกที่จะปฏิเสธ เธออยากจดจำเขาสลักลึกลงภายในจิตใจของเธอต่อให้เขามีอำนาจลบล้างความทรงจำก็ตามเธอจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด

     

     

    จนสุดท้ายชายผู้มีพระคุณของเธอนั้นยอมบอกชื่อของตนเองออกมาอย่างง่ายดายเมื่อเจอกับความดื้อดึงอยากที่จะรับมือของเด็กสาว

     

     

    นางามิตสึ เบียคุยะ...ความลับอันเป็นนิรันดร์ในราตรีสีขาว

     

     

    เป็นชื่อที่งดงามและไพเพราะยิ่งนัก เด็กสาวยิ้มเธอยังคงจับมือชายผู้มีพระคุณของเธอเดินออกจากป่าแห่งนี้ท่ามกลางราตรีที่ผ่านพ้นพายุหิมะอันหนาวเหน็บกลับสู่บ้านอันอบอุ่นของเธออีกครั้งถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกเสียดายที่ชายที่อยู่เคียงข้างเธอนั้นหายตัวไปอย่างลึกลับก็ตาม

     

     

    แต่ไม่เป็นไร...ซักวันหนึ่งยามเธอกลับมาที่นี่อีกครั้งเธอก็จะพบกับชายผู้นั้นเอง

     

     

    นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กงล้อแห่งโชคชะตาและสายสัมพันธ์ระหว่างเด็กสาวผู้เป็นมนุษย์กับชายผู้เป็นปีศาจร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น

     

     

    ฤดูกาลเปลี่ยนผันจากฤดูเหมันต์ในวันนั้นกลับเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นจากฤดูอันอบอุ่นกลับกลายเป็นฤดูร้อนแสงอาทิตย์ส่องจนดวงตาแทบพร่ามัวจากฤดูร้อนแปรเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ร่วงพร้อมใบไม้สีแดงที่ร่วงหล่นสมกับชื่อฤดูกาลนี้แล้วก็กลับมาฤดูหนาวอันเย็นเยียบอีกครา 

     

     

    ฤดูกาลทั้งสี่นั้นหมุนเวียนไปอย่างไม่รู้จบทว่ากาลเวลานั้นยังคงเดินก้าวต่อไปข้างหน้ามิอาจย้อนกลับมาได้เฉกเช่นฤดูเหล่านี้

     

     

    นับจากวันเป็นเดือน...

     

     

    จากเดือนเป็นปี...

     

     

    ทุกสรรพสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไม่เคยหยุดนิ่งรวมถึงเด็กสาวตัวน้อยที่เติบโตขึ้นทว่าสิ่งที่ยังคงเดิมของเธอคือความบริสุทธิ์ที่อาบย้อมด้วยประกายแห่งรักดั่งเด็กสาววัยแรกแย้มที่ตกอยู่ในห้วงแห่งรัก ถึงแม้มันฟังดูเพ้อเจ้อสำหรับคนเห็นต่างทว่าสำหรับเด็กสาวนั้นคือความสัตย์จริง

     

     

    ทุกครั้งยามเธอมีโอกาสมาพักบ้านพักตากอากาศ อิมิเลียมักจะมองหาปีศาจร้ายที่อ่อนโยนของเธอบริเวณป่าที่เธอเคยหลงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ถึงแม้ว่าจะมีคนติดตามเธอไปด้วยและมากเกินความจำเป็นก็ตามแต่เธอไม่ใคร่ใส่ใจนักเพราะเธอไม่อาจปฏิเสธความรักความเอาใจใส่ของบิดาได้ 

     

     

    ดวงตาสีคาราเมลมองกลุ่มต้นไม้เหล่าสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยแสงจากดวงอาทิตย์ยามหน้าร้อนทำให้เธอแทบจำไม่ได้เลยว่ามันเป็นผืนป่าเดียวกันในยามฤดูเหมันต์อันโหดร้าย ยามฤดูเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปจริงๆ นั่นแหละ

     

     

    เธอเดินเล่นอย่างเพลิดเพลินจนลืมเสียสนิทว่าเธอทิ้งห่างจากคนรับใช้ไปมากโขแล้ว

     

     

    เด็กสาวหันกลับไปอีกทีไม่พบคนรับใช้ของเธอ อิมิเลียรู้ตัวว่าตนออกมาไกลมากแล้วจึงเตรียมเดินกลับไปและมันคงเป็นอีกวันกับอีกหนึ่งฤดูและก็อีกปีหนึ่งที่เธอไม่ได้เจอกับปีศาจตนนั้น

     

     

    ขณะเธอกำลังก้าวเท้าเสียงปริศนาดังขึ้นข้างหลังจากเธอ มันเป็นเสียงเครื่องดนตรีที่ไพเราะสัมผัสได้ถึงความสดใส ดั่งนิทานคนเป่าปี่แห่งฮาเมลินยามเสียงถูกขับขานเหล่าหนูต่างถูกมนตร์สะกดแล้วกระโจนลงน้ำฆ่าตัวตาย เหล่าเด็กถูกล่อลวงพรากหายออกไปจากหมู่บ้าน

     

     

    ทว่าเด็กน้อยที่ควรกลัวกลับเดินเข้าไปหาด้วยบทเพลงอันแสนลึกลับนี้

     

     

    สุดท้ายปลายทางแห่งเสียงเพลงเป็นชายร่างสูงผมสีขาวยาวดุจดั่งหิมะกำลังพริ้มตาหลับเป่าขลุ่ยดินเผาด้วยท่วงทำนองแห่งความสุขบนต้นไม้สูงยากที่เด็กอย่างเธอปีนขึ้นไปได้ 

     

     

    เหมือนต้องมนตร์ปีศาจ...แต่ถ้าหากปีศาจร้ายคือคนตรงหน้าเธอยินยอมศิโรราบต่อการล่อลวงอันแสนอันตรายทว่าน่าหลงใหลนั้น ดวงตาสีคาราเมลของเธอจับจ้องมองยังร่างของคนที่เรียกตนเองว่าปีศาจร้ายไร้ซึ่งเสียงรบกวนและบทสนทนา เธอเพียงแค่มองและฟังชื่นชมความงดงามของเสียงดนตรีอย่างเงียบๆ ปล่อยให้สายลมพัดพาเสียงเพลง

     

     

    แต่แล้วเสียงแห่งความสุขนั้นหยุดลงทันที

     

     

    คล้ายอีกฝ่ายรู้การปรากฏตัวของเธอจึงหยุดเล่นเสียดื้อๆ จ้องมองเธอด้วยใบหน้าอันเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ จากนั้นเขาลงจากต้นไม้สูงยืนมองเธอหากเป็นมนุษย์ธรรมดาคงบาดเจ็บสาหัสไปนานแล้วแต่กับคนตรงหน้านี้ไม่อาจใช้คำว่ามนุษย์ธรรมดาได้

     

     

    "เด็กน้อย เธอกำลังบุกรุกอาณาเขตที่มนุษย์อย่างเธอไม่ควรเข้ามา กลับไปเสีย" ชายผู้มีพระคุณของเธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ดวงหน้าเฉยชาคล้ายตุ๊กตากระเบื้องอันแสนงดงามที่อยู่ในบ้านของเธอไม่ปานนั้น

     

     

    "เพลงเพราะมากเลยค่ะ ว่าแต่คุณอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอคะ?" แทนที่จะกลับไปเด็กน้อยอิมิเลียกลับชื่นชมเสียงเพลงและไถ่ถามอีกฝ่ายอย่างไร้เดียงสา

     

     

    "ถ้าผมอยู่คนเดียวผมคงไม่ไล่เธอกลับไปหรอก เด็กน้อย"

     

     

    "หนูแค่อยากเจอคุณ อยากเจอมากที่สุดเลยค่ะ" อิมิเลียตอบเสียงหวานดั่งกระดิ่งแววตาสดใสเป็นประกายมองอย่างใสซื่อทว่าจริงใจมากที่สุดสำหรับเด็กน้อยอายุประมาณเท่าเด็กประถมเห็นจะได้

     

     

    ดวงตาสีคาราเมลเห็นความเปลี่ยนแปลงในดวงตาสีม่วงอัญมณีแค่วูบหนึ่งก่อนกลับมาเรียบนิ่งเหมือนเดิมคล้ายช่องโหว่บนกำแพงทว่าถูกอุดเอาไว้อย่างรวดเร็ว ปีศาจผมขาวคาดการณ์ไว้แล้วว่าเด็กมนุษย์ตัวน้อยคนนี้ดื้อกว่าที่คิดและดื้อคล้ายใครบางคน 

     

     

    หากจะให้กลับก็คงมีแต่ต้องไปด้วยกันเท่านั้น...

     

     

    ปีศาจร้ายนามเบียคุยะจับมือของเด็กสาวจูงกลับไปยังที่ที่เธอจากมาและตัวเด็กสาวเองก็ยินยอมพร้อมส่งยิ้มสดใสดั่งดวงอาทิตย์ให้แก่ปีศาจของเธอถึงแม้ว่ามันดูเปล่าประโยชน์และอีกฝ่ายเลือกที่จะเมินหนีไม่หันมามองก็ตามที

     

     

    "หนูทำให้คุณเบียคุยะคิดถึงใครบางคนหรือเปล่า?" ชายหนุ่มร่างสูงชะงักเล็กน้อยก่อนเดินก้าวไปเหมือนไม่อะไรเกิดขึ้น

     

     

    "ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจถึงแค่แวบเดียวแต่หนูเห็นความอ่อนโยน ความเศร้า และความคะนึงหาอยู่ภายในนั้น เพราะแบบนั้นใช่ไหมคุณถึงไม่กล้าลบความทรงจำของหนูทั้งที่ทำได้ หนูคล้ายใครบางคนที่คุณรู้จักหรือเปล่า?"

     

     

    คำตอบคือ 'ไม่ใช่' กับ 'ใช่

     

     

    ส่วนที่ไม่ใช่คือเขาไม่กล้าลบความทรงจำเพราะเขาไม่มีพลังอำนาจขนาดนั้นนอกจากปรับเปลี่ยนความทรงจำคนอื่นทว่ามันต้องมีสิ่งอ้างอิงที่มีน้ำหนักพอ ป่าบริเวณนั้นไม่มีมนุษย์ตั้งรกรากและเข้ามาที่แห่งนั้นเพราะสัตว์นักล่าอยู่แถวนั้นเยอะมากจะให้แต่งเรื่องว่ามีนายพรานใจกล้าดั้นด้นมาช่วยเด็กน้อยที่แอบหนีออกมาโดยที่ไม่มีใครรู้เรื่องเลยได้อย่างไร

     

     

    ส่วนที่ใช่คือเด็กน้อยคนนี้ทำให้เขานึกถึง 'คริสต้า' น้องสาวคนสำคัญของเขาเอง

     

     

    "...อย่ามาสนิทกับผมดีกว่า ใครก็ตามที่อยู่กับผมล้วนจากหายไปทั้งสิ้น" ชายหนุ่มเม้มปากแน่นจากนั้นเอ่ยตอบเด็กสาว ใบหน้าที่งดงามพลันหม่นหมองคล้ายอัญมณีหม่นแสงมีตำหนิเป็นใบหน้าที่ไม่ว่าใครแม้แต่เด็กน้อยอิมิเลียอยากปลอบโยนอีกฝ่ายถึงแม้ว่าคนๆ นั้นจะไม่ใช่มนุษย์ก็ตามที

     

     

    "แต่หนูเชื่อว่าเขาหรือเธอที่คุณคะนึงหาคนนั้นต้องมีความสุขมากแน่นอนที่ได้อยู่กับคุณ ต่อให้ตอนนี้มันจะไม่เหมือนเดิมแล้วสักวันหนึ่งความสุขจะต้องมาเยือนแน่นอนถ้าเรามองหามันให้เจอ"

     

     

    "เป็นเด็กที่ใสซื่อจังนะ...คิดว่าปีศาจร้ายทำลายชีวิตคนที่ตนรักจนย่อยยับอย่างผมน่ะพระเจ้าจะเมตตาอย่างนั้นหรือ?" ชายผมขาวกล่าวขึ้นไม่หวังคำตอบอันสวยหรูใดๆ เพราะมันไม่ทำให้สิ่งที่ตนเป็นอยู่นั้นเปลี่ยนไปเลย ตนนั้นต่อให้ดีแค่ไหนก็เป็นเพียงแค่ปีศาจร้ายที่ทำลายคนที่ตัวเองรักแค่เฉียดใกล้สิ่งที่รักนั้นล้วนหายจากไปเสมอ...

     

     

    ทว่าเด็กน้อยอิมิเลียนั้นกลับตอบคำถามนั้นอย่างใส่ซื่อบริสุทธิ์

     

     

    "แน่นอน พระผู้เป็นเจ้าน่ะไม่มีวันหยุดเมตตาต่อผู้ที่แสวงหาพระองค์ด้วยความมุมานะอุตสาหะหรอกค่ะ"

     

     

    เหมือนมีสัมผัสอันแสนอ่อนโยนสัมผัสหัวใจของปีศาจร้าย เหมือนสายลมในยามเช้าแสนอบอุ่นพัดผ่านเสียจนอยากหยุดอยู่ตรงนั้นให้สายลมคอยปลอบโยนตนเอง คำตอบที่เขาไม่คาดคิดออกมาจากปากของเด็กสาวตัวน้อยท่าทางฉลาดทว่าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่มีความเชื่อมั่นและความศรัทธาต่อแสงสว่าง

     

     

    "ต่อให้เขาหรือเธอนั้นเกลียดคุณแต่คุณก็ยังคงรักเขาหรือเธอคนนั้นต่อไปใช่ไหมคะ?"

     

     

    ชายหนุ่มไม่ตอบทว่าในใจตอบว่า 'ใช่ รักเสมอมาและจะยังคงรักต่อไป'

     

     

    "เพราะอย่างนั้นอย่าได้เศร้าใจไปเลย ยามคุณตระหนักถึงคุณค่าแห่งรักยามนั้นคุณคือมนุษย์ และมนุษย์นั้นคือหลักฐานยืนยันของความรักอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง"

     

     

    ชายหนุ่มไม่ตอบเด็กน้อยเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีมองหน้าอีกฝ่ายเลิกลั่กพร้อมกล่าวขอโทษด้วยความรู้สึกผิดอย่างซื่อๆ ตามประสาเด็กน้อย "หนูขอโทษนะ ถ้าหนูพูดอะไรผิดไป"

     

     

    "เด็กน้อย อนาคตเธออย่างเป็นซิสเตอร์ของโบสถ์อย่างนั้นเหรอ? เทศนาเก่งซะเหลือเกิน" ยามถูกอีกฝ่ายตอบกลับแบบนั้น เด็กน้อยอิมิเลียหน้าแดงระเรื่อดวงตาสั่นทันทียามถูกหยอกล้อเช่นนั้น

     

     

    "ปะ เปล่านะคะ! หนูก็แค่จำคำสอนของซิสเตอร์ที่โรงเรียนเท่านั้นเองค่ะ ไม่ได้อยากเป็นซิสเตอร์เลยนะคะ! ตะ แต่ถ้านั่นหมายถึงคำชมหนูก็ยินดีรับไว้ค่ะ" ท่าทีน่าเอ็นดูของเด็กน้อยอิมิเลียผู้ฉลาดเกินวัยทว่ายังคงความบริสุทธิ์ใสซื่อทำให้คนที่มีสีหน้าเรียบนิ่งเมื่อครู่หลุดยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้

     

     

    เหมือน...เหมือนกันมาก เหมือนช่วงเวลาที่พวกเราสองพี่น้องยังคงมีความสุข...

     

     

    ชายหนุ่มผมขาวพลันนึกถึงวันวานที่พวกเขาสองพี่น้องยังคงมีความสุขซึ่งมันแทบเลือนลางมากแล้วเพราะความสุขนั้นมันหายจากไปนานแล้วอยู่ๆ ก็มีเด็กน้อยหัวดื้อฉลาดเกินวัยทว่ายังคงใสซื่อตามประสาเด็กมาขุดความทรงจำที่ดีนี้กลับมา

     

     

    บางที...เขาอยากจะลองดูซักครั้ง การได้อยู่กับเด็กน้อยคนนี้อาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้ 

     

     

    ถ้าหากพระผู้เป็นเจ้าไม่หยุดเมตตาคนบาปอย่างเขาตามที่เด็กน้อยคนนี้ว่าจริงน่ะนะ...

     

     

    เบียคุยะหรือนามแท้ว่ามิไฮนซ์นั้นหวังภาวนาอย่างนั้นจูงมือเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มจางเดินตามาทางส่งเด็กน้อยอิมิเลียผู้นี้กลับบ้านอย่างเงียบงัน

     

     

    หลังจากวันนั้นทุกครั้งยามเด็กสาวมาพักผ่อนที่แห่งนี้ อิมิเลียมักจะเดินเล่นในป่าพบกับปีศาจผมขาวของเธอเสมอบางครั้งเข้าไปเดินเล่นในหมู่บ้านเล็กๆ แอบคนรับใช้ที่บิดาของเด็กสาวส่งมาเป็นเรื่องสนุกน่าตื่นเต้นสำหรับเด็กน้อย

     

     

    เธอชอบ เธอชอบช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเบียคุยะ...

     

     

    เบียคุยะมองเธอต่างจากคนอื่นรวมไปถึงบิดาของตน ถึงแม้เขาเป็นห่วงเธอแต่ก็ไม่ได้ห่วงเธอเป็นเด็กขี้โรคที่ต้องคอยดูแลเอาอกเอาใจจนเกินเหตุเหมือนนกน้อยในกรงทอง เบียคุยะปฏิบัติกับเธอเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปให้ออกไปวิ่งเล่นตามที่ใจต้องการ สัมผัสกับสายลมและอิสระที่เธอไม่เคยได้รับ สอนสิ่งต่างๆ ที่เธอเปิดโลกใบใหม่ให้กับเธอที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ส่วนเรื่องที่เขาเป็นห่วงนั้น...

     

     

    คือเรื่องเผ่าพันธุ์ของเขากับเผ่าพันธุ์ของเธอเอง

     

     

    อิมิเลียมารู้ทีหลังว่าเบียคุยะนั้นเป็นแวมไพร์ ตอนเจอกันครั้งแรกท่ามกลางหิมะตัวเธอนั้นได้เผลอล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตของแวมไพร์โดยไม่ได้ตั้งใจทำให้ฝูงหมาป่าที่เฝ้าอยู่เขตนั้นได้กลิ่นเธอจึงออกมาป้องกันอาณาเขตไม่ให้มนุษย์หน้าไหนย่างกรายเข้ามา 

     

     

    เบียคุยะที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติเป็นคนแรกจึงออกมาช่วยพาเธอกลับบ้านซ้ำยังสร้างหลักฐานปลอมโกหกแวมไพร์ตนอื่นว่ามนุษย์ที่ล่วงล้ำมานั้นถูกหมาป่าขย้ำตายไปแล้วซึ่งอีกฝ่ายก็ได้ข่มขู่พวกหมาป่าที่ตามล่าเธอว่าถ้าหากปากโป้งเรื่องนี้ล่ะก็หมาป่าทั้งฝูงได้หายไปในพริบตาแน่

     

     

    ครั้งต่อมาที่เธอเดินตามเสียงโอคาริน่าของอีกฝ่ายเหตุผลที่เบียคุยะไล่เธอกลับไปก็เพราะกำลังจะล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตของแวมไพร์ซ้ำสองทว่าตอนนั้นเธอไม่รู้จึงดื้อที่จะอยู่ทำให้ปีศาจผมขาวของเธอต้องเป็นฝ่ายพาเธอออกมาจากที่ตรงนั้นเอง

     

     

    ถ้าถามว่าเธอกลัวไหม...? อิมิเลียตอบได้ทันทีและหนักแน่นว่าเธอไม่กลัวเพราะเธอนั้นเจอแวมไพร์ดีๆ อย่างเบียคุยะนั่นเอง ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายบอกว่าแวมไพร์ส่วนใหญ่นั้นมีอารมณ์รุนแรง บ้าคลั่งได้ทุกเมื่อ ชอบดูถูกเหยียดหยามมองมนุษย์ต่ำกว่าตนเองเพราะเป็นอาหารก็ตามที

     

     

    ที่สำคัญแวมไพร์กับมนุษย์เป็นศัตรูกันทางธรรมชาติเพราะแวมไพร์มองมนุษย์เป็นอาหารส่วนมนุษย์มองแวมไพร์เป็นปีศาจร้ายน่าหวาดกลัว

     

     

    ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกแวมไพร์ฮันเตอร์ยิ่งเป็นศัตรูกับแวมไพร์ใหญ่เลยถึงแม้แวมไพร์ฮันเตอร์ส่วนใหญ่มีกฎเกณฑ์ไม่อนุญาตให้ฆ่าแวมไพร์ตามใจชอบแต่การที่แวมไพร์ซึ่งถือว่าตนเหนือกว่ามนุษย์ เป็นผู้ล่าอยู่เหนือจุดห่วงโซ่อาหารแล้วอยู่ๆ ก็มาถูกเหยื่อในห่วงโซ่อาหารระดับล่างฆ่าตายมันเป็นอะไรที่ยอมรับไม่ได้อยู่แล้ว

     

     

    จะเรียกว่าแวมไพร์แทบทุกตนนั้นล้วนหยิ่งในศักดิ์ศรีตนเองก็ได้...

     

     

    นอกจากเรื่องนี้แล้วเขายังบอกเธอให้หยุดอ่านทุกเรื่องที่เกี่ยวกับแวมไพร์เพราะมันเป็นเรื่องที่มนุษย์คิดเองเออเองแทบจะไม่จริงเลยซึ่งอันนี้อิมิเลียเห็นด้วย แวมไพร์ตรงหน้าเธอแทบไม่เหมือนในหนังสือที่เธออุตส่าห์ขุดค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยสักนิดเดียว

     

     

    แล้ววันนี้ก็ยังคงเป็นอีกวันเช่นเคยที่อิมิเลียมาหาแวมไพร์ผมขาวของเธอ

     

     

    “ขอบคุณนะ อิมิเลีย”

     

     

    "ขอบคุณ? เรื่องอะไรเหรอคะ?" ดวงตาสีน้ำตาลคาราเมลฉายแววงุนงงเล็กน้อยยามชายหนุ่มที่อยู่ๆ กล่าวขอบคุณเธอด้วยรอยยิ้มแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยโดยที่เธอไม่รู้ว่าคนตรงหน้าต้องการขอบคุณเรื่องอะไรกันแน่

     

     

               "เกี่ยวกับคำแนะนำเรื่องของขวัญวันเกิดน่ะ นายน้อยเรย์จิถูกใจโบว์เนคไทประดับแทนซาไนต์มากเลยนะ ตอนแรกผมกังวัลว่าเขาจะเอามันไปทิ้งหรือเปล่าแต่พอเห็นเขาใส่มันออกงานผมก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเลย" ชายหนุ่มกล่าวพร้อมวาดรอยยิ้มอย่างมีความสุขขณะกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องของเด็กสาวซึ่งนับจากการพบกันในป่าปีนี้เด็กสาวอายุ 17 ปีแล้ว

     

     

    "งั้นเหรอคะ? ดีแล้วล่ะค่ะที่เรย์จิชอบนะคะ" อิมิเลียอมยิ้มเล็กน้อยพลางจิบชา

     

     

    "มันเหมือนกับว่าระยะห่างระหว่างเขากับผมใกล้เข้ามาทีละนิดถึงแม้ว่าเขาจะยังคงไม่ชอบผมอยู่เหมือนเดิมก็เถอะแค่เขาไม่เอาของขวัญที่ผมให้ไปทิ้งมันก็ดีเกินพอสำหรับผมแล้วล่ะ" ยามเห็นเบียคุยะยิ้มอย่างมีความสุขหัวใจของเด็กสาวที่ยังคงอยู่ในห้วงแห่งรักนั้นเอ่อล้นด้วยความสุขเช่นกัน 

     

     

    คนที่เธอรักนั้นยิ้มออกมาจากหัวใจที่เปี่ยมสุขไม่กี่ครั้งเท่านั้นเองเพราะส่วนใหญ่รอยยิ้มของคนที่เธอรักนั้นถ้าไม่ใช่รอยยิ้มที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ออกมาก็เป็นรอยยิ้มที่โศกเศร้าเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวอ้างว้างบางทีก็แฝงความเหนื่อยล้าออกมาจนอิมิเลียรู้สึกอดเศร้าไปกับมันไม่ได้

     

     

    ยังมีเรื่องที่เธอไม่รู้เกี่ยวกับคนตรงหน้านี้อีกแต่เธอเชื่อว่าสักวันเบียคุยะจะเปิดใจเอง

     

     

    และหวังว่าเธอจะยังคงมีชีวิตอยู่ถึงวันนั้น...วันที่เธอวาดฝันว่าได้ใช่ชีวิตร่วมกันกับปีศาจที่เธอหลงรักถึงมันอาจฟังดูบ้าที่เด็กอายุแค่นี้แต่กลับทำตัวแก่แดดมีความรัก เธอก็คงคิดว่านั้นถ้าหากเธอไม่รับรู้ว่าอีกฝ่ายเองก็มีใจให้เธอเช่นกัน

     

     

    ปีศาจร้ายของเธอนั้นหลงรักเธอทว่าพยายามทิ้งระยะห่างผลักไสเธอหยุดอยู่ที่แค่คำว่า 'เพื่อน' เท่านั้น

     

     

    อิมิเลียรู้เหตุผลดีว่าทำไมแวมไพร์ผมขาวคนนั้นพยายามผลักไสเธอทั้งที่รักเธอมากกว่านั้น เขาต้องการให้เธอมีความสุขในฐานะมนุษย์ แต่งงานกับคนที่ดีพร้อมกว่าเขา มีลูกหลานอยู่ภายในบ้านใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขไม่ใช่มารักเขาแล้วชีวิตเธอสั้นลงมากกว่าเดิมถ้าเป็นแบบนั้นสู้หักห้ามใจตนเองเสียดีกว่า

     

     

    ถึงแม้เธอเคยขอให้เขาเปลี่ยนเธอเป็นแวมไพร์ก็ตามแต่อีกฝ่ายก็ตอบปฏิเสธทุกครั้งด้วยเหตุผลที่ว่าอยากให้เธอใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถเป็นได้ 

     

     

    เบียคุยะนั้นต่างจากแวมไพร์ตนอื่นตรงที่เขามีหัวใจเหมือนมนุษย์มากที่สุดทำให้เหตุผลนี้ถึงถูกยกออกมาได้อย่างง่ายดายนัก เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับอีกฝ่ายเช่นไรเพราะเหตุผลของอีกฝ่ายมีน้ำหนักมากจนเธอไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรให้อีกฝ่ายใจอ่อนอีกแล้ว

     

     

    สิ่งที่เธอทำได้คงมีแต่ภาวนาให้เวลาคอยเยียวยาเท่านั้นเอง...

     

     

    ทว่าโรคร้ายนั้นไม่เคยปรานีต่อทุกชีวิตบนโลกนี้รวมถึงตัวเธอด้วย

     

     

    "แค่กๆ แค่ก อ่อก...!"

     

     

    "อิมิเลีย ลูกพ่อ! ทำใจดีๆ ไว้นะ พ่อจะตามหมอมาให้"

     

     

    สองปีต่อมาเด็กสาวอิมิเลียที่เคยน่ารักสดใสหน้ากลับผ่ายผอมอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย หน้าตาเปล่งปลั่งมีประกายกลับซีดเซียวไม่ต่างจากกระดาษขาว ทุกครั้งยามที่เธอไอนั้นมีเลือดออกมาเป็นหลักฐานอย่างดีแสดงให้เห็นว่าโรคร้ายกำลังกลืนกินชีวิตของเธอ

     

     

    "พวกสาวใช้มัวแต่ทำอะไรอยู่รีบมาดูอิมิเลียเร็วเข้าไอเป็นเลือดขนาดนั้นมัวชักช้าอะไรอยู่! ไซรัสเมื่อไหร่หมอจะมาซักทีอิมิเลียอาการแย่ลงแล้ว?!"

     

     

    "ผมจะรีบไปตามให้เร็วที่สุดเลยขอรับ นายท่าน!"

     

     

    ชายวัยกลางคนมองท่าไม่ดีรีบร้อนสั่งสาวใช้ดูแลลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนเร่งให้พ่อบ้านตามหมอมาโดยเร็วภาวนาให้ลูกสาวของตนนั้นรอดตายถึงแม้ว่าจะต้องอายุสั้นอย่างนั้นก็ขอให้ยืดชีวิตออกไปได้ก็ยังดี ลูกสาวของตนเป็นสิ่งที่ภรรยาของเขาทิ้งไว้ก่อนตายเขาไม่ยอมเสียเธอไปอย่างง่ายดายอย่างเด็ดขาด

     

     

    ได้โปรด ใครก็ได้ช่วยอิมิเลียด้วย...จะเป็นภูติผีปีศาจหรืออะไรก็ช่างได้โปรดช่วยอิมิเลียให้หายจากโรคร้ายนี้ที...

     

     

    "ถ้าอย่างนั้นผมจะบันดาลคำขอของคุณให้เป็นจริงเอง"  

     

     

    เสียงทุ้มปริศนาเอ่ยดังขึ้น ชายวัยกลางคนหันไปมองเห็นเป็นเพียงแค่ชายร่างสูงที่สวมผ้าคลุมสีดำปิดหน้าเอาไว้อยากที่จะมองออกว่าอีกฝ่ายหน้าตาเป็นอย่างไรทว่าที่รู้อย่างแน่นอนคืออีกฝ่ายนั้นเป็นผู้ชาย 

     

     

    "แกเป็นใคร! เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?!" ชายวัยกลางคนนั้นถาม

     

     

    "ท่านอยากให้ลูกสาวของท่านหายเป็นปกติใช่หรือไม่?" ชายในชุดผ้าคลุมเอ่ยออกมาไม่สนคำถามที่ชายวัยกลางคนนั้นถามเลยสักนิดเดียวเหมือนมันไม่มีค่าอะไร

     

     

    "แล้วฉันจะเชื่อ..."

     

     

    หมับ!

     

     

    ไม่ทันทีจะกล่าว เด็กสาวคว้ามือของผู้เป็นบิดาของตนไว้ดวงตาสีน้ำตาลคาราเมลที่แดงก่ำผ่านการร้องไห้มาเยอะมองบิดาของตนเองเอ่ยคำพูดหนึ่งพลันทำหัวใจของผู้เป็นพ่อแทบสลาย 

     

     

    "ท่านพ่อ พระผู้เป็นเจ้าจะไม่หยุดเมตตาต่อผู้แสวงหาพระองค์ใช่ไหมคะ? ท่านพ่อ...ลูกอยากขอความเมตตาจากพระองค์ พระผู้เป็นเจ้า...ได้โปรดขอให้ลูกได้มีชีวิตต่ออีกสักนิดถึงลูกจะอายุสั้นแต่ขออยู่ต่อแค่สักนิดเดียวก็ยังดี"

     

     

    หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่จะทนเห็นลูกตนเองตายก่อนตนได้อย่างไรกัน? คนเป็นพ่อแม่ย่อมหวังให้ลูกมีชีวิตที่ดีและยืนยาวอยู่แล้ว ยิ่งเห็นลูกตนสิ้นหวังกับชีวิตตนเองว่าตนเองนั้นต้องตายทั้งที่อายุยังนั้นแต่กลับพยายามขอให้อยู่ได้นานมากที่สุดเท่าที่จะเท่าได้ ยามลูกวิงวอนร้องขอความเมตตาเช่นนี้หัวใจของผู้เป็นพ่อมันปวดร้าวเจ็บเจียนตายยิ่งกว่าลูกเสียเหลือเกิน

     

     

    และด้วยความรักของพ่อที่มีต่อลูกสาวสุดที่รักย่อมทำทุกอย่างได้เสมอแม้กระทั่งขายวิญญาณให้ปีศาจเพื่อลูกแล้วเขายินยอมอย่างไม่คิดเสียดาย

     

     

    "ได้โปรด ช่วยลูกสาวผมด้วย..."

     

     

    เมื่อได้รับคำวิงวอนรวมไปถึงคำยินยอมแล้ว ชายลึกลับในชุดผ้าคลุมสีดำเดินเข้ามาใกล้เด็กสาวที่นอนป่วยใกล้ตายอยู่บนเตียง เขานั่งลงข้างๆ ก้มหน้าลงใกล้กับเด็กสาวจากนั้นเอ่ยกระซิบเสียงนุ่มนวลอันแสนอ่อนโยนมอบความหวังให้แก่เธอว่า...

     

     

    "สาวน้อย คำวิงวอนของเธอจักเป็นจริง ณ บัดนี้"

     

     

    นับจากวันนั้นโรคร้ายที่กัดกินชีวิตของเด็กสาวอิมิเลียหายเป็นปลิดทิ้งราวกับปาฏิหาริย์...

     

     

    ยามชายผู้เป็นบิดาของเด็กสาวใกล้ตายเห็นสีหน้าเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวาของลูกสาวตนราวกับอาการป่วยหนักใกล้เฉียดความตายนั้นเป็นเรื่องโกหก แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างอาบไล้เรือนร่างและใบหน้าของเธอยิ่งขับประกายให้เด็กสาวงดงามมากยิ่งขึ้น

     

     

    "ท่านพ่อ..." เด็กสาวเอ่ยส่งยิ้มให้แก่ผู้มาเยือน

     

     

    "อิมิเลีย ลูกพ่อ..." น้ำตาลูกผู้ชายที่ไม่ควรจะไหลออกมาง่ายๆ บัดนี้เอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ชายผู้เป็นบิดานั้นเข้าไปกอดลูกสาวบนเตียงแน่นเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้นไม่ใช่ความฝัน

     

     

    อิมิเลียรอดแล้ว ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่เมตตาต่อครอบครัวของข้าพระองค์...

     

     

    เพราะการมาของชายผู้นั้นทำให้โรคร้ายที่บรรดาแพทย์หลายคนต่างพากันส่ายหน้าพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหมดทางเยียวยานั้นหายเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น การปรากฏตัวของชายปริศนานี้ทำให้ชายผู้เป็นบิดาของอิมิเลียนั้นเลื่อมใสศรัทธาทันที

     

     

    อิมิเลียเองก็อดขอบคุณอีกฝ่ายไม่ได้ความจริงแค่คำพูดขอบคุณมันยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำเพราะชายผู้นั้นทำให้ความฝันที่แทบจะไม่มีหวังเลยเริ่มมีแสงริบหรี่ขึ้นมาบ้างแล้ว

     

     

    ความฝันที่ว่าจะได้พบกับชายที่เธอรักอีกครั้ง...

     

     

    ในที่สุดก็จะได้พบกับเขาคนนั้นเสียที เพราะอาการป่วยกำเริบหนักมากทำให้เธอไม่อาจไปหาเขาคนนั้นได้อีกจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตเธอยังไม่มีโอกาสบอกลาเขาเลย 

     

     

    สิ่งที่เธอเสียใจก่อนใกล้ตายนั้นล้วนมีหลายอย่างด้วยกันเสียจนเหมือนคนโลภ ทั้งเสียใจที่ตนนั้นเป็นลูกเนรคุณตายก่อนบิดา เสียใจที่ต้องทิ้งให้บิดาจมอยู่กับความเศร้าสลด เสียใจที่ไม่ได้ตอบแทนความรักความห่วงใยของบิดา เสียใจที่ไม่ได้มีโอกาสทำในสิ่งที่อยากทำ

     

     

    และเสียใจ...ที่ไม่ได้มีโอกาสเอื้อนเอ่ยคำว่า 'รัก' แก่ชายที่เธอรักจนหมดหัวใจ...

     

     

    เด็กสาวผละออกจากบิดายามสาวใช้นำถาดอาหารมาให้และนั่นเป็นครั้งแรกที่ถาดอาหารนั้นไม่มียารสขมที่เธอต้องฝืนทนกินมันตลอดเวลา อิมิเลียนั้นเพลิดเพลินกับยามเช้าอันแสนสุขนี้มากจนบางทีเธออาจจะลืมอะไรไปบางอย่าง

     

     

    ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนมีราคาที่ต้องจ่ายอยู่เสมอ...   

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    น่าเบื่อ...

     

     

               เด็กสาวถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ต้องถูกจับแต่งตัวมาร่วมงานเลี้ยงของชนชั้นสูงแบบนี้แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อตัวเธอเองก็เป็นชนชั้นสูงเหมือนกันและที่สำคัญมันเป็นงานเลี้ยงที่รวมบรรดาผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ต่างๆ จะให้ไม่มาก็เหมือนหักหน้าเขา

     

     

    อิมิเลียในวัยสาวสะพรั่งนั้นล้วนเป็นที่ต้องตาและหมายปองของชายหนุ่มหลายคน ผมสีน้ำตาลอ่อนดั่งคาราเมลหอมหวานเฉกเช่นเดียวกับดวงตากลมโตมัดรวบทัดดอกกุหลาบสีส้มอมชมพูอ่อนเสริมให้เด็กสาวน่ารักสมวัยมาก ผิวพรรณละเอียดเนียนขาวละมุนชวนน่าทะนุถนอม ใบหน้าอันอ่อนเยาว์สวยเรียวรับกับจมูกโด่งสวยกำลังดี ริมฝีปากกระจับฉ่ำวาวด้วยลิปสติกสีพีชเข้ากับสีผิวของเธอ 

     

     

    เพียงเครื่องหน้าที่ถูกแต่งอ่อนๆ ให้สมกับวัยของเธอนั้นทำให้เด็กสาวงดงามโดดเด่นมากกว่าสาวคนอื่นไปมากกว่าครึ่งแล้วหากยังไม่นับรวมชุดออกงานของเธอแน่นอนว่าเป็นชุดสั่งตัดอย่างดีโดยเฉพาะจากช่างตัดเสื้อที่มีชื่อเสียง

     

     

    แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เด็กสาวสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าตา การสังสรรค์ งานสังคม หรืองานจับคู่อะไรทั้งนั้นสิ่งที่เธอสนใจคือระยะเวลาเพียงเท่านั้น

     

     

    ระยะเวลาที่เธอจากกับแวมไพร์หนุ่มที่เธอรักนั้นมันช่างนานเหลือเกิน

     

     

    ยามเด็กสาวหายจากโรคร้ายที่กัดกินชีวิตเธอมาได้แล้วหนึ่งปีเต็มเธอร้องขอให้บิดาพาตนไปยังบ้านพักตากอากาศที่นั่นอีกครั้งหนึ่งทว่าบ้านพักของเธอนั้นโดนดินถล่มไปเมื่อสามปีที่แล้วหรือก็คือช่วงเวลาที่โรคร้ายกำเริบหนักจนไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ ทำให้ตัวเธอไม่สามารถกลับไปยังที่แห่งนั้นได้อีกแล้วนอกจากนี้ยังถูกสั่งห้ามไม่ให้ไปที่นั่นด้วยความกลัวว่าเกิดเหตุการณ์ดินถล่มอีกครั้ง

     

     

    สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้กลับไปพบกับเขาคนนั้นอีกเช่นเคย... 

     

     

    เธออยากจะเขียนจดหมายติดต่อทว่าอีกฝ่ายปฏิเสธด้วยเหตุผลหลักว่ากลัวถูกจับได้นั่นเอง เจ้าของบ้านที่เขาทำงานรวมไปถึงภรรยาทั้งสามของเจ้าบ้านนั้นไม่ชอบให้คนในบ้านยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์โดยเฉพาะเจ้าของบ้านยิ่งแล้วใหญ่ถึงแม้เธอขอให้เขาเขียนจดหมายมาหาเธอแต่ก็ปฏิเสธเช่นกันด้วยเหตุผลเดียวกัน

     

     

    เธอเคยบอกให้เขาแอบมาหาเธอที่คฤหาสน์แต่ก็ถูกปฏิเสธถึงแม้อีกฝ่ายอยากมาหาเธอมากแค่ไหนก็ตาม เบียคุยะนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไกลมากกว่าหมู่บ้านมนุษย์ใกล้อาณาเขตนี้หากออกไปเจ้าของบ้านจะรู้ทันทีว่าตนฝ่าฝืนคำสั่งส่งที่รออยู่ปลายทางคือ 'บทลงโทษ' อันแสนโหดร้ายทารุณนั่นเอง

     

     

    และเธอก็เคยเห็นบาดแผลจากการถูกทารุณถึงแม้จะเพียงน้อยนิดจากที่มองด้วยตาแต่เธอเชื่อว่าข้างในเสื้อผ้าสั่งตัดอย่างดีนั้นซ่อนบาดแผลที่มองไม่เห็นอีกมากมายอย่างแน่นอน จนบางทีเธออดจินตนาการไม่ได้ว่าถ้าเธอเห็นบาดแผลเหล่านั้นเธอจะตกใจหวาดกลัวมากแค่ไหนกัน

     

     

    มีชีวิตที่ยืนยาวทว่าไร้ซึ่งอิสระและเจตจำนงเสรี...

     

     

    ไร้ซึ่งอันตรายคุกคามทว่าต้องทนเจ็บปวดจากบาดแผลนับครั้งไม่ถ้วน...

     

     

    คนบางคนคิดว่าการมีชีวิตยืนยาวใกล้เคียงกับคำว่าอมตะนั้นเป็นพรจากสวรรค์แต่สำหรับเธอจากที่ประสบพบโดยตรงแล้วมันไม่ต่างอะไรจากคำสาปที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจมานับไม่ถ้วน

     

     

    อิมิเลียนึกแล้วอดสงสารปีศาจร้ายที่เธอหลงรักมาเป็นสิบปีไม่ได้...

     

     

    ชายที่เธอคิดว่ามีอิสระเสรีมากที่สุดกลับกลายเป็นชายที่ถูกจองจำมากที่สุด ถูกจองจำมากกว่าเธอที่เป็นนกน้อยในกรงทองเสียด้วยซ้ำ จนอดคิดไม่ได้ว่าคนที่สมควรได้รับความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้ามากที่สุดคือปีศาจหนุ่มที่เธอรักคนนี้ 

     

     

    เธอได้รับความเมตตาแล้วเหตุใดเขาคนนั้นยังไม่ได้รับความเมตตาจากพระองค์เสียทีทั้งที่เขามีศรัทธาแสวงหาพระองค์ไม่แพ้กัน...

     

     

    แต่เธอก็หวังภาวนาว่าสักวันเขาจะได้รับความเมตตาจากพระองค์ หลุดออกโซ่ตรวนแห่งการจองจำพานพบกับความสุขที่มาเยือนโดยเร็ว

     

     

    พบกับความสุขที่มากล้นยิ่งกว่าเธอ...

     

     

    ดวงตาสีน้ำตาลคาราเมลที่หม่นหมองพลันสะดุดตาเห็นชายในชุดผ้าคลุมสีดำอยู่ข้างล่าง เสื้อคลุมสีดำคล้ายกับของชายผู้วิเศษที่รักษาโรคร้ายของเธอให้หายเป็นปลิดทิ้งราวกับปาฏิหาริย์ไม่มีผิดเพี้ยน ยามชายผู้นั้นถูกจับจ้องจึงส่งยิ้มให้แก่เด็กสาวแล้วเดินเข้าไปในสวนเขาวงกต

     

     

    เขามาทำอะไรที่นี่...?

     

     

    หากชายผู้วิเศษนั้นมีหูและหางกระต่ายขาวเธอคงเข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นไวท์แรบบิทที่ถือนาฬิกาพกพูดซ้ำไปซ้ำมาว่าฉันสายแล้วอย่างแน่นอน ส่วนเธอก็คงเป็นอลิซขี้สงสัยตามกระต่ายตัวนั้นไปจนถึงหลุมกระต่ายที่ทอดยาวลงไปลึกแทบไม่มีที่สิ้นสุด

     

     

    และวันนี้เธอก็ขอเป็นสาวน้อยอลิซขี้สงสัยคนนี้สักวันก็แล้วกัน...

     

     

    อิมิเลียเดินจากระเบียงลงบันไดมายังข้างล่างออกไปข้างนอกผ่านบรรดาแขกต่างๆ รวมไปถึงบรรดาชายหนุ่มที่ต่างพากันขอเธอเป็นคู่เต้นรำภายในงานเลี้ยงจนกระทั่งหยุดอยู่ที่สวนเขาวงกต ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนดั่งคาราเมลแลมองซ้ายขวายามเห็นชายผ้าคลุมสะบัดพลิ้วจึงตามไป

     

     

    "ท่านผู้วิเศษ รอก่อน!" เธอเรียกทว่าอีกฝ่ายเมินเฉย

     

     

    เด็กสาวผู้สมบทบาทเป็นอลิซนั้นตามท่านผู้วิเศษคนนั้นไป เรียกขานเขาทุกครั้งยามพบชายผ้าคลุมทว่าท่านผู้เศษคนนั้นเอาแต่เงียบเดินหนีอยู่ท่าเดียวเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหันกลับมาจนเธอยอมแพ้ตามอีกฝ่ายไปอย่างเดียว

     

     

    ว่าแต่เขาวงกตของที่นี่มันลึกขนาดนี้เลยหรือ? ที่เธอมองจากข้างบนมันไม่น่าลึกขนาดนี้เลยนี่จะหันกลับไปก็ไม่ได้เพราะมันลึกเกินไปจนเธอจำทางกลับไม่ได้ทั้งหมดแล้วมีแต่ต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น

     

     

    เพราะเหม่อลอยจมกับความคิดตนเองยามรู้สึกตัวอีกทีเธอก็ออกมาจากสวนเขาวงกตนั้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว สิ่งที่เด็กสาวในชุดราตรีนั้นอดแปลกใจไม่ได้คือเธอนั้นออกมาอยู่ในสวนภายในปราสาทขนาดใหญ่ที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลยแม้แต่นิดเดียวยามเธอหันหลังกลับไปปรากฏว่าไม่มีสวนเขาวงกตนั้นเลยราวกับมันไม่เคยมีอยู่มาตั้งแต่แรกแล้ว

     

     

    "นะ นี่มันอะไรกัน...?" อิมิเลียเอ่ยเสียงสั่น ลางสังหรณ์ของเธอบอกว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้วิเศษที่รักษาอาการป่วยของเธอ เขาวงกตที่ลึกกว่าปกติ ปราสาทหลังงามตรงหน้าเธอ และเขาวงกตที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย 

     

     

    สิ่งที่เกิดขึ้นจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้มันไม่ปกติแล้ว! ต้องรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด!!

     

     

    "หืม? มนุษย์หรือ? ทำไมถึงมาที่แห่งนี้ได้กันนะ"

     

     

               เสียงปริศนาดังจากข้างหลังของเธอพร้อมใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาเด็กสาวสะดุ้งโหยงตกใจหันหลังกลับเป็นชายผมทองหน้าตาดีคนหนึ่งทว่าดวงตานั้นกลับเรืองแสงสีแดงจนน่ากลัว 

     

     

    ดวงตาเรืองแสงที่คล้ายกับของเขาคนนั้นทว่าน่าหวาดหวั่นแบบนี้หรือว่า...แวมไพร์?! เธอหลงเข้ามาในโลกของแวมไพร์เข้าเสียแล้ว

     

     

    "คะ คือ...ดิฉันหลงทางมาค่ะถ้าคุณไม่ว่าอะไรดิฉันขอตัวก่อนนะคะ" เด็กสาวพูดเสียงสั่นพยายามทำใจดีสู้เสือถอยหลังเตรียมตัวหนีทว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่มนุษย์ ชายคนนั้นหายจากตรงหน้าโผล่มายังข้างหลังของเธออย่างรวดเร็วโอบพันธนาการเธอ

     

     

    "อะไรกัน~ ในเมื่ออุตส่าห์เป็นแขกรับเชิญพิเศษทั้งทีจะให้กลับไปง่ายๆ แบบนี้ก็น่าเสียดายแย่"

     

     

    "ปล่อยฉันนะคะ! ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!!" 

     

     

    แวมไพร์ตนนั้นไม่ปล่อยซ้ำยังหัวเราะให้กับการดิ้นรนอันน่าสมเพชของมนุษย์ผู้หญิงคนนี้ ถึงแม้ว่าตนไม่รู้ว่ามีมนุษย์มาอยู่ในงานนี้ตั้งสองคนได้อย่างไร คนแรกเป็นเด็กชายอายุใกล้เคียงกับนายน้อยคนโตของบ้านและเพราะมีนายน้อยคนโตของบ้านอยู่ใกล้ทำให้ตนไม่สามารถเข้าไปขย้ำคอดูดเลือดอีกฝ่ายได้แต่กับผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ เธอมาคนเดียวแถมกลิ่นอันหอมหวานนี้ค่อยน่าลิ้มลองหน่อย

     

     

    ถึงแม้ว่ามันจะสู้กลิ่นของคอร์เดเลียสุดที่รักไม่ได้ก็ตาม...

     

     

    ยามวินาทีชายคนนั้นอ้าปากกว้างหวังจะฝังคมเขี้ยวกัดลงบนเนื้อสีขาวนวลเต็มแรง เด็กสาวผู้เป็นเหยื่อที่กำลังดิ้นหนีนั้นหลับตาลงด้วยความหวาดกลัวเตรียมตัวรอรับความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้นทันทียามเมื่อเห็นว่าตนนั้นไม่มีทางรอดจากเงื้อมมือแวมไพร์ตนนี้

     

     

    แต่ทว่าความเจ็บปวดมันส่งมาไม่ถึงเธอยามลืมตามองขึ้นอย่างช้าๆ เด็กสาวเห็นแวมไพร์ผมทองตนนั้นกัดข้อมือของใครบางคนเต็มแรงจนเลือดไหลออกมาจนน่าหวาดกลัว

     

      

               จากนั้นน้ำเสียงนุ่มนวลอันแสนคุ้นเคยเอ่ยออกมาว่า...

     

     

    "เป็นอย่างไรบ้าง? เลือดของผมอร่อยมากพอที่จะหยุดการกระทำอันป่าเถื่อนเหมือนคนไร้อารยะกลับมาเป็นผู้ดีมีสกุลเหมือนดังเดิมได้หรือไม่ขอรับ"

     

     

    "กะ...แก! อีตัวของ...อุก!" ไม่ทันที่อีกฝ่ายเอื้อยเอ่ยจบประโยคร่างของคนไร้มารยาทถูกกระชากแยกออกจากเด็กสาวผู้เป็นเหยื่ออย่างแรงก่อนถูกจับเหวี่ยงใส่เสาหินยุบไปมากกว่าครึ่งกระอักเลือดล้มลงอย่างน่าสมเพชจนเด็กสาวที่อยู่ข้างหลังยกมือปิดปากกลั้นเสียงร้องแทบไม่ทัน

     

     

    อ้อ...เกือบลืมไปว่ามีคนไม่ควรจะอยู่ที่นี่โผล่มาด้วยนี่นา...

     

     

    และเพื่อป้องกันภาพอันหน้าหวาดกลัวเปี่ยมไปด้วยความโหดร้ายทารุณนี้เสื้อนอกสีดำถูกโยนใส่เด็กสาวผู้เป็นเหยื่อเหมือนเป็นการปลอบโยนทางอ้อม

     

     

    ทว่าแท้จริงแล้วมีจุดประสงค์เพื่อกลบกลิ่นอายมนุษย์และปิดบังการกระทำต่อจากนี้...

     

     

    ถึงแม้ว่าสำหรับมนุษย์ธรรมดาการกระทำนี้มันดูโหดร้ายรุนแรงเกินกว่ามนุษย์คนหนึ่งพึงได้รับถ้าเป็นคนธรรมดาป่านนี้คงกระดูกหักไปหลายซี่ตายตั้งแต่วินาทีแรกที่โดนกระแทกเสาหินไปนานแล้วทว่าสำหรับแวมไพร์ด้วยกันนั้นมันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว

     

     

    การกระทำนี้ถือว่าเป็นรุนแรงน้อยมากที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับลักษณะทางกายภาพของมนุษย์กับแวมไพร์ แวมไพร์นั้นแข็งแรงกว่ามนุษย์หลายเท่านักโดนแค่นั้นก็ฟื้นฟูบาดแผลตนเองใหม่ได้ โดยเฉพาะผู้ชายของคอร์เดเลียภรรยาคนแรกของราชันย์แวมไพร์ที่น่ารังเกียจเหล่านี้ความรุนแรงที่ดูโหดร้ายเกินไปสำหรับมนุษย์นั้นยังถือว่ายังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ 

     

     

    ทั้งที่ควรโดนหนักกว่านี้อีกเยอะกับการที่พวกเขาเรียกผมว่าเป็นอีตัวของคาร์ลไฮนซ์

     

     

    "ว่าแต่คนอื่นแต่กลับไม่ย้อนดูตนเองว่าการกระทำไม่ต่างจากพวกลักกินขโมยกินของคนอื่นไม่เกรงใจเจ้าของบ้านอย่างคุณมีสิทธิ์ว่าการกระทำของผมได้อย่างไรกันขอรับ? ท่านนิโคลัส"

     

     

    "กะ...แก!"

     

     

    ผมย่างก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างช้าๆ ไม่รีบเร่งอะไรมากจากนั้นส่งยิ้มละมุนแสร้งเอียงคอเล็กน้อยมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์ประกายออกมาด้วยความซื่อ ถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบทว่าเชือดเฉือนบาดลึกยิ่งโดนมีดคว้านหัวใจออกมาทันที

     

     

    "...จะว่าไปแล้วใครเป็นคนเชิญคุณมางานเลี้ยงเต้นรำนี้หรือขอรับทั้งที่ผมแน่ใจแล้วว่าไม่ได้เชิญคนกักขฬระชั้นต่ำยิ่งกว่านักเลงขี้เหล้าข้างถนนอย่างคุณมางานเลี้ยง เป็นแค่ผู้ชายสำส่อนเกาะผู้หญิงกินไปวันๆ แต่ยังหน้าด้านมาอวดเบ่งในงานเลี้ยงของสามีเขาแบบนี้ใจกล้าไม่เบาเหมือนกันนี่ขอรับ"

     

     

    "แก! เป็นแค่ไอ้หมาตัวเมียร่านราคะอ้าขาให้ท่านผู้นั้น คิดว่าตัวเองสูงส่งนักหรือ...?!" 

     

     

    ผัวะ!!

     

     

    วินาทีนั้นรองเท้าหนังสีดำเนื้อดีของผมถูกยัดเข้าไปในปากอย่างรวดเร็วด้วยแรงเตะที่ผิดมนุษย์จนรองเท้าหนังสีดำนนั้นเปื้อนเลือดสีแดงสดหลังจากดึงเท้าออกมาฟันที่ควรจะเรียงสวยอยู่ในปากนั้นหลุดออกมาสิบกว่าซี่แทบจะหมดปากอยู่รอมร่อแล้ว

     

     

    "ผมอยากจะให้เรื่องมันจบลงที่ว่าคุณดื่มสุราอย่างหนักจนเมามายกระทำการไร้มารยาทต่อสตรีผู้เป็นแขกในปราสาทของราชาแวมไพร์จนถูกข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์สั่งสอนเล็กน้อยก่อนถูกไล่ออกจากงาน แต่ดูเหมือนว่าคดีจะพลิกไปอีกแบบหนึ่งแล้ว..."

     

     

    "อะ...อึก อือ..." อีกฝ่ายเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็พูดไม่ได้เพราะฟันหักแทบหมดปากภายในโพรงปากได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงเสียจนเวลาพูดเลือดไหลออกมาจากปากทุกครั้งด้วยความเจ็บปวดต้องร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

     

     

    "เอาเป็นว่าคุณกระทำการข่มเหงหมายย่ำยีสตรีผู้สูงศักดิ์ในปราสาทของราชาแวมไพร์เพียงเท่านั้นไม่พอยังยังดูหมิ่นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ลามปามไปถึงท่านผู้นั้นและครอบครัวของเขา กล่าวหาว่าท่านคอร์เดเลียเป็นเพียงโสเภณีชั้นต่ำเรียกร้องความสนใจสามีที่ไม่มีวันรักหล่อนเลยแบบนี้ดีไหม?"

     

     

    ผมกล่าวน้ำเสียงเรียบนิ่งพลางยิ้มบางออกมาราวกับพ่อพระผู้มาโปรดทว่าในความหมายตรงกันข้าม ยามเห็นใบหน้าอันอ่อนละมุนทว่าเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอันเข้มข้น ชายผมทองผู้ปรามาสผมแสดงสีหน้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดร้องโอดโอยน้ำหูน้ำตาไหลแทบร้องขอชีวิตผมยิ่งกว่าหมูที่กำลังถูกเชือดเสียอีก

     

     

    ถึงแม้ว่าจิตมุ่งร้ายจะไม่เท่ากับของราชันย์แวมไพร์ผู้ยิ่งใหญ่ก็จริงแต่สำหรับเชื้อพระวงศ์สายเลือดใกล้ชิดอย่างผมมันก็มากพอข่มแวมไพร์ที่มีศักดิ์ต่ำกว่าได้มากโขเลยทีเดียว ถ้าให้ยกตัวอย่างก็...

     

     

    แวมไพร์ที่เคยปรามาสว่าร้ายผมเป็นหมาตัวเมียร่านราคะตรงหน้านี้อย่างไร

     

     

    ซึ่งอันที่จริงผมก็ไม่ได้กะจะฆ่าเขาอยู่แล้วตั้งแต่แรกอยากจะหยุดแค่เตะกระเด็นแล้วไล่ออกไปจากปราสาทโทษฐานที่ทำร้ายอิมิเลียเด็กน้อยที่ผมเอ็นดูแต่เพราะคนตรงหน้านี้แกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง เสี้ยนมันก็เลยตำเท้าก็เท่านั้นเอง

     

     

    ถ้าใครคิดว่าผมชอบทำตัวเป็นพ่อพระมาโปรดอ่อนโยนต่อทุกสรรพสิ่งหรือโกรธแค้นใครไม่เป็นก็ขอให้เลิกคิดเสียเถอะ

     

     

    เพราะถ้าผมโกรธจนเลยทะลุขีดสุดเมื่อไหร่นั่นแปลว่าจุดจบของคนๆ นั้นมาถึงแล้วนั่นเอง...

     

     

    ....................................................

     

    Let's Talk with Writer : 

    สำหรับคนที่งงว่าไทม์ไลน์มันยังไงกันแน่ทำไมถึงโดดข้ามไปแบบนั้น เรื่องนี้มีคำตอบค่ะ เราจะให้เรื่องเล่ามันคล้ายๆ ในรูปแบบชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ให้ทุกคนเรียบเรียงขึ้นมาเองโดยการเปิดปมให้คนสงสัยแล้วค่อยเฉลยทีหลัง ส่วนคนที่เคยอ่านเรื่องนี้รายละเอียดจะเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อยตรงไทม์ไลน์กับอายุของอิมิเลียค่ะ

    ตอนนี้จะเพิ่มความโหดของมิไฮนซ์ว่ามิไฮนซ์สามารถโหดได้ถึงขนาดไหน ตอนแรกเราไม่อยากใส่บทโหดมากแค่เตะกระเด็นก็พอแต่สุดท้ายเพิ่มความโหดความน่ากลัวให้จนดูเหมือนมิไฮนซ์ไม่ปกติแบบทุกคนในเรื่องสรุปว่าในอดีตอิมิเลียใสที่สุดแล้ว

    เราวางให้มิไฮนซ์นั้นเป็นตัวละครสีเทาถึงแม้ว่าจะมีด้านที่ดีต่อพี่น้องซาคามากิหรือคนอื่นๆ ก็ตามแต่ก็อยากให้มีข้อยกเว้นอยู่บ้าง ถ้าหากใครคิดว่ามิไฮนซ์โกรธใครไม่เป็นก็คิดผิดแล้วค่ะ คนที่ไม่เคยโกรธใครเลยในชีวิตมันไม่มีหรอกมิไฮนซ์ก็เช่นเดียวกันค่ะแต่ว่าเราออกแบบให้น้องเป็นคนโกรธคนยากแต่ถ้าโกรธเมื่อไหร่นี่คือหายนะเลยล่ะค่ะแค่รอดมาได้ถึงจะไม่ครบสามสิบสองก็เมตตามากพอแล้ว กับพี่น้องซาคามากิหรือคนอื่นจะค่อนข้างซอฟต์มากแค่นิ่งเงียบใส่แทบไม่พูดไม่จาก็เท่านั้น 

    สุดท้ายนี้ก็ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×